Skip to main content

ประเมินการเรียนภาษาอังกฤษของตัวเอง

Submitted by krishrong on

โดยส่วนตัวได้ฝึกภาษาอังกฤษ มาตั้งแต่อยู่ปี 3 ตอนเรียนมหาลัย(7ปีแล้ว ค่อยๆฝึกในชีวิตประจำวันมาเรื่อยๆ) เริ่มจาก

  • อ่านตำราเรียนที่เป็นภาษาอังกฤษเพราะ เราคุ้นชินกับเนื้อหาอยู่แล้ว และศัพท์จะไม่ได้เล่นคำ เล่นสำนวณ พลิกลิ้นยากๆ แถมยังเขียนถูกโครงสร้างไวยากรณ์ จึงเป็นการเริ่มฝึกที่ดี
  • จากนั้นก็ขยับขยาย ฝึกอ่านเนื้อหาอื่นๆตามความสนใจ จนเริ่มรู้ศัพท์กว้างขวางขึ้น
  • พอเริ่มรู้ศัพท์มากขึ้น ก็เริ่มลองฝึกฟังบ้างทั้ง ดู youtube เนื้อหาที่ชอบ(เช่น เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์) ฟังเพลงที่ชอบ ฟังข่าววิทยุ BBC (เปิดผ่านหู) ซึ่งก็ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง และยังต้องอ่าน caption ประกอบ
  • จากนั้นก็ยังคงฝึกอ่านภาษาอังกฤษที่ยากขึ้น เล่นคำ เล่นสำนวณมากขึ้น เช่น อ่านข่าว reuters เศรษฐกิจ เนื่องจากกำลังศึกษาเรื่องการเทรดสกุลเงิน เป็นต้น จนเริ่มได้ศัพท์หลากหลายแนวขึ้นไปอีก
  • ลองใช้ความรู้ด้านสุขภาพในการพัฒนาตนเอง ด้วยการออกกำลังกาย HIIP, ทำ IF ข้ามวัน(อาจทำไม่ได้ในคนปกติ), นั่งสมาธิเช้า-เย็น เพราะ มีงานวิจัยว่าช่วยทำให้สมองพัฒนามากขึ้นได้ โดยส่วนตัวทำแล้วก็ พัฒนาหลายอย่าง เรื่องภาษา ก็เป็นส่วนหนึ่ง
  • ต่อมาอยู่ๆ ทักษะการฟัง ก็กลับพัฒนาขึ้นมาก อยู่ๆก็เริ่มฟังเนื้อร้องออกมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องอ่านเนื้อ รวมถึงฟังเนื้อหาแนวอื่นๆใน youtube ก็ฟังออกขึ้นมาเอง(คิดว่าเป็นผลจาก ช่วงนี้อ่านหนังสือต่างประเทศ อ่านข่าว ซึ่งทำให้ได้รู้ศัพท์หลากหลายมากขึ้น จึงเข้าใจในสิ่งที่ฟังได้ดีขึ้น รวมถึงฝึก สมาธิ และการออกกำลังกาย ทำให้โฟกัสกับเสียงได้ดี และ สมองส่วนการฟังภาษาพัฒนาขึ้น)

