Skip to main content
บันทึกของบี

Main navigation

  • บทความสำคัญ
  • Logs ทั้งหมด
    • รวม Logs ทั้งหมด
    • Brain logs
    • Daily logs
    • Dev logs
User account menu
  • Log in
By krishrong, 1 December, 2023

สัปดาห์1 ธ.ค.

5ธ.ค.

  • กลับมาพักที่บ้าน แต่ก็ยังคงจ่ายค่าอยู่อาศัยให้ที่บ้าน เพราะ ถือว่าเป็นการดำเนินชีวิตของเราเอง ห้ามไม่ให้ใครก็ตาม มายุ่งกับวิถีชีวิตเรา(วิถีชีวิตที่เราคิดว่า ส่งเสริมการพัฒนาตนเองของเรา มากที่สุดแล้ว) ถ้ามีการรบกวนกันเมื่อไหร่ เราก็จะจากไปอยู่ที่อื่น อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการรับผิดชอบชีวิตตัวเอง
  • Qualcomm X Elite แรงกว่า M2 pro ทีแรกสนใจ M1 pro แต่ถ้า Qualcomm แรงขนาดนี้ คิดว่ารอดีกว่า เพราะ ยังสามารถใช้ Linux ได้ด้วย น่าจะสะดวกมากๆ ทั้งนี้การฝึกเขียนโปรแกรมขั้นต้น Hardware แทบไม่มีผลอะไร จะใช้ถูกๆไปก่อนก็ได้ พอทำเป็นวิชาชีพอย่างจริงจังค่อยอัพเกรด
  • น่าจะลองอ่านนิยายภาษาอังกฤษ แทนการเล่นเกมส์เพลินๆเสียเวลาไปเปล่า โดยการอ่านก็เน้นฝึกอ่านแบบใช้บริบท(Context) และ โครงสร้างประโยค(Grammar)ในการช่วยตีความหมาย เพื่อให้อ่านได้โดยไม่ต้องเปิด dictionary ทั้งนี้ อาจเข้าใจหรือไม่เข้าใจความหมายบ้างก็ไม่เป็นไร(เพราะ อ่านนิยาย ไม่ต้องเน้นสาระมาก) แต่เน้นความลื่นไหลและความสนุกของเนื้อหา

4 ธ.ค.

  • เนื่องจากว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ก็น่าจะต้องลด Calories ลง เหลือประมาณ 1,200-1,500 kcal แล้วกัน
  • มีรีวิว การนอน วันละ 4 ชม 100 วัน https://www.youtube.com/watch?v=kiEBvvNpXxg 
    • การนอนน้อยทำให้ การฟื้นตัวจากการออกกำลังกาย ช้ากว่าปกติ
      • แต่ไม่มีผลใดๆกับ productivity และ creativity
    • การนอน 4 ชั่วโมงแรก สำคัญที่สุด เพราะ เป็นเพียงช่วงการนอนเดียวที่ทำให้เราหลับลึก (หลังจากนอนเลย 4 ชม ไปแล้ว เราจะไม่หลับลึกมากแล้ว)
    • นอกจากนี้คุณภาพการนอนก็สำคัญ ถ้านอนได้มีคุณภาพ แม้จะนอนน้อยกว่า ก็ยังดีกว่า

      sleep circle with sleep stage to analysis of brain activity during sleep
      เราจะหลับลึก เพียงแค่การนอน 2-3 รอบ(cycles) แรกเท่านั้น, ซึ่ง 1 รอบ การนอน จะอยู่ที่ 90 - 110 นาที

  • ช่วงนี้ติดเกมส์ด้วย ทำให้นอนดึก กิจวัตรประจำวันเสีย เริ่มเสพติด dopamine จากการเล่นเกมส์
    • เล่นเกมส์แล้วรู้สึกชีวิตเคว้งคว้าง ไม่มีแก่นสารสาระ
    • จริงๆ ชีวิตจริงก็ไม่ต่างกับเกมส์นะ เพราะ เกมส์จริงๆก็ย่อส่วนมาจากชีวิตจริง แต่ชีวิตจริงจะเป็นเกมส์ที่มีสาระจริงๆมากกว่า ต้องทำเองจริงๆ เหนื่อยจริงๆ และใช้ความพยายามในการเล่นมากกว่า แต่อาจไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าเล่นเกมส์ เพราะ ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์
    • สุดท้ายเล่นเกมส์ไปสักพักก็เริ่มเบื่อ เพราะ เหมือนมันเป็นรูปแบบ (pattern) เดิมซ้ำๆ วนไปเรื่อยๆ อีกทั้งทนนั่งเล่นหลังขดหลังแข็งทั้งวัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร ได้แต่ผลาญเวลาชีวิตอันมีค่าทิ้งไปเปล่าๆ
      • ถ้าจะเล่น ให้เล่นเกมส์ฝึกทักษะการวางแผน หรือ ทักษะอื่นๆ แข่งกับผู้เล่นคนอื่นแบบออนไลน์ น่าจะยังดีกว่า เพราะ เราจะได้วัดความสามารถของเรากับคนอื่นด้วย แต่จริงๆ การเอาเวลาไปทำงานอดิเรกของเราน่าจะดีที่สุด เพราะ มันเป็นเกมในชีวิตจริงที่เราชอบ และเกิดผลลัพธ์จริงๆกับชีวิตเรา เช่น เขียนโปรแกรม ทำอาหาร ทำขนม ทำงานช่าง อ่านหนังสือวิชาที่ชอบ ฯลฯ

3 ธ.ค.

  • รู้สึกเหมือนการนอน 4 ชม. ต้องใช้ความตั้งใจก่อนนอนเป็นเคล็ดลับ ซึ่งต้องทำเสมอคืนต่อคืน แต่มันอาจไม่ใช่การทำเป็นนิสัยแล้วจะตื่นไปได้เองตลอด
  • เริ่มอ่าน Programming มากขึ้นแล้ว สนุกมาก
  • การพัฒนาตนเองในช่วงนี้
    • IF 23/1 กินวันละ 1 มื้อ มื้อละ 1-2 ชม. ยังคงเน้นธัญพืช+ไข่ไก่ เป็นหลัก เพราะ เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และ ให้สารอาหาร อื่นๆ (โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุ วิตามิน) ครบถ้วน โดยกินธัญพืชหลายชนิดรวมกัน
    • ไม่ได้ออกกำลังกายบ่อย อาจจะไปวิ่ง 1 วันเว้น 2 วัน(ทุก 3 วัน) เพราะ สิ่งแวดล้อมไม่ค่อยเอื้ออำนวย
    • นอน 4-8 ชม วันไหนลืมตั้งใจก่อนนอน จะเผลอนอนยาว
    • กาแฟ ยังคงมีความจำเป็น ทุกครั้งที่ต้องการอ่านหนังสือ เพราะ ถ้าไม่มีจะไม่สามารถโฟกัสกับหนังสือที่อ่านได้เลย

2 ธ.ค.

  • สาเหตุที่ช่วงนี้ไม่ค่อยเขียน blog ส่วนหนึ่งอาจ เพราะ ไม่ค่อยได้ไปวิ่ง เลยไม่ค่อยได้เกิดไอเดียดีๆเท่าไหร่
    • วันนี้ไปวิ่งมาแล้ว แม้จะไม่ได้วิ่งนานหลายวัน แต่ก็ยังมีแรงวิ่งไม่ตก จากการ IF แล้วคงสภาพร่างกายไว้
  • ช่วงนี้น่าจะต้องเริ่มเน้นไปที่การฝึกเขียนโปรแกรมอย่างจริงจังแล้วล่ะ เพราะ เป็นฝั่งเดียวที่ไม่ได้ก้าวหน้าเท่าไหร่เลย(การอ่านเตรียมสอบกับเขียนบล๊อก ก็ยังพัฒนาได้มากกว่า)

1 ธ.ค.

