Skip to main content

ตกผลึกการเทรด

Submitted by krishrong on

อ่านหนังสือเยอะๆ ทุกเล่มมีประโยชน์ เพราะเป็นการรวบรวมประสบการณ์ ในการเทรดของคนเก่งๆ มากมายเอาไว้ มีเทคนิคดีๆมากมาย อย่าปิดกั้นความคิดตัวเอง หรือมีอคติกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลองอ่านจริงๆ ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่มีวันรู้เรื่องนั้นจริงๆ และหากเราไม่รู้จริงในเรื่องใดๆ เราก็จะคิดวนลองผิดลองถูก ในเรื่องนั้นๆไปตลอด วนไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น เพราะ เป็นการลองผิดลองถูก ที่ปราศจากความรู้พื้นฐานและหลักความคิดที่ถูกต้อง และไม่สำเร็จสักที จนเจ๊งในที่สุด

การจะเทรดได้ดี คงไม่มีเทคนิคลัดอะไร เท่ากับการอ่านตำราให้มากที่สุดและตกผลึกด้วยตนเอง สูงสุดคืนสู่สามัญ พื้นฐานสำคัญที่สุด เพราะ สุดท้าย เทคนิคลัดในการเทรด หรือ การลงทุนใดๆ มันไม่มีจริง สุดท้ายจะเหลือเพียงความรู้ที่เราได้ตกผลึกด้วยตนเอง จากการอ่านตำราที่สอนหลักการคิดที่ถูกต้อง แล้วผ่านการนำไปทดลองใช้ เกิดเป็นประสบการณ์ ก่อเกิดเป็นวิธีการของตนเอง เทคนิคของใครของมัน แม้จะสอนให้กันก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี

สิ่งสำคัญคือ อ่านตำราทุกเล่ม ทุกแขนง ให้ได้มากที่สุด อย่าหยุดอ่านแม้แต่วันเดียว แล้วตกผลึกเป็นความรู้อันมากมายเหล่านั้น เป็นความรู้ที่เหมาะสมและใช้งานได้กับตนเอง(ซึ่งแต่ละคนตกผลึกไม่เหมือนกัน แต่ต้องอ่านและหาความรู้มากๆเหมือนกัน)

แต่ทั้งนี้มีสิ่งหนึ่งที่ต้องระลึกไว้เสมอ คือ การเทรด เป็นการผสมผสานระหว่างความรู้หลายๆอย่าง ซึ่งมีความสำคัญเท่ากัน(ขอย้ำว่าต้องให้ความสำคัญเท่ากัน อย่าพลาดอย่างใดอย่างหนึ่ง) โดยแบ่งได้เป็น 4 อย่างหลักๆที่สำคัญ คือ 

  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน(Fundamental) คือ ความรู้ในโลกความเป็นจริง เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะเทรด ซึ่งรวมถึงข่าวสารในปัจจุบัน ที่เกี่ยวข้องด้วย มีส่วนอย่างมากในการเลือกหน้าเทรด นักเทรดที่ประสบความสำเร็จทุกคน ล้วนแต่เชี่ยวชาญและเข้าใจจริงๆ ในปัจจัยพื้นฐานของสิ่งที่จะเทรด
  • การวิเคราะห์กราฟ(Techinical analysis) คือ ความรู้ในการอ่านกราฟ เป็นพื้นฐานในการหาจุดเข้าเทรดที่เหมาะสม รวมถึงอ่านตลาดจากมุมมองโลกความเป็นจริงที่สะท้อนมาในกราฟ
  • การบริหารความเสี่ยง(Risk management) คือ หลักการบริหารความเสี่ยงที่ถูกต้อง การทำ Trading diary เพื่อใช้ในการติดตามผลการเทรดของตนเอง
  • จิตวิทยา(psychology) ทั้งการเข้าในตนเอง รวมถึงการเข้าใจคนในตลาด อาจจะสำคัญน้อยกว่า 3 อย่างแรกเล็กน้อย แต่ถือว่าต้องรู้เช่นกัน

ความรู้(knowledge) สำคัญกว่าทักษะ(skill) เพราะ ความรู้เกิดจากการสะสมประสบการณ์ และ หลักการที่ถูกต้อง มาอย่างยาวนาน ของคนเก่งๆรุ่นสู่รุ่น อาจจะนานเกินกว่าที่ช่วงชีวิตของคนๆหนึ่ง จะลองถูกลองผิดด้วยตนเองได้ทั้งหมด ส่วนการฝึกฝนทักษะ ที่ถูกต้องจะเป็นการฝึกฝน หลังจากที่มีความรู้มาแล้ว โดยเป็นการฝึกใช้ความรู้นั้นให้คล่อง เป็นการใช้ความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อสร้างทักษะ ไม่ใช่การลองผิดลองถูกด้วยตนเอง(ทางที่ถูกมีอยู่แล้ว ไม่ต้องลองผิดลองถูกเอง) การอ่านหนังสือหนึ่งเล่ม ร่นระยะเวลาลองผิดลองถูกได้หลายปี หรือ อาจจะทั้งชีวิต

