Skip to main content
บันทึกของบี

Main navigation

  • บทความสำคัญ
  • Logs ทั้งหมด
    • รวม Logs ทั้งหมด
    • Brain logs
    • Daily logs
    • Dev logs
User account menu
  • Log in

Breadcrumb

  1. Home

ideas

By krishrong, 11 November, 2023

Raspberry Pi 5

เพิ่งรู้ว่ามี Raspberry Pi ซึ่งเป็น Arm base processor กินไฟน้อย 2-4 watts แต่ยังใช้ทำงานง่ายๆไม่ต้องการการประมวลผลหนักๆได้ เหมาะมากกับอุปกรณ์ที่ต้องเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่เนื่องจากแต่ก่อน chipset ขาดตลาด เลยทำให้ราคาแพงขึ้นมาก ล่าสุดเพิ่งออกรุ่นที่ 5 มา หวังว่าจะราคาถูกลง คุ้มค่ามากขึ้นนะ

มีอีกยี่ห้อนึง ของจีน Orange Pi 5 ซึ่งราคาถูกกว่า แะไม่ขาดตลาด ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะ

ซึ่งใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมาก มีคนใช้เป็น Server, Desktop, Crypto Wallet

Tags

  • ideas
By krishrong, 24 October, 2023

ข้อเสียของ Social media

  • กำไรของ Social media มาจากการดึงเวลาว่างในชีวิตผู้คน มาแปลงเป็นเงิน ผ่านการขายโฆษณา ยิ่งสามารถทำให้ผู้คนเอาเวลาว่างของตนเองมาใช้งานได้นานขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะขายโฆษณาได้มากขึ้นเท่านั้น
  • ระบบในการดึงเวลาผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด คือ การหาข้อมูลที่ผู้ใช้สนใจมาป้อนให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งด้านหนึ่งก็มีประโยชชน์ แต่บางทีก็เหมือนดาบสองคมและเป็นโทษ ในกรณีที่ขาดการกลั่นกรองอย่างเหมาะสม เช่น ผู้ใช้งานเผลอไปดูการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ระบบก็เข้าใจว่าผู้ใช้ชอบดูการ์ตูน และส่งการ์ตูนมาให้ดูเรื่อยๆ จนกลายเป็นคนติดการ์ตูนไป
  • เวลาในชีวิตที่ถูกดึงไป โดยปกติมักเป็นเวลาที่ผู้คน เอาไปใช้ทำงานอดิเรก ทำในสิ่งที่ตนเองสนใจโดยเฉพาะให้เชี่ยวชาญมากขึ้น หรือ พัฒนาตนเอง หมายความว่า ยิ่งถูกดึงเวลาไปใช้กับ Social media มากขึ้นเท่าไหร่ คนก็จะไม่ได้พัฒนาตนเองมากขึ้นเท่านั้น
    • สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เกิดคนที่รู้หลายอย่าง แต่ไม่ได้เก่งหรือเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ ไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นเหมือนๆกันหมด
  • ผู้คนหลงลืมความเป็นตัวเองไป จากเหตุผลที่ถูกดึงเวลาชีวิตไป จนไม่ได้พัฒนาในสิ่งที่ตนเองสนใจ หรือ สิ่งที่เราถนัดจริงๆ ต่อให้เราได้รู้และเข้าใจสิ่งที่เป็นที่นิยมอยู่ในSocialขณะนั้น แต่สุดท้ายกระแสสังคมไม่นานก็เปลี่ยนไป ความเข้าใจนั้นก็ไม่ได้ประโยชน์มากไปกว่าการเอาไปคุยกับคนอื่นรู้เรื่องในช่วงนั้น แต่การที่เราพัฒนาตนเอง พัฒนาความรู้ในด้านที่เราสนใจ ในสิ่งที่เป็นตัวเราจริงๆ ให้เก่งขึ้น เชี่ยวชาญขึ้น มันจะอยู่กับเราไปตลอด รวมถึงอนาคต คนอื่นจะต้องมาขอให้อธิบายสิ่งที่เราเชี่ยวชาญให้ฟังเสียอีก เผลอๆ อาจจะมีคนจำนวนมาก อยากฟังเรื่องที่เราพูด ไปตลอดทั้งชีวิตของเราเลย
  • เป็นการฝึกใช้เวลาว่างให้ไม่เกิดประโยชน์ แทนที่เวลาว่าง จะทำงานอดิเรก หรือแม้แต่หยิบหนังสือเล่มเล็กๆขึ้นมาอ่าน เพื่อให้ได้พัฒนาตนเองและสมองได้ใช้งาน แต่กลับมาเลื่อนหน้าจอ Social media เพื่อรอดูข้อมูลที่ถูกป้อนให้เรื่อยๆ สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้จริงๆ มาจากการเอาเวลาว่างอันน้อยนิด ที่มีอยู่ในแต่ละวัน มาพัฒนาตนเอง ไม่ใช่การเอาแต่อ่านข้อมูล ข่าวสาร ที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ไม่ได้เพิ่มคุณค่าของตัวเราในระยะยาวจริงๆ

