Skip to main content

แสวงหาความสงบ ทบทวนตัวเอง ในวันที่รู้สึกสับสนกับความล้มเหลวในชีวิต

Submitted by krishrong on

ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ลาออกจากงานประจำ หาความรู้ พิสูจน์ตัวเอง อยากให้ชีวิตเป็นในรูปแบบที่คิดไว้ แต่สุดท้ายไม่สามารถทำให้มันเป็นจริงได้

แม้เมื่อมองในแง่ดีของความล้มเหลวก็คือ ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ทั้งการพัฒนาตนเอง การเรียนรู้ศาสตร์สาขาอื่นๆ รวมถึงประสบการณ์ของการไม่มีเงินในบัญชี ไม่มีเงินค่าอาหาร ซึ่งก็นับว่าเป็นประสบการณ์อันมีค่าอย่างมากได้เหมือนกัน(ประมาณว่าอ๋อ ความล้มเหลวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง) จะเรียกว่าสำเร็จในความล้มเหลวได้ไหมนะ?(The failure achievement!)

แต่สุดท้าย ก็ยังคงต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ คือ เงินเหลือไม่พอกับชีวิตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว

ความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้น เริ่มรู้สึกจิตใจไม่เป็นสุขสงบเหมือนเคย สมาธิที่เคยทำก็ไม่รู้ว่าทำไมทำไม่ได้ดีเหมือนเดิมเท่าไหร่ แต่ละครั้งที่จ่ายเงินกับค่าอาหารก็รู้สึกกังวลทุกครั้ง สูญเสียความเชื่อใจในตัวเองไป เพราะ ความล้มเหลวส่วนใหญ่ในสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดแม้แต่น้อย

วันนี้เลยไปอยู่ในสถานที่สงบ วัดปทุมวนาราม เพื่อพยายามทำความสงบเพื่อกลบจิตใจที่ร้อนรน และเพื่อทบทวนตัวเอง ถึงอดีตที่ผ่านมาว่าเราผิดพลาดตรงไหน  ปัจจุบันและอนาคตเราจะทำอย่างไรต่อ

  • นั่งสมาธิ ช่วงแรก 15 นาที พบว่าไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้ ความคิดเข้ามามากมาย และสุดท้ายก็เผลอหลับ
  • ต่อมาเปลี่ยนมาเดินจงกรม 40-60 นาที เดินกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ สักพักเริ่มรู้สึกว่า สติกลับมาอยู่กับร่างกายมากขึ้น เริ่มกลับมารู้สึกตัวในแต่ละการเคลื่อนไหว จนจิตใจเริ่มได้สัมผัสกับความสงบ ทำให้ได้รู้เลยว่า ช่วงที่ผ่านมา ที่เครียดจนแทบจะเป็นบ้า หงุดหงิดใส่คนอื่นไปทั่ว เป็นเพราะ จิตใจมันขาดความสงบมานานนี่เอง
  • กลับมานั่งสมาธิใหม่ เริ่มกลับมารู้สึกลมหายใจ ผ่านอาการพองยุบของท้องได้ แม้จะยังไม่ชัดเจนและไม่เป็นธรรมชาตินัก ยังมีการบังคับรู้สึกแน่นๆอยู่ เป็นลมหายใจที่หยาบๆ แต่ก็พอเอาเป็นอารมณ์ของสมาธิได้ และนั่งได้ 45 นาที สงบกว่าที่นั่งครั้งแรก 2 เท่า แม้จะไม่ได้สงบลึกใดๆ ยังประกอบด้วยโมหะ ซึมกะทือ ไม่ได้มีสติที่ชัดเจน(ยังต้องฝึกพัฒนาต่อไป)

สิ่งที่ได้เรียนรู้ คือ ชีวิตอันบริบูรณ์ที่เราแสวงหา จริงๆมันไม่ใช่ชื่อเสียง หน้าที่การงาน เงินทอง ไม่ใช่ที่ไหนเลย หากแต่เป็นความสงบสุขในใจต่างหาก การแสวงหาหรือพัฒนาสิ่งภายนอกเป็นสิ่งที่ทำได้(อย่างน้อยๆ ก็เพื่อเลี้ยงชีพ) แต่มันจะไม่มีความหมายเลย หากเรามีทุกอย่าง แต่จิตใจเรามีแต่ความเร่าร้อน วิตกกังวล ความเครียด ซึ่งความสงบสุขในใจเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพียงหยุดแสวงหา อ่านพระไตรปิฎก ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือ อยู่วัด อย่างน้อยวันละ 60 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน เพียงเท่านี้เราก็ได้ชีวิตที่บริบูรณ์แล้ว

