- มีอยู่แนวคิดหนึ่ง คือ เราจะแสวงหาความสำเร็จอย่างยิ่งไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายทุกสิ่งก็จะถูกลืมเลือนเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดกาล แม้สิ่งเหล่านี้จะจัดว่าเป็นบุญ(การกระทำที่เกิดประโยชน์) แต่ก็ยังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ไม่พ้นทุกข์จริงๆอยู่ดี
- ในยุคที่เราได้พบเจอกับคำสอนของพุทธศาสนา เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่มีไม่มาก ที่เราจะสามารถเรียนรู้ตนเองจนเข้าใจความจริงของ กาย-ใจ จนพ้นทุกข์ เราจึงควรให้ความสำคัญกับการศึกษาเรียนรู้กายใจ มากกว่าการทำประโยชน์ภายนอกอื่นๆ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำประโยชน์ภายนอกอะไร เพียงแต่ควรจะเต็มที่กับการแสวงหาปัญญาภายใน คือ การเรียนรู้ตนเอง ให้ได้มากที่สุดก่อน เพราะ ยุคสมัยที่จะมีคำสอนเพื่อความพ้นทุกข์แบบนี้หาได้ยากยิ่ง ส่วนการทำประโยชน์ภายนอก ก็ให้เพียงพอแค่ การสงเคราะห์ตนเองและผู้อื่นให้อยู่สบายแต่พอสมควร เอาไว้ชาติอื่นๆที่ไม่มีพุทธศาสนาค่อยทำแบบเต็มที่ก็ได้ โดยเอาเวลามาพัฒนาสติ เรียนรู้กาย-ใจ ให้ได้มากที่สุด
- แต่ทั้งนี้ เราสามารถพัฒนาทั้งทางโลกและทางธรรม ควบคู่กันไปได้นะ เพียงแต่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายด้านการเรียนรู้ตนเอง(เป้าหมายทางธรรม)เป็นอันดับแรก ส่วนทางโลกก็ทำตามความเหมาะสม ยังไงมันก็พัฒนาขึ้นไปด้วยกันได้เรื่อยๆ
- นอกจากนี้ก็ อย่าเสียเวลากับสิ่งบันเทิงต่างๆ ที่ทำให้หลงเพลิดเพลิน หลงลืมเวลาอันมีค่าที่จะเอามาใช้เรียนรู้กายใจ เช่น การดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ เป็นต้น มาดูละครชีวิตจริงของเราที่เราเป็นตัวละครหลักดีกว่า อยู่เงียบๆ รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก หรือ ฟังเสียงของจิตใจตนเอง ก็ให้ความรื่นรมย์ได้เช่นกัน ส่วนการพยายามทำงานให้ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ต่างจากการเล่นเกมส์ในชีวิตจริง
พัฒนาตนเอง
- การลงทุนในความรู้และการพัฒนาตนเอง ให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอ เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และ แน่นอนที่สุด
- การลงทุนรูปแบบอื่นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่การลงทุนในความรู้ ในการพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะพบเจอความไม่แน่นอนในชีวิตอย่างไร ก็ยังสามารถนำความรู้ ทักษะ กระบวนการคิด ไปใช้แก้ปัญหา สร้างประโยชน์ให้เกิดกับตนเองและผู้อื่น ได้ตลอดและไม่จำกัด
- การลงทุนรูปแบบอื่น หากขาดทุน อาจจะทำให้เราเสียใจภายหลังได้ แต่การลงทุนในการทำให้ตัวเราเองเก่งขึ้น มีความรู้มากขึ้น พัฒนามากขึ้น ไม่ทำให้เราผิดหวังแน่นอน เราสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
- แสวงหาและลงทุนใน ความรู้ก่อน หากมีความรู้ เงินก็หาได้ไม่ยาก
- ในกรณีที่จะเอาเงินไปลงทุนกับธุรกิจอย่างอื่น ให้ลงทุนในบริษัทหรือองค์กรที่แสวงหา "ปัญญา" คือ ความก้าวหน้า นวัตกรรม การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ การพัฒนาสิ่งต่างๆบนโลกให้ดีขึ้น ไม่ใช่บริษัทหรือองค์กร ที่มุ่งเน้นแต่การทำธุรกิจ เพราะ นั่นจะเป็นการเติบโตที่มีมูลค่าอย่างแท้จริงและยั่งยืน แล้วเงินลงทุนของเราก็จะเติบโตไปกับเขาได้
- หลังการอด 10 ชม ร่างกายจะใช้คาร์โบไฮเดรตที่สะสมในรูปของ Glycogen ในตับและกล้ามเนื้อจนหมด และ จะเกิดการสลายไขมันแทน เกิดกระบวนการ ketosis ซึ่งจะมี ketone body เกิดขึ้น
- ซึ่ง ketone body สามารถผ่านเข้า Blood brain barrier ได้ เมื่อเข้าสู่สมองจะกระตุ้นให้มีการหลั่ง BDNF(Brain derived neurotrophic factor) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญในการกระตุ้นให้ เซลล์ประสาทมีการเจริญเติบโตแตกแขนงใยประสาทเพิ่มขึ้น, ลดการเสื่อมสลายตัว
- จะทำให้เกิด Neuroplasticity สูงขึ้น - ทำให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้เร็วขึ้น สิ่งที่เรียนรู้มาเสื่อมสลายไปยากขึ้น
- โดยส่วนตัวคิดว่า การฝึกสมองให้พัฒนา หลักการก็คล้ายกับ การออกกำลังกายเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อ แม้เซลล์กล้ามเนื้อไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ แต่เราสามารถฝึกให้มันแข็งแรงขึ้นได้ แต่พอหยุดฝึกและไม่ใช้งาน มันก็จะกลับไปฝ่อเล็กลง สมองก็เช่นกัน แม้เราจะไม่สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ประสาทได้ ถ้าเราใช้ส่วนไหนมากๆ ส่วนนั้นก็จะมีการแตกแขนงใยประสาทที่เชื่อมโยงกันหนาแน่นขึ้น หากไม่ใช้ ก็จะเริ่มเลือนลางไป
- การทำ IF จะช่วยปรับปรุง สภาพแวดล้อมในสมอง ให้เซลล์ประสาทแตกแขนงใยประสาทได้เร็วขึ้น ทำให้การฝึกสมองทำได้เร็วขึ้น พัฒนาทักษะได้เร็วขึ้น และยังช่วยคงสภาพ ไม่ให้สลายไปเร็ว แม้จะไม่ได้ฝึกต่อ
- ในกรณีของการฝึกเพิ่ม IQ โดยส่วนตัวก็คิดว่าน่าจะทำได้ โดยอาศัยการฝึกทำแบบทดสอบที่ต้องใช้ความคิด เช่น ฝึกทำโจทย์เลข เป็นต้น ร่วมกับการทำ IF
- นอกจาก การฝึก IQ แล้ว ยังสามารถฝึกพัฒนาทักษะอื่นๆได้อีก เช่น ทักษะทางด้านศิลปะ, ดนตรี, การเคลื่อนไหว, ภาษา, การควบคุมร่างกายข้างที่ไม่ถนัด, การฝึกสมาธิ ฯลฯ ตามแต่ที่เราอยากฝึก
- รูปแบบการทำ IF ที่คิดว่าได้ผลที่สุด คือ
กินวันละมื้อ ภายใน 1 ชม. แล้วอด 23 ชม(IF 23/1) เพราะ แม้การอด 10 ชม จะทำให้เกิด ketone body แต่ยังเป็นปริมาณเล็กน้อย จะค่อยๆสูงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป ยิ่งอดนานก็จะเกิด ketone ที่มากขึ้นเรื่อยๆแนะนำสำหรับคนที่ชีวิตประจำวัน ไม่ต้องใช้กำลังทางกายเยอะ เพราะ ถึงอย่างไร การกินวันละ 1 ชม. โดยกินให้ได้พลังงานมากเท่าเดิมนั้น เป็นไปได้ยาก และ ไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้ในการออกกำลังกาย (อย่างมากที่ทำได้คือเดินวันละ 1 ชม.)
กินวันละ 2 มื้อ เช้า-กลางวัน ภายใน 4-6 ชม แล้วอด 18-20 ชม(IF 18/6 - 20/4) ร่วมกับออกกำลังกาย มีงานวิจัยว่าการออกกำลังกายหลังทานอาหารไปแล้ว 4 ชมจะช่วยทำให้เกิด ketosis เร็วขึ้นกว่าเดิมได้ เพราะ จะเป็นการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต(ไกลโคเจน)ที่สะสมไว้ให้หมดเร็วขึ้น และสลับไปใช้ไขมันต่อ แทนที่จะต้องใช้เวลา 10 ชม ก็อาจเกิดเร็วกว่านั้นหลายชั่วโมง หรือ กระทั่งอาจเกิดทันที หลังออกกำลังกายมากพอ แต่ทั้งนี้ ทุกครั้งที่เราออกกำลังกายจะมีการบาดเจ็บในกล้ามเนื้อ หากออกกำลังกายหนัก จะเกิดอนุมูลอิสระได้ อาจทำให้แก่เร็วขึ้น ก็ออกกำลังกายแต่พอดีๆก็ได้แนะนำสำหรับคนที่ชีวิตประจำวัน ยังต้องใช้กำลังทางกาย หรือทำงานเยอะ
- กินวันเว้นวัน(Alternate day fasting - IF 36/12) คือ วันหนึ่งกิน อีกวันจะอด สลับกันไป โดยวันที่กิน ก็จะกินในช่วงเวลา 12 ชม(3-4มื้อ) โดยกินให้ได้มากพอสำหรับอีกวันไปเลย ไม่จำกัดจำนวนมื้อ ไม่จำกัดปริมาณอาหาร(ad libitum) ใช้ความรู้สึกอยากอาหารของร่างกายเป็นตัวกำหนด (แต่โดยส่วนตัวแนะนำให้ กินประมาณ 4-6 มื้อ เป็นอย่างน้อย เมื่อเฉลี่ยกับวันที่อด ก็จะได้ 2-3 มื้อต่อวันพอดี) ส่วนวันถัดมาจะอด ดื่มเพียงน้ำเปล่า หรือ ชา กาแฟ ที่ไม่มีแคลอรี่ ไม่มีน้ำตาลเท่านั้น โดยรวมเวลาอดจะอยู่ที่ 36 ชม.