แนวทางแก้ไข

  • โดยส่วนใหญ่ ข้ออ้างในการเล่น Social media คือ การติดตามข่าวสาร ซึ่งถ้าอ่านข่าวจริงๆ แค่วันละครั้งก็พอแล้ว อย่างสมมติถ้าเปลี่ยนจาก Social media เป็น หนังสือพิมพ์ ที่นำเสนอข่าวสารประจำวันเหมือนกัน ก็ไม่ค่อยเห็นมีใคร เอามานั่งอ่านทั้งวัน ไม่เว้นแม้แต่เวลาว่างเลย จริงไหมนะ?! หรือ สิ่งที่ Social media มีนอกเหนือจากข่าวสาร คือ ความบันเทิง ที่ไม่ค่อยมีสาระประโยชน์มากกว่า
  • เคยลองใช้แบบจำกัดเวลาต่อวัน ทั้งกำหนดเวลาเอง และ การใช้โปรแกรมช่วย สุดท้ายก็ลืมและกลับไปเล่นยาวๆอยู่ดี
  • วิธีการสังเกตตัวเองว่า เสพติด social media หรือไม่ คือ ลองหยุดใช้งานดูสักวัน ดูว่าจะมีอาการกระสับกระส่าย ไม่มีอะไรทำ อยากจะกลับเข้าไปใช้ ทั้งๆที่ไม่มีธุระอะไรหรือไม่ ถ้ามีอาการแบบนี้ก็น่าจะเสพติดแหละ
    • สาเหตุเกิดจาก ความบันเทิง ที่เราได้รับจาก social media ทำให้เกิดการหลั่งสาร Dopamine ในสมอง
      • dopamine จะถูกหลั่ง เมื่อเราได้ทำ หรือ ได้รับ สิ่งที่เราชอบ สนุก เพลิดเพลิน
      • ซึ่งในธรรมชาติจริงๆ จะเป็นผลมาจาก การได้รับอาหาร การออกกำลังกาย หรือ การได้รับรางวัลต่างๆ เป็นต้น ซึ่งมักจะได้รับ หลังจากที่มีการกระทำที่ต้องอาศัยความพยายาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้เป็นผลเสีย เป็นแรงกระตุ้นตามธรรมชาติ ให้เราทำสิ่งที่มีประโยชน์กับตัวเอง เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป
      • แต่ในยุคปัจจุบัน  เช่น การอ่าน ดู ฟัง เล่น สิ่งที่ทำให้เกิดความบันเทิงต่างๆ หรือ กระทั่งสิ่งเสพติด มันทำให้เราสามารถเกิดการหลั่ง dopamine ได้เรื่อยๆ แบบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร พอสมองได้รับบ่อยๆเข้า ก็จะเริ่มได้ผลน้อยลง ต้องทำมากขึ้นเพื่อให้ได้รับผลเท่าเดิม กลายมาเป็นอาการเสพติด ส่งผลให้ไม่สามารถ ทำกิจวัตรประจำวันอื่นๆได้ตามปกติ การทำงาน การเรียนเสียไป
      • จะมีวิธีการที่เรียกว่า Dopamine Fasting คือ การหยุดทำกิจกรรม ที่ทำให้เกิด Dopamine แบบผิดธรรมชาติ เพื่อให้สมองกลับมาทำงานในแบบปกติ
  • ถ้าเป็นไปได้ เลิกเล่น Social media หรือ ถ้ายังไม่ได้ ต้องใช้งานแบบเฉพาะกิจ โดยหลีกเลี่ยงหน้า Feed ที่มีการป้อนข้อมูลให้เราตลอดเวลา เช่น ใช้สำหรับเข้า Group เรียนเท่านั้น, สำหรับเข้าอ่านบางเพจที่เราติดตาม ที่มีสาระประโยชน์จริงๆ เป็นต้น
    • ส่วนหน้า Feed เอาไว้ดูแค่แป๊บเดียว เพื่อดูข่าวคราวคร่าวๆ แล้วรีบออก ไม่งั้นจะเผลอไปดูอีกยาว
  • วิธีที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการเลิกใช้ไปเลย แล้วเอาเวลามาศึกษา ศาสตร์ต่างๆด้วยตนเองดีกว่า ยอมโง่กว้างแต่รู้ลึกในทุกเรื่องที่เรารู้ น่าจะเป็นประโยชน์กับชีวิตในระยะยาว มากกว่า การรู้กว้างขวางทุกอย่างแต่ไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้ในชีวิตจริงสักอย่าง นอกจากนี้ หากเวลาผ่านไป ยิ่งเราเพิ่มศาสตร์ที่ศึกษาไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นผู้ที่รอบรู้ ทั้งรู้กว้างขวางและรู้ลึก และยังนำไปใช้ได้จริงอย่างกว้างขวาง และอาจเกิดการบูรณาการได้อย่างไม่สิ้นสุดในที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ปล. Social media ที่หมายถึง คือ สื่อสังคมออนไลน์ทั้งหมด ที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้สร้างเนื้อหาหลัก แต่อาศัยเนื้อหาจากผู้ใช้งานมาอัพเดตตัวเองตลอดเวลา เช่น Facebook, Youtube, Twitter, Tiktok เป็นต้น

