เป็นตำราเกี่ยวกับการเทรด Technical analysis ที่ดีมากตำราหนึ่ง เกี่ยวกับการเทรดกราฟเปล่า โดยไม่พึ่ง indicator ให้แง่คิดที่เปิดกว้าง และ หลักการพื้นฐานที่ดีมากๆ
สรุปเฉพาะที่ตัวเองสนใจ
ทั่วไปที่ต้องรู้
- รู้หรือไม่ตลาด Forex จะมี 2 ตลาด ใหญ่ๆ คือ interbank market ซึ่งเป็นตลาดที่สถาบันการเงินมาการซื้อขายสกุลเงินกันจริงๆ(หรือ broker ซื้อขายเอง) และ retail market ซึ่งจะซื้อขายกันโดยอิงราคาจาก interbank market อีกที
- ที่เราเทรดกันผ่าน broker จะเป็นตลาด retail market ซึ่งกำไรของเราได้จาก broker โดยตรง แต่ขาดทุนของเราจะเป็นกำไรของ Broker โดยตรง โดยที่ broker จะสันนิษฐานว่าทุกคนที่เข้ามาเทรด ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ขาดทุนในระยะยาว เลยกล้าที่จะทำแบบนี้
- Broker จะแบ่งลูกค้าเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ชนะตลาด กับกลุ่มที่แพ้ตลาด
- กลุ่มที่แพ้ตลาด จะเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ หรือ กลุ่มที่ยังไม่สามารถทำกำไรได้ และขาดทุนอยู่เรื่อยๆ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นกำไรให้ broker
- กลุ่มที่ชนะตลาด จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่สามารถทำกำไรได้จากการเทรด(คนที่ผ่านเกณฑ์การทำกำไรระยะยาวของ broker) โดยbrokerจะเลียนแบบการเทรดของคนกลุ่มนี้ โดยจะไปเทรดเองในตลาด interbank เพื่อให้มีกำไรมาจ่ายกลุ่มลูกค้าที่ชนะตลาดอีกที(และกำไรของตัวเองด้วย)
- Broker จะแบ่งลูกค้าเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ชนะตลาด กับกลุ่มที่แพ้ตลาด
- นักเทรด จะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ Fundamental และ Technical analysis หากถามว่าแบบไหนดีกว่ากันอาจจะไม่ถูกต้อง ให้ลองคิดถึงการบอกความเร็วรถยนต์ ก็มีได้หลายวิธี เช่น การเทียบกับมาตรวัด หรือ จับระยะที่รถเบรค ก็บอกได้เช่นกัน
- Indicator เป็นเหมือนตัวช่วยบอกทิศทางตลาดให้กับนักเทรด (เป็นเหมือน Secondary adviser) โดยเฉพาะนักเทรดมือใหม่ ที่มักต้องการตัวช่วยในการบอกทิศทาง แต่มักโฟกัสผิดจุดว่า สามารถทำนายได้ทุกอย่าง ซึ่ง indicator มีมากกว่าแก๊งคอลเซนเตอร์ที่มีทั้งหมดในอินเดียเสียอีก
- สิ่งสำคัญในการเทรด ไม่ใช่การมีระบบเทรดที่มีโอกาสชนะตลาดมากๆ(มีระบบเทรดเป็นหมื่นๆบนโลกนี้) เพราะ เป็นเพียงความน่าจะเป็น มีถูกมีผิด แต่สิ่งที่สำคัญกว่าที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว คือการบริหารความเสี่ยง
บทที่ 2 Avoid trading tragedy
- ข้อเสียของ indicator คือ ความช้า จากการที่ข้อมูลต้องมากพอก่อน ถึงจะแปลผลได้
- ซึ่งต่างจากการเทรดโดยใช้กราฟเปล่า(Naked forex) ที่รวดเร็ว ทันท่วงทีกว่า และ ความรวดเร็ว หมายถึง การใช้ stop loss ที่แคบขึ้นได้ จากจุดเข้าเทรดที่เหมาะสมที่สุด นำมาสู่ กำไรจากการที่ leverage ได้มากขึ้น
บทที่ 3 Back-testing your system
- เคยสังเกตไหม ว่าทำไมวิศวกรเครื่องกลเก่งๆ แค่ฟังเสียงเครื่องยนต์ ก็รู้ว่ามีปัญหาอะไร หรือ ชาวนา ที่เข้าใจดินและเมล็ดพันธ์ สภาพอากาศ เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เกิดจากการฝึกฝน ผ่านประสบการณ์มาอย่างมากมาย การจะเป็น Expert trader(นักเทรดที่ชำนาญ) ก็เช่นกัน ล้วนแต่ต้องผ่านการฝึกฝนและประสบการณ์ในการดูกราฟมาอย่างมากมาย การจะไม่ฝึก แล้วอยากจะได้ผลเร็วๆ นั้นเป็นไม่ได้เลย
