- หัวใจหลักของการเทรด คือ กำไรทบต้นที่จะทวีคูณในระยะยาว ไม่ใช่การมัวแต่หากำไรมากๆ จากการเทรดแต่ละครั้ง
- เคยเห็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ ใช้ RR ส่วนใหญ่แค่ 1:2 แต่สามารถได้กำไร 17 เท่าใน 1 ปี จากการทบต้น และเมื่อดูสถิติได้กำไรรวมมากกว่า RR 1:3 อีก แถม win rate ยังแค่ 55% ซึ่งมากกว่าการทายหัวก้อยเพียงเล็กน้อย
- การเทรดไม่ใช่การโยนหัวก้อย อย่างไรก็ต้องมีการเรียนหลักวิชา ต้องศึกษาทั้งจากตำราและผู้มีประสบการณ์ เหมือนทุกอาชีพ รวมถึงความรู้ในสิ่งที่จะเทรด ถ้าไม่เรียนรู้หลักการและความรู้ที่ถูกต้อง อาจเป็นการพายเรือในอ่าง ลองผิดลองถูกไม่จบสิ้น win rate อาจไม่ถึง 10% ซึ่งไม่เพียงพอจะอยู่รอดในระยะยาว
- การได้กำไรจาก RR มากๆในการเทรด เหมือนโบนัสจากการทำงานของนักเทรดที่อยู่ในตลาดได้นานเท่านั้น แต่ถ้าจะมุ่งหากำไรมากๆในการเทรดแต่ละครั้ง มันเป็น mindset ที่ไม่ถูกต้อง
- การเทรดในช่วงแรก จะเป็นไปได้ช้า เพราะ ต้องใช้เวลาในการเพิ่มทุน แต่พอทุนมากขึ้นแล้ว จะยิ่งได้กำไรมากขึ้นๆไปอีกจากการทบต้น(โดยที่ยังคงใช้ % risk เท่าเดิม)
- การเทรดไม่ใช่งานที่จะต้องรีบทำกำไรเกินตัว เพราะ จะทำให้เรา over trade และ ใช้ risk มากเกิน ทุนที่ตัวเองมี จนเจ๊งในที่สุด
- การโฟกัสกับการคุมความเสี่ยง จึงสำคัญที่สุด เพื่อที่จะสามารถยืนระยะ จนเกิดพลังการทบต้นได้ในระยะยาว
- การ over risk, over trade เป็นความผิดพลาดที่สุดของนักเทรดมือใหม่ ที่มุ่งหาแต่การทำกำไรมากๆ จนขาดทุนแทน เพราะ ถ้าทำตามระบบความน่าจะเป็น อย่างไรก็มีแนวโน้มจะชนะในระยะยาวได้อยู่แล้ว
Fundamental หรือ Technical?
- ขึ้นอยู่กับลักษณะทาง Fundamental ของสิ่งที่เราจะเทรด เช่น
- Forex เป็นตลาดที่มี Market cap ใหญ่ที่สุดในโลก การเคลื่อนย้ายเงินทุนขนาดใหญ่ ที่มากพอที่จะมีผลกับตลาด มักจะเกิดจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ไม่ใช่แรงซื้อ-ขายจากนักลงทุน(Technical เลยใช้ไม่ได้ผล หรือ อาจได้ผลใน TF เล็กๆ หรือ TF ใหญ่มากๆ)
- กลับกัน หุ้น หรือ Crypto ที่มี Market cap ไม่ใหญ่(เมื่อเทียบกับ Forex) มักไม่ได้มีข่าวด้านปัจจัยพื้นฐานบ่อยๆ(ใช้ Fundamental โดยตรงไม่ได้) แรงซื้อ-ขายของนักลงทุน ที่สัมพันธ์กับ Technical analysis ก็จะมีผลได้มาก รวมถึงอาจมีรายใหญ่ สร้างกราฟ/ควบคุมการเคลื่อนของราคาได้ด้วย