  • ช่วงย้ายจากหอพักเดิมกลับมาอยู่ที่บ้านกับครอบครัว ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ไม่ได้อ่านหนังสือ หรือพัฒนาตนเองอะไรเพิ่ม เพราะ สิ่งแวดล้อม ไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ ทั้งคนและสถานที่ แต่สิ่งที่พัฒนาตนเองที่ยังคงทำได้คือ กินวันละ 1 มื้อ(IF 23/1) ซึ่ง ช่วยคงสภาพ(maintain) สิ่งที่เราฝึกฝนมาให้คงอยู่ และ ค่อยๆพัฒนาขึ้นไปอีก ทั้ง Growth hormone ที่ช่วยคงสภาพกล้ามเนื้อ ให้ไม่ต้องออกกำลังกายบ่อย กล้ามเนื้อก็ยังแข็งแรง หรือ BDNF ที่ช่วยให้เกิด Neuroplasticity (การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆของสมอง)อยู่เสมอ
    • จะนอนน้อยก็ทำไม่ได้ ที่บ้านไม่อนุญาต เพราะ รบกวนคนอื่น 555
    • ต้องเตรียมสิ่งแวดล้อมใหม่ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

Tags

  • บันทึกประจำวัน
By krishrong, 26 November, 2023

วิธีการ ต้มธัญพืชให้นิ่มเร็ว และไม่เกิดแก๊สในลำไส้

สาเหตุที่ทำให้กินธัญพืชแล้วทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ นำไปสู่ อาการไม่พึงประสงค์ คือ ผายลม เนื่องจาก ธัญพืช มีน้ำตาลชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Raffinose ซึ่งเป็นน้ำตาลสายโซ่ (Oligosaccharide) แต่ร่างกายของมนุษย์ ไม่มีเอนไซม์สำหรับย่อยน้ำตาลชนิดนี้ เมื่อได้รับเข้าไป จะกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดี ที่อยู่ในลำไส้ ซึ่งกระบวนการย่อยของแบคทีเรีย จะทำโดยการหมัก ซึ่งทำให้เกิดแก๊สที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น

แต่เนื่องจาก น้ำตาล Raffinose สามารถละลายน้ำได้ หลักการง่ายๆในการลดน้ำตาลเหล่านี้ คือ แช่ธัญพืชในน้ำ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง(แช่ข้ามคืน) แล้วล้างน้ำหลายๆครั้ง เพื่อละลายน้ำตาลชนิดนี้ออก ก่อนนำมาทำอาหาร ก็จะสามารถลดได้จนไม่มีอาการไม่พึงประสงค์อีกเลย(ผายลม)

ทั้งนี้น้ำตาล Raffinose ไม่ใช่สิ่งไม่ดีนะ จัดว่าเป็น Prebiotic เพราะ ช่วยให้แบคทีเรียที่ดีในลำไส้ เจริญเติบโตขึ้น ลดความเสี่ยงการเกิดโรคในลำไส้ต่างๆ รวมถึงมะเร็ง ฯลฯ แต่ถ้ามีมากเกินไป มันก็ส่งผลกับการดำเนินชีวิตประจำวัน และ ต่อให้ล้างออก ประโยชน์ที่เหลืออยู่ในธัญพืช ก็ยังเหลือเฟืออยู่แล้ว

นอกจากนี้ ก็จะมีเคล็ดลับในการต้มธัญพืชให้นิ่มเร็ว คือ ในขณะที่แช่ข้ามคืน อย่างน้อย 8ชม. ให้ใส่เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 ลิตร ลงไปด้วยแช่ด้วย หลักการคือ เกลือจะค่อยๆแพร่(diffusion) เข้าไปเก็บไว้ ในเซลล์ของเมล็ดถั่ว/ธัญพืช ซึ่งเมื่อนำธัญพืชไปล้างน้ำ(หลังจากแช่มาอย่างน้อย 8 ชม) และ เติมน้ำใหม่สำหรับต้ม เราจะใช้เป็นน้ำจืด ไม่ใส่เกลือ หรือเครื่องปรุงใดๆ ซึ่งขณะนี้ จะเกิดความต่างของความเข้มข้น ระหว่างเกลือที่ถูกเก็บในเซลล์เมล็ดธัญพืช กับ น้ำจืดข้างนอก ซึ่งจะทำให้น้ำจากภายนอก ถูกดูดเข้าสู่เซลล์ เพื่อทำให้ความเข้มข้นเท่ากัน(หลักการ osmosis) ส่งผลให้ ธัญพืชชุ่มน้ำและนิ่มเร็วขึ้นมากๆ แต่ทั้งนี้ก็ยังคงต้องต้ม ในน้ำเดือด อุณหภูมิ 100 องศา อย่างน้อย 40 นาที เพื่อสลายสาร lectin และ จนกว่ากลิ่นเหม็นเขียวจะหายไป

โดยส่วนตัวสรุปเป็นวิธีทำ ดังนี้

  1. ตวงธัญพืชตามที่ต้องการ โดยหลังต้มจะพองออก 3 เท่า ถ้ากินในปริมาณ 2 มื้อ ก็ต้ม 2/3 ถ้วยกินข้าว หรือ ถ้าตวงตามน้ำหนัก จะตกอยู่ที่ 400 kcal ต่อ 100กรัม
  2. แช่น้ำข้ามคืน อย่างน้อย 8 ชม โดยขณะแช่ ให้เติมเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 ลิตร, ผงฟู ครึ่งช้อนชา(ช่วยละลายยาฆ่าแมลงออก)
  3. เมื่อจะทำอาหาร ให้น้ำมาล้างน้ำเปล่า สัก 3 รอบ หรือจนน้ำหายขุ่น
  4. เติมน้ำเปล่าเพื่อต้ม โดยใช้ปริมาณมากกว่าธัญพืช 3 เท่า ไม่ต้องใส่เครื่องปรุงใดๆ(ต้องให้ความเข้มข้นของเกลือ ระหว่างในเซลล์ กับน้ำเปล่าข้างนอกต่างกันมากๆ เพื่อให้น้ำถูกดูดเข้าเซลล์)
  5. ต้มอย่างน้อย 40 นาที อาจต้มได้หลายวิธี (ถ้าต้มเดือดแล้วแช่ไว้ จะช่วยให้ยิ่งนิ่มขึ้นไปอีกได้)
    1. ต้มเดือด 20นาที แล้วปิดเตาทิ้งไว้ 30 นาที แล้วต้มเดือดต่ออีก 15 นาที
    2. ต้มเดือด 30 นาที แล้วปิดเตาทิ้งไว้ 30 นาที แล้วต้มเดือดต่ออีก 10 นาที
    3. ต้มเดือดอย่างน้อย 40 นาที
  6. ด้วยวิธีนี้ หากถั่วนิ่ม แต่ยังได้กลิ่นเหม็นเขียว ให้ต้มต่อนะ เพราะ ถ้ายังมีกลิ่นเหม็นเขียว แสดงว่ายังไม่สุก และ จะมีสาร lectin ที่ยังไม่ถูกทำลายอยู่ด้วย ถ้ากินเข้าไปอาจเป็นพิษต่อลำไส้ได้ โดยเฉพาะในธัญพืชบางชนิด เช่น ถั่วแดง จะมีสาร lectin ที่มีความเป็นพิษสูง อาจทำให้ท้องเสีย อาเจียน อย่างหนัก แม้กินเมล็ดดิบเพียงไม่กี่เมล็ด ก็อาจต้องเข้าโรงพยาบาลได้เลย

Tags

  • อาหาร
  • บทความสำคัญ
By krishrong, 25 November, 2023

บันทึกส่วนตัว พ.ย. 66

วันที่ 27 พ.ย.

  • หลังจากที่แก้ไขแว่นเดิม ให้มีค่าสายตาเหมาะสม ก็สามารถอ่านหนังสือได้ง่ายๆเลย แม้จะป่วยและร่างกายรู้สึกไม่ดี ก็ยังมีสมาธิในการอ่านได้อย่างง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
    • พยายามทดสอบหลายๆอย่าง แต่ก็ยังอ่านได้อยู่ดี อย่างนี้ก็ถึงเวลาอ่านอย่างเต็มที่แล้วล่ะ!!!
  • อ่านให้เข้าใจ กับอ่านเร็ว ไม่สามารถไปด้วยกันได้เสมอ ถ้าอ่านเร็ว จะต้องตัดรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่จำเป็นออก แต่ถ้าอ่านให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ก็ต้องอ่านทุกรายละเอียด 

วันที่ 26 พ.ย.

  • ยังไม่รู้สึกอยากอ่านหนังสือ เพิ่มความรู้ตลอดเวลา แต่เป็นการอ่านเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นมากกว่า เช่น การสอบ เป็นต้น ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเรียนรู้
    • ยังไม่ผนวกการเรียนรู้เข้าไปในชีวิตประจำวันจริงๆ เหมือน ช่วงเวลาอ่านหนังสือ ยังถือว่าเป็นอีกช่วงเวลาในชีวิต ที่แยกออกมา ที่เหมาะสมและควรจะเป็นคือ อ่านได้ทุกเวลา ทุกความต้องการ ทุกจังหวะชีวิต ไม่ต้องคอยมา set up สิ่งแวดล้อมก่อนอ่าน
    • ลองรวมโต๊ะคอม กับ โต๊ะอ่านหนังสือ เป็นที่เดียวกัน เพื่อให้สะดวกต่อการทำทุกอย่างในที่เดียว
  • ฟังภาษาอังกฤษจากลำโพงมือถือ ง่ายที่สุดแฮะ เคยพยายามหาลำโพงดีๆ แต่ด้วยความที่มีขั้นตอนยุ่งยาก เลยไม่ค่อยได้ฟัง แต่พอเปิดจากมือถือโดยตรงจะสะดวกและง่ายกว่ามาก และได้ฟังจริงๆมากกว่าจากลำโพงที่ซื้อมาเป็นพิเศษเสียอีก
    • อะไรที่เรียบง่าย ทำได้ง่าย ไม่ได้มีขั้นตอนซับซ้อน จะทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่า
    • กินข้าวไปด้วย ฟัง BBC sound ไปด้วย
  • เรื่องการอ่านหนังสือ การอ่านต้องเน้นความเข้าใจ ส่วนเรื่องความเร็ว ให้มันค่อยๆพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติดีกว่า ไม่จำเป็นต้องอ่านเร็วมาก(ถ้าอ่านเร็วแล้วทำให้ตกหล่นรายละเอียด ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็จำไม่ได้นานอยู่ดี)
    • แต่ประเด็นสำคัญ คือ ทำอย่างไรให้สามารถ มีสมาธิอ่านได้นานๆ
  • หลังจากที่ตัดแว่นใหม่มา โดยลดค่าสายตาลงเล็กน้อย(ก่อนหน้านี้มัน over correction) ก็อ่านหนังสือได้ดีขึ้น แบบไม่ล้าเร็วแล้ว

วันที่ 25 พ.ย.