- ความชำนาญในการเทรด เช่น การออก position ได้อย่างทันท่วงทีกับจังหวะเวลา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เกิดจากการฝึกฝน ไม่ต่างจากนักกีฬาที่ต้องฝึกจังหวะซ้ำๆ
- การฝึกฝนจึงเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้เทรดได้อย่างชำนาญ
- การฝึกฝนวิธีที่ดีวิธีหนึ่งคือ การฝึกผ่านการ Back testing ซึ่งเป็นการใช้ข้อมูลย้อนหลัง มาฝึกเทรด ทั้งนี้การใช้ข้อมูลย้อนหลัง อาจเต็มไปด้วยข้อจำกัดนานับประการ ที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงจนระบบเทรดใช้ไม่ได้ในอนาคต แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการที่ไม่ได้ฝึกอะไรเลย อีกทั้งการฝึกจากการ Back test ย้อนหลัง จะทำให้เราฝึกได้มาก และชำนาญเร็วกว่าการฝึกอยู่แค่ในปัจจุบัน
- เหตุผลที่สำคัญของการฝึกเทรด คือ ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ จะทำให้เราเชื่อมั่นในระบบที่เราใช้ และไม่ล้มเลิกกลางคันหรือหนีไปลองระบบอื่น จะรู้ว่าการขาดทุนเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และแต่ในที่สุดก็จะกลับมาชนะตลาด
- วิธีการฝึกเทรดจากการ Back testing คือ
- การใช้ Program "Metatrader" ซึ่งสามารถดึงข้อมูลกราฟในช่วงเวลาที่เราต้องการมาได้
ตัวอย่าง https://www.tradingheroes.com/how-to-do-mt5-manual-backtesting/ - จริงๆมีอีกวิธีที่คิดว่าดีกว่า คือ ใน Metatrader ใช้โหมด Strategy test > เลือกที่โหมด Visualization > เลือก EA อะไรก็ได้(ไม่ได้ใช้ เราแค่จะให้มัน run กราฟให้เรา) เลือกช่วงเวลาที่เราต้องการฝึก, เลือก Time frame ที่ต้องการ, แล้วกด start > จะได้กราฟที่ค่อยๆมีแท่งเทียนค่อยๆปรากฏขึ้นตามเวลาแบบสมจริง สามารถ กด play/pause ด้วย spacebar และ ปรับความเร็วกราฟได้ตามต้องการ
- โดยทำร่วมกับ การจดบันทึก Trading diary เองแบบ Manual บน Excel, Sheet, หรือ สมุดโน๊ต(แนะนำให้บันทึกแบบ digital เพราะสามารถคำนวณสถิติย้อนหลังได้ด้วย)
- โดยจะนับคะแนนเป็น pip ไม่ได้นับเป็นสกุลเงิน $ (แต่อาจใส่สูตรใน excel ให้คำนวณ leverage ให้เราได้ เพื่อฝึก Manage risk จริงๆ ไปด้วย)
- โดยให้ฝึก Back testing วันละ 1 ชม ทุกวัน ไปเรื่อยๆ(ไม่ควรฝึกเกิน 2 ชม.ต่อวัน เพราะ จะล้า และเทรดได้ไม่ดี)
- ข้อควรระวัง คือ อย่าแอบเลื่อนกราฟไปดูล่วงหน้า อย่าหลอกตัวเอง
- การใช้ Program "Metatrader" ซึ่งสามารถดึงข้อมูลกราฟในช่วงเวลาที่เราต้องการมาได้
- จงจำไว้เสมอว่า ก่อนที่จะเอาเงินสัก 1 cent(0.01 dollar) ไปเสี่ยง ควรจะผ่านการฝึกเทรดให้ได้ก่อนสักหลายร้อยครั้ง
บทที่ 4 Identifying Support and Resistance zones
- โซนแนวรับแนวต้าน จัดว่าเป็น หัวใจหลัก(Sweet spot) ของการดูกราฟ เป็นจุดชัยภูมิที่จะออก action สำหรับนักเทรด มี 8 ลักษณะที่สำคัญ
- Zones are an area, not a price point.
- แนวรับ-ต้าน มีลักษณะเป็นโซนราคา เหมือนคนอ้วนลงพุง ไม่ใช่จุดราคาเดียว
- ลักษณะของการอ้วนลงพุง คือ มีความแข็งแรง(firm) มีการดีดกลับของราคา(repulsive) และ มีลักษณะที่คาดการณ์ได้(predictable characteristic)
- ราคาอาจสามารถทะลุแนวราคาได้(เหมือนเวลาชกเข้าที่พุง) แต่ถ้าไม่แรงพอก็จะถูกโซนดีดราคากลับ(เหมือนพุงที่เด้งกลับ)
- ลักษณะสำคัญคือ เป็น zone ที่ทำให้เกิดการกลับตัว(reverse)ของราคา
- Zones are like fine wine; they get better with age.