ตำราดีๆ ที่เคยอ่าน

  1. The art of currency trading
    • เป็นตำราที่พื้นฐานที่เกี่ยวกับ หลักการที่ถูกต้องในการเทรด เรียบเรียงอย่างเป็นระบบ เขียนอย่างมีหลักการ มีเหตุมีผลรองรับ ทั้งในเชิงทฤษฎีและเชิงสถิติ โดยหลักๆ จะเน้นการอ่านข่าว Reuters, หาข้อมูลเชิง Fundamental ของสิ่งที่จะเทรด และทำการ analysis แล้วใช้หลักด้าน technical ในการเข้าเทรด, มีการสอนทำ trading diary ที่ดี และความสำคัญของมัน ในการนำมาปรับปรุงการเทรดของตัวเอง เป็นตำราเล่มแรกที่ควรอ่าน เพื่อเปิดโลกการเทรด เพื่อให้เข้าใจว่าการเทรดที่ถูกต้องที่สุด ควรเป็นอย่างไร ผู้เขียนเขียนสนุก อ่านเพลินและได้แรงบันดาลใจมากๆ
  2. Technical analysis of the Financial market
    • อ่านเล่มนี้ จะเข้าใจหลักการอ่านกราฟราคา ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้อีกมากมาย ถ้าไม่อ่านเล่มนี้ ห้ามเทรด เปรียบได้กับการฝึกขับรถ ตำราเล่มนี้ เป็นเหมือนการศึกษากฏจราจร ถ้าไม่ศึกษามีแต่จะเกิดอุบัติเหตุได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะกราฟราคาที่ไม่ต่างจากรถที่วิ่งไปมาบนทางด่วน
  3. Naked forex
    • ช่วยเสริมให้การเทรดดีขึ้นในด้านการใช้ Technical เนื้อหามีเทคนิคในเรื่องของ หลักการหา Major support and resistance zone ที่ถูกต้อง, ความสำคัญของ closed price(ราคาปิดของแท่งเทียน), ความสำคัญของการเทรดเฉพาะในจุดที่เหมาะสม(เทรดเฉพาะที่ Major zone เพราะ จะมีแรงส่งจาก demand/supply มากกว่าโซนราคาอื่นๆ) กลยุทธ์และแนวคิดในการเข้าเทรดให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด เมื่อใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ Fundamental analysis จะเทรดได้ดีขึ้น
  4. Financial market and institution(Frederic Mishkin, Stanley Eakins)
    • เป็นตำราพื้นฐานเกี่ยวกับระบบการเงินในแบบดั้งเดิม(traditional) ไม่ได้ยากเกินคนทั่วไปจะอ่าน(แต่บทคำนวณอาจต้องอ่านหลายรอบจึงเข้าใจ) มีเนื้อหาน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับ หลักการคิด ปัญหาในระบบการเงิน โดยหากจะอ่านข่าวReutersได้เข้าใจ และมีไอเดียการเทรดดีๆ ควรต้องเข้าใจพื้นฐานระบบการเงินเหล่านี้
  5. ยังมีตำราดีๆอีกมากมาย ที่แนะนำในหนังสือ The art of currency trading ซึ่งกำลังทยอยตามอ่าน
    • เช่น Thinking fast and slow, Psychology of money เป็นต้น

ตกผลึกการเทรด

  • หลักการส่วนใหญ่ในการเทรด หลักๆได้มาจากตำรา Technical analysis of the Financial market
    • Correct way in charting is to start from telescopic view to microscopic view
      • Monthly and Weekly chart - for long term perspective
      • Daily chart - the basic for actual trading decision
      • Intraday chart - for greater precision trade
      • Summary, generally you are trading on the day TF, but the intraday TF is just used for precised trading
    • Plan before you trade, and trade as you plan.
  • ส่วนหลักการเรื่องอื่นๆทีสำคัญ เช่น Trading diary, psychology ได้มาจากตำรา The art of currency trading

อื่นๆ

  • แผนการเทรด
  • การเทรด บาปหรือไม่? โดยส่วนตัวคิดว่าไม่ เพราะ เทรดเดอร์หรือนักลงทุน เป็นเพียงส่วนน้อยที่มีผลกับมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ แต่มูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของสิ่งนั้นๆเอง อย่างเช่น
    • Forex ถ้าประเทศไหน..
      • บริหารงานได้ดี มีการเมืองที่ดี เศรษฐกิจดี ค่าเงินก็จะแข็งขึ้น ด้วยปัจจัยมากมาย ทั้งการได้ดุลการค้า จากบริษัทใหญ่ๆ ที่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆในโลก การลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ เป็นต้น ค่าเงินก็จะแข็งค่าขึ้น
      • บริหารงานไม่ดี การเมืองไม่ดีมีคอรัปชั่น โครงสร้างกฏหมาย โครงสร้างสถาบันการเงินไม่ดี ไม่มีทรัพยากรคน ขาดดุลการค้า ค่าเงินก็จะอ่อนค่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    • ซึ่งทั้งสองตัวอย่างข้างต้น ราคาไม่มีความเกี่ยวข้องกับนักเทรดเลย นักเทรดหรือนักลงทุนเป็นเพียงคนที่พยายามรักษามูลค่าของสินทรัพย์ของตัวเองไว้ ด้วยการขายสินทรัพย์ที่ไม่ดี แล้วเปลี่ยนไปซื้อสินทรัพย์ที่ดีกว่า
    • นักเทรดไม่ได้ทำบาป แต่คนที่ทำบาป คือ เจ้าของธุรกิจที่ทุจริต เช่น การปั่นหุ้นตัวเอง หรือ การคอรัปชั่นของรัฐบาล เป็นต้น

Comments

Member for

1 year 2 months
krishrong

Revision https://diarybe.com/node/201/revisions/5564/view
สิ่งหนึ่งที่ตกผลึกมาได้คือ