  • รู้สึกว่าเวลาในแต่ละวัน ผ่านไปเร็วเหมือนกันแฮะ ต้องพัฒนาสติให้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • รู้สึกว่าการนอนน้อย ทำให้สติเกิดได้ง่ายขึ้น รู้สึกเบาสบาย คิดอะไรได้คล่องตัวขึ้นนะ
  • ช่วงนี้ อ่านหนังสือขณะนั่งรถไม่ได้แล้ว หลับตลอด หรือไม่ก็เกิดความรู้สึกเมารถถ้าจะอ่านหนังสือ เหมือนเกิดจาก พอนอนน้อยแล้วก็ งดออกกำลังกายหนักๆ(วิ่ง) ความแข็งแรงโดยรวมของร่างกาย และความกระฉับกระเฉงก็เริ่มลดลง
    • อาจต้องออกกำลังกายเบาๆ เช่น พวกวิดพื้น, sit up เพิ่มเติม เพื่อให้หัวใจแข็งแรงขึ้นบ้าง
  • เหมือนอ่านหนังสือเหมือนอ่านไปเรื่อยๆ ไม่ได้จดจำอะไร อาจต้องใช้วิธี Active recall ด้วยการนึกสิ่งที่อ่านไป ในแต่ละหัวข้อ
  • มีคนรีวิว การนอน 4 ชม ต่อวัน https://www.youtube.com/watch?v=lbFzL-0pEeU
    • จะใช้เวลาปรับตัว 2 สัปดาห์
      • 2-5 วัน แรก จะเหนื่อย เบลอ คิดอะไรไม่ค่อยออก และง่วงมาก รวมถึงอาจมีปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันเลือดสูงขึ้น ฯลฯ
      • วันหลังๆจากนั้น จะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ
      • ช่วงปรับตัว อาจงดออกกำลังกายหนักๆไปก่อน ถ้าพ้นช่วงปรับตัวได้แล้ว อาจกลับมาวิ่งได้

วันที่ 24 พ.ย.

  • รู้สึกว่า ท่านั่งขัดสมาธิ ทำให้นั่งได้นานกว่า นั่งพิง เก้าอี้ ergonomic สุดท้ายก็ถอดพนักพิงออก และนั่งขัดสมาธิหลังตรงบนเก้าอี้แทน ก็รู้สึกสบายมากขึ้น
  • รู้สึกว่า ช่วงเวลาที่แบ่งไว้ศึกษาหาความรู้รอบตัวเพิ่มเติม ให้ศึกษาจากการอ่าน paper, research น่าจะดีกว่าไปฟังคนอื่นสรุปให้ทาง youtube เพราะ การศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง มันเป็นการฝึกทักษะหลายอย่างในนั้น ทั้งการตั้งคำถาม การหาข้อมูล การคิดวิเคราะห์ เป็นต้น ทักษะเหล่านี้มันจะเป็นประโยชน์กับชีวิตเราอย่างมากในอนาคต
  • ช่วงที่นั่งสมาธิ จะ Deep dive into the content ได้เร็วขึ้น เป็นความรู้สึกเหมือนดำดิ่งเข้าสู่เนื้อหาได้เร็วขึ้น และเข้มแข็ง ชัดเจน
  • พอไม่มีแว่น จะใช้ชีวิตได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ(สั้นไม่มากนะ แต่ลองไม่ใส่แว่น มันก็ไม่เห็นอยู่ดี)

วันที่ 23 พ.ย.

  • มีไอเดีย ต้องรีบบันทึกไว้ไม่งั้นลืมแน่นอน ล่าสุดก็ลืมไปแล้วว่าเมื่อเช้าคิดอะไรได้
  • เริ่มอ่าน programming บ้างละ เริ่มต้นกับ Algorithm สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเก่าๆ ที่คุ้นเคย
  • หลายๆเรื่องเรายังรู้น้อยมาก รู้ถูกบ้างแต่ไม่ทั้งหมด ซึ่งก็มีรู้ผิดบ้างเช่นกัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่พยายามจะหาความรู้เพิ่มเติมเลย
  • อยู่ๆก็เกิดไอเดียขึ้นมาว่า มหาลัยเก่า สามารถให้ศิษย์เก่า สมัครเป็นสมาชิกหอสมุดได้ เพียง 500 บาทต่อปี ซึ่งจะทำให้เราสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ขนาดใหญ่และคุณภาพดีจำนวนมากได้ (มี Textbooks ต่างประเทศ ดีๆมากมาย)

วันที่ 22 พ.ย.

  • ถ้าจะเริ่มทำโปรเจค Programming ต้องเริ่มตอนนี้แล้ว เพราะ มันคือชีวิตของเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทำไมต้องไปรอเรียนจบก่อน เสียดายเวลาแย่(แต่ก็ยังจะเรียนอยู่นะ เพราะ เรียนรู้เองอาจได้ความรู้ไม่ครบ)
    • ตอนนี้ก็เริ่มศึกษาทุกอย่างได้เลย และหากมีไอเดียอะไรก็ลองทำอย่างเต็มที่ ถ้ารอเรียนจบก็คงไม่มีไอเดียแล้วแหละ
  • ต้องหาวิธีนอน 4 ชม ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องสละอะไรก็ตาม
    • กินวันละมื้อ IF 23/1 พลังงานประมาณ 1,200-1,600kcal เน้นธัญพืช-คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีนจากไข่ ผลไม้หลากสี พยายามงดแป้งแปรรูปทุกชนิด
    • วิ่งออกกำลังกาย แบบ High intensity(HIIT- วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้) วันเว้นวัน ครั้งละ 1 กม.
    • วันที่ไม่วิ่ง ก็จะเดินไปมา ทุกชั่วโมงแทน ครั้งละ 5 นาที
  • สมดุลของเวลา 3 ส่วนคร่าวๆ ปรับเปลี่ยนบางอย่างให้มาก-น้อยได้ตามความเหมาะสมในบางช่วงเวลา(แต่ก็ไม่แนะนำให้ปรับเปลี่ยนสมดุล) และต้องมีครบ 3 อย่างในทุกวัน
    • 6ชม. ศึกษา Programming
    • 6ชม อ่านหนังสือเตรียมสอบ
    • 6ชม ศึกษาและหาความรู้รอบตัวเพิ่มเติม เขียนบล๊อก วิเคราะห์ตนเอง
  • เรื่องการย้ายกลับบ้าน
    • จริงๆ ไม่อยากรับรู้เรื่องราวของที่บ้านเท่าไหร่ เพราะ มักจะมีปัญหาไร้สาระของคนที่ไม่เข้าใจชีวิต ไม่เคยเห็นโลกในภาพกว้าง รู้จักแต่สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ซึ่งเราไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองของเขาได้ เพราะ เราไม่มีความสำเร็จอะไรให้เขาเห็น เราจึงไม่ควรกลับบ้านในตอนนี้ ควรไปแสวงหาความสำเร็จด้วยความพยายามของเราก่อน ส่วนที่บ้าน ในระหว่างนี้หากมีปัญหาเราขอไม่มีส่วนรับรู้ เพราะ มันมักเป็นปัญหาจุกจิกไร้สาระ ที่ทำให้เราเสียเวลาชีวิต และ เปลืองแรงสติปัญญาโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งๆที่ถ้าเขาจะแก้ ก็ง่ายๆ ด้วยตัวเขาเอง คือ ออกจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีนั้นเสีย
      • แต่จริงๆ ถ้าเรากลับบ้าน เราอาจช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้บ้าง จากความรู้ที่เรามี แต่ก็ไม่ได้มีกำลังพอที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาให้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดได้หรอก นอกเสียจาก เราต้องพัฒนาชีวิตตนเองจนสำเร็จก่อน แล้วจึงกลับมาช่วยเหลือเขา
      • แต่เนื่องจากเขาไม่ได้ต้องการรับความช่วยเหลือเรา อีกทั้งยังต้องการควบคุมชีวิตเราแทน ด้วยเหตุผลเท่าที่วิสัยทัศน์ของเขามี มันกลับเป็นการทำลายเรา เพราะ มุมมองชีวิตของเขากว้างขวางไม่เท่าเรา เราจึงควรหลีกเลี่ยงก่อนดีกว่า
    • เราควรแสวงหาที่อยู่ของเราเองก่อน(เช่าหอ) เพื่อพัฒนาตัวเราอย่างเต็มที่ หากเขาอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือ มีปัญหาชีวิตเมื่อไร ต้องยอมเข้ามาในสิ่งแวดล้อมของเราก่อน เราจึงจะช่วยเหลือ

