Skip to main content

รวมกิจกรรมที่ทำให้เกิด productivity, พัฒนาตนเอง ที่ทำในปัจจุบัน

Submitted by krishrong on

For my life, the most important things for self-development are meditation, alternate day fasting and 5min HIIT, which are arranged by importance respectively.

  • The most important and unskippable is meditation
    • I have ruled out many things that affect my work, reading and study such as eye muscles, light flickering, and glaring effect on reading and I found that even though I've completed or controlled all those things, it is still no good if I don't do only one thing which is meditation.
    • I may have ADD which is a variation of ADHD. Thus, meditation is the most crucial thing in my life.
  • Alternate day fasting and 5min HIIT on fasting day have a ton of good health benefits for the body and especially the brain which will help support the practicing of meditation.
    • it is able to skip HIIT or do less aggressive fasting but do not skip meditation

  • ออกกำลังกายแบบ HIIT(High intensity) วันละ 5 นาที - มีงานวิจัยว่า ทำให้เกิดการหลั่ง BDNF มากกว่าการออกกำลังกาย ปกติ 4-5 เท่า ซึ่งมีผลในการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาสมองโดยตรง ทั้งนี้ถ้าไม่สะดวกอดอาหารจริงจังแบบข้ามวัน(Alternate day fasting) แบบที่จะแนะนำต่อไป การออกกำลังกายHIIT ร่วมกับจำกัดเวลากินอาหารไม่เกิน 12 ชม(IF 12/12) แค่นี้ ก็พอจะทดแทนได้
    • ตัวอย่างการออกกำลังกาย เช่น วิ่งเร็วสุดแรง(sprinting), planking เป็นต้น โดยสลับรูปแบบการออกกำลังกายทุกวัน เพื่อสลับให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นๆได้พักอย่างเต็มที่
    • ทั้งนี้มันเป็นการออกกำลังกายที่หนัก ควรทำมากที่สุดไม่เกินวันเว้นวัน หากสังเกตพบว่า ทำแล้วรู้สึกเพลีย แทนที่จะสดชื่น ควรหยุดพักทันทีสัก 1-2 วัน เพราะ ถ้าทำมากเกินไป จะเกิดความเครียดต่อร่างกาย แทนที่จะได้ประโยชน์ จะเกิดฮอร์โมนความเครียดและการอักเสบในร่างกายแทน
      • ในวันพัก แนะนำให้ ออกกำลังกายเบาแบบ IWT ซึ่งก็ได้ BDNF เหมือนกัน และได้มากกว่าการออกกำลังกายปกติด้วย โดยเป็นวิธีการเดินเร็ว สลับเดินช้า อย่างละ 3 นาที เป็นเวลา 30 นาที ทุกวัน หรือ อาจเป็นการวิ่งช้า สลับเดินเร็ว อย่างละ 3 นาที ก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นไปอีก
  • นั่งสมาธิ ตอนเช้าหลังตื่น และ ก่อนนอน ครั้งละ 10 นาที
    • เป็นแนวทางการฝึกสมาธิที่โดยส่วนตัวทำตามได้ง่ายที่สุด เพราะ ไม่ได้นานเกินไป จนรบกวนชีวิตประจำวัน จนทำทุกวันได้ยาก
    • ที่พบกับตัวเองคือ ถ้าช่วงเช้าไม่มีสมาธิ ช่วงก่อนนอน ก็มักจะทำสมาธิได้ หรือ ถ้าก่อนนอนทำสมาธิไม่ได้ ช่วงเช้าก็มักจะทำได้ ทำให้มีโอกาส สามารถฝึกสมาธิให้ก้าวหน้าได้เรื่อยๆ