Just another effortless trade that go with the trend
The most successful trader is not the most brilliant one, but it is the displined trader.
Set your target to be a disciplined trader, which means always strict tightly to your limit risks.
Trading is not a game of chasing the market. It is a game of focusing on yourself with your personal trade and risk management strategy which are unique in each trader.
The best tool for trader is self-control. Even though you have the best strategy but poor self-control, you will not be able to keep the profit and become loss eventually. Even though you don't have the best strategy but good self-control, you will be able to constantly make profits in the long run. Thus, Self-control is so much more important than any strategy.
Your mental and self-control will be broken down by your uncontrolled risk appetite.
The most important thing in trade is self-control. The knowledge and skills is also important but lesser. Because without self-control, even though you can make profit from trade, it will turn out in loss eventually.
Even the trader with less skills but more better self-control can make more constant profits in the long run.
Trust yourself that you can do it over the time passes, Don't trust the market(don't risk your life with over risk or over trade)
Trading should have less stress than your main or old job and shouldn't have bad effect in your life at all, if not, you are doing it in some wrong ways and doing only your main or old job otherwise than trade is a better choice.
Trading is also some kind of gambling (with knowledge to increase odds) but not completely, it is more kind of the game of possibility and has it own system, this is why it is the game of focusing on yourself and your disciplined(how much you can risk, and when to stop - esp. when the market or yourself seems not suitable for trade).
Confidence and impulsive/reckless decision are the most dangerous trap in trading, especially when combine them together. It can greatly ruin your discipline by high tendency of over risking and impulsive trade.
if you trade over risking, from the statistic, you will end up broke finally. Because one day you will miss in trading and lose a lot, and your undiscipline trade will make you try chasing the money back which will make you trade undisciplinedly further.
Always use the same risk limit and waiting for closed price. And always realized that with good trading strategy, your can gain great profit but still be limited in each day; instead you can lose unlimitedly by undisciplined over risk and over trade.
At the time that I realized trading is a kind of gambling, I trade with more tight discipline and less emotions. Because I know that it is the possibility that will make me win this game in the long run, not by some special particular time. Thus, every trade will always be the same eg. even all time high, major economic news, more market participant, or etc.
Even though you get huge profit from overrisk, it is meaningless to your career longevity. Because you will not be lucky in every time, and the time that you are not that luck you will blow up your port.
But the profit from high reward:risk ratios or high win rates with less and less risk are the real meaningful of your trading system. Which it comes from having true knowledge and understanding in the chart analysis
However, apart from discipline, knowledge is also important to build the strategy, if you don't have enough and proper knowledge, you will still be unable to make any profits.
Dow's theory is the best. It is simply just like you are going along with the trend (like direction of traffic), not opposing it.
When it is uptrend, price will go up with higher high and higher low until it don't go up any further(make new low)
When it is downtrend, price will go down with lower low and lower high until it doesn't go down further(make now high)
Trendline and SnR zone are like the location on the map(also important)
Practicing in chart reading is also very important to make you better.
Some experts have a history of chart reading practicing around 900 charts daily.
Trading in many times require a lot of information and logic processing which means it will be a lot better to trade in quiet and non-distracted environment or at least with ear plug on.
Love money as your part of body
The first step to be successful in trading and investing is that you must love your money, love every bit of the money, even a little fragmentation, love it as if your money is a part of your body which you don't want it to be at risk or lose any little of it. Avoid risking your money like when you be careful of your finger in handling a sharp blade machine.
หลักการเดียวที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน คือ ต้องรักเงินที่มี รักเงินทุกบาททุกสตางค์ ประดุจดังส่วนหนึ่งของอวัยวะร่างกาย เราคงไม่อยากให้ส่วนหนึ่งของร่างกายเรา เช่น แขน ขา หรือ แม้แต่ปลายเล็บ ถูกนำไปเสี่ยงภัย กับของมีคม เครื่องจักรใดๆแน่นอน ในการจะใช้จ่ายเงินแต่ละครั้ง หรือ จะนำเงินไปเสี่ยงแต่ละครั้ง ก็ต้องมีความรู้สึกเดียวกันว่า เราจะยอมเอาเงินที่เรารัก ไม่ต่างจากส่วนหนึ่งของร่างกาย ไปแลก หรือ เอาไปวางไว้ในความเสี่ยงได้เท่าไหร่ การบาดเจ็บเท่าไหร่ที่เรายอมรับได้ จะเพียงปลายเล็บ ปลายผม หรือ เทียบเท่า ตัดมือ ตัดเท้า เรายอมรับได้ไหมที่จะเอามือ-เท้าของเรา ไปวางค้ำไว้ใต้ใบมีด แลกกับการอยากเสี่ยงโชคแบบไม่มีความรู้ที่แน่นอน ต้องคิดทุกครั้งก่อนจะตัดสินใจใช้เงินทำสิ่งใดๆก็ตาม
Trade should be simple and easy, shouldn't require too much brain power. Using too much brain power only to trade is not an efficient energy burn, your precious and talented brain power should be used for doing real benefit for this world.
Use risk as much as that you can still read book or focus on studying or even forget about your trade placed, usually should not cost more than price of one meal. For long or intermediate term investment, the loss shouldn't be more than cost of 1 month spending on meals.
Trading strategy