Tags

  • บันทึกประจำวัน
By krishrong, 23 November, 2023

กลับบ้าน หรือ อยู่หอ ข้อดี vs ข้อเสีย

หลังจากที่คิดไปคิดมา ไม่แน่ใจอยู่นาน ก็พอจะตกผลึก และ สรุป แยกประเด็นออกมาได้ดังนี้

  กลับบ้าน อยู่หอ
ข้อดี
  1. ประหยัดเงินในระยะสั้น(แต่ไม่มีประโยชน์ ในระยะยาวเท่าไหร่ เหตุผลให้ไปดูข้อเสีย)
  1. สะดวกในการศึกษา(มหาลัย) ใกล้แหล่งความรู้ หอสมุดขนาดใหญ่ ของคณะต่างๆ มีความรู้ทุกศาสตร์
  2. เต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาตนเอง ที่ออกกำลังกาย, หมู่คนมีความรู้ ควรค่ากับการเสวนา, กิจกรรมส่งเสริมสติปัญญา ที่จัดที่มหาลัย เช่น เสวนา บรรยายทางวิชาการ บรรยายธรรมะตอนเย็น เป็นต้น  
ข้อเสีย
  1. ไม่สะดวกในการศึกษา เดินทางใช้เวลานาน และ ไกล ไม่สะดวกเวลายืมหนังสือหนักๆ จากห้องสมุดมาอ่านเล่น
  2. มีสิ่งแวดล้อมที่ขัดขวางการพัฒนาตนเอง เต็มไปด้วย เรื่องไร้สาระของชาวบ้านที่ ไม่เคยได้รับการศึกษา อบรม ทางใจ มีความคิดต่ำทราม เช่น การพยายามหาช่องทางเอาเปรียบแบบของเพื่อนบ้าน ด้วยตรรกะอันโง่เขลา(ที่คิดว่าเกลามาดีแล้ว), การเล่นพรรคเล่นพวก จับกลุ่มเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ หรือ หาทางกลั่นแกล้ง เป็นต้น ซึ่งไม่มีประโยชน์ทั้งในปัจจุบัน คือ ทำให้เสียเวลาชีวิต และ ทำลายโอกาสที่จะได้เอาเวลาไปพัฒนาตนเอง ศึกษาหาความรู้ ซึ่งก็จะส่งผลต่ออนาคตด้วย คือ แทนที่จะได้เจริญงอกงามขึ้นไป ก็อาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน และ กลับมาจมอยู่กับหมู่คนไร้สติปัญญา
  3. ไม่มีสิ่งแวดล้อมสำหรับพัฒนาตนเองได้สะดวกเท่าไหร่ ทั้งหมู่คนที่ไม่มีความรู้ ไม่เคยเห็นโลกภายนอกจากหมู่บ้านที่ตนเองอาศัย คิดว่าตนเองเก่งที่สุด(เสวนาด้วยก็มีแต่ความบัดซบ), การเดินทางที่ไม่สะดวก จะเดินไปไหนมาไหน ทำอะไร ต้องคอยฝ่าสายตาอันโง่เขลา ที่จับจ้องทุกการกระทำของเรา ซึ่งจ้องเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยให้ฉลาดขึ้น

ทางแก้

  • หากเราจะไปต่อสู้ หรือไปทะเลาะกับพวกเขา คือ ความโง่เขลา เพราะ ต่อให้เราชนะ อย่างไรเราก็ถูกทำให้เสียเวลา และเสียโอกาสในการพัฒนาตนเองไปอย่างมากแล้วรวมถึงเสียสติ สมาธิ ไปกับการต่อสู้ ที่มักจะเกิดอย่างไม่หยุดหย่อน(คนนิสัยพาล ชอบคิดแต่จะหาเรื่องคนอื่น แพ้เรื่องนึง ก็พยายามหาเรื่องอื่นมาอีกไม่หยุด)
  • ที่ถูกต้องคือ ออกจากสิ่งแวดล้อมนี้เสีย ก็จบ และ ถ้ามีธุรกิจ ก็มาตรวจดูเป็นครั้งคราว 
  1. ไม่ประหยัดเงินในระยะสั้น(แต่คุ้มค่าในระยะยาว กับความรู้ที่ได้และการพัฒนาตนเอง ซึ่งจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต)

ทางแก้

  • พอมีเงินเก็บที่ยังพอใช้เรียนต่อจนจบได้อยู่ แต่ต้องประหยัดมากพอควร

เรื่องปัจจัยอื่นๆ เช่น มีคนที่บ้านบางคน ยึดติด ยังอยากอยู่ที่นี่ เพราะ เขารู้สึกว่า แม้เขาจะออกไปอยู่ข้างนอก ก็อาจไม่ได้ประโยชน์แบบเดียวกับเรา แต่โทษที่เขาได้รับ มันก็เป็นแบบที่เราคิดแน่นอน ซึ่งอย่างไรเขาก็เสียประโยชน์ คือ ความสุขในปัจจุบันขณะ ที่ถูกก่อกวนจากหมู่คนพาล ต่อให้เขาพยายามต่อสู้ ก็เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ชนะปัญหาหนึ่ง เดี๋ยวก็จะมีปัญหาอื่นมาให้อยู่ดี ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ไม่ได้ใช้อย่างสงบสุข

สรุปว่า ตอนนี้ พยายามคิดเท่าไหร่ ก็หาเหตุผลที่เหมาะสม ที่จะกลับมาอยู่บ้านไม่ได้เลย การอยู่หอใกล้มหาลัยเป็นทางเลือกที่ดีและสมบูรณ์แบบสุดๆ เพราะ ได้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมไปเต็มๆ, แม้ค่าห้องจะแพงเล็กน้อย แต่ก็ประหยัดค่าเดินทาง ประหยัดเวลา เอาเวลาที่มากขึ้น ไปทำงานอดิเรก, อ่านหนังสือ, หางานพิเศษได้อีก เรื่องเงินเก็บ มันก็เป็นเป็นเพียงเงินก้อนเล็กๆ ให้เพียงพอกับการใช้ทำประโยชน์ในระยะสั้น ในปัจจุบันที่สำคัญ คือ การเรียน และ การพัฒนาตนเอง แต่โดยส่วนตัวมองไม่เห็นประโยชน์สำคัญใดๆ ที่จะเกิดขึ้น จากการเก็บเงินก้อนเล็กๆ นี้ไว้เฉยๆ ในระยะยาวเลย

Tags

  • แผนการณ์ชีวิต
By krishrong, 21 November, 2023

ปัญหาชีวิต

ปัญหาชีวิตในตอนนี้ (คำเตือน บันทึกไว้ใช้ทบทวนความเข้าใจของตนเอง ผู้ที่มาอ่านอาจจะงงได้ ไม่จำเป็นต้องอ่านเท่าไหร่ เป็นเพียงปัญหาส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะทำให้ผู้อ่านเสียสุขภาพจิตได้)
1. เราลาออกจากงานประจำเดิม ที่รายได้ดีพอควร มีเกียรติ มีความมั่นคง ในสายตาของคนอื่น แต่เป็นงานที่เราไม่ถนัด

สาเหตุ ที่ลาออกคือ เราไม่รู้สึกมั่นคงเลย เพราะ มันเป็นงานที่เราไม่ถนัด ซึ่งถ้าทำพลาดอาจเป็นปัญหาใหญ่ และด้วยความที่เรามีภาวะสมาธิไม่ปกติ(สมาธิสั้น) และ ลักษณะงานจะต้องใช้สมาธิทำอย่างต่อเนื่องเป็นหลัก ก็ยิ่งมีโอกาสก่อให้เกิดปัญหาได้อีกมากมายในอนาคต และส่งผลต่อหน้าที่การงานด้วยอย่างแน่นอน อย่างเบาสุดก็คงไล่ออก หรือ ทำงานอยู่ที่เดิมไปจนตาย ไปไหนคงไม่มีใครรับ ถ้ายิ่งไปลาออกตอนอายุมาก ก็คงทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ไปกันใหญ่ ลาออกตอนนี้ไปเรียนใหม่ และ ทำสิ่งที่เราถนัด อาศัยความชอบ และความสามารถเดิม คงยังช่วยส่งเรา ให้ก้าวหน้าไปได้ไกล แม้จะเริ่มต้นช้า