- มักเป็นที่ถกเถียงกันว่า zone ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ยังมีผลอยู่หรือไม่ ซึ่งถ้าดูจาก chart จะพบว่า ราคายังมีแนวโน้มการกลับตัวที่ zone ราคาเดิมได้เสมอ แม้จะเก่ามากแล้วก็ตาม
- แต่ทั้งนี้ให้ความสำคัญกับโซนล่าสุดก่อนเสมอนะ อย่างไรโซนปัจจุบันก็ยังมีผลมากกว่าโซนอดีต
- เหมือนความทรงจำของคนเรา มักจะจดจำเหตุการณ์เก่าๆ ที่มีความสำคัญต่อเราได้เสมอ และเรายังคงรู้สึกอยู่กับมัน ผู้คนในตลาดก็ไม่ต่างกัน โซนราคาแม้จะผ่านมานานแล้วในอดีต แต่ก็ยังมีผลอยู่เสมอ
- มักเป็นที่ถกเถียงกันว่า zone ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ยังมีผลอยู่หรือไม่ ซึ่งถ้าดูจาก chart จะพบว่า ราคายังมีแนวโน้มการกลับตัวที่ zone ราคาเดิมได้เสมอ แม้จะเก่ามากแล้วก็ตาม
- Zones are spots on the chart where price reverses, repeatedly.
- เป็น zone ที่ทำให้ราคาเกิดการกลับตัว
- รวมถึง zone ที่ราคาวิ่งมาย่ำบ่อยๆ ยิ่งราคาอยู่ที่zone นั้นๆบ่อย จะยิ่งมีแนวโน้มเป็น Major zone(แต่ถ้าราคามาพักตัวแค่ไม่นานแล้วไปต่อ จะเป็น Minor zone)
- Zones may be extreme highs or lows on the chart.
- Zones are where naked traders find trading opportunities.
- นักเทรด จะรอราคา มาที่โซนเหล่านี้ จึงจะทำการเทรด(จะไม่ทำการเทรดใดๆ หากราคาไม่มาถึงโซนเหล่านี้)
- แต่ไม่ใช่ว่าเทรด เพราะ แนวราคาอย่างเดียว จะมีปัจจัยอื่นประกอบที่ต้องคำนึงถึงด้วย(จะแนะนำในเนื้อหาต่อไป) แต่ถือว่าเป็น เงื่อนไขข้อแรกของการเทรด เป็นชัยภูมิเดียวที่นักเทรดจะเริ่มทำงาน
- Support and resistance zones rarely need to be modified.
- Line charts help naked traders find zones.
- Zones are often seen by many traders
- Zones are an area, not a price point.
- เทคนิคการหาโซน มี 3 ข้อหลักๆ
- เริ่มจาก Timeframe ใหญ่
- ถ้าเราอยากรู้จักใครสักคนมากขึ้น เราก็ต้องรู้ข้อมูลในอดีตของคนๆนั้นว่าทำอะไรมาบ้าง
- กราฟก็เช่นกัน โซนในอดีตของกราฟ ก็จะบ่งบอกถึงพฤติกรรมในอนาคตได้
- วิธีง่ายๆเลย คือ ขยับขึ้นไป 1 Timeframe ของ Timeframe ที่เราจะเทรด หรืออาจขยับเพิ่มอีก จนกว่าจะเจอ TF ที่กราฟไม่มี noise เราจะมอง zone ราคาสำคัญๆ ออกได้ง่ายมากๆ
- หาโซนราคา ที่กราฟมีการแตะโซนราคานั้นบ่อยมากที่สุด ยิ่งกราฟแตะโซนราคานั้นบ่อยแค่ไหน โซนนั้นก็ยิ่งมีความสำคัญมาก
- ใช้ line chart(กราฟเส้น)
- เวลาปรับเป็น line chart จะเป็นChartของราคาปิด(Closing price) ทำให้สามารถมองออกได้ง่ายขึ้นว่า มีโซนราคาไหนที่มีอิทธิพลในการสะท้อนกราฟให้กลับตัว
- จะมีประโยชน์มาก ในการใช้หา zone ที่ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะในตอนที่ Chart ดูเหมือนจะวิ่งสับสน ดู zone ไม่ออก
- ราคาปิด(Closing price) เป็นราคาที่สำคัญที่สุด เพราะ เป็นการแสดงผลลัพธ์ของการสู้กันระหว่างแรงซื้อกับแรงขาย
- ราคาปิดของตลาด Newyork ตอน 5PM(ตี 4 ไทย) ก็สำคัญมากเช่นกัน เป็นราคาที่นักเทรด จะตัดสินใจ ว่าจะเปิด position ต่อไปหรือไม่ หรือปิดก่อน