Tags

  • การเรียนรู้
  • Dopamine Fasting
  • พัฒนาตนเอง
  • ideas
  • บทความสำคัญ
By krishrong, 20 October, 2023

โปรแกรมที่ดี ต้องยืดหยุ่น ปรับแต่งให้เหมาะสมกับการใช้งานได้อิสระ

โปรแกรมที่ดี ต้องสามารถปรับแต่งให้เข้ากับผู้ใช้งานได้ อย่างอิสระ และ ชาญฉลาด ช่วยให้ผู้ใช้งาน สะดวกขึ้น ทำงานง่ายขึ้น รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเข้าหาโปรแกรม แต่สามารถปรับแต่งโปรแกรมให้เหมาะกับตัวเองได้

สาเหตุที่ต้องปรับแต่งได้อิสระ เพราะ เราไม่สามารถทำโปรแกรมหนึ่งๆ ให้เข้ากับผู้ใช้ทุกคนได้ บางคนมีความต้องการใช้เครื่องมือที่หลากหลาย ในขณะที่บางคนต้องการความเรียบง่ายและไม่ได้ใช้อะไรซับซ้อน โปรแกรมที่ดี จึงไม่ควรจำกัดอิสระ ในการปรับแต่งด้วยตนเองจากผู้ใช้ ยิ่งหากผู้ใช้สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับตัวเองได้มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน ได้มากขึ้นเท่านั้น

