ปัญหาที่เจอคือ ทุกวันนี้ เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตก็ยังคงถูกเอาไปใช้ ทำสิ่งไร้สาระเป็นส่วนมาก มีแค่ไม่กี่ชั่วโมง ที่ได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์กับชีวิตจริงๆ ทำให้รู้สึกว่าเสียชีวิตไปเปล่าๆ ในแต่ละวันเยอะมาก
มาวิเคราะห์ดูดีๆ ปัญหาจริงๆมันเกิดจากอะไรกันนะ เกี่ยวกับที่เราไม่ได้จัดตารางเวลารึเปล่า แต่เราก็เคยจัดตารางเวลาอยู่นะ และสุดท้ายก็ทำตามที่วางแผนไว้ไม่ได้, หรือเราต้องฝึกวินัยรึเปล่า แต่มันก็ไม่ต่างกับเหตุผลแรก เดี๋ยวเราก็แหกกฏอยู่ดี แล้วสาเหตุอะไรที่ทำให้เรา ไม่สามารถทำตามแบบแผนที่เราวางไว้
จริงๆเรื่องการวางแผน หรือ ทำตารางชีวิต มันเป็นอะไรที่ไม่ค่อยยืดหยุ่น เราไม่สามารถรู้ได้ว่า สิ่งที่เรากำหนดไว้ว่าจะทำในแต่ละวัน มันเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับเราจริงๆหรือไม่ เช่น วางตารางเวลาไว้แน่น แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้จริง เพราะ ยังไม่ทันทำความเข้าใจกับเนื้อหาเรื่องนึงได้เพียงพอ ก็ไปเรื่องถัดไปแล้ว จึงอาจไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ ขาดความยืดหยุ่น เป็นต้น ดังนั้น หากจะทำ ให้ทำเพียงคร่าวๆ แต่สิ่งที่ควรโฟกัส คือ การใช้เวลาในทุกนาที ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่า
อะไรที่ทำให้เรา ใช้เวลาไม่คุ้มค่า ทุกนาที หรือเสียเวลาเป็นชั่วโมง หรือ หลายชั่วโมง ในแต่ละวัน กับการทำอะไรเรื่อยเปื่อยไม่ได้ประโยชน์ เช่น เล่น social network ไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน, ดู youtube เรื่อยเปื่อย ดูการ์ตูน ดูหนัง เป็นต้น มากกว่าอ่านหนังสือ, หาความรู้ พัฒนาตนเอง
ปัญหานี้ จริงๆ เหมือนมีต้นตอร่วมกันอย่างหนึ่ง คือ กิเลส ซึ่งมักจะเป็นในส่วนของ ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง ที่คอยชักนำ ให้เราใช้ชีวิตจมอยู่กับสิ่งไร้สาระ เช่น ความโลภ ทำให้อยากดูหนัง การ์ตูน เล่นเกมส์ เสพติดสิ่งบันเทิง เสียเวลาชีวิตแทบทั้งวัน, ความโกรธ ทำให้อยากเถียงกับคนทุกคนที่เห็นต่างใน social network พยายามหาข้อมูล เหตุผลมาถกเถียง จนอาจเสียเวลาชีวิตไปมาก และ ความหลง ซึ่งอาจเป็นหัวหน้าใหญ่ของกิเลสทั้งหมด ทำให้เกิดความเคยชิน ที่จะหาอะไรทำไปตามกิเลส แบบไม่รู้ตัว เพลิดเพลินไปวันๆ จนเวลาชีวิตหมด