ทีนี้กลับมาทบทวน อดีต ตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงปีที่ผ่านมา

สิ่งที่ได้เรียนรู้

  • พิมพ์สัมผัส - แม้จะยังไม่เร็วนัก แต่ก็พอได้หลักการ เหลือเพียงฝึกต่อไปเรื่อยๆ
  • อ่านตำราการเงิน การเทรด - อ่านจบและเกือบจบ 2-3 เล่ม เป็น textbook eng แต่ยังเหลือเล่มหลักอีก 1 เล่ม ที่ยังค้างอยู่ และอีกหลายเล่มที่ควรอ่านเพิ่มเติม
  • ฝึกภาษาอังกฤษ - เริ่มสามารถฟังได้โดยไม่ต้องอ่าน Subtitle ได้บ้างแล้ว, กำลังพยายามฝึกพูดด้วยการเลียนแบบอยู่(imitation), อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้เป็นเล่มๆแล้ว รวมถึงอ่าน Reuters แต่ยังมีเปิด Dictionary อยู่
  • ฟื้นฟูสมองตัวเอง - เพิ่ม cognitive function ด้วยการออกกำลังกายด้วยการวิ่งแบบ HIIT 5-10 นาที ร่วมกับ อดอาหารข้ามวัน(Water fasting 36hr + กินเกลือเสริม) ซึ่งมันช่วยเพิ่ม BDNF ได้หลายเท่า ผลคือ ความคิดเร็วขึ้น ไม่เอ๋อ อาการสมาธิสั้นดีขึ้นมาก ทำอะไรเป็นระบบระเบียบมากขึ้น ไม่ขี้หลงขี้ลืม ทักษะการฟังภาษาอังกฤษก็ดีขึ้นในช่วงนี้เลย(แพทย์อาจไม่แนะนำ และ ไม่รับประกันสุขภาพในระยะยาวนะ มันอาจไม่ได้ดีนักก็ได้)

สิ่งที่เอ๊ะ(น่าประหลาดใจ)?!