    • นอกจากนี้ในระหว่างวัน ก็คอยฝึกรู้ลมหายใจ แต่ไม่ต้องรู้นาน แค่ระลึกถึงลมหายใจทีละ 2-3 ลมหายใจ(ถ้าฝึกในชีวิต ไปทำสมาธิครั้งละ 10 นาที ทุกชั่วโมง คงไม่เหมาะกับชีวิตที่เร่งรีบ) แต่สิ่งสำคัญคือการระลึกรู้บ่อยๆ ยิ่งถี่ ยิ่งดี อันนี้จะช่วยให้สมาธิพัฒนาได้เร็วมาก
  • ฝึกสติ คอยระลึกรู้กายใจ รู้ความรู้สึก รู้ความคิด แม้เราจะไม่ปราถนาการบรรลุธรรม แต่สติเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองที่ดีมาก การที่เราคอยดูความเปลี่ยนแปลงตนเอง สามารถทำให้เรารู้ว่าอะไรมากระทบเรา แล้วตัวเราเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไร ปกติหรือไม่ปกติ สามารถปรับปรุงแก้ไขตนเองในเบื้องต้นได้ ไปจนถึงการรู้ ความคิดที่เรามักแอบคิดโดยที่ไม่รู้ตัว นิสัย กิเลส จนเกิดการเปลี่ยนแปลงนิสัย ยกระดับจิตใจตัวเองขึ้นไปอีกขั้นได้
  • งดน้ำตาลทรายน้ำหวาน และ ลดการกิน แป้งแปรรูป แป้งขัดสี ให้เหลือน้อยที่สุด เพราะ สิ่งเหล่านี้จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงอย่างฉับพลัน และ ไม่คงที่ ส่งผลโดยตรงต่อระบบควบคุมน้ำตาล และ ส่งผลโดยตรงต่อสมาธิมากๆๆๆ(ซึ่งแม้จะออกกำลังกาย หรือ Fasting ก็ช่วยไม่ได้)
    • น้ำตาลในเลือดไม่ใช่สิ่งผิดปกติ แต่ที่ผิดปกติจากธรรมชาติคือ แป้งขัดสี และ น้ำตาลทราย
    • วิธีการถ้ายังต้องกินข้าวราดแกง ซึ่งมีแต่ข้าวขัดสี ความเห็นส่วนตัว คือ แบ่งเป็นมื้อเล็กๆ กินทีละน้อย(ไม่เกินกำปั้น) แต่เพิ่มความบ่อย เพื่อเลียนแบบการดูดซึมน้ำตาลทีละนิด ของแป้งไม่ขัดสีในธรรมชาติ (ไม่รู้ว่าถูกไหมนะ แต่ให้สังเกตตัวเองว่า หลังกินอาหาร ยังคงสามารถมีสมาธิอ่านหนังสือได้ปกตินั่นแหละ ถ้าโฟกัสไม่ได้ แสดงว่า กินแป้งขัดสี/น้ำตาลเยอะไปแล้ว)
      • แต่เอาจริงๆก็กินให้น้อยที่สุดนั่นแหละ แล้วหาแป้งไม่ขัดสี ที่มีกากใย(แป้งเชิงซ้อน) กินเพิ่ม
    • อย่า Fasting โดยที่กินแป้งแปรรูป/ขัดสีปริมาณมากในคราวเดียว เพราะ อาจจะแย่กว่าการแบ่งกินมื้อเล็กๆ และเพิ่มช่วงระยะเวลากินให้นานขึ้นเสียอีก
  • Alternate day fasting(กินอาหารวันเว้นวัน IF 36/12 - กินในช่วง 12 ชม แล้วอด 36 ชม) -  การจะอดอาหารให้ได้ประโยชน์เข้มข้นจริงๆ คือ​ ต้องอดมากกว่า 24 ชม ขึ้นไป เพื่อให้เกิดการชะลอวัย (Autophagy)และ ประโยชน์ด้านสมอง(แต่ได้ BDNF เพียง 3.5 เท่า ที่การอด 48 ชม อาจไม่มากเท่าการออกกำลังกาย HIIT นะ? อันนี้ไม่แน่ใจ) ซึ่งโดยส่วนตัวพบว่า ถ้าจะอดอาหาร การกินอาหารวันเว้นวัน เป็นรูปแบบชีวิตได้ทำได้ง่าย และได้ผลดีที่สุด วิธีหนึ่ง
    • ประโยชน์หนึ่งของการอดอาหาร (Fasting) ในการพัฒนาตนเอง คือ ทำให้มี Neuroplasticity สูงขึ้น สมองสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะ การคิดคำนวณ การใช้เหตุผล การเคลื่อนไหว ภาษา ฯลฯ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ฝึกนิสัยใหม่ ก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วย มีการใช้ในการรักษาผู้ป่วยทางสมอง คนปกติก็น่าจะได้ประโยชน์ไม่น้อย