เพิ่มเติม ทำงานที่ไม่ถนัด เหมือนเอาปลามาฝึกปีนต้นไม้ เอานกมาหัดดำน้ำ ถ้าทำแบบนั้น มันคงรู้สึกว่าตัวมันเองไร้ความสามารถ แต่ถ้ามันได้ทำในสิ่งที่ถนัด มันก็ก้าวหน้าได้และ ประโยชน์จากสิ่งที่มันทำได้ มากกว่าไปบังคับให้มันทำในสิ่งที่ไม่ถนัดอีกมาก

2. บุคคลที่เราอยากให้สนับสนุนการตัดสินใจของเรา กลับไม่เห็นด้วย ทั้งๆที่เขาไม่เคยเห็นตอนเราทำงานจริง

เราทำได้ หรือไม่ได้ เรารู้จักตัวเองดี ถ้าเราทำได้ เราก็คงไม่อยากลาออกให้เสียเวลาหรอก ก็คงจะทำงาน เก็บเงิน ใช้ชีวิต ฮ่าๆๆ แต่งานมันมีบางอย่างที่เราไม่ถนัดอย่างมาก เพราะ ลักษณะงานต้องอาศัยสมาธิอย่างต่อเนื่องกับงานที่ทำ แต่การมีสมาธิอย่างต่อเนื่อง สำหรับเราเป็นอะไรที่ยากมาก และดูเหมือนกับว่าเราจะมีความบกพร่องในส่วนนี้ คือเราเป็นสมาธิสั้น(เป็นรูปแบบความผิดปกติของสมองส่วนหน้า ทำให้ไม่สามารถควบคุมสมาธิ ให้อยู่กับสิ่งที่ไม่ได้ชอบนานๆได้ หากแสกนการทำงานของสมอง จะมีรูปแบบที่ต่างจากคนปกติ) โดยเราได้ พยายามทุ่มเท หาวิธีทำงานให้ดีขึ้นมาตลอด ทำงานอย่างสุดความสามารถ แต่ผลลัพธ์ คือ แม้บางอย่างจะดีขึ้นบ้าง แต่ความผิดพลาด จากสมาธิที่ไม่เหมือนคนปกติ ก็ยังเหมือนเดิม สรุปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย

แต่บุคคลนั้นไม่สนใจ เอาแต่บอกอย่างไม่สนใจเหตุผลตามความเป็นจริง ว่า "เราทำได้" ซึ่งไม่รู้ว่าเขาเอาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธเรา เขาไม่เคยเห็นเราทำงานจริง ทุกอย่างมาจากความคิดไปเองของเขาล้วนๆ อย่างไม่มีเหตุผลมารองรับ เขาพยายามแปะป้ายว่าเราทำได้ และยังพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อควบคุมและชักนำเรา ให้เป็นไปตามที่เขาอยากให้เป็น ยัดเยียดให้เราไปทำงานที่เราไม่ถนัด ซึ่งมันเป็นการกีดกันเราจากสิ่งที่เราถนัดและมั่นใจ และ ถีบเราลงไปในนรก ของสิ่งที่เราไม่ถนัดและไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย ซึ่งมันเป็นการทำลายอนาคตของเราชัดๆ

เราพยายามจะคุยกับเขาด้วยเหตุผลแบบ "ปกติที่สุด" แต่ทุกครั้ง กลับกลายเป็นว่า เขาไม่เคยที่จะยอมคุยอย่างตรงไปตรงมาเลย ย้ำอยู่แต่คำพูดเดิมๆ จากความเชื่ออย่างไร้เหตุผลของเขา หารู้ไม่ว่าความเชื่อมั่นของเขาในตัวเรา แบบผิดๆ มันได้ทำเราเกือบตายมาแล้ว ฮ่าๆๆ หรือเวลาคุยกันทางโทรศัพท์ พอเราเริ่มคุยเข้าประเด็น แล้วเขาเริ่มจะไม่มีเหตุผลมาอ้าง เขาก็จะตัดสายทิ้งไปดื้อๆ พอเราโมโห เขาก็อ้างเหตุผลที่เราโมโห และไม่คุยกับเราอีก ไม่รู้ว่าเขามีอะไรในใจ หรือ มีความจริงอะไร ที่เขากลัวและไม่อยากยอมรับมันรึเปล่า

นอกจากนี้ หากมันเป็นเพียงการคิดผิดไปเองของเรา แบบหลงผิดไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เราเชื่อว่าไม่นาน เราก็จะกลับไปทำงานที่เราอุตส่าห์เรียนมาอย่างยากลำบาก จนสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานมาได้ อยู่แล้ว ไม่น่าจะมีอะไรต้องกังวล อะไรที่เป็นของเรา มันก็จะคงอยู่กับเรา แม้จะผ่านไปนานแค่ไหน ส่วนอะไรที่ไม่เป็นของเรา ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ฝืนยื้อมันไว้ไม่ได้หรอก

หากเขากลัวว่า ถ้าเราลาออกมาแล้ว เราจะลืมความรู้ที่เรียนมา ซึ่งเราว่าไม่น่ากลัว ถ้ามันจะลืมได้ง่ายขนาดนั้น แสดงว่ามันไม่ใช่ของเรา ถ้าจะลืมก็ลืมไปเลย กลับกัน เราเองก็มีความรู้บางอย่าง ที่เราชอบและศึกษาด้วยตนเอง แม้จะผ่านมา 10 ปี แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่มันยังคงอยู่กับเราไม่ลืมเลือนไปไหน ไม่เคยได้ทบทวนความรู้ด้วยนะ แถมยังเอามาต่อยอดได้ในปัจจุบันอีก อันนี้คงจะสรุปด้วยตัวเองได้นะว่า นี่มันเป็นของเราจริงๆ ไม่ต้องให้คนอื่นมายืนยันหรอก!!

3. ความมั่นคงที่แท้จริง ไม่ใช่ตำแหน่ง หรือ ฐานเงินเดือน แต่คือความสามารถของเรา 

ถ้าเราไม่มีความสามารถจริง ทำงานไปก็อาจเกิดปัญหา หรือ แก้ปัญหาไม่ได้ และถูกไล่ออกได้อยู่ดี จะตำแหน่งสูง หรือเงินเดือนดีก็ไม่ได้ช่วยอะไร จะหาความมั่นคงได้จากไหน? แต่หากเป็นสิ่งที่เรามีความสามารถจริง ต่อให้เราไม่มีทรัพยากรอะไร เราก็สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ขึ้นมาจากไอเดียของเราเองเลยก็ยังได้ ไม่ต้องรอใครมาจ้างหรือให้โอกาสเรา

ความมั่นคงพื้นฐานในชีวิต คือ ความรู้ ความสามารถของเราที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เรารู้ได้ด้วยตัวเองว่าเราพัฒนาจริงหรือเปล่า

4. หากสามารถเลือกสิ่งแวดล้อมเองได้ ทำไมจะต้องไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีล่ะ?

สิ่งแวดล้อมมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของการพัฒนาตนเอง หากสามารถเลือกสิ่งแวดล้อมเองได้ ทำไมจะต้องไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีล่ะ? ถ้าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตเรา เช่น สอบเข้าเรียนต่อ เป็นต้น ก็ควรทุ่มเทกับมันให้ดีที่สุด 

ถ้ามีเงินจะจ่าย ก็ควรจ่ายเพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองให้เก่งขึ้น การลงทุนในการพัฒนาตนเอง เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด และ ให้ผลตอบแทนที่แน่นอนที่สุด เพราะ เราจะเป็นผู้รับประกันความเสี่ยงของตัวเราเอง (เหมือนซื้อหุ้นเพื่อลงทุนในบริษัท ที่เราเป็นผู้ดำเนินการเอง บริษัทจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็อยู่ที่เราว่าพัฒนาตนเองได้แค่ไหน)

สิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ได้เน้นในแง่ความสะดวกสบายทางกายภาพ(แม้จะมีส่วนในการพิจารณา) แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดจาก "คน" มากกว่า เช่น คนพาลที่พยายามจะทำลายประโยชน์ของเรา, คนไม่มีสติปัญญา สร้างปัญหาไร้สาระ ให้เกิดกับตนเอง แล้วเราต้องไปช่วยแก้ไข จนเสียเวลาอันมีค่าในชีวิต ไปกับปัญหาไร้สาระจากคนอื่น(ปัญหานึง เสียเวลาไป 10 วัน เราก็นำไปใช้ ทำอะไรได้เป็น 10 อย่างแล้วนะ) เป็นต้น

แต่ในกรณีที่เลือกสิ่งแวดล้อมเองไม่ได้ เช่น ยังหาเงินเองไม่ได้ เป็นต้น ก็อาจจะหาวิธีหลีกเลี่ยงชั่วคราว เช่น ออกไปอ่านหนังสือที่อื่นที่เหมาะสมกว่านี้ เป็นต้น