- ข้อดีที่โดยส่วนตัวคิดว่าเหนือกว่าแบบแรก(ที่กินวันละมื้อ) คือ
- ต้องรู้ก่อนว่า ทุกครั้งที่เราเริ่มการอดใหม่ อัตราการเกิด ketosis จะเริ่มจากระดับต่ำสุด แล้วค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกระบวนการต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง หากเราอดแบบต่อเนื่องไปเลย แม้เวลาอดโดยรวมจะเท่ากันกับการกินวันละมื้อ ก็จะไม่ต้องเสียเวลาหลายชั่วโมง ไปกับการเร่งอัตราการเกิด ketosis ให้ไปถึงอัตราสูงสุดใหม่ ก็จะทำให้ร่างกายอยู่กับภาวะ ketosis ที่เข้มข้น อย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า(ได้ ketosis แบบเข้มข้น อย่างต่อเนื่องเน้นๆ อีกหลายชั่วโมง)
- นอกจากนี้ ประโยชน์ด้านการชะลอวัย(autophagy) จากการอด จะเริ่มเกิด หลังอด 12 ชม และ จะค่อยๆเพิ่มจนเกิดมากที่สุด เมื่ออดอย่างน้อย 24 ชม. หากเราอดมาได้นานจนถึงอัตราสูงสุดแล้ว การอดเพิ่มต่อไปอีก จะทำให้เราได้รับประโยชน์ จากกระบวนการที่เกิดด้วยอัตราสูงสุด อย่างเต็มที่
- หากเทียบกับการกินวันละมื้อ พบว่า การกินแบบวันเว้นวัน(กิน 12 ชม อด 36 ชม) จะมีช่วงเวลากำไร จากการอดจนถึงช่วงที่มีอัตราการเกิดketosis, autophagy(ชะลอวัย) ในอัตราสูงสุด ต่ออีก 12 ชม ส่วนการกินวันละมื้อ แม้จะทำให้กระบวนการเหล่านี้เกิดไปจนถึงอัตราสูงสุดได้ แต่ก็จะถูกหยุด ด้วยการกินในวันถัดไป ซึ่งทำให้ได้รับประโยชน์จากอัตราสูงสุด ในเวลาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
- นอกจากนี้ มีงานวิจัยเปรียบเทียบผลของการลดน้ำหนัก ระหว่างวิธีการอด แบบวันเว้นวัน, จำกัดช่วงเวลากิน และ กินน้อยลงแต่ไม่ได้จำกัดเวลา ผลคือ การอดแบบวันเว้นวันได้ผลดีที่สุด นั่นก็อาจเป็นไปได้ว่า สมมุติฐานเรื่อง อดจนถึงอัตราสูงสุด แล้วอดเลยต่อไปอีก ที่กล่าวไปก่อนหน้า น่าจะมีส่วนถูก
- ปริมาณการเกิด ketosis ที่สูงกว่า นำไปสู่การหลั่ง BDNF ในสมองที่มากกว่า เกิด Neuroplasticity(การพัฒนาสมอง)สูงกว่า เรียนรู้อะไรได้ดีกว่า นอกจากนี้ ในคนที่ลดความอ้วน มีการศึกษาว่า BDNF ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยให้สมองเรียนรู้ ค่าน้ำหนักใหม่ของร่างกายได้เร็วขึ้น และไม่พยายามกระตุ้นร่างกายให้กลับไปที่ค่าน้ำหนักเดิม(ที่เคยอ้วน) ส่งผลให้การคงน้ำหนักทำได้ง่ายขึ้น
- ถ้าคิดตามหลักการที่กล่าวมาข้างต้น การอดแบบกินวันเว้นวัน น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุด และยังทำได้ง่ายที่สุด เนื่องจากเวลาการกินมากถึง 12 ชม. ซึ่งสามารถกินให้เพียงพอได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะทำงาน, เรียน หรือ ใช้แรงทางกายเยอะก็ตาม และทำได้ง่ายกว่า 2 แบบแรกที่มีเวลากินจำกัด
- แต่ทั้งนี้ หากรู้สึกว่าการกินในช่วง 12 ชม. ทำให้น้ำหนักลดลงมากเกินไป กินอาหารไม่ทัน
- ให้เพิ่มเวลากินเป็น 15 ชม จะกินได้ประมาณ 4 มื้อ แบบพอดีๆ ไม่ต้องกินมาก จนชีวิตลำบาก โดยที่ยังคงได้ประโยชน์จากระยะที่เกิด ketosis ที่ความเข้มข้นสูงสุดอีก 9 ชม (เวลาอดลดลงเล็กน้อยเหลือ 33 ชม)
- หรือ อาจเพิ่มวันที่มีการกิน 3 มื้อ อีก 1 วัน ต่อสัปดาห์ เช่น วันเสาร์-อาทิตย์ จะกิน 3 มื้อ แล้วจันทร์-ศุกร์ ค่อยกินวันเว้นวัน เหมือนเดิม
- ข้อดีที่โดยส่วนตัวคิดว่าเหนือกว่าแบบแรก(ที่กินวันละมื้อ) คือ
- จากที่เคยลองทำทั้ง 3 วิธี พบว่า วิธีที่ดีที่สุด คือ การกินวันเว้นวัน(Alternate day fasting) หลังจากลองทำเพียง 2 ครั้ง ก็รู้สึกว่ามีการพัฒนาอย่างมากกว่าการอดอาหารในรูปแบบอื่นๆ เช่น มีสมาธิดีขึ้น จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เร็วขึ้นและมั่นคงขึ้นไม่ถูกรบกวนได้ง่าย การเรียนเลขพัฒนาได้ไว คิดเลขได้เร็วขึ้น(รู้สึกเหมือนสมองมีการสร้างทางลัดเพื่อให้คิดเลขเร็วขึ้น) คิดเลขผิดน้อยลง ความสามารถด้านภาษาดีขึ้น เป็นต้น
- แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่งจะดีสำหรับทุกคน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของชีวิต หรือจะทำแบบผสมกันก็ได้ตามที่สะดวก เช่น
- กินวันละ 2 มื้อ(IF 18/6) แล้ว ในวันอาทิตย์ ก็อดทั้งวัน เป็นเวลา 24ชม
- กินวันละมื้อ (IF 23/1) แล้ว ในวันเสาร์ กิน 2 มื้อ และ วันอาทิตย์ ก็อด เป็นเวลา 24 ชม
- กิน3มื้อ 2 วัน(IF 12/12) แล้วอด ข้ามวัน 1 วัน(36ชม)
- แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่งจะดีสำหรับทุกคน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของชีวิต หรือจะทำแบบผสมกันก็ได้ตามที่สะดวก เช่น
- ข้อควรระวัง/ข้อควรรู้
- จำเป็นต้องกินให้น้อยลงหรือไม่?
- ไม่จำเป็น จริงๆ กินให้ได้ปริมาณพลังงานเท่าเดิมได้เลย ในกรณีไม่ได้จะลดน้ำหนัก มีงานวิจัยว่า แม้จะทำ IF แต่ไม่ได้ลดปริมาณอาหารลง ก็ยังได้ประโยชน์ มากกว่าการกิน3มื้อปกติ ในหมู่นักเพาะกายก็ยังมีวิธีการกินที่เรียกว่า omad(one meal a day) คือ กินวันละมื้อนี่แหละ โดยต้องกินให้ได้สารอาหารมากเพียงพอที่จะสร้างกล้ามเนื้อด้วย ซึ่งไม่น่าจะน้อยๆเลย
- หลักสำคัญของ IF ไม่ใช่การลดปริมาณอาหาร แต่เป็นการจำกัดเวลาการกิน เพิ่มเวลาการอด เพื่อให้ร่ายกายสลับจากการใช้แป้งที่สะสม ไปดึงไขมันมาเผาผลาญ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูตัวเองที่ดีอีกมากมายตามมา
- กินน้อยเกินไป - ในช่วงเวลาที่กิน สามารถกินให้อิ่มได้เลย แต่เราจะจำกัดด้วยเวลาแทน
- วิธีสังเกตว่าเรากินน้อยไป คือ ถ้ากินน้อยไป จะเกิดความรู้สึก "โหยหิว" คือ การนึกถึงแต่อาหาร(food craving) ทั้งวัน
- กินมากเกินไป - ถ้ากินจนจุก จะทำให้อาหารไม่ย่อย ท้องอืด อึดอัด ไม่มีสมาธิทำงานได้ อาหารย่อยช้าลงแทน มักพบในคนที่ต้องมีกิจกรรมในแต่ละวันเยอะ แต่พยายามกินมื้อเดียว ทำให้ต้องกินมากๆในคราวเดียว - อาจเปลี่ยนเป็นกิน2มื้อ แบบพอดีๆในแต่ละมื้อ แล้วออกกำลังกายร่วมด้วยแทน
- กินอาหารที่มีประโยชน์ไม่ครบถ้วน สัดส่วนไม่เหมาะสม ขาดวิตามัน เกลือแร่ ไฟเบอร์ - จากการกินน้อยมื้อ อาจทำให้สัดส่วนอาหารไม่เหมาะสม แนะนำให้เน้นโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน รวมทั้ง อาจขาดวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยอาหาร(fiber) ได้ง่าย ต้องกินผักผลไม้หลากหลายชนิด หรือ เปลี่ยนชนิดผักผลไม้ไปในทุกวัน เพื่อไม่ให้ท้องผูก และได้วิตามินครบถ้วน
- กินช่วงเวลาไหนดี เช้า/เย็น? - ถ้าตามหลัก circadian rhythm(นาฬิกาชีวิต)+ศีล8 ในทางศาสนาพุทธ มนุษย์น่าจะเหมาะกับการกินอาหารเวลาเช้ามากกว่า เพราะ ระบบฮอร์โมนที่หลั่งออกมาในแต่ละช่วงเวลาเป็นไปในลักษณะนั้น แต่ในงานวิจัยที่เก็บสถิติ พบว่าผลลัพธ์ไม่ได้ต่างกันมากในด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะอดเช้า หรือ อดเย็น
- น้ำหนักน้อยเกินไป โดยเฉพาะคนที่สัดส่วนไขมันในร่างกายน้อยอยู่แล้ว อย่าลืมชั่งน้ำหนักตัวอยู่เสมอ หากน้ำหนักลดจนน้อยเกินไป แสดงว่าเราใช้พลังงานมากกว่าอาหารที่ได้รับ ให้กินมากขึ้น หรือ เพิ่มจำนวนมื้อ
- เจ็บป่วย ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ผ่าตัด เกิดบาดแผล อาจไม่เหมาะกับการอด เพราะ จะทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอได้ โดยเฉพาะโปรตีน อาจงดการอดไปก่อน รอเริ่มหายดี เช่น บาดแผลเริ่มปิดตัว ค่อยอดต่อ จะช่วยให้หายเร็วขึ้นไปอีก แต่ถ้าอดตลอดเลย สารอาหารอาจไม่เพียงพอกับการซ่อมแซม แผลอาจไม่ปิด หรือ ปิดตัวช้ากว่าปกติ(delayed wound healing) รวมถึงเกิดเป็นแผลเป็นได้(อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว)
- วัยกำลังเจริญเติบโต(เด็ก/วัยรุ่น) ถ้ากินน้อย จะขาดสารอาหาร ไม่เพียงพอกับการเจริญเติบโต
- เพศหญิง หากอดอาหารมากไป จนสัดส่วนไขมันในร่างกายต่ำกว่าเกณฑ์ จะทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติได้
- อันนี้เป็นความรู้เกี่ยวกับ Fasting ที่ดีคลิปหนึ่ง https://www.youtube.com/watch?v=vWb8BOkPiPU กล่าวเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำไมเพศหญิง Fasting ต่อเนื่อง นานๆไม่ได้ จะทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ เพราะ การอดอาหารยาวๆ จะทำให้มี progesterone สะสมในร่างกาย ซึ่งจะยับยั้งการมีประจำเดือน นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำไมผู้หญิงจึงอยากกินอาหาร โดยเฉพาะของหวานในช่วงก่อนมีประจำเดือน
- จึงไม่ควร Fasting ในช่วงก่อนมีประจำเดือน
- อันนี้เป็นความรู้เกี่ยวกับ Fasting ที่ดีคลิปหนึ่ง https://www.youtube.com/watch?v=vWb8BOkPiPU กล่าวเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำไมเพศหญิง Fasting ต่อเนื่อง นานๆไม่ได้ จะทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ เพราะ การอดอาหารยาวๆ จะทำให้มี progesterone สะสมในร่างกาย ซึ่งจะยับยั้งการมีประจำเดือน นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำไมผู้หญิงจึงอยากกินอาหาร โดยเฉพาะของหวานในช่วงก่อนมีประจำเดือน
- จำเป็นต้องกินให้น้อยลงหรือไม่?
เพิ่มเติม
- อันนี้เป็นของ The standard สรุปมา ค่อนข้างครบถ้วนและเข้าใจง่ายเลย https://www.youtube.com/watch?v=m-UHgvPdOYc
- Idol ของเราคนหนึ่ง คือ Charles Hoskinson ก็ทำ Fasting นะ เขาทำ 7 วันเลย!! เขาเล่าในตอนหนึ่งใน youtube channel ของเขา https://www.youtube.com/watch?v=Ocjd1X_UBF8&t=602s
อ้างอิง
- Intermittent metabolic switching, neuroplasticity and brain health (Nature, ดาวน์โหลด)
- Healthline
ปัญหาในปัจจุบัน คือ ไม่มีเวลา
- เนื่องจากในปัจจุบัน กินวันละ 2 มื้อ โดยคำนวณพลังงานอยู่ที่ 1,200 kcal ต่อวัน แต่การกิน 2 มื้อทำให้ดำเนินชีวิตไม่สะดวก คือ ต้องเสียเวลาไป 2-3 ชั่วโมง กับการจัดการธุระที่เกี่ยวกับอาหาร
- ส่วนการออกกำลังกายด้วยการวิ่งทุกวัน วันละ 15-20นาที แต่หากรวมเวลาในการเดินไปที่สวนสาธารณะ รวมแล้วกว่า 1 ชั่วโมง ปัญหาของการวิ่งอีกอย่างหนึ่งคือ มีข้อจำกัดด้านการกระแทกของข้อเข่า ยากที่จะทำให้เกิดเป็นแบบ เน้น Intensity หรือ HIIT ได้ แต่จะกลายเป็น Endurance exercise แทน ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดอนุมูลอิสระแทน จากการบาดเจ็บเล็กๆในมัดเส้นใยกล้ามเนื้อ ซึ่งหากเกิดอนุมูลอิสระมาก จะทำให้แก่เร็ว ร่างกายจะต้องพักผ่อนมากขึ้น และไม่สามารถนอนน้อยได้
สิ่งที่จะลองทำต่อจากนี้ คือ
- ลดอาหารลง เหลือวันละ 1 มื้อ (ทำIF 23/1) โดยกินให้ได้พลังงานอยู่ที่ 900 kcal ต่อวัน(ธัญพืชประมาณ 200กรัม ไข่เบอร์"0" - 2 ฟอง) น่าจะเพิ่มเวลาชีวิตได้ 2 ชั่วโมง
- ลดการออกกำลังกายด้วยการวิ่งลง เปลี่ยนเป็นวิ่งสัปดาห์ละ 1ครั้ง เพื่อคงความกระฉับกระเฉง หรืออาจเลิกไปเลย?