    • พยายามอดข้ามวันให้ได้บ่อยๆ หรือ อดวันเว้นวันให้ได้ตลอด โดยส่วนตัวแต่ก่อนเคยลองกินวันละมื้อ(IF 22/2) แต่พัฒนาตนเองได้ไม่เร็วเท่าการกินอาหารแล้วอดวันเว้นวัน(IF 36/12)
    • หากเรียงลำดับประสิทธิภาพในการทำงานและการพัฒนาตนเอง(เช่น Performance ในการอ่านหนังสือ การใช้ความคิดที่พัฒนาขึ้น)ของการอดรูปแบบต่างๆ จากมากไปน้อยมีดังนี้  (* เป็นความเห็นจากประสบการณ์ส่วนตัว อาจเชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด)
      • IF 42/6 (กินในช่วง 6 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน แต่ทำได้ยาก)> IF 36/12(กินในช่วง 12 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน  - ทำได้ไม่ยากนัก) > IF 22/2 (กินวันละมื้อทุกวัน) > IF 16/8(กินในช่วง 8 ชม ทุกวัน)>IF 32/16(กิน 16 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน)
    • แต่ทั้งนี้จะเลือกอดวิธีไหน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของชีวิตแต่ละคน ที่น่าจะง่ายสุดคือ กินอาหารวันเว้นวัน(IF 36/12) ส่วนใครที่ชีวิตแทบไม่ได้ใช้แรงหรือขยับตัว ก็อาจลดชั่วโมงที่กินอาหารลงอีกเหลือ 6 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน(IF 42/6)
  • ถือศีล 8 เป็นรูปแบบชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ถ้าถือศีลทุกวันคงไม่ไหว สำหรับคนปกติที่มีกิเลส ก็ถืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในวันหยุด หรือถ้าจะให้ดีคือ ถือวันเว้นวัน เพื่อฝึกตนเองขึ้นไปอีก
  • นอนน้อย 4 ชม ในพระไตรปิฎก(บทชาคริตานุโยค) บอกถึงการนอนในเวลา 4 ทุ่ม ถึง ตี2(มัชฌิมยาม) ซึ่งเป็นเวลานอนที่ดีที่สุด แต่จะทำได้ต้อง ถือศีล 8 กินก่อนเที่ยง เพื่อให้ร่างกายอยู่ในโหมด Fasting (ถ้ากินอาหารมื้อดึก จะตื่นยาก) และ ฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขณะนอนหลับ นอกจากนี้ต้องค่อยๆปรับตัว ช่วงแรกๆจะยังรู้สึกลำบากมาก - > ขอละไว้ก่อน อาจจะไม่ไหว
  • ดื่มกาแฟ วันละ 1-2 แก้ว ช่วยให้สมาธิดีขึ้นมาก(โดยเฉพาะคนที่เป็นสมาธิสั้น) เพิ่มการโฟกัส ช่วยให้สมองขยันทำงานมากขึ้น ลดความเสี่ยงสมองเสื่อมในระยะยาวได้ อีกทั้ง มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะกว่าชาเขียว 10 เท่า แต่ทั้งนี้ต้องเป็นกาแฟที่คั่วกลาง เต็มเมล็ด แล้วมาบดชงเอง(กาแฟที่ผ่านการบดมานาน และผ่านกรรมวิธีมาแล้ว ประโยชน์จะลดลงมาก)
    • ทั้งนี้อาจไม่ได้ดีเสมอไป มีงานวิจัยว่าการดื่มกาแฟ ขณะที่นอนไม่เพียงพอ จะทำให้สมองส่วน Grey matter มีปริมาตรเล็กลงได้
    • ทั้งนี้ คาเฟอีน จะมีผลเสียมากน้อย แตกต่างไปในแต่ละคน ทดสอบได้ด้วยการดื่มกาแฟตอนเย็น หากยังสามารถนอนหลับได้เป็นปกติ แสดงว่าสมองสามารถรองรับคาเฟอีนได้ ก็จะไม่มีผลเสียมาก เท่ากับประโยชน์ที่จะได้รับจากกาแฟ