- จริงๆ อีกวิธีคือ การปรับ TF ที่ใหญ่ขึ้น จน noise หายไป ก็จะมองโซนหลักออกได้ง่ายเหมือนกัน แต่โดยส่วนตัวลองแล้วพบว่า หากใช้ line chart ด้วย จะทำให้การมองหา zone ทำได้ง่ายขึ้นกว่ามากๆ(อย่างมีนัยสำคัญ)
- เวลาปรับเป็น line chart จะเป็นChartของราคาปิด(Closing price) ทำให้สามารถมองออกได้ง่ายขึ้นว่า มีโซนราคาไหนที่มีอิทธิพลในการสะท้อนกราฟให้กลับตัว
- ไม่สนใจโซนย่อยๆ (Ignore Minor zones)
- Minor zone เป็นโซน ที่อยู่ใน Timeframe ที่เล็กลงมา จากที่เราเทรด ซึ่งไม่ได้มีผลกับการเทรด ไม่ควร mark บน chart เพราะจะทำให้สับสน รบกวนแผนการเทรด(trade set-up และ จุด Take profit)
- Zone ที่จะ Mark ในกราฟได้ ต้องมาจาก TF ที่ใหญ่กว่าที่เราจะเทรด และ ในTF เดียวกันกับที่เราจะเทรดเท่านั้น
- Minor zone มีความสำคัญในการเทรด คือ มักเป็นจุดที่ราคาพักตัวสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะเคลื่อนที่ต่อ เช่น เวลากราฟ pull back ก่อนจะลงต่อ เป็นต้น แต่จะต่างจาก Major zone ตรงที่ ไม่ได้ทำให้เกิดการกลับตัวของราคา
- โดยปกติ ควรมีอย่างน้อย 2 zone สำคัญ ที่อยู่ใกล้เคียงกับราคาปัจจุบัน และ ที่เหมาะสม คือ ควรมี zone อยู่กระจายทั่วๆกราฟ
- การระบุZone เป็นงานที่สำคัญมาก ที่นักเทรด ต้องฝึกจนมีความคุ้นชิน จนสามารถระบุโซนได้ โดยไม่ยาก
- Minor zone เป็นโซน ที่อยู่ใน Timeframe ที่เล็กลงมา จากที่เราเทรด ซึ่งไม่ได้มีผลกับการเทรด ไม่ควร mark บน chart เพราะจะทำให้สับสน รบกวนแผนการเทรด(trade set-up และ จุด Take profit)
- เริ่มจาก Timeframe ใหญ่
- ปัญหาในการระบุZone
- ระบุโซนยาก - ให้ใช้ line chart
- Zone มากเกินไป - ลักษณะของ zone ที่ดี คือ ควรกระจายห่างเท่าๆกัน ทั่วกราฟ และ ต้องการเวลาพอสมควร กว่ากราฟจะถึงจุด ที่จะเริ่มการเทรดได้ (นักเทรดต้องอดทนรอได้)
- ถ้าZone ถี่เกินไป เราจะมีโอกาสในการเทรดมากเกินไป ซึ่งมันไม่เหมาะสม(มักจะเกิดจากการมี Minor zone รวมอยู่ด้วย)
- การเทรดบน Minor zone อาจทำให้พบกับปัญหาการเทรดเสียหลายๆครั้ง เพราะ Minor zone ไม่ใช่ critical zone สำหรับการออก action การเทรดบน Major zone ย่อมมีโอกาสใหญ่ ที่ดีกว่าเสมอ
- จำไว้ว่า หาแค่ Major zone ซึ่งเป็นโซนที่ทำให้เกิดการกลับตัวของราคา เท่านั้น ส่วน Minor zone ที่เป็นเพียงจุดพักตัวของราคา ไม่ต้องไปใส่ใจ
- ใน Forex TF day แต่ละ zone มักจะห่างกันประมาณ 100 pip, TF week มักจะห่าง 500 pip
- ถ้าZone ถี่เกินไป เราจะมีโอกาสในการเทรดมากเกินไป ซึ่งมันไม่เหมาะสม(มักจะเกิดจากการมี Minor zone รวมอยู่ด้วย)
- มีZone แต่ราคาไม่แน่ชัด - เป็นปกติของ zone ที่จะมีลักษณะเป็น ช่วง เหมือนพื้นที่อ้วนๆบนกราฟ(beer belly) ไม่ใช่จุดราคาเสียทีเดียว จึงไม่จำเป็นที่หาจุดราคาที่แม่นยำ ขอเพียงเจอ zone ที่ทำให้ราคากลับตัวได้ก็พอ
- บางครั้งราคาอาจจะ แค่เฉียดๆโซน(brush against the beer belly) หรือ อาจจะทะลุเข้ามาในโซน(push into the beer belly) แล้วกลับตัว ก็นับว่าเป็นโซนเดียวกัน