Just another effortless trade that go with the trend
The best trading strategy should be simple and stupid as possible(even a 6 years old child can do).
Because Trading is the unproductive job(has no real benefit to the world), the more you use your brain energy for analyzing, the more energy and time you waste in your life.
You should use your brain energy and life time for the your precious real productive work or your hobbies that have benefit to the world.
The most important thing in trade is self-control. The knowledge and skills is also important but lesser. Because without self-control, even though you can make profit from trade, it will turn out in loss eventually.
Even the trader with less skills but more better self-control can make more constant profits in the long run.
Just Stop and see if the trading is exceed daily limit. It is probably because you can't figure out the market or it is randomly sideway or trend reversal at that day. Then just trade demo or just try to figure out the market and trade with new strategy in the next day. It is also a very precious risk management principle.
Try to figure out why did you lost. Remember, it is just a chart which is not that hard, but what make it so hard may be yourself.
Also, Don't trade when You are tried or exhausted because you will easily lose focus, poor decision, and esp. self-control which causes you lose your profits. I can focus well only within 8 hours working range, if I trade longer than that, I will give my profit back and even end up loss in that day.
the main stategy is
Combination of Trendline and SnR zone in charting with dow theory is the best strategy
In real world of trade, any TF can be used. But always charting from the largest TF(W, D) first and then gradually go into the smaller TF(h4, h1, m5), respectively.
In reality, you are trading on TF d, w because their time horizon properly cover enough market cycles, but those smaller intra day TF are just used for entering the trade with higher leverage and profitability.
While charting, identify Trendline and Support-and-Resistant zone on any TF you clearly see, all of them are like the markers of important location on the chart; however, they are just like important location on the map/chart not the current direction of the trend that is moving
For identifying of the direction of trend at the current time(like direction of the car that is traveling from location to location on the map/chart), Dow theory is the best principle for reading the direction
If price still made Higher high and Higher low, it is up trend.
If price still made Lower low and Lower high, it is down trend.
Chart analyzing in Day&Week TF provides the most reliable trade for all assets because this time horizon is wide enough to cover many market cycles(many monthly/4-week cycles) which relate to the real life important economic events. But for entering position you can use as small TF as you prefer eg. 5min, 1h.
In analyzing, everything in d, w TF can be used eg. Trendline, SnR zone, or even individual candlesticks(the maximum moving range in d, w, the candlestick patterns eg. doji, hammer, etc)
Again, TF day and week is the best timeframe for chart analyzing(with trendline and SnR zone or any other indicators).
Day and Week TF is related to Market cycle. Because the market cycle is around 4 weeks/one month which relates to the monthly economic anouncement schedule, so it is quite not suitable to use any smaller time horizon than one day time frame to analyze the trend.
Another reason that d, w TF work well is that the chart price should never move more than the maximum average range in the day or especially week candlestick, so the SnR zones in d, w TF work well.
Principle behind SnR zone
psychological eg. people usually has common price of thing in their mind (eg. an apple is 30 cents) which lead to the characteristic of the snr zone
elastic charactor e.g. If an apple is more expensive than 30 cents(normal price in their mind) people will not buy and price will decrease to 30 cents. If it cheaper, people will buy more and the price will increase to 30 cents. -> the 30 cents price level of apple present elastic charactor of zone
range charactor e.g. If the historical price of apple were ranging around 25-35 cents, when the present price decrease to 25 cents the more demand will increase price, when the price is at 35 cents the less demand will decrease price, causing bounce of price within 25-35 cents range.
elastic charactor usually occur when price first come to the new or not often reached level(either fall or rise), but when price has already formed new history of bouncing range it usualy change to range charactor
fundamental eg. the maximum price range in each day is limited by the maximum transaction per day by trader all around the world which reflect to maximum limit of fund flow which create and also reflect in the Major SnR zones and predictable average day and week range
When correct way in charting is to start from telescopic view to micro scopic view
Monthly and Weekly chart - for long term perspective
Daily chart - the basic for actual trading decision
Intraday chart - for greater precision trade
Summary, generally you are trading on the day TF, but the intraday TF is just used for precise trading
Trade only when you can see the plan on the TF d and w chart. If you can't see the plan, don't trade. If you trade stubornly you will end up like a confused chicken in the slaughterhouse.
The simplest condition of plan is that whether you could see the SL and TP price.
When you don't see the plan (esp. when it is sideway), other traders is the same.
Don't trade, when the market is sideway, just wait and see until the price breakout the range and new trend has already set.
You will never get good price under sideway trend which is also not good for your mental health.
Even the cleverest trader still doesn't know which side the price will break, so in the trading range, no one can be truely profitable.
Trading after sideway is over has greater the profitability(can leverage more in the trend market), also it is so much less risk of stop out from "not good enough price" of sideway trend.
Don't fear of missing out, just be a disciplined trader to keep waiting and watching the chart frequently when the market is sideway and trade when sideway is over, which is breaking out either going up or down.
The other sideway trading strategy is
(the best) In the market that don't have trend(esp. in bearish market that has less market participation, and consequencely less energy for breakout), usually trading breakout is bearly possible, because of its sideway character usually causes price overlap and randomly walking esp. in tiny TF. So the best (most proper) strategy is to...
go to trade in the larger TF(h1, h4) that provide more wider time horizon(more bird eye view), less randomly walk of price that provide you to see every step of price actions more clearly.
Reward:risk ratio may decrease(from 10:1 to 3:1), but it will be much easier to manage the risk and less prone to over trade.
(the best) Hedge at low(buy) and high(sell), until it breaks out is a primary key to trade sideway. Especially, when the market has less trend, it will hardly breakout(not more than 1-2 times a day, and trading at break is usually not a safe strategy because the price can come to retest and stop it out easily). Hedging is a very useful tool.
The best hedge strategy is to buy at major support zone and sell at major resistance zone no matter what the direction you think it will go(you can also use tiny TF -m5 to enhance leverage)
(less good) Only trade short term just scalping within 1-2 candlesticks, don't expect long profits. However, it is still have high risk and low reward which is not worth trying.
(bad) Just open the position with wider stop loss range. However, the disadvantage is this strategy will require more risk but same position size which result in less profit and more loss opportunity (poor risk reward ratios) which is not good for trade.
(still bad) Pending order can be useful in case of seeing sideway range in day or week or even 1-hour TF. The best strategy is pending buy at the lowest edge of price range(in case of uptrend) and pending sell at the highest edge of price range(in case of downtrend) - but this method still have high chance of stop out because pending order usually trade against the trend
(little bit better but still bad) is trade when trend in tiny TF(M5, h1) is in the same direction with the trend in larger TF(Day, Week), but it is still high change of stopped out which will be waste of time and energy
To enter the trade, dow theory is the best to identify the direction of the trend and go with it. When combine it with trendline or SnR zone it provide the best timing indicator for entering the trade.
eg. When the price action is still under the down trendline(expect downtrend)
If the the price rise and break the resistant trendline(down trend)
if it break but doesn't make higher high, it may be changed to sideway, just continue watching it.
if it break and closed higher high, it's changing to uptrend, this is the best time to enter the trade.
Conversely, if the price come to test the trendline and can't break but close lower low
it is the best time to continue short
Whenever the price goes higher high, it can go higher and higher infinitely until it doesn't goes further and make lower low.
Whenever the price goes lower low, it can go lower and lower infinitely until it doesn't goes further and make higher high.
There will always be the time that market pause between continue the trend or reverse which is sideway.
Don't predict the market, just wait until the price is closed and read what the price action tell you.
Future prediction is based on the fundamental in the long term, not by technical analysis.
Don't counteract the market!
Waiting for Closing price is also very important. It will protect you from impulsive and unintentional trade. This is one of important fundamenal trading principles.
For example, when you think the major trend(TF d, w) is bullish, and have already identify Trendline, SnR level, etc in the big TF
wait for the chart in tiny TF to be uptrend by using dow theory which is Higher high and High low, then enter the position
after the price goes further and forms new low higher low(in uptrend) or lower high(in downtrend), adjust the stop loss to cover the entry price.
Another technique when open position
the best principle is to wait until price come and closed at the trendline or SnR zone that you are waiting and expecting for, then trade at these zone(closed price confirmation)
(have some flaw)enter the trade by counteracting the wrong price action when the trend seem unlikely goes with the same direction of your plan
eg. in case that your plan is up trend, but the current price action is going lower and it seems suitable for short, that is the best point to go long
this technique have some flaw that
counteracting the wrong price action can prone to overtrade
even though it seem provide more profit when is right, but the profit is not much and it has higher chance lossing from trade against the trend and prone to overtrading because you haven't waited for the confirmation as the previous better technique.