ส่วนวันอื่น จะออกกำลังกายแบบเน้น Intensity ได้แก่ วิดพื้น, sit up (เหมือนมีงานวิจัยว่า การออกกำลังกายแบบเน้น Intensity ช่วยให้เกิด Autophagy ที่ skeletal muscle ได้) หรือ อาจลุกขึ้นเดินเป็นเวลา3-5 นาที ทุกชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ขยับเคลื่อนไหว(มี Physical activity) โดยไม่เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งก็จะเพิ่มเวลาชีวิตได้อีก 1 ชั่วโมง - นอนวันละ 4 ชั่วโมง ในช่วง 4ทุ่ม-ตี2 ซึ่งเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด เพราะ นาฬิกาชีวิต จะทำให้ hormone ที่สำคัญกับการซ่อมแซมร่างกายออกมาช่วงนี้ เช่น Growth hormone และ ในพระไตรปิฎกก็บอกเช่นกัน เรื่อง การนอนในมัชฌิมยาม โดยจากสถิติที่ว่า คนที่นอนไม่ได้ 7-8ชั่วโมงต่อวัน จะอายุสั้น โดยความเห็นส่วนตัว ข้อมูลเป็นเพียงสถิติของคนส่วนใหญ่ แต่ถ้าเรากินวันละมื้อ ออกกำลังกายไม่เยอะ นอน 4 ชั่วโมง ก็ยังอายุยืนได้ จากการดำเนินชีวิตที่ไม่หนัก ไม่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ และ การ Fasting ที่ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้เร็วกว่าปกติ (เคยเห็น พระอาจารย์ที่ปฏิบัติภาวนา มีอายุมากกว่า 80 ปี กินวันละมื้อ นอนวันละ 4 ชั่วโมง เดินจงกรมทุกวัน ก็ยังแข็งแรง สติปัญญาเฉียบแหลมกว่าคนทั่วไปเสียอีก) ซึ่งหากทำแบบนี้ ก็จะเพิ่มเวลาชีวิตได้อีก 4 ชั่วโมง
ถ้าลองทำแล้วได้ผล จะมีเวลาชีวิตเพิ่มอีก 7 ชั่วโมง ต่อวัน หรือ เวลาว่างรวมในแต่ละวัน จะอยู่ที่ประมาณ 18 ชั่วโมง เต็มๆ (จากเดิม ที่มีเวลาว่างแค่ 11 ชั่วโมง)
เวลาว่างเต็มๆ 18 ชั่วโมง ทำอะไรบ้าง?
- 6 ชั่วโมง แรก ฝึก programming
- 6 ชั่วโมง ต่อมา อ่านหนังสือเตรียมสอบ อังกฤษ&เลข
- 6 ชั่วโมง สุดท้าย หาความรู้รอบตัว หาโอกาส&ช่องทางหาเงิน เขียนบล๊อกเพิ่มเติม
สิ่งสำคัญ คือ ต้องเข้านอนตอน 4 ทุ่มและตื่นตี2 ให้ได้(วันไหนนอนไม่หลับ ไม่เป็นไรนะ แต่จะตั้งใจว่า จะตื่นตี 2 เสมอ) หากในระหว่างวัน ง่วง ก็ลุกขึ้นเดิน หรือ ดื่มกาแฟ
อีกแนวทางหนึ่ง คือ ใช้ชีวิตแบบพระปฏิบัติ ด้วยการ กินวันละมื้อ แค่พออิ่ม, เดินจงกรม แทนการออกกำลังกาย, นอนวันละ 4 ชั่วโมง
บันทึกการทดลอง
- วันที่ 1
- น้ำหนักตัว 45.3กก นอน 3.5ชม อาหาร ธัญพืช 250กรัม, ไข่ไก่ 2 ฟอง, ลูกพลับ 1 ลูก, กาแฟ 2 แก้ว
- มีเวลาชีวิตมากขึ้นจริงๆแฮะ เอาไปทำอะไรได้หลายอย่างเลย แต่ก่อนทำได้แค่ 2 อย่าง หลักๆในแต่ละวัน คือ อ่านหนังสือเตรียมสอบกับเขียนบล๊อก แต่ตอนนี้มีเวลาชีวิตเพิ่ม สำหรับเรียนเขียนโปรแกรมเสียที ถือว่าคุ้มค่าอยู่นะ
- รู้สึกความคิดช้าลง,ทื่อลงหน่อย จากความง่วง จากการลดเวลาพักผ่อน คงต้องปรับตัวสักพัก แต่การอ่านหนังสือยังอ่านได้ปกตินะ
- ความง่วงก็มีนะ แต่กินกาแฟช่วยไปหลังตื่นนอน ก็ช่วยได้บ้างแต่ก็ยังมีเหลือนิดหน่อย
- เคยได้ยินว่า ถ้านอนน้อยอาจมีความเสี่ยงทำให้ ระบบเผาผลาญทำงานได้น้อยลง ระบบจัดการน้ำตาลในเลือด(Insulin sensitivity)ทำงานด้อยประสิทธิภาพลง รวมถึงความอยากอาหารมีมากขึ้น อยากกินน้ำตาลมากขึ้น ต้องควบคุมการกินดีๆ
- รู้สึกตื่นตัวกว่า เหมือนสามารถใช้ความคิดทำงานได้ทั้งวัน ใช้เวลาได้คุ้มค่ากว่า ช่วงนอนเยอะจนไม่มีเวลาเสียอีก แต่จริงๆ เคยอ่านเจอว่า ถ้าพักผ่อนไม่พอมากๆ จะตื่นตัวแบบขาดสมาธิได้ จะกลายเป็นตื่นตระหนก ประหม่าตกใจ วิตกกังวลง่าย(anxiety)แทน ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วย
- รู้สึกอยากปฏิบัติธรรม เจริญสติมากขึ้น เพราะ ทำให้รู้สึกมี สติในการคอยรู้สึกตัว เกิดง่ายขึ้น ไม่เหมือนนอนนานๆ จะสบายและลืมการรู้ตัวง่าย
- มีสติเกิดด้วยตัวเอง โดยไม่จงใจให้เกิด 1 ครั้ง ตอนนั่งสมาธิก่อนนอน
- ลมหายใจ มี Fruity odor เวลา 8.00น แสดงถึงภาวะ ketosis ที่เข้มข้นขึ้น
- วันที่ 2
- น้ำหนักตัว 45.15กก นอน 8ชม อาหาร ธัญพืช 200กรัม, ไข่ไก่ 2 ฟอง, ลูกพลับ 1 ลูก, กาแฟ 3 แก้ว
- เมื่อคืนเผลอนอนยาว เนื่องจากไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก และ ไม่ได้ตั้งใจก่อนนอนว่าจะตื่นตี2(ก่อนนอนเผลอหลับสบายไปเลย จนลืมนึก)
- นั่งสมาธิตอนเช้าหลังตื่น 30 นาที พอเข้าใจมากขึ้นว่า ไม่ใช้ทุกวันจะได้สมาธิเหมือนกัน แต่ต้องนั่งให้ได้ทุกวัน ฝึกไปเรื่อยๆ จะค่อยๆชำนาญขึ้นๆ
- ช่วงนี้ไอเดียดีๆไม่ค่อยเกิด คงเป็นเพราะ ไม่ได้วิ่งละมั้ง การเดิน ก็ทำให้ไอเดียเกิดได้เหมือนกันนะ แต่ต้องเดินเยอะๆ อย่างน้อยเป็นเวลา 30นาที-ชั่วโมงต่อวัน อาจต้องอาศัยเดินเป็นช่วงเวลาสั้นๆกลับไป-มา ครั้งละ 5 นาที โดยเดินทุกชั่วโมง ก็น่าจะได้วันนึง รวมๆ 12 รอบ ก็ครบชั่วโมงพอดี การเดินช่วยให้กระฉับกระเฉง ความคิดโลดแล่น มีไอเดียดีๆตอนทำงาน หรืออ่านหนังสือได้ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ ตอนเดินอาจจะลองหัดฝึกสติรู้สึกตัว หรือ รู้สึกลมหายใจไปด้วยก็ได้ เป็นการปฏิบัติธรรมฯไปในตัว
- วันนี้ตอนอ่านหนังสือ เหมือนโฟกัสที่ตัวหนังสือไม่ค่อยได้อีกแล้ว มันไม่ได้เป็นภาพซ้อน แต่เหมือนเวลาอ่าน จะต้องคอยมองคำในประโยคกลับไปกลับมา เพราะ กล้ามเนื้อตาไม่สามารถดึงตาทั้งสองเข้าหากันได้มากพอขณะมองใกล้ จึงมองภาพนิ่งๆไม่ได้ แต่พอมองห่างๆ ก็อ่านได้มากขึ้น แสดงว่า อาการของตาเหล่ซ่อนเร้น (exophoria) ที่เป็นอยู่ เริ่มกลับมาแล้ว อาจจะต้องหัดลองทำ pencil push up อีกทีหนึ่ง แม้จะไม่มีงานวิจัยอย่างชัดเจนว่า ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตา แต่ถ้ากล้ามเนื้อตา มันเกิดการล้าได้ มันก็ต้องฝึกให้แข็งแรงขึ้นได้สิ?!
- มีวิธีแก้ไขเบื้องต้นคือ มองไกลๆ พอจะช่วยลดการใช้กล้ามเนื้อตา ที่ทำหน้าที่เหล่ตาเข้าหากันได้บ้าง
- วิธีอื่นที่ได้ผลดีกว่า pencil push up คือ vision therapy ซึ่งวิธีง่ายๆที่เราทำคือ Stereogram เป็นการเหล่ตาเพื่อรวมภาพ 2 ภาพ ที่มีความใกล้เคียงกัน ฝั่งซ้ายและขวา รวมเป็นภาพเดียวกัน ด้วยการเหล่ตาเข้าหากัน เกิดเป็นภาพใหม่ตรงกลางระหว่างภาพทั้ง2
- ทำก่อนนอน วันละ 5 นาที
- ก่อนนอนนั่งสมาธิ 10 นาที และ พยายามตั้งใจก่อนนอนว่าจะตื่นเช้า(แบบว่า กลัวจะตื่นไปไม่ทันรถ ฯลฯ)
- วันที่ 3
- น้ำหนักตัว 45.5กก นอน 3.5ชม อาหาร ธัญพืช 220กรัม, ไข่ไก่ 1 ฟอง, ขนม 200kcal, ลูกพลับ 1 ลูก, กาแฟ 2 แก้ว, โดยประมาณ วันนี้ได้พลังงาน 1,100kcal
- วันนี้นอนน้อยได้แล้ว หลังจากที่เมื่อคืนพยายามตั้งใจก่อนนอนไว้มาก วันนี้ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกด้วย แต่อย่างไรก็ยังมีง่วงๆเบลอๆนิดๆ มีเพลียๆ
- การกินมื้อเดียว และอดเป็นเวลาเกือบ 24 ชั่วโมง ทำให้เริ่มเกิดกระบวนการย้อนวัยในระดับเซลล์ (Autophagy) สังเกตได้จาก ผิวพรรณดีขึ้นด้วยนะ ถึงแม้จะนอนเพียง 4 ชั่วโมง (สภาพผิว ดีกว่าช่วงก่อนหน้า ที่มีการออกกำลังกาย และนอน7-8 ชั่วโมงอีกนะ) เหมือนการดำเนินชีวิตที่ไม่ได้หนัก ไม่เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้ลดภาระร่างกายในการซ่อมแซมตัวเองลง และการอดเป็นเวลานาน 24 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายเข้าโหมดฟื้นฟูตัวเอง(Autophagy) ทำให้พักผ่อนน้อยลงได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
- การนอนน้อย ทำให้สติดีขึ้น รู้ตัวได้รวดเร็วขึ้น เห็นอารมณ์และความคิดตัวเองได้ดี ไม่หลงในอารมณ์และความคิดของตัวเอง อาการสมาธิสั้นลดลง ซึ่งไม่เกี่ยวกับการลดอาหาร เพราะ เคยกินอาหาร 3 มื้อ และลดเวลานอน ก็ยังคงให้ผลเดียวกัน แต่การจะนอนน้อยได้ โดยไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย คิดว่า ก็ต้องมีการอดอาหารอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อให้ ร่างกายอยู่ในโหมดฟื้นฟูตัวเอง(Autophagy)
- วันนี้เดิน 2-3 กม. หลังอาหารในตอนเช้า แต่ก็ไม่ได้เกิดไอเดียอะไรพิเศษนะ
- ทั้งนี้ ยังมีข้อเสียบางอย่าง คือ ไม่มีแรง จะใช้ความคิดเยอะๆ เช่น การเขียนบทความ เป็นต้น หรือทำสิ่งต่างๆ เช่น ไม่มีแรงจะขยับตัวไปทำกิจวัตรประจำวัน เป็นต้น (แม้จะรู้สึกว่าสมองดี ร่างกายดี แต่ไม่มีแรงจะทำอะไร) อาจลองเพิ่มแคลอรี่ให้ได้ 1,200-1,400 kcal แต่พยายามกินให้ได้ใน 1 ชั่วโมงเหมือนเดิม แล้วอด 23 ชั่วโมง โดยก่อนกินอาหาร อาจจะเดินในช่วงเช้า สัก 30 นาที เพื่อรับแดด และให้ร่างกายกระฉับกระเฉง รวมถึงย่อยอาหารได้ดีขึ้น
- แต่วันนี้ที่น่าสังเกตคือ ยังคงอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ดีนะ ไหลลื่น (เหมือนจะอ่านได้ดีขึ้นด้วย) การรับข้อมูลทำได้ดีเป็นปกติ แต่อย่างอื่นที่ต้องใช้การประมวลความคิด หรือ ความคิดสร้างสรรค์ จะทำไม่ได้เลย!