- เหมือนกับว่า Zone ไม่มีผลกับกราฟ - บางทีเหมือนกราฟ ดูเหมือนจะทะลุผ่าน Zone ไป ไม่ได้สนใจหรือมี reaction ใดๆ กับ zone วิธีตรวจสอบ คือ ให้ลองปรับเป็น Line chart จะเห็นชัดขึ้นมากๆ ว่าก่อนที่กราฟจะทะลุ zone มีการสะท้อนกลับไปมา ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะทะลุไป
- กราฟที่วิ่งเหนือ Zone อาจไม่ได้หมายความว่า break zone - เพราะ โซนเป็นช่วงราคาอ้วนๆ(ข้อ 3) อาจเป็นการวิ่งในโซนอ้วนๆอยู่ หากไม่พ้นก็สามารถกลับตัวได้ อีกลักษณะหนึ่งที่พบได้บ่อยคือ เมื่อสิ้นสุดวัน จะไม่สามารถปิดตัว(close price) เหนือZoneได้ และกลับตัวลงมาใต้โซน
- การเทรดรูปแบบกลับตัว เรียกว่า reversal set-up, การเทรดรูปแบบทะลุโซนเรียกว่า breakout set-up
- สรุปหลักการ เมื่อราคามาถึง Zone นักเทรดจะต้อง เริ่มตื่นตัวและเฝ้ามองอย่างกระชั้นชิด โดยหากมี Catalyst เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็จะทำการเทรดทันที โดยการที่ราคามาถึงโซน เป็นสัญญาณแรกสุดในการเริ่มการเทรด
Part 2: Naked-Trading Methodology(Catalyst)
- Catalyst คือ price pattern ที่จะบ่งบอกแนวโน้ม ว่าราคาจะไปทิศทางไหนต่อ โดยจะมีความสำคัญต่อการเทรด เมื่อเกิดอยู่บนโซน แต่หากเกิดนอกโซน จะเป็นเพียง price pattern ที่น่าสนใจ
- ตลาดแบ่งได้ 2 ช่วง คือ ช่วงที่sideway กับ ช่วงที่มี trend
- ระบบเทรดหนึ่งๆ จะใช้ได้ดีกับตลาดแค่รูปแบบหนึ่ง(Trend/Sideway)เท่านั้น เช่น ถ้าเอาระบบเทรดที่ใช้ได้ดีกับช่วงมี Trend ไปใช้กับตลาดช่วง sideway ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เป็นต้น
บทที่ 5: The last kiss
- Breakout strategy กลยุทธ์หนึ่งที่ใช้ในจังหวะที่ ตลาดเปลี่ยนจาก ช่วง Consolidation(sideway) เป็น Trend
- เป็นกลยุทธ์ที่ต้องใช้การรอคอย นักเทรดกลยุทธ์นี้จะต้องมีความอดทนสูง
- สิ่งที่จะบอกว่าเริ่มเกิดการ break คือ เมื่อกราฟเริ่ม break support and resistance zone ที่กราฟกำลัง sideway อยู่
- กลยุทธ์ มีดังนี้
- ขั้นแรก จะเป็นการ ระบุแนวของ consolidation zone ก่อน โดยให้วาดกล่อง(Box)ครอบคลุมแท่งเทียน ที่เคลื่อนตัวในช่วง consolidation ทั้งหมด โดยต้องคลุมทั้งราคาสูงสุดและต่ำสุดทั้งหมดที่อยู่ในช่วงนั้น โดยทั้งขอบบนและล่างควรมีแท่งเทียนสัมผัส อย่างน้อย 2 ครั้ง
- ต่อมา กลยุทธ์ จะเริ่มทำงาน เมื่อกราฟมีการ break support หรือ resistance ของ consolidation zone(กล่องที่วาดคลุมไว้)
- แต่ยังไม่เข้า เพราะ จะมีปัญหาคือ Fake-out(ทะลุหลอก) ซึ่งเป็นการเบรคโซนกล่อง แต่ก็กลับมาวิ่งในโซนเหมือนเดิม
- จะเข้าเทรดเมื่อ กราฟมีการกลับมา retouch ขอบของโซนกล่อง แล้วสามารถยืนระยะไม่กลับเข้ากล่องได้ ซึ่งแสดงถึงการที่ตลาดมีการมองทิศทางราคาว่าแยกตัวจากขอบเขตของกล่องแล้ว แสดงถึงการมีแรงพอที่จะไปต่อ เรียกขั้นตอนนี้ว่า The Last kiss(จูบจากลา)
- The last kiss เป็นเครื่องมือในการกรอง fake out ส่วนใหญ่ออกไปได้มาก แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดการ Fake out ได้อย่างมหาศาล