In summary of trading logic, it is all about logical analyzing of relationship between direction of price trend(up,down,and sideway) from dow theory and the critically important locations of the price chart which are located by trendline and support and resistant zone.
Trade only one asset a time, but trade 2-3 time a day(separate them for every 3-4 hours per one trade) use risk around 0.3% per trade = 1% per day.
Because all assets' price in the market usually rise and fall simultaneously in the same rhythm, if you enter all trades in the same single time in the same rhythm and then it goes wrong(eg. too much earlier), all the trade tends to be stopped out.
Just wait for a while(3-4 hours) before enter new trade, or place new pending order.
The reason for waiting for 3-4 hours is that Asian, Euro, and US market time are 4 hours interval. In each day, it usually has one of them the most active, one of them the less and the other the least active.
According to Dow's theory, Always place stop loss at last low in uptrend, and last high in downtrend. The trailing stop also uses this same principle.
let the positions stopped out will be better at risk control than adjust the stop loss later to increase length because you can protect your fund instead of let the market take out your fund indefinitely.
Then you can re-enter the trade at any time.
Don't trust the market, trust yourself. Always have trailing stop in every trade to keep some profits with you and also for the next trade
because most of the time(90%) the markets are always sideway and even though your positions are correct, without protection, you will get nothing but just stopped out with loss to the unpredictable and uncontrolable markets.
I am not prefer running long trend because there is a 100% chance of lossing huge amount of profit that you should be able to get. Just stop out by the trailing stop and just re-enter the position when the next chance coming is not different with running trend, but less profit loss.
Trailing stop should be adjusted following to the wave of trend eg. at latest high-low.
when and how to take profit
There is no exact TP point but just approximately. When you identified the major zone, price may come exactly to the zone or near to it but not reach
So I just take profit when it come near my TP level and have good reward:risk ratio.
When there are several/multiple upcoming important economic news announcements with in the same time, it is more wise to close all opening positions earlier to keep the current profits, because even though you are on the right side, the algorithmic trade can sharpen the price chart and wipes all opened position and also the various results of economic reports can confuse the market price.
It usually lasts for at least 30 minutes before the market turn back to normal which usually be the price prior to the news releasing.
For high volatility assets with low cost(narrow spread and low commission, esp. Gold, it should be traded with smaller position size and more frequent trade is allowed. For low volatility assets(Crypto/Stock) with high cost per trade(wide spread and high commission), trade with larger position size and less frequent(running a trend is more preferable because of less cost of position opening).
It is no use to keep watching the chart all day after the trade is placed, if the trade is right, then it will be alright, but if it is wrong, it will be stopped out.
Don't overrisk and overtrade, Trading disciplinedly can make you rich but not that fast especially by the wrong shortcuts of over risk and over trade.
Over risk and over trade has so much price to pay, much more than only opportunity to enormously loss of your money. Don't do it.
Those are
your mental health and self confidence will be deteriorated which will also affect your body health in the long run(can create cancer)
waste of time from losing focus on your work or improve yourself
opportunity to learn correct trading principle, etc.
Those mental health have so much more valuable than a loss of big money. Focus to be the disciplined trader.
Over trade is still beter than over risk because you still have some risk control but it will be tried and exhausted and usually end up with over risk. Remember to avoid all of them and practicing yourself to trade disciplinedly and trade only when it is suitable.
Overtrade -> accumulate loss -> exhausted brain and mentality -> tried to cover the loss with exhausted brain -> overrisk -> broke
Over risk comes from you don't trust yourself that you will be able to succeed in the long run, so you choose the shorter and faster way. In reality, just control yourself is not that hard to gain and retain profit with productive life.
Over trade comes from you are trading without an exact trading plan or you don't trust your plan and yourself.
Always use the same risk, because if you use high risk, you will addict to over risking. Even though it is win, finally, you will accidentally blow out your portfolio from being used to that wrong habit.
also perfer hold position little longer with trailing stop because it will create more RRR which is more healthy for your portfolio in the long run.
over risk is just like a fast food, it is not good for your health
Risk control is also very important, because there are always the days that you win and the days you loss. If you don't limit your loss day, the winning day won't be able to cover the loss day and result in gradually loss of fund.
Protecting of your fund(limit risk disciplinedly) is much more important than gaining more profit(from more leverage and more risk) because you can loss unlimitedly if you trade unresponsibly and recklessly(over risk, over trade, randomly trade with no plan) but the profit is limit by the market.
Trading bullish trend is more easier and more profitable than bearish trend.
Because in a bullish trend it is an impulse wave which has characters of going strongly with only one direction resulting in less risk and more profitability, usually high reward:risk ratios(be able to run trend).
In contrast, in a bearish trend esp. which you usually trade by sell or short it usually has more complexity because of corrective wave, it usually goes up wide and down wider with in short time(high volatility) which result in less leverage usability(wider stop loss), less profitability(less reward:risk ratios) and take profit within a very short time(scalping - Taking profit within just 1-2 candlesticks in the TF you use to trade).
However, instead of scalping, it is also possible to trade with running trend in the larger TF, and using smaller position size and same or less risk.
I don't trust volume and indicators much. Instead, I trust only price action, trendline, SnR zone and dow theory in my charting analysis.
Even though there is high volume peak from some wealth traders, it still can be human wrong decision esp. in bearish market
For indicators, it will easily make you forget the main points in chart analysis which is price action(trendline, SnR, dow theory).
After you've developed the profitable trading strategy, the next more important is focusing on developing the good risk management strategy.
Because trading strategy is just the tool for getting profits. You still be able to loss indefinitely from poor risk usage strategy.
Trading is the possibility game(one kind of gambling), no matter how good you are at the trade(or your trading system) there will always be win and loss. Without good robust risk management and disciplinedly stricting to it, you will be broke in the long run.
For me the following list is my risk management strategy
The following method is not much effective because market is so much depend on price action and it is no an exact time. So let the price action(Chart analysis) itself tells the proper time to trade is the best way(eg. break the sideway range)
Trade only 3 times a day which are at time begining(9 am) of the asia(tokyo), euro/british(London), and US(Newyork) markets. They are gmt +9, gmt 0, and gmt -4 respectively, which are 7 am, 2 pm, and 8pm of gmt +7(Bangkok) time.
Trade with 0.3% of risk limits for each market, if it loss, wait for the next market round.
The reason for waiting for the next market round is that because not all the market rounds have the trend.
There usually be like one to two of them are trend and the other one will be sideway. Or two of them are sideway and the other one will be trend.
Asia and EU(british) usually have the same character(trend/sideway) and the US usually opposite.
It is also acceptable not to trade when there is clearly no trend(sideway) and add the unused risks to the next market round.
Don't use the risk exceed 1% loss limitation a day
Staring at the chart price all day doesn't help your trade went as you wish. Trading is not about wish but risk management and propability game. Just monitors it frequently around the day and action when it come to your planned location(major zone/ trendline) then go with dow theory.
Market has its own thoughts, its own movements, its own brain, does not under any one control, and always does what it please, not yours.
Market is always changing, the strategy you use in the previous days may not be able to use in the next day. This is the reason you always have to gather new chart information every day, and always form new strategy.
Thus, always be nimble, and good luck!
old and unsuccessful strategy
Don't predict or analyze the market - it is too hard and prone to loss for individual to predict the market(neither fundamental nor technical analysis), especially with this unproductive job (no real benefit to the world). The trading job is not worth with your precious energy and time.
Just Go with the trend - simply using Dow theory to identify the trend in your prefered time frame(for me is 5 minutes).
If you see the chart price makes higher high and higher low, it is uptrend
if you see the chart price makes lower high and lower low, it is downtrend
Identify the map - apart from identifying the direction of the trend with dow theory, trendline and support/resistance zone is like location on the map that is still necessary, because the trend will pause at. Thus, identify them to decrease your stop out change
Just Propability - Trade as many assets as you can to diversify the risk and opportunities. Normally, there should be at least 1 or 2 or even 3 trade that have strong trend in each day that will cover all the loss and make profit for you.
Don't trust any trade. - Every trade has an opportunity to loss, no matter how much confident you have. So just use the small risk that you are comfortable in an exchange for a larger amount of money.
Repeat this process day after day to gradually increase long term profit.
Again, always remember that don't waste your time, energy and mental health on this unproductive job. Instead, just do it as simply as possible and use your precious brain power, energy and mental health for the real productive job or even good hobbies or studying new things or skill to develop yourself to make real benefit for this world.
การเทรด คือ การทำธุรกิจการเงิน