- (แค่จะมาเขียนบันทึกตรงนี้ ยังรู้สึกลำบากเลย ไม่มีแรง ไม่มีไอเดียจะเขียน แต่ก่อนที่กิน 2 มื้อแล้ววิ่ง ไอเดียจะพลุ่งพล่านตลอด ก็ต้องดูต่อไปในวันพรุ่งนี้ ว่าถ้าเพิ่มอาหารประมาณนึง จะดีขึ้นไหม)
- โดยหลักๆ ที่ต้องการในตอนนี้ ไม่ได้ต้องการเวลานอนเพิ่มแต่อย่างใด เพราะ ไม่ได้รู้สึกลำบากเลย แต่ต้องการอาหารมากกว่า!!!
- วันที่ 4
- น้ำหนักตัว 45.3กก นอน 5ชม อาหาร ธัญพืช 350กรัม, ไข่เป็ด 2 ฟอง, หมูปิ้ง 2 ไม้, ขนม 480kcal, กาแฟ 2 แก้ว, โดยประมาณ วันนี้ได้พลังงาน 2,130 kcal!!
- เดิน 1 ชั่วโมงในตอนเช้า จ่ายตลาดไปในตัว
- วันนี้กินเยอะจริงๆ คงเป็นเพราะอดอยากมานาน เพิ่มระยะเวลาการกินเป็น 2 ชมต่อวัน (เปลี่ยนเป็น IF22/2)
- สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ รู้สึกสมองได้รับสารอาหารเต็มที่ และกลับมามีแรงทำสิ่งต่างๆ รวมถึงเขียนบทความแล้ว
- วันที่ 5-7
- กลับบ้าน และเนื่องจากต้องตรวจตา จึงนอนน้อยไม่ได้ จึงไม่ได้ทดลอง
- ช่วงนั่งรถเดินทางไกล ไม่สามารถอ่านหนังสือได้เท่าไหร่นะ เหมือนร่างกายแข็งแรงน้อยลง จากการที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
- วันที่ 5
- น้ำหนักตัว 46.65 กก นอน 4ชม อาหาร ธัญพืช 300กรัม, ไข่เป็ด 2 ฟอง, ขนม 150 kcal, กาแฟ 2 แก้ว, โดยประมาณ วันนี้ได้พลังงาน 1,500 kcal IF 22/2(ต่อให้กินเยอะ ถ้าห่างกัน 30-60 นาที ก็ไม่แน่นอึดอัดท้องแฮะ)
- เหมือนการจะตื่นให้ได้ 20 ชั่วโมงต่อวัน ก็น่าจะต้องใช้พลังงานเยอะขึ้นเล็กน้อย เช่น
- ปกติได้พลังงานจากอาหารวันละ 1,350 kcal
- โดยนอน 8 ชม ก็จะมีการเผาผลาญเช่นกัน เมื่อคำนวณกับน้ำหนัก(45kg) ก็อยู่ที่ประมาณ 180kcal
- ตื่น 16 ชั่วโมง ใช้พลังงานส่วนที่เหลือ 1,170kcal ตกชั่วโมงละ 73.125 kcal
- ถ้านอน 4 ชม ใช้พลังงานตอนนอน 4ชม = 90 kcal, ตื่น20ชม = 20x73.125 = 1462.50kcal รวมแล้วก็อยู่ที่ 1552.50 kcal จึงจะเพียงพอให้ใช้ตลอดวัน
- อัพเดต: พอคำนวณพลังงานให้พอดี ก็จะมีแรงทั้งวัน ไม่รู้สึกขาดพลังหรือหิวโหย หรือเอาแต่นึกถึงอาหารแบบเมื่อก่อน แต่อาจไม่เกิดภาวะ autophagy เท่าไหร่(ถ้าได้พลังงานน้อยกว่าปกติ จะเกิด autophagy ง่ายกว่า แก่ช้า แต่จะมีความรู้สึกหิวโหย และไม่มีแรงจะทำอะไรเลย)
- ปกติได้พลังงานจากอาหารวันละ 1,350 kcal
- วิ่งแค่ 1 กม. วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้(HIIT - เน้น intensity) ซึ่งเป็นการเน้นความหนัก(intensity) ในการวิ่ง ไม่เน้นความนาน(endurance) ก็พอไหวอยู่นะ ถ้าวิ่งทุกวันตอนเช้า น่าจะได้(ก่อนไปซื้อของที่ตลาด) เพื่อให้ สมองยังคงเกิดไอเดียดีๆ, ความจำดี และ คงสภาพร่างกายให้แข็งแรงมีความกระฉับกระเฉงตลอด ในทุกๆวัน โดยที่ไม่มากเกินไปจนเกิดการอักเสบและแก่เร็วแทน
- เดิน 1 ชั่วโมง ไม่ช่วยให้เกิดไอเดีย และความจำที่ดีได้ เท่ากับ การวิ่งสุดแรงเกิด เพียง 1 กม. นะ!!
- มีการศึกษาพบว่า การออกกำลังกาย ช่วยปรับปรุงสมองของคนที่เป็นสมาธิสั้น ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นได้นะ หรือ ขอเพียงให้มีการขยับร่างกายเสมอๆ
- นอนน้อย อย่างไรก็รู้สึกอ่อนเพลีย, คิดอะไรได้ช้า ไม่ค่อยคล่องแคล่วว่องไว นอกจากนี้ จะทำให้เกิดภาวะ anxiety ตื่นตกใจ วิตกกังวลง่าย(ทีแรกเข้าใจว่าตื่นตัว แต่บางทีอาจมากไป กลายเป็นตื่นตระหนก) ต้องหาวิธีแก้ เช่น ฝึกสมาธิเพิ่มเติม หรือ นอนแบบนี้ ไปเรื่อยๆ จนร่างกายชิน รวมถึงการแก้สมาธิสั้น
- วันที่ 6
- น้ำหนักตัว 46.05 กก นอน 5ชม อาหาร ธัญพืช 280กรัม, ไข่เป็ด 2 ฟอง, ขนม 650 kcal, กาแฟ 3 แก้ว, โดยประมาณ วันนี้ได้พลังงาน 1,900 kcal IF 22/2
- เกิด Fruity odor(เกิด ketosis แบบเข้มข้น) หลังการวิ่งในตอนเช้า 1 กม โดยวิ่งแบบเน้น intensity และอดมา 24ชม
- รู้สึกเริ่มคิดเลขได้เร็วขึ้น หาวิธีลัดในการคิดเลขได้เก่งขึ้น เหมือนกับ นอนน้อย แต่ถ้าทำFasting และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ก็พอยังมีสุขภาพดีขึ้นได้?
- เผลอไปกินเยอะอีกแล้ว ก็ไม่ค่อยมีสมาธิตามเคย จากความอึดอัด และเลือดที่ไม่ไปเลี้ยงสมอง กระสับกระส่ายทั้งวัน ตกเย็น จึงจะเริ่มอ่านหนังสือได้
- เหมือนผิวหน้าเริ่มมีผื่นแพ้ ช่วงที่กินน้อย(จำกัดแคลอรี่) ผื่นลดลงอยู่นะ เกี่ยวกับที่กินมากไปจนร่างกายเกิดการอักเสบง่ายรึเปล่านะ
- วันที่ 7
- น้ำหนักตัว 45.7 กก นอน 7ชม อาหาร ธัญพืช 300กรัม, ไข่เป็ด 2 ฟอง, ขนม 250 kcal, มะม่วง 1 ผล, กาแฟ 2 แก้ว, โดยประมาณ วันนี้ได้พลังงาน 1,600 kcal IF 23/1
- วันนี้นอนเยอะ ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการวิ่ง และ การที่เรากินเยอะหรือเปล่า เลยทำให้ร่างกายเกิดอนุมูลอิสระมาก กล้ามเนื้อมีการอ่อนเพลีย เลยต้องพักผ่อนมากขึ้น?
- จะปรับเปลี่ยนเหลือวิ่งวันเว้นวัน และ ลดปริมาณการกินลงให้เป็นปกติ
- หรือเลิกวิ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นเดินทุกชั่วโมง ครั้งละ 5 นาทีแทน และ กินน้อยลง
- ผลจากการนอนเยอะขึ้น
- ก็กลับมานั่งสมาธิได้(ก่อนหน้านี้ ที่นอนน้อย นั่งสมาธิไม่ได้ไปช่วงนึง)
- ความรู้สึกอยากอาหาร แบบผิดปกติ ลดลง
- รู้สึกเฉื่อยชามากขึ้น ไม่ตื่นตัว รู้สึกอ่านหนังสือ ใช้ความคิด ไม่คล่องตัวเท่านอนน้อยนะ
- เรื่องการกิน ถ้าอยู่ในช่วงไม่เกิน 1,500-1,600 kcal ยังพอรวมเป็นมื้อเดียวได้ โดยไม่อึดอัดหรือส่งผลต่อการใช้ชีวิตตามปกติเท่าไหร่นะ
- วันที่ 8
- น้ำหนักตัว 45.8 กก นอน 5ชม โดยประมาณ วันนี้ได้พลังงาน 2,300 kcal ไม่ได้ IF กิน 2-3 มื้อ! (พอดีมีคนเอาข้าวกลางวันฟรีให้กิน เลยกินอีก 555) หรือจริงๆ คือ IF 15/9
- ตื่นขึ้นมาอ่อนเพลีย งัวเงียอยู่อีก 30 นาที(วันแรกสุดที่กินน้อยและไม่ได้วิ่ง ตื่นได้ทันที ไม่ง่วง)
- จะลองงดการวิ่งออกกำลังกายดู แต่ยังกินอาหารเท่าเดิม แล้วดูว่าจะนอนน้อยได้ไหม
- อย่างน้อยก็ลองดูว่า งดออกกำลังกาย จะนอนได้น้อยลงไหม
- วันที่ 9
- น้ำหนักตัว 46.55 กก นอน 3.5 ชม กินอาหาร 900 kcal IF 23/1
- กลับมาตอนน้อยได้แล้ว หลังจากหยุดออกกำลังกายไป แสดงว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพักผ่อน คือการออกกำลังกายหนักนี่เอง
- สรุปปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
- ออกกำลังกายหนัก ทำให้เกิดภาระแก่ร่างกายในการซ่อมแซมตัวเอง แม้เพียงวิ่ง 1 กม. ก็ทำให้ต้องนอนมากขึ้น
- แนะนำให้งดออกกำลังกายหนัก แต่เปลี่ยนเป็นทำกิจกรรมเบาๆ เช่น เดินเยอะๆแทน
- การกินอาหาร ไม่มีผลกับการนอน ยกเว้นการกินดึก? แต่ยังไม่แน่ใจว่าต่างกันขนาดไหนในรูปแบบการกินแต่ละแบบ
- กินวันละมื้อ ดีกว่าแบ่ง กินหลายๆมื้อ(IF 23/1) เพราะ เนื่องจากไม่ได้ออกกำลังกายเพื่อเร่งการเผาผลาญ การอดที่นานกว่า ทำให้ประโยชน์จากการภาวะ ketosis ที่เกิดนานกว่า ประโยชน์จากการชะลอวัย(autophagy) ก็เกิดนานกว่า
- กินน้อย แม้จะไม่มีแรง แต่เหมือนสมองจะมีการสร้างทางลัดในวงจรใยประสาท เพื่อให้ประหยัดพลังงาน? เช่น เขียนบทความได้ทันที โดยไม่ต้องร่างเยอะ เป็นต้น นอกจากนี้ อาจทำให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้นกว่าการกินเยอะ ด้วยเวลาการ IF ที่เท่ากัน?
