- เวลาอยู่คนเดียว สิ่งที่จะต้องเจอคือ เพื่อนเก่า คือ กิเลสที่คอยล่อหลอก ให้อยากแสวงหาความ เพลิดเพลิน สนุกสนาน ลืมเวลา ลืมความรับผิดชอบ ลืมความฝัน ลืมภาระหน้าที่ สิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำ คือ อย่าไปฟัง อย่าไปหลงเชื่อ แรงกระตุ้นจาก เพื่อนเก่า มันคือภาพลวงตา ที่ครอบงำ ความคิด สติ-สัมปชัญญะของเรา และ คอยฟังเพื่อนใหม่ คือ สติสัมปชัญะ ซึ่งจะทำให้เราไม่หลงลืมตัวเอง ความรับผิดชอบ หน้าที่ ความฝัน
- ช่วงก่อนที่อ่านหนังสือที่มหาลัย เราก็ไม่กล้าดูการ์ตูน หรือเล่นเกมส์ เพราะ สถานที่คือห้องสมุด อยู่ท่ามกลางผู้คนที่ต้องการความสงบเงียบ ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร อ่านหนังสือทั้งวันก็ไม่ตายนะ
- แต่พอกลับมาอ่านหนังสือที่ห้อง แบบอยู่คนเดียวทั้งวัน กลับมีความอยากดูการ์ตูนผุดขึ้น อยากลองเล่นเกมส์ที่ไม่เคยเล่น ซึ่งแรกๆ ก็ยังพอควบคุมตัวเองให้อ่านหนังสือ ไม่ลืมความรับผิดชอบ ไม่ลืมความฝันได้ แต่พอไปเรื่อยๆ จะมีเผลอใจเริ่มไปลองทำตามความอยากดู แล้วหากเผลอไปทำแล้วติดใจ จะกลับค่อยๆ ลืมสติสัมปชัญญะ ลืมความฝัน ลืมความรับผิดชอบ ลืมกระทั่งตัวตนของตัวเองไป
- สิ่งสำคัญคือ อย่าฟังเพื่อนเก่า คือ กิเลส ที่คอยหลอกให้เราเพลิดเพลินและ หลงลืมความรับผิดชอบ ลืมความฝัน ความเป็นตัวเองไป คอยฟังเพื่อนใหม่ คือ สติสัมปชัญญะ ที่คอยเตือนว่าเราเป็นใคร ต้องทำอะไร
- นอกจากนี้ สติสัมปชัญญะ ยังใช้ในการฝึกสมาธิได้ด้วย เช่น
- สมมติอ่านหนังสืออยู่ แล้วเผลอไปดูการ์ตูนแบบไม่รู้ตัว พอมีสติรู้ตัวขึ้นมาก็กลับมาอ่านหนังสือต่อ ฝึกไปเรื่อยๆ จะสามารถอ่านหนังสือต่อเนื่องนานๆได้
ศึกษาด้วยตนเอง
- ถ้าอ่านเพื่อเอาไปใช้ เพื่อพัฒนาชีวิต (ไม่ได้อ่านเพื่อสอบ)
- ไม่ต้องทำสรุป ตรงไหนไม่เข้าใจไม่ต้องอ่านซ้ำ ให้ไปหาหนังสือเล่มอื่น ในระดับเดียวกัน ที่อธิบายในเรื่องเดียวกัน มาอ่านเพิ่มเติมแทน
- ความรู้ในโลกมีมากมายมหาศาล เหลือเฟือ ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลาชีวิต ในการพยายามอ่านข้อมูลเดิมที่ไม่เข้าใจ เพื่อเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ
- การอ่านซ้ำในสิ่งที่ไม่เข้าใจ เป็นเหมือนการรับข้อมูลเดิม ซึ่งยากที่จะทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ได้
- ข้อเสียของการอ่านซ้ำ จะทำให้เรายึดติดกับกรอบความรู้ในตำราเดิม เสียเวลาชีวิตกับตำราที่อธิบายให้เราเข้าใจไม่ได้ พลาดโอกาสการเรียนรู้มุมมองอื่นๆ ที่กว้างขึ้นจากตำราเล่มอื่น ซึ่งอาจมีคำอธิบายที่ดีกว่า เข้าใจได้ง่ายกว่า ลึกซึ้งกว่า