การเทรด เป็นเพียงอาชีพๆ หนึ่ง ที่ไม่ต่างกับการทำธุรกิจ หรือ กิจการหนึ่งๆ ที่ต้องใช้ความรู้ การวิเคราะห์ที่เหมาะสม เพื่อมุ่งหวัง สะสมการทำกำไร และ หลีกเลี่ยงการขาดทุน ไม่ใช่การลงทุนแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือ ศรัทธาอย่างแรงกล้า เพื่อหวังเปลี่ยนชีวิตในครั้งเดียว โดยไม่สนกำไรขาดทุน
การเทรดและการลงทุน จะไม่ใช้อารมณ์ หรือ ศรัทธาอย่างแรงกล้า เพื่อหวังเปลี่ยนชีวิตในครั้งเดียว(all-in) ซึ่งมันไม่ได้ต่างจากการซื้อล๊อตเตอรี่(เพียงแต่ดูภูมิฐานกว่า ดูมีความรู้มากกว่า แต่จริงๆ มีโอกาสเสียเงินมากกว่าเสียอีก หากไม่มีความรู้) โดยจะเป็นการใช้ความรู้เพื่อ เอาเงินน้อยๆ เสี่ยงแลกเงินที่มากกว่า และทำซ้ำๆ เพื่อสะสมเพิ่มพูนให้มากขึ้นๆ
การเทรดจะไม่มีการ all-in ต่อให้สินทรัพย์นั้นๆ หรือ ธุรกิจนั้นๆจะดีแค่ไหน เพราะ เหมือนเป็นการที่เรากำลังทำธุรกิจการเงิน แต่เรากลับเอาเงินในธุรกิจของเราเองทั้งหมด ไปฝากไว้กับธุรกิจของคนอื่น โดยไม่คำนวณการขาดทุนให้ดี
เหตุผลเดียวที่เราจะ all-in คือ ก็ต่อเมื่อเป็นธุรกิจของเราเอง เพราะ เรารู้จักตัวเราเองดีที่สุด หมายความว่า ถ้าเราจะทำธุรกิจการเงิน เงินส่วนใหญ่ต้องเก็บอยู่กับตัวเรา ในสินทรัพย์ที่คงที่ ไม่ใช่ฝากไว้กับธุรกิจคนอื่น
ต้องมีการควบคุมความเสี่ยงในการขาดทุนให้ต่ำที่สุดเสมอ โดยมุ่งหวังใช้ความเสี่ยงเล็กน้อยนั้น ไปแลกกำไรที่มากขึ้น (เช่น เสี่ยง 0.3% แลก 1% ทำซ้ำ 10 ครั้ง ก็อาจจะมีขาดทุนบ้าง แต่ก็อาจได้เพิ่มมา 5%) โดยใช้ความรู้แบบบูรณาการณ์ร่วมกันในศาสตร์อันหลากหลายข้างต้น(อธิบายไปด้านบน) เพื่อหาโอกาสแลกทำกำไร
โอกาสในการเทรดไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในโลกภายนอก แต่ขึ้นอยู่กับความรู้และทักษะที่เรามี โอกาสมีเสมอในทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกปี เราจะมองเห็นโอกาสได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเรามี ความรู้ ทักษะ และ มีแผนการเทรดไว้เหมาะสมแค่ไหน
สิ่งที่น่ากลัวสำหรับคนที่ไม่เข้าใจการเทรด คือ การนำหลักการมาปนกับการลงทุน และ การพนัน โดยเข้าใจว่าโอกาสใหญ่ๆ ที่ราคาสินทรัพย์จะวิ่งในทิศทางเดียวอย่างต่อเนื่องและยาวนาน มีไม่กี่ครั้ง ซึ่งจริง แต่เป็นในแง่ของการลงทุน โดยเป็นการลงเงินทุนเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ต้องทำงานระยะใหญ่ๆ(ให้เงินทำงาน) แต่ก็ยังต้องอยู่ในการควบคุมความเสี่ยง และ การตัดขาดทุนในกรณีที่ผิดทาง ซึ่งเราสามารถนำเครื่องมือในการเทรดมาประยุกต์ใช้ โดยเราอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อสินทรัพย์นั้นจริงๆ แต่สามารถใช้การเปิด position size ในสินทรัพย์นั้นๆ เท่ากับเงินทุนที่เราต้องการลงได้ ซึ่งเครื่องมือในการเทรด ทำให้เราสามารถคุมความเสี่ยงในการตัดขาดทุนได้ง่ายขึ้น
หลักการลงทุน จะเป็นการนำเงินก้อนใหญ่ ไปขยายให้ใหญ่ขึ้น
หลักการเทรด จะเป็นการนำเศษเงินเล็ก ไปแลกเงินหลายเท่าของเศษเงินเล็กๆนั้น แล้วสะสมทบไปเรื่อยๆ
แต่ทั้งสองแบบ ต้องมีการคุมความเสี่ยงและการตัดขาดทุน(stop loss)เหมือนกัน
ความรู้สาขาไหนสำคัญที่สุด Fundamental vs Technical vs Psychology
Fundamentals 50%
ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษกิจ เกิดขึ้นแน่ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คาดการณ์ได้โดยส่วนใหญ่(ขึ้นกับความสามารถ และความรอบรู้) มีน้ำหนักมากที่สุดในการเทรด เพราะเป็นกลไกขับเคลื่อนตลาด ที่ต้านทานไม่ได้ อาจมีการผันผวนจากการทำกำไรระยะสั้น (sell on fact) แต่สุดท้ายก็ต้อง เป็นไปตามอิทธิพลของปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอยู่ดี จึงสำคัญที่สุด
Technical 25%
ให้น้ำหนักเท่ากับหลักจิตวิทยา โดยเฉพาะ chart patterns ที่เกิดจากพฤติกรรมการตอบสนองทางจิตวิทยาของมนุษย์ ที่มีความหมายซ่อนอยู่ในพฤติกรรมราคาเหล่านั้น ข้อเสียคือ เป็นสิ่งที่ทุกคนในตลาดสามารถเห็นได้เท่าๆกัน หรืออาจเห็นต่างกันตามbiasของแต่ละคน ซึ่งไม่ได้มีใครถือไพ่เหนือกว่าใคร (เด็ก 6ขวบหรือผู้ใหญ่ก็ทำได้ไม่แตกต่าง) สำคัญน้อยลงมา เพราะเวลาที่ตลาดทีมีการรับรู้ fact ทาง fundamental หนึ่งที่เปลี่ยนไป chart pattern ที่เคยเป็นแบบหนึ่ง หรือ volume pressure หนึ่งที่เคยเป็นแบบหนึ่ง ก็จะมีการ rejection และเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่งได้ pattern เดิมที่อุตส่าห์จ้องคอยกันมานาน ก็เปลี่ยนรูปแบบไปอย่างไม่ใยดี Technical จึงมักใช้ได้ผลในช่วงที่ไม่มีข่าวหรือ facts ทาง Fundamental ที่มา disrupt
แต่ทั้งนี้จะมี Technical อย่างหนึ่งที่ใช้ได้ผล(เสมอ) คือ 4 week rule ซึ่งเป็นการเทรด breakout ของแท่งเทียน week 4 แท่งก่อนหน้า(แท่งเทียนปัจจุบันคือแท่งที่5) เพราะส่วนหนึ่งมีการจับหลักว่า market cycle จะเกิดครบรอบ ใน 1เดือน(4 สัปดาห์)เสมอ เพราะการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ มักจะประกาศในทุกเดือน ซึ่งยังได้มีการทดสอบ โดยนำไปเทรดแบบ algorithm พบว่าได้ผลดีจริง
หลักการจะเหมือนกับการ copy trade คือ รอให้มีการ breakout เลือกทางในภาพใหญ่ก่อน แล้วจึงตามคนส่วนใหญ่ไป ผิดทางก็ cut loss
Psychology 25%
อันนี้ยังอ่านไม่ถึง แต่ก็น่าจะเป็นแนวๆ market sentiment ให้ความสำคัญเท่ากับ Technical analysis เพราะ สามารถถูกปรับเปลี่ยนตาม Fundamentals ได้เสมอ
+ Risk management in every trade
วิธีการเทรดในปัจจุบัน