กรณีศึกษา คือ ระบบปฏิบัติการ MacOS กับ Linux

สิ่งที่พบเจอใน MacOS คือ

  • User interface (UI) ที่ออกแบบมาให้ เน้นความเรียบง่าย สวยงาม ที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ และยังค่อนข้างจำกัดการปรับแต่ง เช่น
    • ไม่อนุญาตให้สามารถปรับแต่งอะไรได้มากมายนัก เช่น Menu bar ปรับให้เล็กลงก็ไม่ได้ ซ่อนไม่ได้ บางทีรู้สึกว่ากินพื้นที่เยอะเปล่า และไม่ค่อยได้ใช้งาน(ทั้งที่ dock bar ด้านล่างซ่อนได้นะ)
    • Window manager ที่ไม่สามารถแบ่งครึ่งหน้าจอได้โดยง่าย ต้องใช้เมาส์กดหลายทีกว่าจะได้ ทำให้ทำงานไม่สะดวก กว่าจะเซ็ตหน้าต่างเสร็จ กว่าจะได้ทำงาน
    • เน้นการใช้เมาส์คลิก ไม่เน้นการใช้คีย์ลัด
    • คีย์ลัดยังทำงานแปลกๆ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ เช่น 
      • ปุ่ม Command + tab เพื่อสลับโปรแกรม จะสลับได้เฉพาะโปรแกรมที่หน้าต่างเปิดอยู่ ถ้าหน้าต่างถูกซ่อนไปแม้โปรแกรมจะยังไม่ปิด ก็จะไม่สามารถสลับเพื่อเปิดหน้าต่างขึ้นมาได้ สุดท้ายต้องใช้เมาส์เลื่อนไปคลิกเปิดหน้าต่างนั้นเอง อีกทั้งยังสลับไดัเป็นตัวโปรแกรม ซึ่งหน้าต่างทั้งหมดของโปรแกรมนั้นๆ จะถูกสลับขึ้นมา และบังกันเอง ต้องใช้คีย์ลัดคือ option + tab เพื่อสลับในโปรแกรมอีกที มีเหตุผลอะไรวะเนี่ย!?
    • มีคนพยายามคิดโปรแกรมเสริม เพื่อให้ระบบ Window manager และ shortcut keys ทำงานได้ดีมากขึ้น แต่ก็ไม่สมบูรณ์แบบอยู่ดี
  • concept ที่ว่า "ผู้ใช้ต้องปรับตัวให้เข้าหา MacOS" โดยส่วนตัว คิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะ คอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้ชีวิตมนุษย์ ง่ายขึ้น พัฒนาขึ้น เข้าถึงความรู้ได้มากขึ้น ถ้าสร้างคอมพิวเตอร์ขึ้นมา แต่ใช้ไม่ได้ หรือใช้ลำบาก ไม่สามารถทำตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มันก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเลย คอมพิวเตอร์ไม่ใช่เครื่องประดับ ถ้ารูปลักษณ์ดูดีอย่างเดียว แต่ทำอะไรไม่ได้ มันไม่ตอบโจทย์การใช้งานได้จริง
  • หลังจากที่ทนใช้มา 6เดือน ก็พบว่า เกิด productivity ต่ำมาก งานที่เคยทำได้ ก็ไม่ค่อยก้าวหน้าเลย จาก User interface ที่ไม่มีความสะดวกในการใช้งานแม้แต่น้อย
  • ที่เราเจอมา มีคนทำคลิปอธิบายไว้แล้ว https://www.youtube.com/watch?v=8yjW-kMivWQ 