- แต่แค่ยืนระยะนอกกล่องได้ก็ยังไม่พอ แต่จะเข้าเทรดจริงๆก็ต่อเมื่อ หลังจากที่ราคากลับมา retouch กล่อง ต้องเกิดสัญญาณแท่งเทียนใหญ่ๆ(ตำราใช้คำว่า 'print bullish/bearish candlestick after retouching') เช่น engulfing, แท่งเทียนไส้ยาวๆ(hammer, shooting star) เป็นต้น ซึ่งแสดงถึงแรงหนุนที่มากพอ ในทิศทางที่หลุดออกจากกล่อง
- การวาง Stop loss จะวางได้ 2 แบบ ทั้งวางที่กึ่งกลางระหว่าง consolidation zone(Stop loss กว้าง) หรือ วางที่ขอบที่มีการ retouch ไปแล้ว(Stop loss แคบ) ซึ่งระยะความกว้าง stop loss จะต่างกัน
- ที่นิยมมากที่สุดคือวางไว้ที่ ขอบของกล่อง เพราะ stop loss แคบกว่า โอกาสโดนกิน stop loss ก็ไม่มาก เพราะ มีสัญญาณแท่งเทียนใหญ่ๆ เกิดร่วมด้วยแล้ว
- เรื่องการ Take profit จะกล่าวต่อไป แต่คร่าวๆ คือ ณ Major Zone ถัดไป แต่ถ้ามันน้อยไป RR ไม่ดี อาจถือยาวต่อไป TP โซนที่อยู่ไกลขึ้นไปอีก
บทที่ 6: The Big shadow
- เป็น catalyst ประเภท reversal strategy(ราคากลับตัว) โดยการดู คู่แท่งเทียนสองแท่ง engulfing กัน โดยแท่งเทียนแท่งที่ 2 จะทำการ engulfing แท่งเทียนแรก(มีขนาดใหญ่กว่า จนกลืนกินแท่งเทียนแรก เหมือนเงาขนาดใหญ่ - big shadow) ซึ่งมักเกิดในเวลาที่ราคา ชนขอบ ของ support หรือ resistance ที่ Major zone แล้วเกิดการกลับตัว ซึ่งแสดงถึง การที่ราคาหมดแรงส่งในทิศทางเดิม จนเริ่มจะกลับตัว(พุ่งแรงทะลุ zone แล้วดีดกลับ)
- เช่นเดียวกันกับทุก Catalysts คือ จะมีผล ก็ต่อเมื่อ ถูก 'print' อยู่บน Major zone เท่านั้น(ถ้าเกิดนอก zone ก็เป็นเพียง price pattern ที่น่าสนใจ แต่ไม่ได้ใช้ในการเทรด)
- ลักษณะที่ต้องมี
- ถ้าจะให้ดีที่สุด(ideally) big shadow ควรมีขนาดครอบคลุม 5 แท่งเทียนก่อนหน้า(หรืออย่างน้อย เป็นแท่งเทียน engulfing ที่ใหญ่กว่าแท่งเทียนอื่นๆ ใน TF) จะมีโอกาสสำเร็จมากกว่า big shadow ที่เล็กกว่า แต่อาจจะพบไม่บ่อย เอาแค่ engulf แท่งเทียนก่อนหน้าก็ได้
- ราคาปิด (Closing price) ของแท่งเทียน engulfing ควรจะ ปิดแบบเต็มแท่ง ให้ได้มากที่สุด หรืออย่างน้อยให้ ปิดใกล้สุดขอบราคา ของแท่งเทียนที่ engulfing ให้ได้มากที่สุด และต้องปิดเหนือ(กรณี bullish) หรือต่ำกว่า(กรณี bearish) แท่งเทียนก่อนหน้าด้วย
- ต่อให้เป็นแท่งเทียน engulfing ที่ยาวมาก แต่สุดท้ายราคาปิดที่กลางแท่งเทียน(แม้ว่าจะยังกลืนกินแท่งเทียนก่อนหน้าอยู่) ก็จะไม่ใช่ engulfing ที่ดี
- การรอ ราคาปิด ในแต่ละแท่งเทียน เป็นสิ่งที่สำคัญมาก จะใช้พิจารณา ในทุกๆ Catalyst ในการเทรด
- Room to the left(ที่ว่างทางซ้าย)
- เป็นลักษณะที่เกิดจาก การที่ราคาพุ่งต่อเนื่องจนหมดแรง โดยแท่งเทียนจะมีการเรียงตัวในแนวดิ่ง(ราคาพุ่ง) แล้วเกิด engulfing(the Big shadow)ในที่สุด(สัญญาณหมดแรง) โดย จะไม่มีแท่งเทียนอยู่ในระดับเดียวกัน(แนวราบ) อย่างน้อย 6-7 แท่ง ก่อนหน้าแท่งเทียน engulfing จึงเรียกว่า มีที่ว่างทางซ้าย(room to the left)