  • สวดมนต์ก่อนนอน (บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) เป็นการทำสมาธิที่ง่ายมากที่สุดรูปแบบหนึ่ง ทำให้สามารถผ่อนคลาย หลับสนิท ฟื้นตัวได้เร็ว
  • อ่านหนังสือทั้งวัน และ ทุกเวลาที่ว่าง- ต่อให้สมองดีจากการ Fasting แต่ถ้าไม่มีการเติมความรู้ บรรจุเพิ่ม ให้สมองเอาไปใช้คิด มันก็คิดอะไรใหม่ๆไม่ได้ การอ่านจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาตนเอง
    • ไม่แนะนำให้เรียนด้วยการดูคลิป VDO เพราะ มันคือการฟังสรุปจากคนอื่นที่ไปอ่านหนังสือมาอีกที ซึ่งถ้าเราไม่อ่านเอง เราไม่มีวันเชี่ยวชาญในสิ่งนั้นๆได้จริงๆ
    • อ่านหนังสือใช้พลังงานน้อยมาก คือ 70kcal/ชม(นอน 40 kcal/ชม, เดิน 214kcal/ชม) ต่อให้อดอาหาร ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแรงอ่านหนังสือ
    • อ่านใน e-reader สะดวกมากๆๆ พกไปอ่านได้ทั้งวันทุกเวลา
      • อันนี้เป็น kindle scribe ใช้โปรแกรม text reflow ขยายหน้ากระดาษ
  • การเรียนรู้ข้อมูลครั้งละเล็กน้อย(distributed practice) ดีกว่า การเรียนรวดเดียวเยอะๆ(Massive practice/cramming)
    จากหนังสือ Becoming Fluent: How Cognitive Science Can Help Adults Learn a Foreign Language หน้า 21
    • เหมือนต้นไม้ ถ้าทยอยใส่ปุ๋ยวันละเล็กน้อย จะเติบโตได้ดี แต่ถ้าใส่ปุ๋ยทีเดียวทั้งหมด ก็จะรากเน่า เพราะ ความเข้มข้นมากเกินไปดูดซึมไม่ไหว
    • อาจเขียนเป็น routine lists ง่ายๆไม่ซับซ้อน เกี่ยวกับสิ่งที่จะศึกษา/กิจกรรมที่จะฝึกฝนในแต่ละวัน โดยแบ่งเป็น part สั้นๆ ไม่เกิน 1 ชม ต่อ part
      • ถ้าเกินกว่า 1 ชม จะเรียนรู้ไม่ได้ประสิทธิภาพ เพราะ สมองส่วนนั้นๆอาจจะล้า ให้เปลี่ยนไปทำกิจกรรมที่ใช้สมองส่วนอื่นๆ สลับกันไปเรื่อยๆ
      • การเรียนหลายๆวิชาในวันหนึ่ง ดีกว่าเรียนวิชาเดียวทั้งวัน เพราะ ช่วยกระตุ้นสมองครบทุกส่วน ช่วยคงสภาพไม่ให้ฝ่อ จากการไม่ได้ใช้งาน
  • ฝึกสติ - เป็นต้นทางของการพัฒนาตนเอง สามารถทำให้รู้ทันนิสัยที่ไม่ดีของตัวเอง หรือกระทั่งแก้ไขนิสัยหรือ ความเคยชินที่ไม่ดี และ พัฒนาฝึกฝนตนเอง ด้วยตนเองได้ สติในที่นี้ คือ สติปัฏฐาน 4 นะ
  • มีที่นั่งอ่านหนังสือที่ดี ได้แก่ โต๊ะ เก้าอี้(ไม่ควรนั่งพื้น เพราะ หลังจะค่อม และเมื่อยคอ อากาศร้อน ยากต่อการลุกขึ้น และเปลี่ยนอิริยาบถ เคยลองแล้ว productivity ต่ำกว่า) และโคมไฟ(แสงควรอยู่ที่ 500 lux วัดจากแอพฯในมือถือได้)
    • ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ว่าโต๊ะ-เก้าอี้ต้องพอดีตัวแค่ไหน ถ้ามันเข้ากับสรีระ(ตามหลักกายสรีระศาสตร์-ergonomic ได้จะดีมาก) แต่อย่างน้อยต้องเอื้อให้สามารถขยับตัว ลุก ยืน เดิน เปลี่ยนอริยาบถได้บ่อยๆ โดยสะดวก