ประเมินการเรียนภาษาอังกฤษของตัวเองในปัจจุบัน

  • เรื่องการอ่าน และการฟังไม่ต้องเป็นห่วง เพราะ พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังห่างไกลความ Native ยังคงต้องพัฒนาอีกมาก
    • การอ่านยังคงต้องเปิดพจนานุกรมในศัพท์ที่ไม่รู้อยู่มาก โดยเฉพาะศัพท์เฉพาะทางต่างๆ แต่ศัพท์พื้นฐานปกติ ก็เข้าใจเกือบ80%อ่านหนังสือที่มีเนื้อหาง่ายๆได้ โดยไม่ต้องพึ่งพจนานุกรม
    • เริ่มฟังเพลงต่างประเทศแบบไม่ต้องอ่านเนื้อได้บ้างแล้ว หลังจากที่ฝึกนั่งสมาธิ ออกกำลังกายแบบพิเศษ(HIIP) และ อ่านเนื้อหาหลากหลายแนวเพื่อกระตุ้นสมองให้ทำงาน
      • ช่วงนี้จะฝึกด้วยการเปิดคลิป youtube อะไรก็ได้(สุ่มเปิดเลย) ดูตอนกินอาหาร ฟังไปด้วยอ่านปากคนพูดไปด้วย(เหมือนเวลาเด็กnativeฝึกการพูด ก็จะฟังเสียงแล้วอ่านปากคนพูด เพื่อให้สามารถเลียนแบบได้ถูกต้อง)
  • แต่เรื่องการพูดกับการเขียน ยังคงเป็นปัญหา เพราะ ไม่ได้ฝึกเลย แต่ก็คิดว่าถ้าฝึกก็จะพัฒนาต่อไปได้เร็ว เพราะ เรามีคลังคำศัพท์ในหัวมากพอสมควร เหลือแค่ฝึกการดึงออกมาใช้อย่างถูกต้อง อีกทั้งเรายังมี ทักษะการฟัง และ การอ่าน ทำให้สามารถเรียนรู้แบบ Native เพิ่มเติมได้อีก
    • อ่านหนังสือ Becoming fluent บอกว่า ให้เริ่มจากการฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษ ง่ายๆในใจ ไม่ต้องเป็นประโยคซับซ้อน
    • เวลาเจอคนต่างชาตินิสัยไม่ดี ความอยากฝึกภาษาจะถูกกระตุ้นอย่างมาก ฮาๆๆ มันตื่นตัวขึ้นมาทันที(เวลาเจอคนต่างชาติที่สุภาพจะเฉยๆ ไม่รู้สึกถึงความอยากสื่อสารเท่าไหร่)
  • ความรู้สึกของการฝึกฟังในตอนนี้คือ อยากลองฟังนู่นนี่นั่น ว่าเขาพูดอะไร ทำอะไรกันอยู่ เหมือนตอนที่เริ่มฝึกอ่านภาษาอังกฤษใหม่ๆเลย ตอนนั้น เราก็อยากลองอ่านนู่นนี่นั่น ว่าเขาเขียนอะไร
    • นี่คงเป็นการยกระดับ (อัพเลเวล) ขึ้นไปอีกขั้นแล้วสินะ!!
  • ถ้าฝึกอ่านมากๆ การฟังจะดีขึ้น ถ้าฝึกเขียนมากๆ การพูดจะดีขึ้น เพราะเหมือนเป็นการซ้อมใช้งาน อย่างถ้าเราเคยฝึกแต่งประโยค ด้วยการเขียนมาก่อน ต่อให้เราไ่ม่เคยพูด เราก็จะพูดได้ เพราะ เราเคยแต่งประโยคนี้มาหลายรอบแล้ว
  • อ่านเยอะๆ จะทำให้มีศัพท์ไปฟังได้รู้เรื่อง อ่านเยอะๆ จะทำให้มีศัพท์ไปฝึกเขียนได้ พอเขียนเยอะๆ จะทำให้สามารถพูดได้คล่อง เพราะ ได้ฝึกแต่งประโยคจากการเขียนมาแล้ว
    • สรุปคือ อ่านเยอะๆ เขียนเยอะๆ จะพัฒนาการฟังและการพูดให้ดีขึ้นได้
    • แต่การพูด จะมีรายละเอียดบางอย่างเพิ่มจากการอ่าน เช่น การพูด วันที่ เวลา ตัวเลขต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะสามารถเรียนรู้ได้ผ่านการฟังเยอะๆอีกที
  • อ่านนิยาย(eng) มีความสำคัญในการพัฒนาภาษาพูด, อ่านตำรา(textbook) มีความสำคัญในการพัฒนาภาษาเขียน

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.