  • ไม่ได้ฝึก programming จริงๆจังๆเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่ "เราบอกว่า" เราชอบมัน
    • ต่อให้จะพักการฝึกฝนไปก่อน เพราะ "คนอื่น" บอกว่ามัน "ไม่มั่นคง" แต่เราก็น่าจะทำเป็น "งานอดิเรก" ได้นี่นา?
      • หรือเป็นเพราะ เราไม่ได้ชอบมันจริงๆ? เลยศึกษาด้าน "การเงิน" เพื่อเป็นข้ออ้างที่จะไม่ต้องเขียนโปรแกรม
      • หรือเป็นเพราะ เรากลัว ไม่อยากให้สิ่งที่เราชอบ ประสบกับความล้มเหลว หรือถูกคนอื่นทำให้พังทลาย เพราะ "คนอื่น" บอกว่ามันใช้หากินจริงๆจังๆไม่ได้ มีคนแข่งหางานกันเยอะ ยิ่งถ้าศึกษาเองด้วย แต่ในความเป็นจริง เราเคยสอบตรงติด วิศวคอม ฬ นะ ศักยภาพเราจะสู้คนอื่นไม่ได้? ได้ไงวะ?
      • อ้างว่าเป็นปัญหาสายตาไม่ได้ เพราะ ขนาด Textbook การเงิน ยังอ่านผ่านหน้าจอที่ไม่ถนอมสายตาได้เลย(มีการกระพริบ - Flickering light) ทำไมจะเขียนโปรแกรมไม่ได้?
      • อ้างว่า มีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องทำ นู่นี่นั่น แล้วกลายเป็นว่าความฝันของเราไม่สำคัญแล้วหรือ?
    • ไม่ต้องกลัวว่ามันจะไม่ perfect ไม่ต้องกลัวความผิดพลาด แรกๆ มันต้องห่วยอยู่แล้วแน่นอน ทำไปเลย หยุดคิดเล็กคิดน้อยได้แล้ว
  • ศึกษาด้านการเงิน แต่เงินกลับร่อยหรอไปเรื่อยๆ ไม่เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆบ้าง จนสุดท้ายหายไปก้อนใหญ่ และหมดตัว?
    • มันต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหน แน่ๆ?
    • หลายๆครั้งที่เราวิเคราะห์ถูกต้อง แต่สุดท้ายก็เก็บกำไรไม่ได้ และเสียเงินไปกับช่วงที่วิเคราะห์ผิดแทน
      • น่าจะเป็นเพราะ เราไม่เข้าใจและไม่ยอมรับว่า ในการลงทุน เราไม่สามารถวิเคราะห์ได้ถูกทุกครั้ง แม้คนเก่งๆ ก็ยังถูกแค่ครึ่งหนึ่งของที่คิดไว้ ไม่เหมือนข้อสอบที่ต้องตอบให้ถูกทุกข้อ
        • การวิเคราะห์ผิด เป็นเรื่องปกติของการลงทุน(ต่างจากสามัญสำนึกทั่วไป ที่ควรจะถูกต้อง สมบูรณ์แบบทุกครั้ง)
        • สิ่งสำคัญจึงเป็นการควบคุมความเสี่ยงของเราเองมากกว่า เพราะ เท่าที่ตามดูประวัติการลงทุน แม้เราจะเคยได้กำไรก้อนใหญ่(บ้าง) ในช่วงที่เรามีเหตุผลถูกต้อง แต่เสียก้อนใหญ่กว่า อย่างไร้เหตุผล(โลภ) โดยเฉพาะ ในช่วงที่ร้อนรน หาเหตุผลไม่ได้
        • การลงทุนไม่ใช่ว่าทุ่มเงินก้อนใหญ่ทั้งชีวิต แล้วจะชนะนะ เพราะ เงินเราเป็นเพียงส่วนน้อยในตลาด เหมือนหยดน้ำในมหาสมุทร ใช้หลักเหตุผล ไม่ใช่ความพยายามแบบโง่ๆ
      • เชื่อการหาความรู้ของเราเอง อย่าเชื่อ"ผู้รู้" ไม่ว่าเก่งแค่ไหน เขาอาจไม่ได้มีความสนใจเหมือนเรา ความรู้ในเรื่องเดียวกับเราของเขา อาจจะน้อยกว่า ถ้าเราไปถามเขา เขาอาจจะวิเคราะห์ผิดก็ได้
      • เมื่อหาความรู้ในเรื่องใดมากๆ จะเกิดเป็นสัญชาติญาณ ถ้าอะไรก็ตามที่เรารู้สึก "ว้าว!" "โคตรเจ๋ง!" "ตรงใจ ใช่เลย!" ให้เราลงทุนในอันนั้นแหละ
    • การลงทุน ต้องบริหารความเสี่ยง มีเงินเหลือสำหรับใช้ชีวิตเสมอ และ ที่สำคัญต้องใช้เวลากว่าจะออกดอกผล(อาจมีการผันผวน แต่สุดท้ายจะเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน) ต้องใจเย็นๆ รู้จักรอคอย รวมถึงการตัดขาดทุน(5%)ในกรณีที่ไม่เป็นตามคาด 
  • ทำไมเราดู อ่านหนังสือได้ไม่เยอะเลยในแต่ละวัน?
    • หากเราทำงานปกติ ก็วันละ 8 ชม แต่ทุกวันเราต้องเดินทางไปอ่านหนังสือที่หอสมุดมหาลัย ก็กินเวลาชีวิตไป 2 ชม แต่เวลาที่เหลือ รู้สึกว่ามันอ่านได้ไม่เยอะเลย
    • สิ่งที่เป็นไปได้
      • ปัญหากล้ามเนื้อตา - รู้สึกว่าดีขึ้นบ้าง หลังทำ Vision therapy(Brock string) แต่พอปรับแว่นนิดๆหน่อยๆ ก็มักจะยังมีอาการอยู่(ยังไม่ stable)
      • สมาธิสั้น - เดี๋ยวนี้ดีขึ้น หลังจากออกกำลังกาย และ อดอาหาร เพื่อฟื้นฟูสมอง
      • Light flickering - แสบตาเวลาอ่านหนังสือในหอสมุดที่ใช้หลอดไฟ Fluorescent แบบเก่า ที่ไม่มีคุณภาพ จะมีแสงกระพริบ(เห็นได้จากกล้อง smartphone ปรับไปที่โหมด pro แล้วปรับ shutter speed ให้เร็วกว่าปกติ)