- ถ้าอ่านเล่มแรกไม่เข้าใจ แสดงว่าเล่มนั้นไม่เหมาะสมกับเรา ให้อ่านเล่มอื่นที่มีเนื้อหาเรื่องเดียวกันแทน
- หรือบางทีอ่านไม่เข้าใจมากๆ อาจเกิดจากการที่เรายังมีความรู้พื้นฐานไม่พอ ให้ไปอ่านเล่มอื่นก่อน ที่มีเนื้อหารองลงมา แล้วกลับมาอ่าน อาจจะเข้าใจทะลุปรุโปร่งมากกว่าและเข้าใจได้เร็วกว่า การที่เอาแต่พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ
- แต่มีอีกกรณีหนึ่ง คือ เรา"เชื่อว่า" หนังสือเล่มนี้ดีมากๆ ไม่มีเล่มอื่นที่จะมีเนื้อหาที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ควรค่าที่จะอ่านซ้ำหลายๆรอบ ก็อ่านซ้ำได้ เช่น พระไตรปิฎก เป็นต้น
- หรือมีอีกกรณีหนึ่ง ที่แม้เราจะเข้าใจ แต่ลืม หรือ ต้องการเก็บรายละเอียดบางส่วนเอาไว้ ก็สามารถอ่านซ้ำและทำสรุปได้ ในบางบทเหล่านั้น
- แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังแนะนำให้ อ่านหนังสือให้หลากหลายเล่มในเนื้อหาเดียวกัน อย่างไรก็ดีกว่า การอ่านซ้ำๆอยู่กับตำราเล่มเดียว นะ
- ที่ต้องรู้อีกอย่างหนึ่งคือ อย่าเชื่อตำราทั้งหมด(พระพุทธเจ้าสอนในกาลามสูตร 10) ขึ้นชื่อว่า หนังสือ ก็ใช่ว่าจะดีทุกเล่มนะ คนเขียนก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรานี่แหละ ก็ยังมีถูกผิด ต้องรู้จักตั้งคำถามและข้อสังเกตให้มากๆ เนื้อหาอาจจะถูกบางบท ผิดในอีกบางบทก็ได้
- ไม่ต้องทำสรุป ตรงไหนไม่เข้าใจไม่ต้องอ่านซ้ำ ให้ไปหาหนังสือเล่มอื่น ในระดับเดียวกัน ที่อธิบายในเรื่องเดียวกัน มาอ่านเพิ่มเติมแทน
- แต่ถ้าอ่านเพื่อสอบ หรือต้องการความแม่นยำของเนื้อหา จะอ่านซ้ำๆ อันนี้ไม่ว่ากัน แต่ถ้ามีเนื้อหาที่ไม่เข้าใจ แนะนำให้อ่านตำราอื่นเพิ่ม อย่าเอาแต่จมอยู่กับตำราเล่มเดียวที่อธิบายให้เราเข้าใจไม่ได้
- ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า หนังสือที่เราอ่านไม่เข้าใจ จะเป็นหนังสือที่ไม่ดีนะ หนังสือเล่มเดียวกัน สำหรับอีกคนอาจจะเป็นหนังสือที่เข้าใจได้ดีก็ได้ มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พื้นฐานความรู้ในเรื่องนั้นๆ ที่เรียนมาไม่เท่ากัน เป็นต้น
https://student.mit.edu/catalog/m6a.html อันนี้เป็น syllabus ของ computer engineering (CE) ของ MIT
- เอาชื่อ courses ย่อยๆ ไป search ใน youtube จะเจอคลิปของทั้งคอร์สอยู่
- ใต้คลิปจะมีลิงค์ไปยัง MIT course ware https://ocw.mit.edu/ อีกที ซึ่งจะมี lecture ให้โหลดด้วย
- จะได้เรียนเนื้อหาเหมือนกับที่สอนใน MIT เลย แต่อาจจะเก่าหน่อย แต่ก็ใช้ได้