- กินเยอะ ให้พลังงานเพียงพอกับที่ต้องใช้ขั้นต่ำ(BMR) ก็จะทำให้มีแรงทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ โดยไม่รู้สึกอ่อนเพลีย หรือ เกิดความหิวโหย นึกถึงแต่อาหารทั้งวัน
- ทั้งนี้ การกินเยอะ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกขยันขึ้นแต่อย่างใด ก็ยังขี้เกียจเหมือนเดิม ซึ่งการกินน้อย หรือ กินพอดีๆ อาจจะช่วยให้ใช้พลังงานได้คุ้มค่ากว่า
- การทดลองต่อไป คือ ทดลองปรับปริมาณอาหาร ทั้ง มาก น้อย และดูผลที่แตกต่างกันออกไป แต่จะกินแค่ 1 ชม. ต่อวันเท่ากัน(IF 23/1)
- ช่วงที่ผ่านมากินเยอะ ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรดีเป็นพิเศษนะ
- แต่ถ้ากินน้อย จะรู้สึกว่า ร่างกายพยายามลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น เช่น ถ้าจะเขียนบทความ ก็สามารถเขียนได้เลย ไม่ต้องคิดคำพูดฟุ่มเฟือยแล้วแก้ไปแก้มา เป็นต้น เหมือนกับว่า สมองจะพยายามปรับตัวให้ฝึกคิดลัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยที่สิ้นเปลืองพลังงานน้อยที่สุด ถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ วงจรในสมอง จะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดไหมนะ?! (เกิด neuroplasticity ได้มากกว่า)
- แต่ทั้งนี้ มีงานวิจัยว่า การทำIF แต่กินปริมาณเท่าเดิม(ไม่ได้ลดแคลอรี่) ก็ยังได้ผลดี ไม่ต่างจากการกินแบบลดแคลอรี่ หมายความว่า สิ่งสำคัญ คือ การจำกัดช่วงเวลาการกิน อาจไม่จำเป็นต้องจำกัดแคลอรี่เท่าไหร่
- การกินอาหารในธรรมชาติ ตามวิวัฒนาการของมนุษย์ ในสมัยก่อน เราไม่มีตู้เย็นที่จะเก็บไว้กินทีหลัง อีกทั้งเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงอันตรายจากสัตว์นักล่าอื่น จึงต้องกินให้ได้มากที่สุดในคราวเดียว แล้วช่วงเวลาที่เหลือในวันนั้น จึงเป็นการอด ร่างกายของมนมุษย์น่าจะวิวัฒนาการ ให้เหมาะสมกับรูปแบบชีวิตแบบนี้
- สรุป อาจจะกินเท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่ตามความต้องการเลย เพียงแต่ขอให้อยู่ในช่วง 1 ชม. ต่อวัน หรือไม่ก็ กินน้อย สลับกับ กินเยอะ ไปในแต่ละวัน
- ในเรื่องการกินน้อย มันค่อนข้างยากที่จะรู้ว่า กินเท่าไหร่ ที่เรียกว่าน้อยสำหรับร่างกายแต่ละคน บางทีอาจจะน้อยไม่พอ หรือบางทีอาจจะน้อยเกินไป?
- หรือ เลิกทดลองเชิงปริมาณ มาก-น้อย แล้วเปลี่ยนเป็น กินตามการจำกัดเวลา น่าจะทำตามได้ง่ายกว่า(compliance ดีกว่า)
- ในเรื่องการกินน้อย มันค่อนข้างยากที่จะรู้ว่า กินเท่าไหร่ ที่เรียกว่าน้อยสำหรับร่างกายแต่ละคน บางทีอาจจะน้อยไม่พอ หรือบางทีอาจจะน้อยเกินไป?
- สรุปจริงๆ คือ กินแบบกำหนดเวลาก็พอ ไม่สนมาก-น้อย ซึ่งเวลาที่กำหนดคือ 1 ชั่วโมง ต่อวัน
- บางที ที่เราเผลอไปกินเยอะ อาจเกิดจากความเบื่อ(dopamine น่าจะลดลง) เลยต้องการทำกิจกรรม ที่ทำให้ dopamine หลั่งมากขึ้น เช่น กิน, เสพสิ่งบันเทิง ฯลฯ ถ้าเราชินกับความเบื่อ หรือรูปแบบชีวิตประจำวันแบบใหม่ การทำสิ่งเหล่านี้น่าจะลดลง
- ออกกำลังกายหนัก ทำให้เกิดภาระแก่ร่างกายในการซ่อมแซมตัวเอง แม้เพียงวิ่ง 1 กม. ก็ทำให้ต้องนอนมากขึ้น
- วันที่ 10
- นอน 4 ชม. กินอาหาร 1,200-1,500kcal IF 23/1(กลับมาพักที่บ้าน เลยไม่รู้ว่ากินเท่าไหร่แน่)
- ปัจจัยที่ส่งผลต่อการนอนน้อย
- งดออกกำลังกายหนัก จะทำให้นอนน้อยไม่ได้ แม้เพียงวิ่ง 1 กม. วันละ 5 นาที
- แต่ถ้าเดินไกลๆ แบกสำภาระหนักๆ อันนี้ทำได้ ไม่มีผลทำให้ต้องพักผ่อนเพิ่ม
- หรือออกกำลังกายเพื่อฝึกแรงต้านเบาๆ เช่น วิดพื้น, sit up ก็ทำได้ไม่มีปัญหา
- กินอาหาร มากหรือน้อย กินในช่วงไหน จำนวนมื้อ ช่วงเวลากินกว้างเท่าไหร่ ก็ไม่มีผล
- แต่ ถ้ากินในช่วง 1 ชม.ต่อวัน แล้วที่เหลืออด 23 ชม(IF23/1) ก็จะช่วยในเรื่องชะลอวัย(autophagy) เป็นการชดเชยความเสี่ยงจากการนอนน้อย เพราะ การนอนน้อยมีความเสี่ยงที่จะแก่เร็ว
- ช่วงเวลานอน 4ทุ่ม-ตีสอง เป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่เหมาะสมกับการซ่อมแซมตัวเองมากที่สุด
- งดออกกำลังกายหนัก จะทำให้นอนน้อยไม่ได้ แม้เพียงวิ่ง 1 กม. วันละ 5 นาที
- วันที่ 11
- น้ำหนักตัว 45.35 กก นอน 8ชม อาหาร ธัญพืช 250 กรัม, ไขไก่ 2 ฟอง, ขนม 370 kcal, กล้วยน้ำว้า 2 ผล, กาแฟ 2 แก้ว, โดยประมาณ วันนี้ได้พลังงาน 1,600 kcal IF 23/1
- เหมือนพอเจ็บป่วย (มีไข้ต่ำๆ ตั้งแต่เมื่อคืน) ร่างกายจะต้องการพักผ่อนมากขึ้น เลยนอนเยอะ ไปถึง 8 ชม
- ถ้าวันไหนนอนเยอะ จะกำหนดเวลา ดังนี้
- 5 ชม programming
- 5 ชม อ่านหนังสือ เตรียมสอบ
- 4 ชม เขียนบล็อก หาความรู้รอบตัว
- อยากลองปรับเปลี่ยนมากินอาหารให้หลากหลายมากขึ้น ด้วยการเพิ่มผลไม้หลากหลายชนิด แต่ไม่เน้นพลังงานมากนัก
- วันนี้กลับมาวิ่ง 3 กม. แล้ว pace ประมาณ 5:45 min/km เริ่มมีไอเดียและความคิดดีๆ ชัดเจนขึ้น อยากจะเขียนบล๊อกขึ้นมาละ
- หลังวิ่ง ความคิด และ ความจำ เริ่มกลับมาดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ช่วงที่ผ่านมา ที่งดออกกำลังกายไปสักพัก แม้จะมีความคิดดีๆ แต่พอจะมาบันทึกก็ลืมแล้ว(แบบว่าแค่พลิกตัวเปลี่ยนอิริยาบท ก็ลืมแล้ว สมาธิสั้นสุดๆ!!) แต่หลังจากวิ่ง เริ่มมีไอเดียดีๆเกิดขึ้น และ จดจำมันได้ดีขึ้น อย่างน้อยก็เริ่มพอจะเอามาบันทึกเก็บไว้ได้ การออกกำลังกายเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ขาดไม่ได้จริงๆ อาจต้องกลับมาออกกำลังกายทุกวัน หรืออย่างน้อยวันเว้นวัน เพื่อ productivity ที่ดีที่สุด
- มีทางเลือกในการวิ่ง ดังนี้
- วิ่งแบบเน้น endurance(ความอึด) ผสม intensity(วิ่งสุดแรง) วันละ 3 กม.(15-20 นาที) พัก สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
- วิ่งทุกวัน
- วิ่งวันเว้นวัน
- วิ่ง สัปดาห์ละ 2 วัน
- วิ่งแบบเน้น intensity(วิ่งสุดแรง) วันละ 1 กม.
- วิ่งทุกวัน
- วิ่งวันเว้นวัน
- วิ่ง สัปดาห์ละ 2 วัน
- วิ่งแบบเน้น endurance(ความอึด) ผสม intensity(วิ่งสุดแรง) วันละ 3 กม.(15-20 นาที) พัก สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
- ที่ผ่านมาได้ลอง 2.1 พบว่า นอนน้อยไม่ไหว ต้องพักผ่อนมากขึ้นเพื่อซ่อมแซมร่างกาย แต่จริงๆมีคนทดลองนอนน้อย ก็ยังออกกำลังกายได้ตามปกติเลยนะ อาจจะต้องให้ร่างกายปรับตัวก่อน อย่างจริงจังละมั้ง ในขั้นต้น ขอให้ทำแบบ 1.2 ได้น่าจะโอเค เพื่อให้เกิด productivity สูงสุด โดยที่ไม่ใช้งานร่างกายมากจนพัง
- ที่น่าสังเกตคือ แม้ช่วงที่ผ่านมา จะไม่ได้วิ่ง เป็นเวลาเกือบ 1 สัปดาห์ แต่การกินมื้อเดียว(IF 23/1) ทำให้มี Growth hormone หลั่งออกมา ช่วยคงสภาพกล้ามเนื้อ พอวันนี้มาวิ่ง ก็ยังวิ่งได้ฉิว เหมือนเดิม แรงไม่ตกเลย
- มีทางเลือกในการวิ่ง ดังนี้
- หลังวิ่ง ความคิด และ ความจำ เริ่มกลับมาดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ช่วงที่ผ่านมา ที่งดออกกำลังกายไปสักพัก แม้จะมีความคิดดีๆ แต่พอจะมาบันทึกก็ลืมแล้ว(แบบว่าแค่พลิกตัวเปลี่ยนอิริยาบท ก็ลืมแล้ว สมาธิสั้นสุดๆ!!) แต่หลังจากวิ่ง เริ่มมีไอเดียดีๆเกิดขึ้น และ จดจำมันได้ดีขึ้น อย่างน้อยก็เริ่มพอจะเอามาบันทึกเก็บไว้ได้ การออกกำลังกายเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ขาดไม่ได้จริงๆ อาจต้องกลับมาออกกำลังกายทุกวัน หรืออย่างน้อยวันเว้นวัน เพื่อ productivity ที่ดีที่สุด
- วันที่ 12
- น้ำหนักตัว 45.55 กก นอน 4ชม อาหาร ธัญพืช 230 กรัม, ไข่ไก่ 3 ฟอง, ขนม 370 kcal, กล้วยน้ำว้า 2 ผล, กาแฟ 2 แก้ว, โดยประมาณ วันนี้ได้พลังงาน 1,600 kcal IF 23/1
- วันนี้กลับมานอนน้อยได้แล้ว แม้ว่าเมื่อวานจะวิ่งหนักก็ตาม
- ช่วงนี้ป่วย เหมือนเป็นโรคไข้เลือดออก(ไข้หลายวัน เจ็บและมีผื่นตามตัว) เลยไม่มีอะไรจะบันทึกเป็นพิเศษ
- วันที่ 13(28 พ.ย.)