สิี่งที่พบเจอใน Linux คือ

  • User interface มีให้เลือกหลากหลาย ส่วนตัวชอบ KDE ซึ่งออกแบบมา เพื่อให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับแต่งได้ละเอียด ให้เหมาะกับการทำงานของเรามากที่สุด เช่น
    • widget บน desktop สามารถทำเป็นชั้นหนังสือ หรือ โฟลเดอร์ที่เข้าบ่อย ก็ได้ 
    • คีย์ลัด ลื่นไหล สลับโปรแกรมได้อย่างไม่มีปัญหา เวลาทำงานที่ใช้หลายหน้าต่างก็ทำได้รวดเร็ว ไม่มีข้อจำกัด แม้มีเพียงหน้าจอเดียว ก็ยังทำงานได้สะดวก
  • โปรแกรมต่างๆ ที่ใช้ทำงาน ฟรีทุกอย่าง เป็น opensource และ ใช้ดีด้วย เช่น kate ซึ่งเป็น text-editor ที่ทำงานบน KDE สามารถเชื่อมกับ command line ได้, เบาทำงานรวดเร็ว, ออกแบบมาได้เรียบง่าย ชาญฉลาด ใช้งานได้ไม่สะดุด(ไม่ใช่เรียบง่ายแต่ทำอะไรไม่ได้เลย) ดีเกือบๆเท่า VS code เลย แต่เบาเครื่องกว่า ใช้ง่ายกว่า
  • ส่วนอื่นๆ ก็ปรับแต่งได้ทุกอย่าง เช่น เวลาพับหน้าจอโน๊ตบุ๊คลง ก็สามารถสั่งให้ run script ที่ตั้งไว้ก็ยังได้(มีใน setting ของ KDE) เป็นต้น 
  • หลังจากที่ใช้งานมาเพียง 3 เดือน ก็เสร็จไป 2 project แล้ว ถึงแม้ตัวมันเองจะมีปัญหาเรื่อง driver กับการ์ดจอโน๊ตบุ๊ค ทำให้ภาพเคลื่อนไหวดูกระตุก แต่กลับทำงานจริงเกิดผลงานมากกว่า MacOS เยอะ

โดยส่วนตัว คิดว่า สาเหตุที่ Linux พัฒนาได้ดี เข้าใจ concept เรื่องการปรับแต่งที่หลากหลาย การใช้งานที่ยืดหยุ่น สาเหตุหลักอย่างหนึ่ง เกิดจากการที่เป็น opensource ทำให้เวลาที่ใคร ใช้งานแล้วมีปัญหาตรงไหน หรือเกิดไอเดียดีๆอะไร ก็สามารถช่วยกันพัฒนาได้จากโปรแกรมเมอร์อาสาสมัครทั้งโลก(พลังของ opensource) ต่างจากโปรแกรมที่ทำเพื่อขาย มักจะเน้นพัฒนาแต่ความสวยงาม ดูหวือหวา รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดี การตลาด เน้นทำกำไรจากผู้บริโภค แต่ไม่ได้ไปเน้นประสิทธิภาพในการทำงานจริงๆ

opensource น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย ที่จะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆกับโลก อย่างแท้จริง

Tags

  • เขียนโปรแกรม
  • open-source
  • ideas
  • Linux
  • บทความสำคัญ
By krishrong, 4 September, 2023

Ideas: โปรแกรมเว็บบล๊อกส่วนตัว ที่ติดตั้งแล้ว online ได้เลย

Features

  • เป็นเหมือน Web blog ส่วนตัว แต่แค่ติดตั้งApp ลงคอม/มือถือ ก็onlineได้เลย ไม่ต้องไปพึ่งพา แพลตฟอร์ม social media
  • ผู้ใช้งาน เป็นเจ้าของเนื้อหาของตนเอง อย่างแท้จริง เพราะ เนื้อหา, รูปภาพ, วีดีโอ จะถูกเก็บไว้ในเครื่องผู้ใช้งาน + เข้ารหัส ไม่ได้ไปฝากไว้กับ ส่วนกลาง

 