- ซึ่งพบได้ชัดเจน คือ ช่วง all-time high และ all-time low ที่กราฟมีการวิ่งทะลุไปในราคาที่ไม่เคยเกิด(exploratory stab)
- อีกกรณีหนึ่ง คือ กราฟไม่ได้วิ่งผ่าน zone เหล่านั้นมาเป็นเวลานาน(นานจนในกราฟ TF นั้นๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น ระยะเวลา 2-3 เดือน ซึ่งเลยขอบสำหรับกราฟ TF 1h) ก็มักจะเกิดลักษณะซ้ายโล่งเช่นกัน เพราะ เหมือนกับเป็นการวิ่งทะลุไปในราคาที่ไม่เคยเกิด(เมื่อนานมาแล้ว)
- ยิ่งที่ว่างทางซ้ายมีมากเท่าไหร่ The Big Shadow จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น
- เทคนิค ลองวาดกล่อง ต่อไปทางซ้าย จากคู่แท่งเทียนที่ engulfing กัน ถ้าซ้ายโล่ง จะเป็น The big shadow ที่ดี
- ข้อสังเกต คือ กรณีที่ซ้ายไม่โล่ง คือ Big shadow ถูก print อยู่บน zone ที่มี price action หนาแน่น(มี sideway ซับซ้อน) อาจจะทำให้ Big shadow ไม่ได้ผล เพราะ ไม่ใช่ลักษณะของราคาที่วิ่งจนหมดแรงส่ง(พุ่งแรงทะลุ zone แล้วดีดกลับ) อาจจะเป็นลักษณะที่ ยังมีแรงวิ่งเหลืออยู่
- เป็นลักษณะที่เกิดจาก การที่ราคาพุ่งต่อเนื่องจนหมดแรง โดยแท่งเทียนจะมีการเรียงตัวในแนวดิ่ง(ราคาพุ่ง) แล้วเกิด engulfing(the Big shadow)ในที่สุด(สัญญาณหมดแรง) โดย จะไม่มีแท่งเทียนอยู่ในระดับเดียวกัน(แนวราบ) อย่างน้อย 6-7 แท่ง ก่อนหน้าแท่งเทียน engulfing จึงเรียกว่า มีที่ว่างทางซ้าย(room to the left)
- กลยุทธ์
- เข้าเทรดโดยการวาง stop order (buy/sell stop) เลยแท่งเทียนไปอีก เผื่อกรณีที่ราคาไม่มาตามคาด ก็จะไม่ต้องเสียขาดทุน(no order triggered)
- การวาง Stop loss จะวาง เลยแท่งเทียน big shadow ไปอีกเล็กน้อย(few pips) ด้านตรงข้ามกับที่วาง stop order
- การ Take profit คือ ที่ zone ถัดไป
บทที่ 7: Wammies and Moolahs(W&M)
- เป็นรูปแบบการกลับตัว(reversal pattern) โดยการดู double top / double bottom ที่ Major zone ซึ่งเป็นรูปแบบ"การกลับตัวที่พบมากที่สุดในตลาด" โดยเหตุผล คือ ปกติก่อนที่จะมีการกลับตัวที่ Major zone ตลาดชอบที่จะ ทดสอบความแน่ชัด ด้วยการกลับมาแตะzone อีกครั้ง(รวมเป็น 2 ครั้ง) ก่อนจะกลับตัว
- (Single top/bottom ก็มีเช่นกัน แต่จะเป็นลักษณะของ The Big Shadow)
- Wammies คือ Double bottom เพราะ กราฟลักษณะเหมือน W ส่วน Moolahs คือ Double top เพราะ กราฟลักษณะเหมือน M
- W&M จะมีลักษณะพิเศษที่ต้องมี ที่ช่วยลดโอกาสผิดพลาด ที่เพิ่มมาจาก Double top/bottom แบบเดิม คือ
- ในการสัมผัสกับ Major zone ครั้งที่ 2
- ต้องมีการทำ Higher low ใน Double bottom(W) - แสดงถึง up trend
- ต้องมีการทำ Lower high ใน Double top(M) - แสดงถึง down trend
- การสัมผัสกับโซน ครั้งที่ 1 และ 2 ต้องห่างกันอย่างน้อย 6 แท่งเทียน และยิ่งห่างมากยิ่งดี แต่ถ้าสัมผัสโซนถี่ๆ อาจมีแนวโน้มที่จะทะลุโซน(break)มากกว่าการกลับตัว(reversal)
- ในการสัมผัสกับ Major zone ครั้งที่ 2 ต้องมีการ print แท่งเทียน Bullish/Bearish candlestick ซึ่งอาจไม่ต้องถึงกับ engulfing(Big shadow) ก็ได้(แต่ถ้าได้จะยิ่งดี) ซึ่งจะเป็นสัญญาณในการเข้าวาง stop order