- ถ้าไล่เนื้อหาตาม syllabus จนจบ ก็เหมือนได้เรียน computer engineering ได้เอง เทียบเท่าจบปริญญาเลย
- ทั้งนี้ บางคอร์ส อาจจะยังไม่มีชื่อเหมือนในปัจจุบัน ต้องลองหาคอร์สเก่าชื่อที่และรหัสคล้ายๆกันเอา เพราะ บางคอร์สในปัจจุบันเปลี่ยนชื่อและคนสอน ซึ่งยังไม่ได้สอนในปีนี้ เลยยังไม่มีคลิป
- * การ search หาชื่อ คอร์ส จะหาจากใน MIT course ware เลยก็ได้ ของ CE จะขึ้นต้นด้วย เลข 6
อื่นๆ
- https://github.com/AB1908/CS-Books/blob/dev/Curriculum.md/#data-structures-and-algorithms
- https://github.com/ossu/computer-science
cybersecurity
อันนี้ มีเป็น roadmap เลย ของสายงานต่างๆ ศึกษาไล่ตาม flowchart ได้เลย
Tags
หลังจากที่ช่วงหนึ่งทำโปรแกรม แล้วมีบัค และถูกตามตัวไปแก้ ซึ่งด้วยความที่ยังไม่ชำนาญ ทำให้ใช้เวลาไปเยอะ อีกทั้งรู้สึกเครียดรู้สึกเหมือนถูกกดดันหลายอย่าง(ทั้งๆที่เป็นงานที่ทำฟรี ทำงานการกุศล ให้กับผู้อื่น เพื่อเก็บประสบการณ์) แม้ช่วงที่ผ่านมาจะแก้บัคไปหลายรอบ จนทดสอบแล้วคิดว่าไม่น่าเหลือ และค่อนข้างสมบูรณ์แบบ แต่ก็ประสบกับความเครียดเยอะ และเห็นหลายปัญหาของตัวเองคือ
- เราบอกว่าชอบเขียนโปรแกรม แต่ช่วงที่ว่างก็ไม่ได้ฝึกเลย ทำให้พอเจอจริงๆ ก็ทำพลาด เกิดบัค ไม่มีประสบการณ์ว่าต้อง test ให้ดีก่อน - ถ้าไม่ฝึกบ่อยๆหรือคอยหาความรู้เพิ่มเติม จนชำนาญ แล้วเจอเหตุการณ์คับขันอีก คงเครียดและ ไม่เหลือความชอบในการเขียนโปรแกรมแน่เลย(พรสวรรค์ talent ก็ ไม่สำคัญเท่า ความต่อเนื่อง consistency นะ)
- ความเครียดทำให้ลองหันไปดูการ์ตูน จนติดการ์ตูน และใช้เวลาไม่เกิดประโยชน์ ทั้งๆที่อ่านหนังสือก็สนุกเหมือนกัน แถมได้ความรู้มากกว่า
สิ่งที่ต้องทำนับจากนี้คือ ต้องมีเวลาในทุกวัน มาศึกษาด้าน Programming/Coding เพิ่มเติม ไม่ว่าจะในส่วนเนื้อหา หรือ ฝึกเขียนโปรแกรมจริงๆ อาจจะเป็นในช่วงเย็น หลังจากการอ่านหนังสือเตรียมสอบในช่วงเช้า ฝึกให้เก่ง มีประสบการณ์ มีความชำนาญ จะได้ไม่ต้องเครียด หัวร้อน จากการเขียนโปรแกรมอีก
- นอกจากนี้ ถ้าถือศีล8 ซึ่งเป็นการทำ Dopamine fasting อย่างเคร่งครัด อย่างน้อย สัปดาห์ละ1-2ครั้งก็ดีนะ
Tags
เนื่องจากการที่เราจะศึกษาอะไรบางอย่างด้วยตนเอง เช่น อ่านหนังสือเตรียมสอบ หรือ อ่านเพื่อเพิ่มความรู้ใหม่ๆ เป็นต้น บางทีเราไม่มีใครมาแนะนำเราว่า ควรอ่านหนังสือเล่มไหน ใครเขียนดี หรือ บางทีรูปแบบการเรียนของเขาอาจจะไม่เหมาะกับเราก็ได้ ซึ่งหากเราไปพบเจอกับรูปแบบการเรียน หรือ ตำราที่สอนไม่เหมาะกับรูปแบบการเรียนรู้ของเรา อาจทำให้เราศึกษาได้ช้า และ ไม่เข้าใจ