อย่าไปคิดว่าจะต้องช่วยคนอื่น ปัญหาจากความไม่เข้าใจชีวิตของคน เกิดขึ้นอยู่เสมอๆในโลก เราต้องทุ่มเทกับการช่วยตัวเองให้ดีขึ้นก่อน แล้วจึงจะไปช่วยคนอื่นได้ และต่อให้เราไปช่วยเขาครั้งหนึ่ง หากเขายังไม่เข้าใจชีวิต และ ไม่เรียนรู้ ปัญหาก็จะเกิดกับชีวิตเขาอีกไม่จบสิ้นอยู่ดี จะมีอีกวิธีคือ เราต้องพัฒนาชีวิตตนเองก่อน จนมั่นคง จึงจะเป็นที่พึ่งพาให้กับคนอื่นไปได้ตลอด

5. ถ้ายังอยู่ในระหว่างพัฒนาตนเอง ยังไม่มีรายได้ประจำ อย่าไปลงทุนใดๆ ให้โฟกัสที่การพัฒนาตนเอง
ถ้าเอาเงินเก็บอันน้อยนิด ไปลงทุนตอนนี้แล้วดันเจ๊ง ความหวังในการพัฒนาตนเองก็จะล้มละลายไปด้วย
อดใจรอ จนกว่าเราจะมีอาชีพและสร้างรายได้เองได้แล้ว ค่อยแบ่งเงินบางส่วน เอาไปลงทุน

หรือถ้าจะลงทุน ก็ลงในจุดที่เสี่ยงน้อยที่สุดของกราฟ และ ลงทุนในจำนวนเงิน เท่าที่จะยังไม่มีผลกับชีวิต หากเกิดการขาดทุน

Tags

  • แผนการณ์ชีวิต
By krishrong, 20 November, 2023

วิธีการรักษาสมาธิสั้น แบบไม่ใช้ยา

https://www.youtube.com/watch?v=cvxULrV5qT4 ตอนที่ 1
https://www.youtube.com/watch?v=aBKakaQ_SJoิ ตอนที่ 2

อันนี้เป็นอาจารย์แพทย์ Ned Hallowell จาก Columbia university ให้ความรู้เกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วยสมาธิสั้น (ADHD) โดยไม่ใช้ยา

โดยหลักๆคือ มีผลงานวิจัยว่า หากในแต่ละวัน มีการทำกิจกรรม ที่มีการขยับเคลื่อนไหวร่างกาย(Physical activity) ในแต่ละวันมากๆ จะช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และ เห็นผลภายใน 3-6เดือน เช่น อย่างน้อย วิ่งออกกำลังกายสบายๆ ครั้งละ 10 นาที เช้า-เย็น, การทำงานบ้านต่างๆ เป็นต้น

  • สาเหตุคือ สมองส่วนที่อยู่ด้านหลังบริเวณท้ายทอย(cerebellum) ที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ในความเป็นจริงแล้ว มีความสำคัญมากกว่าที่เราคิดมาก เป็นส่วนที่มีเซลล์ประสาทมากที่สุดในสมอง โดยมีสัดส่วนกว่า 70% และ มีการเชื่อมโยงไปยังสมองส่วนหน้า(Prefrontal cortex) ซึ่งเป็นส่วนที่คนที่เป็นสมาธิสั้น จะไม่สามารถควบคุมการทำงานได้ดีนัก โดยมีงานวิจัยว่า หากมีการออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 10 นาที เช้า-เย็น จะช่วยให้ภาวะสมาธิสั้น ดีขึ้นภายใน 3-6เดือน
  • นอกจากนี้ จะมีวิธีการออกกำลังกาย เพิ่มเติม เพื่อเน้นฝึกสมองส่วน cerebellum โดยตรง โดยจะเรียกว่า Zing's exercise methods ซึ่งมักเกี่ยวกับการฝึกสมดุล เช่น การปิดตาข้างหนึ่งแล้วยืนขาเดียว เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม เพียงการขยับเคลื่อนไหว การออกกำลังกายปกติ ก็เป็นการกระตุ้นสมองโดยธรรมชาติ และได้ผลดีอยู่แล้ว

นอกจากนี้คือ การหากิจกรรมที่มีความท้าทาย หรืองานอดิเรกที่ชอบทำ ทำทุกๆวัน เพื่อให้ได้ท้าทายสมองอยู่เสมอๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญมากในการกระตุ้นสมองเช่นกัน เช่น งานฝืมือ เย็บปักถักร้อย, เขียนบันทึกประจำวัน, ทำสวน, ทำอาหาร, ทำงานศิลปะ, ต่อโมเดล, ทำงานช่าง งานไม้ ฯลฯ โดยคุณหมอเน้นย้ำว่า ต้องทำทุกวัน โดยคิดเสมือนว่าเราเป็นวัว ที่ต้องมีผลผลิตเป็นการรีดนมในทุกวัน

นอกจากนี้ การดื่มกาแฟ หรือ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก็ช่วยได้เหมือนกันนะ เพราะ มีฤทธิ์คล้ายยากระตุ้นสมอง แต่ก็ดื่มอย่างเหมาะสมกับน้ำหนักตัว เพื่อไม่ให้มากเกินไป และเป็นกาแฟดำ ที่ไม่มีมีน้ำตาล(น้ำตาลจะทำให้อาการสมาธิสั้นแย่ลง)

รวมไปถึง งดอาหารจาก แป้งขัดสี เช่น ข้าวขาว ขนมปังที่ทำจากแป้งขาวขัดสี เป็นต้น รวมทั้งน้ำตาลต่างๆ เพราะ จะทำให้น้ำตาลในเลือดเหวี่ยง และ สมาธิแย่ลงอย่างมากได้ โดยแนะนำอาหารที่มีกากใยอาหารสูง เช่น ธัญพืช เป็นต้น

อีกอย่างหนึ่ง คือการงดการเล่นเกมส์ สิ่งบันเทิงที่มากเกินไป รวมถึง social media เพราะ สิ่งเหล่านี้จะ ทำให้มีการหลั่ง dopamine ในสมองที่มากผิดปกติ

สรุป คือ ออกกำลังกายทุกวัน มีการเคลื่อนไหวมากๆ, มีงานอดิเรกที่ท้าทายตัวเองทุกวัน, ดื่มกาแฟ, งดแป้งแปรรูป, งดเล่นเกมส์ - Social media - สิ่งบันเทิง

อ่านเพิ่มเติม สรุปปัจจัยที่ช่วยให้สมาธิดีขึ้น

แหล่งความรู้เพิ่มเติม ที่เกี่ยวกับ ADHD

  • เป็น Ted talk ของ คนที่เป็น ADHD ออกมาเล่าประสบการณ์ https://www.youtube.com/watch?v=JiwZQNYlGQI
  • https://www.additudemag.com/
  • https://www.understood.org/
  • http://www.add.org/
  • http://chadd.org/ 

Tags

  • สมาธิ
  • บทความสำคัญ
By krishrong, 19 November, 2023

เทคนิคการเพิ่มความเร็วในการอ่าน 3x(ลองแล้วได้ผลจริง)

https://www.youtube.com/watch?v=vge9LQIV1bg

ได้ดูคลิปแนะนำเทคนิคการอ่านหนังสือ จาก Channel ของ Salim Ahmed ซึ่ง โดยส่วนตัวลองแล้วได้ผลจริงๆ เลยเอามาบันทึกไว้ ไม่ให้ลืม

จากที่เขาเล่า มีเทคนิคการอ่านหนังสือให้เร็วขึ้น 3 ข้อง่ายๆ เท่านั้น ดังนี้

  1. อย่าอ่านเป็นคำพูดในหัว อ่านแบบเข้าใจความหมายไปเลย - เพราะ การอ่านเป็นเสียงพูดในหัวอีกรอบก่อน จะทำให้ช้า และเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้เกิดการจำกัดความเร็วในการอ่านของเรา แต่ถ้าเราเห็นข้อความ แล้วเข้าใจเป็นความหมายไปเลย จะเป็นแนวทางการรับข้อมูลได้เร็วกว่ามาก และจะเพิ่มความเร็วในการอ่านได้อย่างก้าวกระโดด
  2. อ่านโดยที่มีตัวนำสายตา เช่น นิ้วชี้ ปลายปากกา เป็นต้น เนื่องจากเวลาที่ตาเราอ่าน แบบไม่มีตัวนำสายตา โดยปกติเราจะกวาดตาแบบสะเปะสะปะ ไม่ต่อเนื่อง ไปที่ประโยคนั้น ทำให้ต้องอ่านกลับไปกลับมา หรือบางทีก็มัวแต่ไปอ่าน วนซ้ำในจุดที่ไม่เข้าใจ แต่ไม่ใช้เนื้อหาที่มีประเด็นสำคัญ และจะเสียเวลาได้อย่างมาก การมีตัวชี้ หรือ ตัวนำสายตา จะทำให้สามารถกวาดสายตา ได้อย่างต่อเนื่องไปในคำทุกคำในประโยค ในรวดเดียว ทำให้ไม่ต้องมาเสียเวลาอ่านซ้ำในข้อมูลที่ไม่สำคัญ โดยที่ใจความสำคัญไม่ตกหล่น
    • แรกๆอาจจะไม่ชิน ให้ฝึกแบบใช้นิ้วชี้ ไล่ไปช้าๆ ตามความเร็วที่เราสามารถอ่านเข้าใจได้ตามปกติของเรา ถ้าชินแล้ว ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
  3. กลยุทธ์การอ่าน คือ กฏ 80/20 คือ ข้อมูลที่เราจะได้จากในหนังสือกว่า 80% มาจากเนื้อหาส่วนสำคัญที่มักมีเพียง 20% ในหนังสือ หมายความว่า นอกจากเนื้อหาหลักที่มี 20% ส่วนที่เหลือจะเป็นเนื้อหาที่ไม่มีความสำคัญมากนัก หากเราอ่านโดยที่พยายามลงรายละเอียดกับเนื้อหาส่วนที่ไม่ใช่ใจความหลัก จะเสียเวลามาก  
    ดังนั้น เวลาเราอ่าน เราจะใช้เทคนิคการอ่านเร็ว 2 ข้อแรก อย่างเต็มที่ กับเนื้อหาที่ไม่ได้สำคัญ เพื่อให้อ่านเพียงแค่รู้ใจความ แต่ไม่ต้องไปเสียเวลาทำความเข้าใจหรือจดจำข้อมูลนัก และ หากเราอ่านไล่มาจนเจอจุดสำคัญ เราจะลดความเร็วลง(แต่ยังใช้วิธีอ่านแบบ 2 ข้อแรกนะ) เพื่อให้เราสามารถซึมซับและจดจำข้อมูลสำคัญได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป และ ประหยัดเวลาชีวิตได้อย่างมาก