เทรด แค่ high liquidity asset, high volatility เท่านั้น เพราะ ค่า spread ต่ำ(ต้นทุนเริ่มต้นในการเทรด) แต่โอกาสทำกำไรมาก ไม่รู้จะไปเทรดอย่างอื่นที่มีต้นทุนการเทรดเยอะ แถม reward ต่ำ ทำไม(spreadกว้าง / commission สูง แต่กราฟวิ่งไม่ไกล) โดยที่ดีที่สุด คือ Gold เพราะ spread แคบมาก แต่ราคาวิ่งได้ไกลทุกวัน และ รองลงมาคือ Major currency pair ส่วน BTC เนื่องจากใน exchange มีค่า commission สูง จึงพอๆกับเทรดคู่สกุลเงินหลัก
โดยสรุป คือ ทั้งวันรอแค่กราฟทอง อย่างเดียวก็ได้
ขยันตอนฝึกเทรด ฝึกดูกราฟ เป็นสิ่งที่ดี แต่เทรดจริง อย่าขยันเทรด แต่เน้นรอเป็นหลัก เช่น รอให้กราฟชัด รอให้กราฟมาตามแผน เป็นต้น
หลักการเทรด ไปอ่านหนังสือเอา แล้วตกผลึกด้วยตนเอง(4 หมวดหลักข้างต้น)
อื่นๆ