ดังนั้น ถ้าเราอยากจะเรียนรู้ด้วยตนเอง สิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือ กระจายความเสี่ยง ด้วยการ ลองใช้วิธีการศึกษาหลายๆ รูปแบบ เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมกับเรา ที่จะทำให้เราพัฒนาตนเองเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด เช่น อ่านตำรา Grammar ภาษาอังกฤษ ก็ลองอ่านจากผู้เขียนหลายๆคน เพราะ แต่ละคนก็มีรูปแบบการสอน และ เทคนิคการอธิบายที่แตกต่างกันไป ถ้าอ่านตำรานึงแล้ว รู้สึกเข้าใจยาก หรือ อธิบายไม่ชัดเจน ก็ลองเปลี่ยนตำราดูบ้าง เผื่อจะเข้าใจง่ายและชัดเจนขึ้น เป็นต้น อย่าไปยึดติดที่ตำราใดตำราหนึ่ง ใช้การสังเกตตัวเองเป็นหลัก ว่าเราเหมาะกับตำราหรือรูปแบบการเรียนไหน
ทั้งนี้การเรียนรู้ อาจจะไม่ได้จำกัดอยู่ที่ ตำราเพียงอย่างเดียว สื่อการสอนรูปแบบอื่น ก็อาจทำให้เราเข้าใจได้ดีเหมือนกัน หรือ อาจดีกว่า ซึ่งเราต้องสังเกตตัวเอง ว่าเหมาะกับแบบไหน
นอกจากนี้ อีกอย่างคือ ใน 1 วัน อย่ามุ่งเน้นไปที่การศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงอย่างเดียว ควรศึกษาหลายๆอย่าง ไปพร้อมๆกัน เพราะ
- การศึกษาเพียงอย่างเดียว มันจะไม่ได้พัฒนาสมอง ครบทุกส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ
- ใน 1 วัน หากเราศึกษาเพียงอย่างเดียว ส่วนที่ใช้เยอะจะล้าง่าย พอสมองส่วนนั้นล้า ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ก็จะลดลง ต่อให้พยายามฝืนมันก็ไม่ได้ดีขึ้น(เปล่าประโยชน์)
- ใน 1 วัน ถ้าเราศึกษาหลายๆอย่าง พอเริ่มสมองล้า ก็เปลี่ยนเรื่องที่ศึกษา มาใช้สมองอีกส่วนได้ทันที ส่วนที่ล้าก็จะได้พักผ่อน เราจะได้พัฒนาสมองครบทุกส่วน 100% อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ส่วนใหญ่ มักจะแบ่งเรื่องที่ศึกษา ออกเป็น 2 ส่วน ให้เหมาะสมกับสมองซีกซ้าย และ ขวา มั้งนะ หรือจะแบ่งแบบอื่นก็ได้ เช่น ภาษา คำนวณ&ตรรกะ ศิลปะ การเคลื่อนไหว เป็นต้น
- หรือแบ่งให้ง่ายกว่านี้คือ พอรู้สึกว่า สมองเริ่มรับอะไรไม่ไหว ก็เปลี่ยนมาทำกิจกรรม หรือ ศึกษาสิ่งที่เบาสมองลงมา แล้วสลับสัปเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆทั้งวัน
- วิธีสังเกตว่าสมองเริ่มล้าแล้ว คือ รับอะไรไม่ไหว อ่านได้ช้าลง ย่ำอยู่กับที่ ขอให้รู้ไว้ว่า ไม่ใช่ว่าเราโง่เลยไม่เข้าใจ แต่เพราะ สมองมันล้าต่างหาก ให้เปลี่ยนกิจกรรม ไปศึกษาอย่างอื่น สักพัก(หรือวันถัดมา) ค่อยกลับมาศึกษาต่อ ซึ่งมักจะเกิดไอเดียดีๆ และทำให้เข้าใจเนื้อหาที่เคยสงสัยได้