- วันนี้นอน 8 ชม อาหาร ธัญพืช 250 กรัม ไข่ไก่ 3 ฟอง กล้วยน้ำว้า 3 ผล มะม่วง 1 ผล กาแฟ 2 แก้ว วันนี้ได้พลังงาน 1,500 kcal IF 23/1
- ตื่นหลังนอนไป 4 ชม แต่รู้สึกไม่สนชื่นกระฉับกระเฉง ไม่มีแรง ง่วง เลยเผลอไปนอนต่อ
- รู้สึกว่าพยายามเท่าไหร่ ก็เหมือนวนอยู่กับที่เดิม ร่างกายไม่สามารถปรับตัวให้นอนน้อยจริงๆได้สักที เพราะ อะไรกันนะ
Tags
เป้าหมายไม่ได้เป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา แต่คือความเคยชิน หรือ สิ่งที่เราทำอยู่ในทุกๆวัน เป็นประจำต่างหาก ที่จะกำหนดอนาคตของเรา ต่อให้เรากำหนดเป้าหมายไว้อย่างสวยงาม มีไอเดียดีๆเกิดขึ้นมากมาย แต่ถ้าในแต่ละวัน เราก็ยังคงชอบเอาเวลาไปทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ยากที่เราจะทำตามเป้าหมาย หรือ ไอเดียดีๆที่เกิดขึ้นได้สำเร็จ
สิ่งไม่เป็นประโยชน์ในชีวิต โดยส่วนใหญ่จะเป็น สิ่งที่ก่อให้เกิด ความเพลิดเพลิน ความสนุกสนาน ความบันเทิงต่างๆ ซึ่งทำให้เราเกิดความติดใจ สิ่งที่ทำให้เราติดใจ มีส่วนอย่างมากในการกำหนดพฤติกรรมของเรา เพราะ ทำให้เรารู้สึกอยากจะทำสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา จนเกิดเป็นความเคยชินที่จะทำสิ่งไม่มีประโยชน์ในเวลาว่าง แทนที่จะเอาเวลาว่างอันน้อยนิดในแต่ละวัน มาคอยสะสม ในการทำสิ่งที่มีประโยชน์กับตัวเอง เพื่อทำตามความฝัน หรือ เป้าหมายของเรา
วิธีเปลี่ยนความเคยชิน จะมี 2 ส่วนคือ
-
เลิกนิสัยเก่า
โดยส่วนตัว วิธีที่ทำแล้วได้ผลคือ การถือศีล 8 ไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าดูๆดีๆ ข้อกำหนดต่างๆในศีล8 ก็คือ การทำ Dopamine Fasting ร่วมกับ Intermittent Fasting นั่นแหละ ส่วนบุญที่ได้รับก็คือ ชีวิตที่เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างที่เห็นผลได้ในปัจจุบัน จากผลของการกระทำของเราเอง
โดยข้อกำหนดของ ศีล8 ที่เพิ่มขึ้นจาก ศีล5 จะเป็นเรื่องของ การฝึกลดละสิ่งที่ทำให้ติดใจต่างๆ ได้แก่ ในเรื่องทางเพศ, การกินอาหาร, การเพลิดเพลินกับสิ่งบันเทิง ทั้งการดู ฟัง เล่น, การตกแต่งร่างกาย, การติดใจในสิ่งของหรูหรา ซึ่งรายละเอียดสามารถหาได้ไม่ยากใน google
ในการเริ่มรักษาศีล8 ช่วงแรกๆ จะเกิดความรู้สึกฝืนใจอย่างมาก ความอยากในสิ่งที่เราติดใจ จะยังเกิดขึ้นบ่อยๆ(คล้ายๆกับการจะเลิกสิ่งเสพติด เป็นกลไกเดียวกันกับ dopamine fasting) และ อาจจะยังถูกชักนำให้ละเมิดผิดศีลได้อยู่ แต่ให้พยายามตั้งใจใหม่ในทุกๆวัน
แต่พอรักษาศีล8 ไปสักระยะหนึ่ง(โดยส่วนตัวไม่เกิน 3-4 วัน) ความรู้สึกอยากทำ ในสิ่งที่ทำให้เราติดใจ จะมีกำลังลดลงไปเอง และ จะเริ่มเห็นอีกมุมมองหนึ่ง คือ เริ่มเห็นถึงความไม่มีสาระประโยชนของสิ่งที่เราเคยไปติดใจ และเริ่มเบื่อ, รำคาญ กับเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์แทน ก็ให้ทำต่อไปอีกเรื่อยๆ จนเป็นความเคยชินกับความรู้สึกนี้ และ กลายเป็นรูปแบบชีวิตที่เรียบง่าย ธรรมดาๆของเรา
ทั้งนี้ การรักษาศีล 8 อาจทำเป็นช่วงๆ หรือ อย่างน้อย วันเว้นวัน หรือ เดือนละครึ่งหนึ่ง ไม่ได้รักษาศีล8 ตลอดทุกวันในชีวิต เพราะ เรายังมีกิเลสอยู่ จะพักบ้างก็ได้ โดยอาจเพิ่มขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการในการพัฒนาตนเองของแต่ละคน การรักษาศีลแบบเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง จะทำเพื่อปรับจูนสมองเป็นช่วงๆ ให้ลดการเสพติดสิ่งที่ทำให้เราติดใจ และกลับเข้ามาสู่ภาวะสมดุล แต่ทั้งนี้จริงๆ ในพระไตรปิฎก จะแนะนำให้ อย่างน้อย รักษาศีล8 เพียงสัปดาห์ละครั้ง นะ (เราเอามาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง)
- สร้างนิสัยใหม่
พอเริ่มลดความอยากในสิ่งที่เราติดใจลงได้แล้ว ก็ให้ค่อยๆเริ่มเอาเวลาว่าง มาทำกิจกรรมที่มีสาระประโยชน์กับชีวิตมากขึ้น เช่น มาทำงานอดิเรก อ่านหนังสือ หาความรู้เพิ่มเติม หรือ พัฒนาตนเอง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่เราวางไว้ต่อไป แรกๆจะยังไม่ชิน และรู้สึกฝืน ให้ค่อยๆเพิ่มกิจกรรม ไปทีละนิด ทีละหน่อย เท่าที่พอไหว จนสุดท้ายจะกลายเป็นความเคยชินใหม่เอง เราสามารถปรับความเคยชินให้ละเอียดได้ถึงระดับที่ว่า เวลากินข้าวก็เคยชินที่จะหยิบหนังสือเล่มเล็กๆขึ้นมาอ่าน แทนที่จะเอามือถือขึ้นมาเลื่อนดู Social
ตัวอย่างของตัวเอง คือ แต่ก่อนจะติดการ์ตูน จนควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ พอถือศีล 8 ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นความเหลวไหล จำนวนมากของตัวเอง ที่ว่าอ่านหนังสือ ก็ยังแอบไปดูการ์ตูนบ่อยๆ และเสียเวลาไปเยอะ พอถือศีลไปสักพัก ก็ค่อยๆรู้ทันความอยากได้ และ ลดละจนน้อยลงๆ แม้จริงๆจะรักษาศีล8 มากว่า 1 สัปดาห์ แต่ความอยากดูก็ยังมีอยู่ ไม่ได้หายขาดนะ แต่มันก็เบาบางลง และ เราควบคุมตัวเองได้มากขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆเพิ่มเวลาการอ่าน เพิ่มวิชาที่อ่านไปทีละนิดๆ เพิ่มงานอดิเรกที่มีสาระประโยชน์ เท่าที่ตัวเองจะไหว และกลายเป็นความเคยชินใหม่ และหากทำไปนานๆ ก็จะกลายเป็นนิสัย ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว
ต่อให้เราพัฒนาตนเอง ทั้งร่างกาย ให้มีสุขภาพดี แข็งแรง คล่องแคล่ว มีสมองที่ฉับไว สติปัญญาที่ดี ด้วยการออกกำลังกาย การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การทำ Intermittent Fasting หรือ กระทั่งทำสมาธิแบบฌาณได้ จนมีสมองที่มีประสิทธิภาพเหนือธรรมดา ไปจนถึงพัฒนาทางวัตถุ ที่อยู่อาศัย มีทรัพย์สิน มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย
แต่หากจิตใจเรายังคงต้องทุกข์ไปกับกิเลส เช่น ความอยากได้-เมื่อเจอสิ่งที่น่าปรารถนาพอใจ ความไม่อยากได้-เมื่อเจอสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาพอใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมัวเมา ความไม่เข้าใจชีวิต เป็นต้น ตัวเราก็ไม่ได้มีอะไรที่ดีไปกว่าเดิมจริงๆหรอก มันเหมือนเพียงคนๆเดิม ทุกข์ง่ายเหมือนเดิม เพียงแต่มีสิ่งแวดล้อมรอบตัวดีขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายสิ่งรอบๆตัวรวมถึงร่างกาย ก็ต้องเสื่อมบุบสลาย คืนโลกไปทั้งหมด
มีเพียงวิธีเดียว เพื่อจะหลุดพ้นจากวงจรแห่ง ความหลง ในสุข-ทุกข์ และ กิเลส คือ การหันมาเรียนรู้ ธรรมชาติของร่างกาย และ จิตใจของเราเอง จนเห็น (1) สภาพที่ไม่เที่ยง(อนิจจัง) ของร่างกาย ที่ต้องคอยแอบขยับเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถตลอดเวลา โดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่ได้เกิดจากการควบคุมของเรา, จิตใจ ที่เต็มไปด้วยความแปรปรวน เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็คิดนึก เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธหงุดหงิด เดี๋ยวก็หลง (2) เห็นถึงสภาพที่ไม่คงทน(ทุกข์ขัง) (3)ไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้จริง(อนัตตา) จนเกิดการปล่อยวาง ความยึดถือ และพ้นทุกข์ได้จริงในที่สุด
วิธีการเรียนรู้ความจริงในธรรมชาติของตนเอง เพื่อให้พ้นทุกข์นี้ คือ วิธีการที่เรียกว่า การเจริญสติปัฏฐาน 4 โดยคำอธิบาย ขยายความโดยละเอียด โดยส่วนตัวยังไม่เก่งพอ กลัวจะอธิบายผิด แนะนำให้อ่านจากพระไตรปิฎกโดยตรง และ เรื่องการอธิบายขยายความ แนะนำให้หาฟังจาก พระอาจารย์ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี โดยส่วนตัวก็กำลังเรียนรู้อยู่ครับ
Tags
หลังจากที่ได้ใช้เวลาหลายเดือน เรียนรู้เรื่อง Self Development ซึ่งมุ่งเน้นมาที่การเรียนรู้และพัฒนาตนเอง จนได้หลักประมาณนึงแล้ว ทั้งการกินอาหารแบบ Intermittent Fasting, สูตรอาหาร ที่เหมาะสมกับตนเอง, วิธีการเก็บเงิน-การวางแผนการเงิน, การออกกำลังกาย แบบ HIIP, การถือศีล 8 เพื่อทำ Dopamine Fasting, การเปลี่ยนแปลงนิสัย-ความเคยชินในปัจจุบัน เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต, การเลือกคบคน-ไม่คบคน, การนั่งสมาธิ และสุดท้ายคือ การเจริญสติเพื่อยกระดับจิตใจ จนตอนนี้ค่อนข้างอยู่ตัว รู้สึกว่าความรู้ที่มีอยู่เท่านี้ ก็เพียงพอที่จะพัฒนาตนเองไปได้เรื่อยๆแล้ว ก็คงพักการหาข้อมูลงานวิจัยด้านสุขภาพ-การแพทย์ต่างๆไปก่อน เหลือเพียงทำตามสูตรสำเร็จ ที่ตนเองได้บันทึกไว้ ไปเรื่อยๆ
ต่อจากนี้ ก็จะเอาตนเองที่ถูกพัฒนาขึ้น มาใช้ประโยชน์ต่อใน การเรียนรู้สิ่งที่อยู่ภายนอก มากขึ้น หรือที่เรียกว่า Productivity ทั้งการเขียนโปรแกรม, การเรียนภาษา หรือ การศึกษาศาสตร์อื่นๆ รวมถึงการหาเงิน ต่อไป
แต่ก็ยังคงมีประเด็นเรื่องการพัฒนาตนเองเหลืออยู่บ้างแหละ ไม่ได้หายไปทั้งหมดหรอก
Tags
มิตรที่ควรคบ คือ
- มิตรที่คอยแนะนำประโยชน์ซึ่งกันและกัน(ทางธรรมะ เรียกว่า กัลยาณมิตร)
- คอยตักเตือนเมื่อทำในสิ่งไม่ดี
- อยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่าช่วยเสริมพลัง ให้ตัวเราอยากพัฒนาชีวิตตนเอง ยิ่งขึ้นไป
มิตรที่ไม่ควรคบ โดยคร่าวๆ คือ
- มิตรที่อยู่ด้วยแล้ว ทำให้ สติสัมปชัญะ การคอยตรวจสอบตนเองของเราลืมเลือนไป เช่น ล่อหลอกให้มัวเมาในสิ่งบันเทิง อบายมุข เป็นต้น
- การพัฒนาตนเองของเรา เสื่อมถอย หรือ ลดลง แย่กว่าเดิม หรือ พยายามทำให้เราไม่ได้พัฒนาตนเอง
- หวังผลประโยชน์จากเรา หรือ หวังทำลายประโยชน์เรา