- นอกจากนี้หากมี "room to the left"(ซ้ายโล่ง เหมือน The big shadow) ซึ่งแสดงถึงการที่ไม่มี price action ที่ราคานั้น จะเป็นการกลับตัวที่รุนแรง(Major reversal)
- ในการสัมผัสกับ Major zone ครั้งที่ 2
- กลยุทธ์
- เข้าเทรดหลังจากมีการ print แท่งเทียน bullish/bearish candlestick ในการแตะ zone ครั้งที่ 2 โดยวาง Stop order เลย แท่งเทียนดังกล่าว เล็กน้อย(few pips) - Stop order ข้อดี คือ ถ้าเรามองตลาดผิด order ก็จะไม่ถูก trigger เราก็จะไม่เสียเงินฟรี
- วาง Stop loss เลย จุดสิ้นสุดราคา ของ การแตะครั้งแรก ไปอีกเล็กน้อย(few pips)
- การ Take profit คือ ที่ zone ถัดไป
บทที่ 8: Kangaroo Tails
- เป็น reversal pattern โดยมีลักษณะคือ มีการทิ้งไส้(wick)แท่งเทียนยาวๆ แต่ส่วนbody(ราคาเปิดและปิด) จะเล็กๆ ไม่เกิน 1/3 ของแท่งเทียน และจะอยู่ที่สุดปลายสุดคนละฝั่งกับไส้แท่งเทียน(ไม่อยู่กลางแท่งเทียน) เหมือนกับจิงโจ้ ที่มีส่วนตัวสั้นๆกับหางยาวๆเมื่อมองจากด้านบน
- หางยาวๆ แสดงถึงการที่ราคาพุ่งเลยโซนมา มากเกินไป แต่โซนยังคงรั้งไว้ได้ และมีแนวโน้มจะกลับตัว ซึ่งมักจะเกิดร่วมกับเหตุการณ์ใหญ่ๆในโลก และการกลับตัวอย่างรวดเร็ว(ภายในแท่งเทียน) แสดงถึง ความตื่นตัวกับเหตุการณ์นั้นๆของตลาด
- สิ่งที่ต้องคำนึงถึง เพื่อให้เกิดพลังในการกลับตัว
- ส่วนหาง ต้องยาวกว่าแท่งเทียนก่อนๆ(ยิ่งยาวยิ่งดี) ถ้าสั้นกว่าแท่งเทียนก่อนๆ จะไม่มีพลังในการกลับตัว รวมถึงมักเป็นเพียงการหยุดพักตัว ก่อนที่จะวิ่งต่อในทิศทางเดิม(ไม่กลับตัว)
- ระวังแท่งเทียนใหญ่ๆ ก่อนหน้า ถ้าเกิด kangaroo tail แต่เล็กกว่า ก็จะยังคงมีแรงไปต่อในทิศเดิมได้
- ส่วน body ของ kangaroo tail ต้องปิดอยู่ในช่วงราคาของแท่งเทียนก่อนหน้า(High, Low ของไส้เทียนก็นับนะ) แสดงถึง การที่ราคาไม่สามารถเลยพ้น Zone ของแนวก่อนหน้า
- ต้องเกิดบน Major zone โดยเฉพาะโซนที่มีการกลับตัวบ่อยๆ(เช่นเดียวกับทุก catalyst ถ้าเกิดนอกโซน จะไม่มีนัยสำคัญ)
- Room to the left เป็นลักษณะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีร่วมด้วยจะดีมาก (เหมือนกับ The Big Shadow) คือ ถ้าเกิดใน zone ที่ราคาไม่มี price action มานาน ซึ่งหมายถึงทางด้านซ้ายจะโล่งไม่มีแท่งเทียนอยู่ จะยิ่งเพิ่มโอกาสการกลับตัวได้มาก
- ส่วนหาง ต้องยาวกว่าแท่งเทียนก่อนๆ(ยิ่งยาวยิ่งดี) ถ้าสั้นกว่าแท่งเทียนก่อนๆ จะไม่มีพลังในการกลับตัว รวมถึงมักเป็นเพียงการหยุดพักตัว ก่อนที่จะวิ่งต่อในทิศทางเดิม(ไม่กลับตัว)
- กลยุทธ์
- เข้าเทรด ด้วย buy stop โดยวางที่ราคาเลย แท่งเทียน kangaroo tail เล็กน้อย(few pips)
- ไม่ควรเข้า ด้วยการรอจังหวะ retracement เพราะ ถ้าราคา retrace ได้ โอกาสจะเป็นไปตาม kangaroo tail ก็มักจะน้อยลง แต่ถ้าเทรดด้วย buy stop ราคาก็มักจะไม่ trigger
- เข้าเทรด ด้วย buy stop โดยวางที่ราคาเลย แท่งเทียน kangaroo tail เล็กน้อย(few pips)