นอกจากนี้ ยังมี เทคนิคที่ทำให้สามารถมีสมาธิในการเรียนหรืออ่านหนังสือได้นานขึ้น

  • การจะมีสมาธิอ่านหนังสือได้นานๆ ต้องฝึกฝน เราไม่สามารถเพิ่มการโฟกัส จากไม่เคยอ่าน ไปเป็นอ่านได้หลายๆชั่วโมงในทันที เหมือนการฝึกยกน้ำหนัก เราไม่สามารถยกน้ำหนักมากๆได้ตั้งแต่ทีแรก จะต้องค่อยๆเริ่มจากที่เราพอไหวก่อน การฝึกสมองก็เช่นกัน
  • ในการฝึก ให้เริ่มจากการลองอ่านในช่วงเวลาสั้นๆ โดยเริ่มจาก 5 นาที จากนั้นพักไปทำอะไรก็ได้สัก 2-3 นาที
    • ถ้าไม่รู้สึกฝืน ก็เพิ่มช่วงเวลาที่อ่านเป็น 10 นาที, 15นาที, 20 นาที, 30นาที ... ไปเรื่อยๆ โดยพัก 2-3 นาทีเช่นเดียวกัน
    • ถ้าเริ่มรู้สึกฝืน ก็ฝึกอ่านที่ช่วงเวลานั้นๆ จนรู้สึกเคยชิน สบายๆและไม่ฝืน แล้วจึงเพิ่มเวลาไปอีก 5-10 นาที
    • ค่อยๆฝึกและเพิ่มไปเรื่อยๆ จนอ่านได้นาน 1ชม., 2, 3 ..5, 6 ชม. เท่าที่เราต้องการ โดยไม่ต้องพัก

นอกจากเทคนิคการอ่านหนังสือแล้ว ช่องของ Salim Ahmed ก็ยังมีเทคนิคดีๆ อีกมากเลย ที่ใช้ได้จริงๆ เช่น เทคนิคการพิมพ์สัมผัสให้เร็วขึ้น - เวลาพิมพ์ให้นึกเป็นคำ แล้วพิมพ์ทีเดียว ไม่พิมพ์แบบสะกดทีละตัว เป็นต้น เดี๋ยวจะทยอยเอามาบันทึกเก็บไว้อ่านเรื่อยๆ

*เทคนิคในข้อ 1 เอามาใช้กับการอ่าน,ฟัง,พูด,เขียน ภาษาอังกฤษได้ด้วย คือ เวลาอ่านหรือฟัง พยายามฝึกประมวลผล โดยการเข้าใจความหมายไปเลย อย่างน้อยๆ ก็ในส่วนของ "การรับข้อมูล" ส่วนการพูด,เขียน ลองไปฝึกอีกทีนึง

  • โดยส่วนตัวเริ่มใช้กับการอ่านและการฟัง แล้วได้ผลมากๆ คือ อ่าน,ฟัง เข้าใจความหมายไปเลย ไม่ต้องมาแปลหรือทวนเป็นคำพูดซ้ำในหัว โดยเฉพาะการฟัง ซึ่งถ้ามานึกคำพูดทวนซ้ำหรือแปลความหมายอีกทีก่อน ก็จะเป็นเหตุให้เราฟังไม่ทัน แม้เราจะรู้คำศัพท์ในประโยคทั้งหมดก็ตาม ส่วนการอ่าน ก็เร็วขึ้นมาก เพราะเข้าใจความหมายได้เลย(เป็นการทำลายกำแพงกั้นเดิม ที่ต้องมาคอยแปลหรืออ่านทวนในหัว)
    • ทั้งนี้ อาจต้องพยายามฝึกภาษามาเรื่อยๆ สักระยะหนึ่งก่อนด้วยนะ เพื่อให้มีพื้นฐานและคลังคำศัพท์ในหัวเยอะๆ ทั้งการอ่านบทความหลากหลาย เพื่อให้ได้คำศัพท์หลากหลายรูปแบบ, การเรียนรู้ศัพท์ (โดยฝึกเรียนรู้ศัพท์แบบเปิด dictionary eng to eng นะ), หลักไวยากรณ์(Grammar)

Tags

  • การเรียนรู้
  • บทความสำคัญ
By krishrong, 18 November, 2023

สิ่งแวดล้อมมีผลมาก กับการพัฒนาชีวิต

หลังจากที่คราวก่อน ได้มีปัญหาว่า จะเลือกกลับบ้าน หรือไม่กลับบ้านดี คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก หาทางแก้ไม่ได้ ล่าสุดก็มีทางแก้แล้ว คือ โน้มน้าวคนที่บ้านให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่เสียเลย เหตุผลคือ ถ้าเปรียบเทียบสิ่งแวดล้อม 2 แบบ ทั้งดีและไม่ดี ดังนี้

  • สิ่งแวดล้อมเดิม ที่ มีแต่คนรอบข้าง คิดจะหาเรื่องกลั่นแกล้ง เอาเปรียบ หลอกลวง คอยพยายามขัดขวางความเจริญ และ การพัฒนาตนเองของเรา
  • สิ่งแวดล้อมใหม่  สิ่งแวดล้อมสะดวกสบาย เหมาะกับการพัฒนาตนเอง ใกล้แหล่งความรู้ เช่น ห้องสมุด ศูนย์หนังสือขนาดใหญ่ วัดสำหรับปฏิบัติธรรม เป็นต้น เดินไปหาความรู้ได้ฟรีและทุกเวลา มากด้วยเหล่าปัญญาชน เพราะ อยู่ใกล้แหล่งสถานศึกษา มีที่ออกกำลังกาย ไม่ต้องคอยพะวงระวังว่า วันไหนจะพบปัญหาจากคนรอบข้าง

ถ้าต้องอยู่สิ่งแวดล้อมไม่ดี เป็นเวลา 3 ปี ชีวิตเรา ต่อให้เรารักษาตนเองให้ไม่ทะเลาะกับใครได้ ชีวิตเราก็อาจพัฒนาได้ช้า หรือ ไม่พัฒนาไป ซึ่งแม้จะดูเหมือนไม่ขาดทุน แต่จริงๆ เราเสียเวลาชีวิตไป 3 ปี

ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นเวลา 3 ปี ได้อยู่ในหมู่คนเก่งๆ เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ แก้ปัญหาด้วยเหตุและผล ในแต่ละวันสามารถเข้าไปหาความรู้ด้วยการอ่านหนังสือในห้องสมุด หรือ ศูนย์หนังสือ ได้ฟรีทั้งวัน ได้มีที่ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ชีวิตเราก็พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นตลอด 3 ปี ถ้าคำนวณแล้วก็คงดีกว่าทางเลือกเก่าหลายเท่านัก

Tags

  • แผนการณ์ชีวิต
By krishrong, 17 November, 2023

ลงทุนระยะยาวได้ แต่อย่าเทรด เพราะเสียเวลาชีวิต

ลงทุนระยะยาวได้ แต่อย่าเทรด เพราะเสียเวลาชีวิต เป็นการเอาเวลาชีวิตไปอยู่กับความเสี่ยง ที่ไม่รู้จะสำเร็จหรือไม่

ถ้าเราจะไม่คิดจะเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์สำคัญกับชีวิตแล้วจริงๆ เช่น การพัฒนาตนเองเป็นต้น ประกอบกับ รู้หลักการบริหารความเสี่ยง มีเงินและเวลาเหลือเฟือ จะเทรดก็ไม่ว่า