- อยู่ด้วยแล้ว รู้สึกสูญเสียพลังไปเปล่าๆ กับเรื่องไร้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับชีวิต
ตามหลักมงคลชีวิต ข้อแรก คือ การไม่คบคนพาล ซึ่งไม่ได้หมายถึงอันธพาลหรือนักเลง แต่หมายถึง ผู้ที่ไม่รู้ว่า อะไรดี ไม่ดี, อะไรคือ บุญ อะไรคือบาป, อะไรคือ ประโยชน์ อะไรคือโทษกับชีวิต เป็นต้น ซึ่งมงคลชีวิตข้อต่อมา คือ คบบัณฑิต ยังตามมาเป็นข้อที่ 2 หมายความว่า ชีวิตเราต้องพยายามออกห่างจากคนพาล เป็นอันดับที่1 ต่อให้ยังไม่ได้พบบัณฑิต ก็จะไม่เลือกเข้าไปอยู่กับหมู่คนพาล ทั้งนี้ บัณฑิต ไม่ได้หมายถึงผู้มีการศึกษาสูงนะ เพราะ ผู้มีการศึกษาสูง ไม่ได้รับประกันว่าจะเป็นคนดี หรือ คิดดีกับเรา แต่ บัณฑิต คือ คนที่เข้าใจชีวิตระดับหนึ่ง และ รู้อะไรถูก อะไรผิด มีสติปัญญา(โดยเฉพาะความเข้าใจทางธรรม)
อยู่คนเดียว ยังพัฒนาตนเองได้มากกว่า อยู่ในหมู่คนพาล ที่คอยแต่จะขัดขวางการพัฒนาตนเองของเรา แต่หากได้อยู่ในหมู่กัลยาณมิตร ที่คอยแนะนำประโยชน์แก่กัน ก็พัฒนาตนเองได้มากที่สุด
ทั้งนี้หากชีวิตต้องอยู่ในหมู่คนพาล อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้? จะทำอย่างไรดี คนเหล่านี้เต็มไปด้วยความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตาม กิเลส อารมณ์ และผลประโยชน์ของตน ถ้าเขาทำดีกับเราก็อย่าไปยินดี หรือทำไม่ดีกับเราก็อย่าไปยินร้าย พวกเขาสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ทุกเมื่อ อย่าแม้แต่จะไปรักหรือเกลียดคนพาล เพียงแค่ทำความรู้สึกว่าคนเหล่านี้ คือ ความว่างเปล่า ประดุจดังไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น มีแต่อากาศธาตุ หรือ หาวิธีอย่างไรก็ได้ ให้ใจเราวางเฉยกับคนพาลเหล่านี้ เพราะ หากเราไม่วางเฉย แม้ทางกายภาพเราออกห่าง แต่ความรู้สึกทางใจ อาจมีส่วนในการทำให้เราต้องกลับไปมีปฏิสัมพันธ์อีก เช่น เห็นคนพาลเล่นในสิ่งบันเทิง ชวนให้หลงมัวเมา แม้เราพยายามไม่พูดคุยมีปฏิสัมพันธ์ แต่ถ้าใจเรายินดี อนาคตเราก็อาจจะไปเล่นกับเขา ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หรือ ต่อให้เราเกลียดเขา เราก็จะเกิดการผูกโกรธ อนาคตหากเราเจริญกว่าเขาแล้ว ก็อาจจะไปหาทางแก้แค้นต่างๆนานา กลายเป็นตัวเราหาเรื่อง ไปเข้าหาเขาเองอยู่ดี เป็นต้น
วิธีที่คนพาลจะทำร้ายเราได้
- ทำให้เราโกรธแล้วต้องไปทะเลาะกับเขา จนเสียเวลาทััง2ฝ่าย
- เวลาของเขานั้นโดยปกติเขาก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์กับชีวิตเขาเองอยู่แล้ว การทะเลาะของเขาจึงไม่เสียประโยชน์อะไร
- แต่เวลาของเราที่ปกติเราเอาไปทำประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่นได้มากมาย กลับสูญเปล่าไปกับการทะเลาะ ตัวเราจึงขาดทุนอย่างมาก - ทำให้เราหลงเพลิดเพลินกับสิ่งบันเทิง หรือ ชักนำให้เราหลงผิด
- ก็เป็นเรื่องความเสียเวลาอันมีค่าในชีวิตเช่นกัน กว่าจะกลับมามีสติรู้ตัวจากความหลง ก็อาจเสียเวลาชึวิตไปมากแล้ว
แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไร ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรหาทางหลีกเลี่ยงคนพาล จะดีที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คุ้มกับประโยชน์ที่เราเสียไป เพราะ เมื่อเราเข้าไปในหมู่คนพาล การฝึกฝนพัฒนาตนเองของเราจะทำได้ยากมาก เวลาที่เสียไปนั้นมีค่ามากจนแทบประเมินคุณค่าไม่ได้เลย ไม่ว่าด้วยเหตุผลด้าน การเงิน ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือ อื่นใด หากต้องอยู่ในหมู่คนพาล ขอยอมไม่เอาสิ่งเหล่านั้นจะดีกว่า(เพราะ มันไม่คุ้มในระยะยาว ถ้าเราพัฒนาตนเองได้ ถึงอย่างไร ทรัพย์ เกียรติ ความสำเร็จ ก็จะมาสู่เราเอง การคบคนพาลมีแต่จะเสียทุกสิ่งไป รวมถึงผลประโยชน์ตรงหน้า ที่คนพาลหยิบยื่นให้ ไม่มีวันยั่งยืน มีแต่จะเอาไว้ล่อหลอกเรา และสุดท้ายก็แทงข้างหลังเราอีกที)
ทางธรรมะ มีพุทธพจน์หนึ่งว่า หากไม่เจอคนที่ดีกว่าตน หรือ ดีเสมอกับตน ก็จงพึงพอใจในการอยู่คนเดียว เพราะ ความเป็นมิตรแนะนำประโยชน์ ไม่มีในหมู่คนพาล
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=33&p=7
https://pantip.com/topic/41863640#comment11
โดยส่วนตัวชอบอยู่คนเดียว แล้วหาวิธีพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ, มีหนังสือที่ดีเป็นกัลยาณมิตร เช่น พระไตรปิฎก ธรรมะ เป็นต้น และ ในชีวิต มีมิตรที่คอยแนะนำประโยชน์ซึ่งกันและกัน ที่สัมผัสได้จริงๆไม่กี่คน มักเป็นมิตรที่คบหากันด้วยใจ, อุดมการณ์, การให้เกียรติ และ ด้วยสติปัญญา(ทางธรรม) ซึ่งแม้จะไม่ได้พบกันบ่อย แต่ก็ยังคิดถึงกันเสมอ และการคุยกันไม่กี่ครั้ง ก็ยังมีประโยชน์มากกว่า การคลุกคลีกับหมู่คนพาล อย่างมาก
Tags
ช่วงที่ผ่านมา ติดการ์ตูน และ social network อยู่พักหนึ่ง ทำให้ไม่ได้จริงจังกับการเรียน และเสียเวลาชีวิตไปพอสมควร ทีนี้เลยจะทดลองถือศีล 8 เพื่องดเว้น จากสิ่งที่ให้ความบันเทิงเหล่านี้ ดูว่าจะได้ผลไหม
ทั้งนี้ ศีล8 มีเคล็ดลับอยู่เล็กน้อย คือ ต้องตั้งใจใหม่ในทุกวัน เพราะ ปกติจะรักษากันแค่สัปดาห์ละ 1 วัน ในวันพระ เรียกว่า อุโบสถศีล พอจะมาถือศีลทุกวัน กำลังใจอาจจะไม่พอที่จะอดทน เลยต้องตั้งใจใหม่ทุกๆวัน เพื่อไม่ให้หย่อนคล้อย และถือศีลได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ประสบการณ์ถือศีล 8
- วันที่ 1
- รู้สึกว่ามีอาการกระสับกระส่าย อยากจะไปดูการ์ตูน, เล่น social network หาอะไรดูเรื่อยเปื่อย แต่ก็พอยับยั้งได้บ้าง แล้วก็กลับมาอ่านหนังสือโดยไม่ได้มีปัญหาเรื่องสมาธิอะไร สามารถจดจ่ออยู่กับหนังสือได้ไม่มีปัญหา เพียงแต่จะมีอาการอยาก(เสี้ยน)ไปดูสิ่งบันเทิง ตามความเคยชิน ผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ ซึ่งมันเป็นอาการปกติของการเสพติด ทีนี้ก็มีเผลอไปดูบ้าง แต่ก็น้อยลงกว่าวันก่อนหน้าที่ผ่านๆมา
- เพิ่งรู้ว่าที่แต่ก่อนเข้าใจว่า อ่านหนังสือได้มีสมาธิ สุดท้ายก็ทนอ่านได้ไม่นาน แค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็ไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อกับหนังสือต่อได้อีก น่าจะเกิดจากการที่เอาแต่ดูการ์ตูน จนไม่ได้ฝึกสมองให้สามารถใช้งานได้นานๆ คงจะต้องฝึก train สมอง ให้ยืนระยะการใช้งานได้นานขึ้นๆ มากกว่านี้
- วันที่ 2
- อาการ ความอยากดูการ์ตูน อยากเล่นsocialลดลง ความรู้สึกกระสับกระส่ายลดลงเยอะ จนแทบไม่ได้มีผล แต่เหมือน จริงๆ ก็แอบเบื่อการดูการ์ตูนอยู่แหละ เพราะมันไม่มีเรื่องใหม่ให้ดู แต่ก็เกิดความคิดอยากลองเล่นเกมส์ผุดขึ้นมาอีก (แต่ก็ยังไม่ได้เล่นนะ) การแอบไปดูการ์ตูน เล่น social ก็ลดลงกว่าเมื่อวานเยอะ
- เหมือนจะกินขนมที่ทำจากแป้งแปรรูป มากเกินไป ทำให้ไม่ค่อยมีสมาธิจดจ่อ ถึงแม้จะพออ่านได้ ก็ไม่ได้มากเท่าวันแรก(วันแรกว่าน้อยแล้ว วันนี้ก็น้อยลงไปอีก)
- วันที่ 3
- ช่วงนี้เริ่มมีสมาธิอ่านหนังสือตอนกินข้าวได้บ้างแล้วนะ แต่ก็ทำไม่ได้นาน ก็มีอย่างอื่นให้ไปทำอีก
- นั่งสมาธิตอนเช้า ได้ 30 นาที ไม่ค่อยมีสติตอนนั่งมาก แต่สมาธิอยู่กับลมหายใจได้ดี (แม้จะบังคับลมอยู่นิดๆ ก็รู้ทั้งร่างกายที่มันอึดอัดนิดๆนี่แหละ การนั่งหลังตรงช่วยได้เยอะ)
- ทดลองเปลี่ยนมา กินวันละ 1 มื้อ ภายใน 1.30ชม(เปลี่ยนจาก IF 19/5 มาเป็น IF 22.5/1.5)
- มีเวลาต่อวันมากขึ้น 1 ชั่วโมง
- กินให้ได้ Calories เท่าเดิม ก็ไม่ได้อิ่มเกินไปอะไรนะ
- ที่สังเกตตัวเองคือ ช่วงที่กินวันละ 2 มื้อ กล้ามเนื้อไม่ค่อยมีแรง หากหยุดออกกำลังกายไปสักพัก
ซึ่งถ้า Fasting ได้ผลจริง จะต้องมี Growth hormone ช่วยคงมวลกล้ามเนื้อ แม้จะไม่ได้ออกกำลังกายนานๆ กลับมาออกกำลังกาย ก็จะยังมีแรงดีอยู่ หรือ การกิน 2 มื้อ อาจไม่ค่อยได้ประโยชน์จากการ Fasting นะ?- นอกจากนี้ช่วงที่กิน 2 มื้อ ไอเดียดีๆไม่ค่อยออกแฮะ
- ได้ยินมาว่า ประโยชน์ด้าน Autophagy ชะลอวัย ป้องกันมะเร็ง จะเกิดก็ต่อเมื่ออด 18-24 ชม ขึ้นไป และอัตราการเกิดค่อยๆเพิ่มมากขึ้นจนสูงสุด เมื่อผ่าน 48 ชม ไปแล้ว(ข้อมูลที่เป็นภาษาไทย ที่มีการรวบรวมค่อนข้างครบถ้วน จะมีช่องของ อ.ลอย รวบรวมไว้)
- อาการขาดสมาธิกลับมาอีกครั้ง หลังจากเปลี่ยนจากมากินมื้อเดียวเยอะๆ ถ้าดื่มน้ำเยอะๆ จะแก้ไขได้ไหมนะ
- ไม่ช่วยให้ดีขึ้นแต่อย่างใด อย่างมากแค่บรรเทา
- หากยังต้องใช้แรงทำงานอยู่ คงจะเลิกคิดจะกินมื้อเดียวแล้วกัน เพราะ การออกกำลังกายก็ช่วยเร่งการเผาผลาญและเกิด ketosis เร็วขึ้นได้อยู่แล้ว
- จริงๆ สมาธิยังดีอยู่นะ แต่ความอึดอัดที่ท้อง ทำให้ไม่อยากที่จะทำอะไร และ เหมือนเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง เลยอ่านหนังสือได้ไม่ดี
- ได้ทดลองวิ่ง hiit ของจริง คือ วิ่งสุดชีวิต มีแรงเหลือเท่าไหร่ ก็วิ่งสุดชีวิตจนเกลี้ยง จนกล้ามเนื้อล้า รู้สึกแข้งขาอ่อนแรง ก็กลับมาเดิน รอพลังงานถูกเติมเข้าไปในกล้ามเนื้อใหม่ ทดสอบได้ด้วยการตอนที่เดินอยู่ ลองก้าวขาออกตัววิ่ง แล้วดูว่าขาหายอ่อนแรงหรือยัง ถ้ายังก็กลับมาเดินต่อ ถ้าขามีแรงแล้ว ก็จะออกวิ่งรอบถัดไปอีก Heart rate ขึ้นไปได้ถึง 181 bpm ซึ่งปกติฝึกวิ่งเข้าใจว่าหนักแล้ว ก็ยังไม่เคยทำได้เท่านี้มาก่อน ได้แค่ 171bpm
- สืบเนื่องจากตอนกลางวัน ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ เลยมีแอบดูการ์ตูนบ้าง
- วันที่ 4