    • อยู่ในสถานที่เงียบสงัด - สำคัญมากต่อสมาธิ บางคนถึงขนาดต้องทำห้องให้เก็บเสียงเลยนะ บางทีเราคิดอะไรอยู่ แล้วมีเสียงมากระทบ ก็ทำให้สมาธิหลุด ต้องเสียเวลามาต่อใหม่เรื่อยๆ สำหรับการฟังเพลง อาจใช้ตอนต้องการกลบเสียงน่ารำคาญกว่าจากภายนอก แต่ถ้าเงียบสงัดได้จะดีที่สุด
      • ฟังเพลง ขณะอ่านหนังสือ/ทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง(ไม่ช่วยให้ประสิทธิภาพดีขึ้นแต่อย่างใดนะ) 
        https://www.youtube.com/watch?v=lQpawPFyIis 
    • เปิดไฟส่องโต๊ะ แม้จะอ่านจากหน้าจอ - เพื่อให้แสงจากหน้าจอและสิ่งแวดล้อมกลมกลืนกัน และ สายตาไม่ทำงานหนักในการปรับรูม่านตาไปมา อ่านหนังสือได้มีสมาธิดีกว่า
  • หาโอกาสลอง ฟังวิทยุ BBC world news - แม้จะไม่ได้ใส่ใจฟัง แต่เราจะเกิดความคุ้นชิน และ เรียนรู้ทักษะการฟังสำเนียงภาษาอังกฤษ ได้โดยไม่รู้ตัว
  • อ่านนิยายภาษาอังกฤษ - มีงานวิจัยว่า การอ่านนิยายมีประโยชน์เทียบเท่าการอ่านตำราวิชาการ แต่จะเป็นด้าน ทักษะทางภาษา และ ความเข้าใจผู้อื่น และ คลายเครียดได้เร็วกว่าการฟังเพลง - ถ้าอยากเล่นเกมส์ หรือ ดูหนัง การ์ตูน ฟังเพลง ลองอ่านนิยายดูก็ได้นะ เป็นวิธีผ่อนคลายที่ดีมาก แถมยังเกิด productivity สูงด้วย
  • ที่อยู่อาศัย - จัดให้เป็นระเบียบ และ สะดวกต่อการทำความสะอาด(easy to clean)ได้บ่อยๆและรวดเร็ว เกิดสุขอนามัยที่ดี ส่งผลโดยตรงต่อ สุขภาพและ productivity เช่น
    • หาวิธีที่ทำให้ทำความสะอาดพื้นห้องได้ง่ายขึ้น สะดวก ใช้เวลาน้อยลง และ ทำความสะอาดได้บ่อยขึ้น เช่น จัดเก็บของที่พื้น ใส่ชั้นวาง หรือมีโต๊ะเตี้ยรอง ไม่วางของที่พื้นโดยตรง เพื่อทำให้สามารถทำความสะอาดพื้นห้องซึ่งเป็นส่วนที่สกปรกง่ายที่สุด ได้บ่อย สะดวก และ ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ต้องคอยเลื่อนของไปมา ทำให้ง่ายและสะดวกรวดเร็วในการกวาดถู
  • แก้ปัญหาสายตา - ปัญหาเรื่องการมองเห็น ส่งผลโดยตรงต่อ productivity ทั้งค่าสายตาและกล้ามเนื้อตา
    • โดยส่วนตัวมีปัญหาเรื่องสายตาเอียง แม้จะไม่ได้มาก แต่ส่งผลโดยตรงต่อการมองใกล้และไกล การมองไม่ชัดทำให้ต้องแปลผลในสิ่งที่มองยากขึ้น ทำให้รับข้อมูลได้น้อยลง นอกจากปัญหาสายตาทั่วไปแล้ว ยังมีเรื่องของกล้ามเนื้อตาด้วยที่ไม่ควรมองข้าม - โดยส่วนตัว สั้นผสมเอียง รวมๆประมาณ 1.00-1.25 diopter การมองเห็นจะมีความชัดลดลงในระยะ 0.75-1 เมตร
  • วิธีพักสายตา เวลาสายตาเริ่มโฟกัสไม่ได้ หลังอ่านหนังสือไปนานๆ คือ ลุกเดิน และ มองไกลๆ สัก3 นาที การมองไกลจะช่วยคลายกล้ามเนื้อตาได้ดีกว่าการหลับตา
  • เลิกใช้ socia media(FB, tiktok) แต่ยังใช้ youtube อยู่นะ เพราะ รูปแบบของ Facebook, Tiktok ใครจะพูดอะไรก็ได้ โดยไม่ได้มีความถูกต้องของเนื้อหามากนัก ซึ่งทำให้เกิดโทษมากกว่า โดยเฉพาะสุขภาพจิต ทั้งเสพติด หรือซึมเศร้า แต่ youtube จะมีเนื้อหาที่เป็น profession มากกว่า มีการกลั่นกรอง ดีระดับหนึ่ง โดยเฉพาะช่องต่างประเทศ เต็มไปด้วยความรู้ที่มีประโยชน์มากๆ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.