แผนการเทรด
การเทรด บาปหรือไม่? โดยส่วนตัวคิดว่าไม่ เพราะ เทรดเดอร์หรือนักลงทุน เป็นเพียงส่วนน้อยที่มีผลกับมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ แต่มูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของสิ่งนั้นๆเอง อย่างเช่น
Forex ถ้าประเทศไหน..
บริหารงานได้ดี มีการเมืองที่ดี เศรษฐกิจดี ค่าเงินก็จะแข็งขึ้น ด้วยปัจจัยมากมาย ทั้งการได้ดุลการค้า จากบริษัทใหญ่ๆ ที่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆในโลก การลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ เป็นต้น ค่าเงินก็จะแข็งค่าขึ้น
บริหารงานไม่ดี การเมืองไม่ดีมีคอรัปชั่น โครงสร้างกฏหมาย โครงสร้างสถาบันการเงินไม่ดี ไม่มีทรัพยากรคน ขาดดุลการค้า ค่าเงินก็จะอ่อนค่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งทั้งสองตัวอย่างข้างต้น ราคาไม่มีความเกี่ยวข้องกับนักเทรดเลย นักเทรดหรือนักลงทุนเป็นเพียงคนที่พยายามรักษามูลค่าของสินทรัพย์ของตัวเองไว้ ด้วยการขายสินทรัพย์ที่ไม่ดี แล้วเปลี่ยนไปซื้อสินทรัพย์ที่ดีกว่า
นักเทรดไม่ได้ทำบาป แต่คนที่ทำบาป คือ เจ้าของธุรกิจที่ทุจริต เช่น การปั่นหุ้นตัวเอง หรือ การคอรัปชั่นของรัฐบาล เป็นต้น

Mon, 11/18/2024 - 12:18 Permalink

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.