- จริงๆวันนี้ไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไหร่ เพราะ ถูกเรียกตัวไปทำงาน แต่เมื่องานเสร็จแล้ว ช่วงที่ว่าง ก็ไม่ได้อยากดูสิ่งบันเทิง หรือ เล่น social ใดๆเลยนะ กลับอยากอ่านหนังสือเสียอีก เหมือนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว และ เหมือนอาการเสพติดการดูการ์ตูนลดลง หรือเปล่าหว่า? ถ้าเป็นแบบนี้ คือ การรักษาศีล 8 เป็นอุบายฝึกตัวเองที่ดีมากเลย แต่จริงๆที่ถือศีล8 มาได้ขนาดนี้ ก็เพราะว่าต้องการทำการทดลองด้วยล่ะมั้ง ถ้าถือเองโดยไม่ได้มีเป้าหมายมาล่อ อาจจะไม่จริงจังแบบนี้
- วันที่ 5
- วันนี้ไม่ค่อยมีสมาธิอ่านหนังสือ เพราะ มีบางเรื่องที่เข้ามาทำให้หงุดหงิด และเผลอไปคิดซ้ำๆอยู่นาน รวบรวมสมาธิไม่ได้ ซึ่งจริงๆ ควรพยายามมีสติรู้ทันว่าแอบไปคิดเรื่องที่ทำให้โกรธ หงุดหงิด และปล่อยวาง ถึงจะกลับมามีสมาธิได้ กิเลสเป็นศัตรูอย่างหนึ่งของสมาธิเลยแฮะ ต้องพยายามปล่อยวาง(แม้จะเป็นเพียงการคิดปล่อยชั่วคราว ก็พอช่วยได้นะ)
- เรื่องการถือศีล 8 วันนี้ความเคร่งครัดลดลง แต่ก็ไม่ได้ดูการ์ตูนอะไรมาก(แต่มีดูบ้าง)
- เหมือนพอเราเจอคนเยอะๆ จากเมื่อวาน ความเป็นตัวเองก็เสียไปเยอะ ความรู้สึกจะประมาณว่า ต้องกลับมาฟอร์มตัวใหม่ พัฒนาตนเองใหม่ ตามวิธีเดิมที่เคยบันทึกไว้ ไม่แน่ใจว่าเพราะ เราเป็นพวกไม่ชอบเจอคนหรือเปล่า หรือ เจอคนที่ไม่ชอบ ไม่ค่อยเป็นกัลยาณมิตรที่จะคอยแนะนำประโยชน์ต่อกัน ก็เลยทำให้โดยดูดพลังและเสียศูนย์ไปพอสมควร น่าจะเป็นแบบนี้แหละ เพราะ เวลาเราเจอคนที่คอยช่วยเหลือ สนับสนุนซึ่งกันและกัน เราจะรู้สึกมีพลังมากขึ้น แต่กลับกัน เวลาเจอบางคนเรารู้สึกเหมือนถูกดูดพลังไปตลอด เหมือนมีความลับอะไรบางอย่าง ที่พยายามไม่ให้เราเข้าถึง หรือ ซ่อนอะไรเบื้องหลังอยู่
- วันที่ 6
- วันนี้จะลองกินมื้อเดียว ภายใน 1.30 ชมอีกครั้ง แล้วก็อึดอัดอย่างที่เคยเป็น
- เลยงีบหลับสักพัก เพื่อให้สามารถย่อยอาหารได้เต็มที่ ก็พบว่าช่วยได้นะ พอตื่นก็กลับมาอ่านหนังสือได้อย่างมีสมาธิ เหมือนมีการศึกษาว่าการงีบหลังอาหารกลางวันช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นด้วยมั้ง
- อีกอย่างที่ช่วย คือ ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อให้การย่อยทำงานได้ดีขึ้น
- วันนี้เกิดความอยากลองเล่นเกมส์ขึ้นมา เลยลองเล่นดู และเกิดความรู้สึกตื่นเต้นในแบบที่มี dopamine หลั่ง แต่พอเหมือนถือศีล8 ไปเรื่อยๆ เริ่มกลายเป็นนิสัยไม่ชอบอะไรที่ตื่นเต้นแบบผิดปกติแล้ว เราเลยเริ่มรู้สึกไม่อยากจะเล่นเท่าไหร่
- วันนี้ก็อยากลองฟังเพลงดูด้วย แต่พอฟังแล้ว ก็เกิดความรู้สึกไม่ชอบความเคลิบเคลิ้ม ขาดสติ ที่ได้รับจากเสียงเพลง ส่วนหนึ่งกลายเป็นความรำคาญ และมีสมาธิอ่านหนังสือไม่เต็มที่แทน
- วันนี้หลังจากที่งดเครื่องดื่มพวกโกโก้ จากการที่ได้รู้ความจริงว่ามันให้พลังงาน และ ทำให้ประโยชน์จากการ Fasting เสียไปได้ วันนี้ออกกำลังกายเสร็จ ก็ดื่มแต่น้ำเปล่า(ถ้าหน้ามืด อาจเติมเกลือเล็กน้อย) ก็เริ่มกลับมาใช้ความคิดได้อย่างคล่องแคล่ว และพรั่งพรูขึ้นแล้ว ไอเดียดีๆ เริ่มจะออกมาแล้ว
- วันนี้จะลองกินมื้อเดียว ภายใน 1.30 ชมอีกครั้ง แล้วก็อึดอัดอย่างที่เคยเป็น
- กำไรของ Social media มาจากการดึงเวลาว่างในชีวิตผู้คน มาแปลงเป็นเงิน ผ่านการขายโฆษณา ยิ่งสามารถทำให้ผู้คนเอาเวลาว่างของตนเองมาใช้งานได้นานขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะขายโฆษณาได้มากขึ้นเท่านั้น
- ระบบในการดึงเวลาผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด คือ การหาข้อมูลที่ผู้ใช้สนใจมาป้อนให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งด้านหนึ่งก็มีประโยชชน์ แต่บางทีก็เหมือนดาบสองคมและเป็นโทษ ในกรณีที่ขาดการกลั่นกรองอย่างเหมาะสม เช่น ผู้ใช้งานเผลอไปดูการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ระบบก็เข้าใจว่าผู้ใช้ชอบดูการ์ตูน และส่งการ์ตูนมาให้ดูเรื่อยๆ จนกลายเป็นคนติดการ์ตูนไป
- เวลาในชีวิตที่ถูกดึงไป โดยปกติมักเป็นเวลาที่ผู้คน เอาไปใช้ทำงานอดิเรก ทำในสิ่งที่ตนเองสนใจโดยเฉพาะให้เชี่ยวชาญมากขึ้น หรือ พัฒนาตนเอง หมายความว่า ยิ่งถูกดึงเวลาไปใช้กับ Social media มากขึ้นเท่าไหร่ คนก็จะไม่ได้พัฒนาตนเองมากขึ้นเท่านั้น
- สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เกิดคนที่รู้หลายอย่าง แต่ไม่ได้เก่งหรือเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ ไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นเหมือนๆกันหมด
- ผู้คนหลงลืมความเป็นตัวเองไป จากเหตุผลที่ถูกดึงเวลาชีวิตไป จนไม่ได้พัฒนาในสิ่งที่ตนเองสนใจ หรือ สิ่งที่เราถนัดจริงๆ ต่อให้เราได้รู้และเข้าใจสิ่งที่เป็นที่นิยมอยู่ในSocialขณะนั้น แต่สุดท้ายกระแสสังคมไม่นานก็เปลี่ยนไป ความเข้าใจนั้นก็ไม่ได้ประโยชน์มากไปกว่าการเอาไปคุยกับคนอื่นรู้เรื่องในช่วงนั้น แต่การที่เราพัฒนาตนเอง พัฒนาความรู้ในด้านที่เราสนใจ ในสิ่งที่เป็นตัวเราจริงๆ ให้เก่งขึ้น เชี่ยวชาญขึ้น มันจะอยู่กับเราไปตลอด รวมถึงอนาคต คนอื่นจะต้องมาขอให้อธิบายสิ่งที่เราเชี่ยวชาญให้ฟังเสียอีก เผลอๆ อาจจะมีคนจำนวนมาก อยากฟังเรื่องที่เราพูด ไปตลอดทั้งชีวิตของเราเลย
- เป็นการฝึกใช้เวลาว่างให้ไม่เกิดประโยชน์ แทนที่เวลาว่าง จะทำงานอดิเรก หรือแม้แต่หยิบหนังสือเล่มเล็กๆขึ้นมาอ่าน เพื่อให้ได้พัฒนาตนเองและสมองได้ใช้งาน แต่กลับมาเลื่อนหน้าจอ Social media เพื่อรอดูข้อมูลที่ถูกป้อนให้เรื่อยๆ สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้จริงๆ มาจากการเอาเวลาว่างอันน้อยนิด ที่มีอยู่ในแต่ละวัน มาพัฒนาตนเอง ไม่ใช่การเอาแต่อ่านข้อมูล ข่าวสาร ที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ไม่ได้เพิ่มคุณค่าของตัวเราในระยะยาวจริงๆ
แนวทางแก้ไข
- โดยส่วนใหญ่ ข้ออ้างในการเล่น Social media คือ การติดตามข่าวสาร ซึ่งถ้าอ่านข่าวจริงๆ แค่วันละครั้งก็พอแล้ว อย่างสมมติถ้าเปลี่ยนจาก Social media เป็น หนังสือพิมพ์ ที่นำเสนอข่าวสารประจำวันเหมือนกัน ก็ไม่ค่อยเห็นมีใคร เอามานั่งอ่านทั้งวัน ไม่เว้นแม้แต่เวลาว่างเลย จริงไหมนะ?! หรือ สิ่งที่ Social media มีนอกเหนือจากข่าวสาร คือ ความบันเทิง ที่ไม่ค่อยมีสาระประโยชน์มากกว่า
- เคยลองใช้แบบจำกัดเวลาต่อวัน ทั้งกำหนดเวลาเอง และ การใช้โปรแกรมช่วย สุดท้ายก็ลืมและกลับไปเล่นยาวๆอยู่ดี
- วิธีการสังเกตตัวเองว่า เสพติด social media หรือไม่ คือ ลองหยุดใช้งานดูสักวัน ดูว่าจะมีอาการกระสับกระส่าย ไม่มีอะไรทำ อยากจะกลับเข้าไปใช้ ทั้งๆที่ไม่มีธุระอะไรหรือไม่ ถ้ามีอาการแบบนี้ก็น่าจะเสพติดแหละ
- สาเหตุเกิดจาก ความบันเทิง ที่เราได้รับจาก social media ทำให้เกิดการหลั่งสาร Dopamine ในสมอง
- dopamine จะถูกหลั่ง เมื่อเราได้ทำ หรือ ได้รับ สิ่งที่เราชอบ สนุก เพลิดเพลิน
- ซึ่งในธรรมชาติจริงๆ จะเป็นผลมาจาก การได้รับอาหาร การออกกำลังกาย หรือ การได้รับรางวัลต่างๆ เป็นต้น ซึ่งมักจะได้รับ หลังจากที่มีการกระทำที่ต้องอาศัยความพยายาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้เป็นผลเสีย เป็นแรงกระตุ้นตามธรรมชาติ ให้เราทำสิ่งที่มีประโยชน์กับตัวเอง เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป
- แต่ในยุคปัจจุบัน เช่น การอ่าน ดู ฟัง เล่น สิ่งที่ทำให้เกิดความบันเทิงต่างๆ หรือ กระทั่งสิ่งเสพติด มันทำให้เราสามารถเกิดการหลั่ง dopamine ได้เรื่อยๆ แบบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร พอสมองได้รับบ่อยๆเข้า ก็จะเริ่มได้ผลน้อยลง ต้องทำมากขึ้นเพื่อให้ได้รับผลเท่าเดิม กลายมาเป็นอาการเสพติด ส่งผลให้ไม่สามารถ ทำกิจวัตรประจำวันอื่นๆได้ตามปกติ การทำงาน การเรียนเสียไป
- จะมีวิธีการที่เรียกว่า Dopamine Fasting คือ การหยุดทำกิจกรรม ที่ทำให้เกิด Dopamine แบบผิดธรรมชาติ เพื่อให้สมองกลับมาทำงานในแบบปกติ
- สาเหตุเกิดจาก ความบันเทิง ที่เราได้รับจาก social media ทำให้เกิดการหลั่งสาร Dopamine ในสมอง
- ถ้าเป็นไปได้ เลิกเล่น Social media หรือ ถ้ายังไม่ได้ ต้องใช้งานแบบเฉพาะกิจ โดยหลีกเลี่ยงหน้า Feed ที่มีการป้อนข้อมูลให้เราตลอดเวลา เช่น ใช้สำหรับเข้า Group เรียนเท่านั้น, สำหรับเข้าอ่านบางเพจที่เราติดตาม ที่มีสาระประโยชน์จริงๆ เป็นต้น
- ส่วนหน้า Feed เอาไว้ดูแค่แป๊บเดียว เพื่อดูข่าวคราวคร่าวๆ แล้วรีบออก ไม่งั้นจะเผลอไปดูอีกยาว
- วิธีที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการเลิกใช้ไปเลย แล้วเอาเวลามาศึกษา ศาสตร์ต่างๆด้วยตนเองดีกว่า ยอมโง่กว้างแต่รู้ลึกในทุกเรื่องที่เรารู้ น่าจะเป็นประโยชน์กับชีวิตในระยะยาว มากกว่า การรู้กว้างขวางทุกอย่างแต่ไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้ในชีวิตจริงสักอย่าง นอกจากนี้ หากเวลาผ่านไป ยิ่งเราเพิ่มศาสตร์ที่ศึกษาไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นผู้ที่รอบรู้ ทั้งรู้กว้างขวางและรู้ลึก และยังนำไปใช้ได้จริงอย่างกว้างขวาง และอาจเกิดการบูรณาการได้อย่างไม่สิ้นสุดในที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ปล. Social media ที่หมายถึง คือ สื่อสังคมออนไลน์ทั้งหมด ที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้สร้างเนื้อหาหลัก แต่อาศัยเนื้อหาจากผู้ใช้งานมาอัพเดตตัวเองตลอดเวลา เช่น Facebook, Youtube, Twitter, Tiktok เป็นต้น