วิธีการที่จะพัฒนาตนเอง และ ใช้เวลาทุกนาทีได้อย่างคุ้มค่าที่สุด น่าจะมีวิธีเดียวคือ การมีสติรู้ทันกิเลส ซึ่งคอยบงการเราอยู่ทุกนาที(จริงๆ อาจจะทุกวินาทีเลยด้วยนะ) รวมถึงบางทีต้องฝืนความเคยชินจากกิเลสเก่าๆ เช่น ว่างๆ ก็อยากหาหนัง-การ์ตูนดู, หาเกมส์เล่นสนุกๆ หรือ เล่น social network เพลินๆ เป็นต้น ซึ่งในช่วงแรก อาจจะทำให้ต้องฝืนใจตัวเองอย่างมาก
- ในเรื่องของการฝืนใจตัวเอง จากสิ่งที่เราชอบ ติดใจ ขาดไม่ได้ ต้องมีในทุกๆวัน ในทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า Dopamine Fasting ซึ่งหลักการของการเสพติดมาจาก Dopamine นี่แหละ โดยหลักของการเสพติด เกิดจากเวลาที่เราทำอะไรที่เหมือนเป็นการได้รับรางวัล จะเกิดการหลั่ง dopamine เช่น กินข้าว เล่นเกมส์ ดูหนัง เป็นต้น แต่หากได้รับสิ่งเดิมซ้ำๆ บ่อยๆ (ซึ่งง่ายมากในยุคปัจจุบัน) การหลั่งdopamine ในสมองก็จะยากขึ้น ทำให้เราต้องแสวงหาสิ่งกระตุ้นมากขึ้น เพื่อให้ได้ dopamine เท่าเดิม หรือมากขึ้น และ ก็จะยิ่งเสพติดมันมากขึ้น
- การทำ Dopamine Fasting เป็นการงดจากสิ่งที่ให้ความบันเทิงทั้งหลาย และใช้ชีวิตแบบที่คิดว่าน่าเบื่อ ไม่มีอะไรทำ เป็นการฝืนใจแบบมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย จะทำให้เราเข้าใจตัวเองง่ายขึ้น ว่าช่วงแรกที่งดสิ่งบันเทิง ยังไงก็ต้องหงุดหงิด กระสับกระส่าย ไม่มีสมาธิ เป็นธรรมดา แต่พอผ่านพ้นไป จะพบว่า หนังสือ หรือ สิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิต ที่อยู่ตรงหน้า ที่เคยรู้สึกว่าน่าเบื่อ พอลองมาดูจริงๆ ก็กลับกลายเป็นรู้สึกสนุก มีความสุข อยู่กับมันขึ้นมาได้
กลับมาที่เรื่องของ กิเลส มีวิธีการสู้กับกิเลสวิธีหนึ่ง ที่ได้ผลดี คือ การมีสติรู้ทัน เพราะ กิเลสจะเกิดเมื่อเราไม่มีสติรู้ทัน หรือ เมื่อเราหลงนั่นเอง หากมีสติรู้ทัน ความคิด ทุกเวลา เท่าที่ทำได้ เราก็จะควบคุมตัวเองให้อยู่ในร่องรอย และสามารถพัฒนาตนเองให้ยิ่งๆขึ้นไปได้จริง โดยส่วนตัว คิดว่า การเจริญสติ ได้ผลในระยะยาวมากกว่า dopamine fasting เพราะ มันละเอียดไปถึงระดับ การรู้ทันความคิด รู้ทันกิเลสตัวเอง มันเปลี่ยนนิสัยได้ถึงระดับต้นตอ ซึ่งเมื่อนิสัยเปลี่ยนตั้งแต่ระดับหยาบๆ ไปจนถึงระดับที่ละเอียดปราณีตที่สุด ก็เป็นคนใหม่ที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิมได้จริงๆอย่างมาก และ สามารถยกระดับความเข้าใจชีวิตขึ้นไปได้เรื่อยๆ จนถึงขนาดที่ว่ามุมมองชีวิตเปลี่ยนไปได้เลย(ดีขึ้น) ต่างจาก dopamine fasting ที่แม้จะงดไปสักพักใหญ่ๆ แต่พอลืมก็กลับไปหาสิ่งบันเทิงใหม่ หรือแม้จะทำมาได้นาน แต่นิสัยเดิม หรือ ความคิดก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไร ก็ไม่ได้มีอะไรพัฒนาขึ้นมากนัก
Add new comment