ที่ว่าเสียเวลามาก เพราะ ต้องเฝ้ากราฟทั้งวัน เพื่อให้ได้จุดเทรดที่ดีที่สุด กำไรสูงสุด แต่การทำอย่างนั้น มันทำให้ เอาเวลาชีวิตไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ไม่ได้เลย

ถ้าจะลงทุนระยะยาว จะดูกราฟเพียงวันละครั้งและไม่เฝ้ากราฟ หากวันไหนในสัปดาห์ สินทรัพย์ที่ดูอยู่ มีราคาถูกลง วิเคราะห์แล้ว อยู่ในช่วงเหมาะสมที่จะซื้อ ก็ซื้อเก็บสะสมไว้(ซื้ออย่างเดียว ไม่ขายนะ) โดยจำกัดการซื้อที่ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ในแต่ละสินทรัพย์ เท่านี้ก็จะไม่เสียเวลาชีวิตแล้ว

Tags

  • การเงิน
By krishrong, 15 November, 2023

ลองฝึกกล้ามเนื้อตา

เคยได้รับการตรวจพบว่า ตัวเองมีปัญหา ตาเหล่ซ่อนเร้นเล็กน้อย โดยเป็นการเหล่ออก(exophoria) 6 prism ด้วยความที่กล้ามเนื้อตายังสามารถมีแรงดึงตาให้อยู่ในตำแหน่งปกติได้ จึงยังไม่เห็นภาพซ้อน และไม่เห็นตาที่เหล่ออก(เล็กน้อย)

แต่ปัจจุบัน โดยส่วนตัวเวลาอ่านหนังสือ สิ่งที่สังเกตตัวเองได้คือ หากตาล้ามากๆ เวลาอ่าน จะไม่สามารถอ่านเป็นประโยคต่อเนื่องไปรวดเดียวได้ แต่จะต้องอ่านกลับไปกลับมาระหว่างคำแต่ละคำในประโยค ทำให้เข้าใจความหมายของประโยคยาก ต้องกลับมาอ่านซ้ำหลายรอบ มันแสดงถึงการที่กล้ามเนื้อตาเริ่มล้า(ง่ายกว่าคนปกติ) ทำให้ไม่สามารถดึงตาทั้งสองเข้ามาโฟกัสที่คำแบบนิ่งๆได้(ภาพจะเริ่มสั่นๆ อ่านไม่ smooth) ส่งผลให้รับข้อมูลผ่านการอ่านได้ยากกว่าปกติ 

เลยอยากลองฝึกเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตา เพื่อให้สามารถมีกำลังพอที่จะรองรับการอ่านหนังสือนานๆได้

วิธีนี้ เรียกว่า Stereogram exercise (* วิธีนี้ใช้กับกรณีตาเหล่ออก ถ้าเหล่เข้ามากกว่าปกติ ต้องใช้วิธีอื่นนะ)

หลักการง่ายๆคือ มองภาพแมว2ตัว (ภาพบน) ด้วยวิธีเหล่ตาเข้าหากัน เพื่อให้เป็นภาพเดียวรวมกันตรงกลาง(ภาพล่าง)

โดยที่เลื่อนภาพเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้น จนสุดระยะเท่าที่ตาเราจะยังสามารถรวมภาพได้ แล้วพยายามค้างเอาไว้ หากภาพแยก ก็ถอยออก แล้วพยายามเลื่อนกลับเข้ามาใหม่

ทำครั้งละ 2-3 นาที โดยทำบ่อยๆ ตลอดวัน เป็นเวลา2-3 สัปดาห์

โดยส่วนตัวทำก่อนนอนวันละ 5 นาที โดยการชูนิ้วชี้ มื้อซ้ายและขวา ห่างกันประมาณหนึ่งแทนภาพ(ขี้เกียจปริ้นต์รูป) แต่ใช้หลักการเหล่ตาเข้ามาให้ภาพนิ้วชี้ มาซ้อนกัน เหมือนเดิม โดยจะใช้การค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้น หรือ เลื่อนนิ้วออกห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆก็ได้

ทั้งนี้ถ้าไม่หายจริงๆ ก็มีอีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้แว่นตาที่มีเลนส์ปริซึม เพื่อดึงภาพให้มาปรากฏในตำแหน่งที่ตามีการเหล่ออก กล้ามเนื้อตาก็จะไม่ต้องทำงานมากกว่าปกติ ใช้ตาได้อย่างสบายขึ้น โดยเฉพาะคนที่ทำงานต้องใช้สายตามองระยะใกล้ทั้งวัน ทำงานฝืมือ หรือ อ่านหนังสือมากๆ แล้วก็ทำร่วมกับการฝึกกล้ามเนื้อตาไปด้วย เผื่อเกิดเหตุไม่มีแว่นปริซึมช่วย

อัพเดตเพิ่มเติม

  • ล่าสุดไปตรวจอีกครั้ง พบว่า ตำแหน่งตา และ กล้ามเนื้อตาไม่ได้ผิดปกติ แต่เป็น ระบบเพ่ง(Accommodation)จากกล้ามเนื้อเลนส์ตา ซึ่งมีการเพ่งมากกว่าปกติ จากการที่ใส่แว่นที่มีค่าสายตาเกิน(over minus)เล็กน้อย(ข้างละ 0.25-0.50 diopter) ทำให้กล้ามเนื้อเลนส์ตาเพ่งมากกว่าปกติ และเกิดการล้าได้ง่าย หากลดค่าสายตาลงก็จะหายเป็นปกติ
    • เบื้องต้น ลองไม่ใส่แว่นดู สัก3-4 วัน ก็เริ่มปรับตัวได้ กลับมาอ่านหนังสือได้ตลอดทั้งวันแบบสบายๆแล้ว แม้จะมองไกลไม่ชัด ก็เริ่มชินและไม่รู้สึกหงุดหงิดใดๆ (เอาความรู้จากการอ่านหนังสือก่อน ยังไม่ต้องมองไกลชัดก็ได้)
  • แต่การฝึกกล้ามเนื้อตาก็ยังทำทุกวัน แม้อาจจะไม่ได้แก้ปัญหาที่เป็นอยู่โดยตรง แต่ยังไงมันก็มีผลดี ไม่ได้มีผลเสียอะไร เหมือนการออกกำลังกาย ก็ทำไว้เถอะ ถ้ากล้ามเนื้อตาแข็งแรงขึ้น ก็น่าจะทำอะไรได้มากขึ้นอยู่ดีนั่นแหละ เสียเวลาแค่วันละ 5 นาที แต่ทำอะไรในชีวิตได้มากขึ้น ก็ถือว่าคุ้มค่า
  • ถ้ามีปัญหาในการดำเนินชีวิต ที่เกี่ยวกับตา, การมองเห็น ควรไปตรวจกับนักทัศนมาตร, จักษุแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่ถูกต้อง เพราะ ปัญหาหนึ่งๆ สามารถมีสาเหตุที่หลากหลายได้ การค้นคว้าเอง อาจทำให้เราไม่พบสาเหตุที่ถูกต้องได้

Tags

  • ปัญหาสายตา

Pagination

  • Current page 1
  • Page 2
  • Page 3
  • Page 4
  • Page 5
  • Page 6
  • Page 7
  • Page 8
  • Page 9
  • …
  • Next page
  • Last page

เนื้อหาทั้งหมด

บทความสำคัญ(26) พัฒนาตนเอง(24) Intermittent Fasting(15) การเรียนรู้(14) Linux(7) อาหาร(7) Dopamine Fasting(6) แผนการณ์ชีวิต(5) การเงิน(5) ภาษาอังกฤษ(5) ideas(4) open-source(3) เขียนโปรแกรม(3) Web Server(3) ปัญหาสายตา(3) สมาธิ(3) ธรรมะ(3) คลังไม่สำคัญ(3) จัดโต๊ะทำงาน(3) บันทึกประจำวัน(2) ตรวจสอบตนเอง(2) ธุรกิจ(2) เกี่ยวกับ(2) ออกกำลังกาย(2) ศึกษาด้วยตนเอง(2) Cardano(crypto) (1)Drupal (1)Windows (1)อุปกรณ์ (1)

บทความปรับปรุงล่าสุด

  • วิธีการ ต้มธัญพืชให้นิ่มเร็ว และไม่เกิดแก๊สในลำไส้
    Tue, 12/05/2023 - 18:45
  • สัปดาห์1 ธ.ค.
    Tue, 12/05/2023 - 18:45
  • ลองลดปริมาณการกินเหลือวันละมื้อ ลดเวลานอน ลดการออกกำลังกาย เพิ่มเวลาชีวิต
    Tue, 11/28/2023 - 10:55
  • บันทึกส่วนตัว พ.ย. 66
    Mon, 11/27/2023 - 21:44
  • กินกาแฟแล้วสมาธิดีขึ้น
    Sun, 11/26/2023 - 07:26
  • กลับบ้าน หรือ อยู่หอ ข้อดี vs ข้อเสีย
    Fri, 11/24/2023 - 18:55
RSS feed
Powered by Drupal