  • ไม่มี domain name ให้ แต่จะใช้ protocal ที่สร้างขึ้นเอง โดยเรียกหากันภายใน App ผ่าน username หรือ หากเปิดผ่าน browser จะใช้  ip address ปกติ
  • มีบริการ subdomain/sub-directory/custom domain name เพื่อให้ เรียกผ่าน web browser หรือ search engine ง่ายขึ้น เดือนละ 10 บาท(ไม่รวมค่า domain name)

 

  • มี option sync เนื้อหาไปไว้บน decentralized cloud เพื่อให้ online 24 hr โดยไม่ต้องรันผ่านทรัพยากรคอมของตัวเอง โดยจะต้องเช่าพื้นที่+bandwidth
  • cloud มาจากผู้ใช้งานด้วยกัน ที่มีคอมพิวเตอร์ + Network ที่มีประสิทธิภาพผ่านเกณฑ์ และเปิด 24hr อยู่แล้ว

เงื่อนไข

  • เป็น open source

ข้อควรระวัง

  • Security: หาก user ถูก Hack = ฉิบหาย กลายเป็นช่วงโหว่ขนาดใหญ่

หรือ จะทำเป็น super app แบบ elon musk ด้วย ที่ครอบคลุมทุกอย่างในชีวิต ทั้ง เปิดร้านขายของส่วนตัว มีตลาดสำหรับขายของ จ่ายเงิน ชุมชน/กลุ่มที่สนใจเรื่องเดียวกัน หรือแม้กระทั่ง เรียนออนไลน์/streaming หรือ มีผู้ช่วยส่วนตัว(AI) ที่ช่วยแนะนำเรื่องการพัฒนาตนเอง กล่าวคือ ทำทุกอย่างบนนี้ได้เลย

นอกจากนี้ อาจเพิ่ม mode: Metaverse เข้าไปด้วย เพราะ ในเมื่อจะทำให้ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ถ้าทำเป็น Metaverse ด้วย น่าจะเข้าถึง function การใช้งานต่างๆ ง่ายขึ้น

หรือ จะทำเป็น operating system? คิดว่าไม่เหมาะ ควรรันได้บนทุก OS จะดีกว่า

Tags

  • ideas
ideas

เนื้อหาทั้งหมด

บทความสำคัญ(26) พัฒนาตนเอง(24) Intermittent Fasting(15) การเรียนรู้(14) Linux(7) อาหาร(7) Dopamine Fasting(6) แผนการณ์ชีวิต(5) การเงิน(5) ภาษาอังกฤษ(5) ideas(4) open-source(3) เขียนโปรแกรม(3) Web Server(3) ปัญหาสายตา(3) สมาธิ(3) ธรรมะ(3) คลังไม่สำคัญ(3) จัดโต๊ะทำงาน(3) บันทึกประจำวัน(2) ตรวจสอบตนเอง(2) ธุรกิจ(2) เกี่ยวกับ(2) ออกกำลังกาย(2) ศึกษาด้วยตนเอง(2) Cardano(crypto) (1)Drupal (1)Windows (1)อุปกรณ์ (1)

บทความปรับปรุงล่าสุด

  • วิธีการ ต้มธัญพืชให้นิ่มเร็ว และไม่เกิดแก๊สในลำไส้
    Tue, 12/05/2023 - 18:45
  • สัปดาห์1 ธ.ค.
    Tue, 12/05/2023 - 18:45
  • ลองลดปริมาณการกินเหลือวันละมื้อ ลดเวลานอน ลดการออกกำลังกาย เพิ่มเวลาชีวิต
    Tue, 11/28/2023 - 10:55
  • บันทึกส่วนตัว พ.ย. 66
    Mon, 11/27/2023 - 21:44
  • กินกาแฟแล้วสมาธิดีขึ้น
    Sun, 11/26/2023 - 07:26
  • กลับบ้าน หรือ อยู่หอ ข้อดี vs ข้อเสีย
    Fri, 11/24/2023 - 18:55
RSS feed
Powered by Drupal