การทบทวนอดีตหลักๆ น่าจะประมาณนี้ ต่อมาคือ ปัจจุบัน

เงินเหลือใช้อีกเพียง4 เดือน

  • มีเวลาเตรียมตัวหางานใหม่อยู่ ซึ่งต้องเลือกระหว่าง กลับไปทำงานเก่า(ที่ต้องอ่านทบทวน ใช้ความรู้มากพอควร) หรือ หางานง่ายๆทำไป
    • คิดว่าน่าจะกลับไปทำงานเก่าเลี้ยงชีพ โดยใช้เวลาที่เหลือ 3 เดือน ทบทวนตำราให้จบ
  • แต่อีกด้าน คือ ยังหวังว่าการเทรด จะกลับมาดีขึ้น หากกลับมาควบคุมความเสี่ยง
    • แต่มันเสี่ยงมาก ที่จะทำกำไรไม่ทันกับค่าใช้จ่าย และที่บ้านไม่สนับสนุนแน่นอน
    • รวมถึงสามารถทำเป็นส่วนเสริม ร่วมกับอาชีพเก่าได้ แม้เวลาดูกราฟจะลดลงก็เถอะ
  • หรือทำงานค่าแรงถูกๆ ร่วมกับการเทรด
    • ไม่คุ้มเท่าไหร่ เพราะ เสียเวลาเท่ากัน เงินได้น้อยกว่าอาชีพเก่า แถมไม่ได้อ่านหนังสือเหมือนกัน

จิตใจ

  • ว้าวุ่นแปลกๆ
    • ต้องพยายามปลอบใจว่า ยังทัน ที่จะอ่านหนังสือ เตรียมตัวกลับไปทำงานเก่า เราเก่งอยู่แล้วแหละ ขนาดอ่าน Textbook ได้ เดี๋ยวก็คล่องแล้ว เพียงแค่ช่วงที่ผ่านมามีปัญหากล้ามเนื้อตา และสมาธิสั้นก็เท่านั้น
  • คิดไม่ดีกับบุพการี
    • ด้วยความที่เขา Toxic คอยใช้คำพูดยั่วโมโห ปั่นหัว ทำให้เราจิตตกหลายครั้ง จนสภาพจิตใจไม่ค่อยดีนัก เลยอยากปล่อยลืม
      • ไม่ควร มันจะเป็นบาปกับตัวเราเอง(ถูกเขากระทำแล้ว ยังทำบาปเพิ่มให้ตัวเองอีก)
      • ถ้าเขากลับมาพูดดีกับเรา ยอมรับความช่วยเหลือเรา ค่อยกลับไปช่วยเหลือเขา ช่วงนี้ถ้าเขาพูดไม่ดีกับเรา เราต้องทำตัว weak เข้าไว้ อย่าตอบโต้ใดๆ อย่าไปร้อนใจตามที่เขาพยายามเร่งเร้าเรา
  • รู้สึกเหมือนมีคนรอบข้างเกลียดเยอะ จากการที่ในช่วงเทรด เราหงุดหงิด จนสุดท้ายคุมอารมณตัวเองไม่ได้ และโมโหใส่คนรอบข้าง
    • เทรดแบบ ไม่ต้องใส่ใจ ได้ก็ดี ไม่ได้และขาดทุนถึง 1% ก็หยุดเทรดในวันนั้น ไม่ต้องจริงจังกับกราฟราคาในตลาด
    • ลดความจริงจังในการเทรดลง จริงจังกับการอ่านหนังสือเตรียมกลับไปทำงาน
    • คนเกลียดเรา จะกลับมาดีกันได้ไหม ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง เรากำหนดไม่ได้ เราสำนึกในความผิด หยุดเบียดเบียน และ อย่าให้ใครมาเบียดเบียนเราได้ก็พอ 

ส่วนอนาคต

  • เรากำลังจะไปทำงานเพื่อเงิน ทั้งๆที่งานที่เราทำ ถูกมองว่าเป็นงานเพื่อสังคม
    • แต่เราก็ทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผลมันออกมาดีที่สุดนะ เราคิดว่าเราใส่ใจมากกับผลของงานอยู่นะ
  • อ่านพระไตรปิฎก
  • แสวงหาความสงบในใจ
  • ศึกษาด้านคอม + เทรด

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.