- ทั้งนี้โดยส่วนตัวคิดว่าการเทรดต้องเริ่มจาก Fundamental ก่อน เสมอ ต่อให้เราไม่ใช้ Fundamental โดยตรงก็ตาม ซึ่งเมื่อเข้าใจ Fundamental ของตลาดในปัจจุบัน รวมถึงต้องรู้จัก Fundamental ของสิ่งที่เราจะเทรดเป็นอย่างดี เราจึงจะสามารถกำหนดกลยุทธ์ และ หน้าการเทรด(ซื้อ/ขาย) ที่เหมาะสมได้
- ตัวอย่างเช่น
- Crypto หากอยู่ในช่วงที่ US Fed ขึ้น interest rate ก็ไม่น่าแปลงที่เงินทุน จะไม่เข้ามาในตลาด Crypto แต่ไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้US แทน เพราะ การฝากเงินใน US จะได้ผลตอบแทนจาก ดอกเบี้ยสูงแบบชั่วร์ๆ ง่ายกว่า แถมยังความเสี่ยงต่ำ
- กลยุทธ์การเทรด Crypto ในช่วงนั้น ก็มักจะเป็นการขาย Crypto ที่มีอยู่ หรือ Short หรือ ทยอยซื้อเก็บเรื่อยๆทีละนิดๆ(หากรู้ว่าอีกไม่นาน ในอนาคตกำลังจะลดดอก) เป็นต้น
- ตัวอย่างเช่น
- การอ่านข่าว ไม่ได้จะอ่านเพื่อเอาเนื้อหาไปเทรดในวันนั้นๆ(แม้จะมีเหมือนกัน) แต่หลักๆเป็นการอ่าน เพื่อให้รู้ถึงปัจจัยต่างๆที่กำลังขับเคลื่อนตลาดอยู่ หรือ ภาพรวมตลาด เมื่อรู้ปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อน ก็จะสามารถกำหนดหน้าเทรดในสกุลเงินต่างๆได้
- เช่นว่า สกุลเงินหนึ่ง ประเทศกำลังประสบปัญหาทางการเมือง ซึ่งอย่างไรก็จะมีผลกินระยะเวลานาน หน้าเทรดที่เหมาะสมในช่วงที่มีปัจจัยนี้อยู่ จึงจะเป็นการ sell สกุลเงินนั้น
- ส่วนการเทรดจริงในแต่ละวัน ก็จะอาศัย Technical ง่ายๆ ในการหาจุดเข้าเทรดที่จะทำให้ได้เปรียบที่สุด โอกาสผิดน้อยที่สุด
- ในการเทรดไม่จำเป็นต้องหาตัวที่วิ่งไกลที่สุด แต่ให้หาตัวที่เรามั่นใจและมีข้อมูลมากที่สุด เพราะ ต่อให้วิ่งไกล แต่เราไม่มั่นใจ เราก็ไม่กล้าใช้ risk เยอะ กำไรก็ไม่มากอยู่ดี แต่กลับกัน ตัวที่เรามั่นใจ ในบางครั้งเราก็กล้าเพิ่ม risk ได้ ก็ได้กำไรมากกว่า และใช้เวลารอกราฟวิ่งน้อยกว่า
- นอกจากนี้ ถ้าวิเคราะห์แล้วงงๆ หรือยังไม่แน่ใจ จะไม่เทรด เพราะ ความไม่มั่นใจ จะทำให้เรา ไม่แน่ใจว่าจะเอาไงแน่ บางทีถูก stop loss run หากเรามั่นใจ เราก็จะรู้ว่าต้องหาจุดเข้าใหม่ แต่หากเราเทรดในตัวที่ไม่มั่นใจ เราก็อาจจะถูกกราฟหลอก(กราฟสามารถมองแบบไหน ก็ดูเป็นไปได้ทั้งหมด และเรามักมองตามความลำเอียงของเราเอง) แล้วเข้าใหม่แบบเรื่อยเปื่อย แล้วถูกกินstop loss ขาดทุนไปเรื่อยๆ
Comments