Skip to main content

พัฒนาตัวเอง มิ.ย. 67

Submitted by krishrong on

30 มิ.ย.

  • วันนี้วิ่ง HIIT ได้ Max HR แค่ 170 น่าจะล้าจากเมื่อวาน
  • นั่งสมาธิได้ดีขึ้นมาก เพราะเอาอุปกรณ์สื่อสารไปห่างๆตัว
  • ช่วงนี้พิมพ์สัมผัสได้ช้าลงนะ หรือเพราะ Fasting น้อยไป?
  • ดื่มกาแฟ
  • เหมือนที่อ่านหนังสือจาก e-reader ได้ไม่ดี เพราะว่า ไฟ LED มีการ Flickering หรือเปล่านะ
    • อาจต้องลองปิดไฟดู แล้วอ่านเหมือนหนังสือปกติ ที่ไม่มี Artificial light
      • ดีขึ้นเยอะอยู่นะ! อ่านเหมือนอ่านหนังสือจริงๆเลย!!
      • ถ้าในทางเทคนิค เราอ่านหนังสือปกติได้ ก็ต้องอ่าน kindle ที่ไม่มี frontlight ได้!
        • ลองอ่านแล้วก็ perfect จริงๆนะ อ่านได้เรื่อยๆเลย !!!

29 มิ.ย.

  • วันนี้วิ่ง HIIT ได้ Max Heart rate 180 (ถึง VO2 Max) จากที่เมื่อวานกินอาหาร 4 มื้อ เลยมีแรงวิ่ง
    • สมาธิในการอ่านพอได้
    • นั่งสมาธิไม่ค่อยดี
  • ดื่มกาแฟ
  • คุยกับแม่ว่า จะอ่านตำราเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน อีกสัก 2-3 เล่ม ก่อนจึงจะไปทำงานตามที่แม่บอก
  • เริ่มอ่านหนังสือ 12:45น
    • วันนี้อ่านหนังสือจาก e-reader รู้สึกเหมือนกำลังติดเหง็ก ไม่อ่านได้ไหลลื่นเหมือนอ่านจากหน้าจอคอมเลยแฮะ??
      • อาจจะยังไม่ชินนะ เพราะ ถ้าอ่านจาก e-reader อาจต้องให้สมองฝึกการจดจำตำแหน่ง หรืออื่นๆใดก่อน ที่ต่างจากการอ่านจากหน้าจอ พอสมองทำงานมากขึ้นแล้ว ก็น่าจะอ่านได้คล่องขึ้น
      • เหมือนสายตาของเราจะฝึกมาจนชินกับการอ่านจากหน้าจอแล้ว แค่เรากวาดสายตา ก็อ่านได้เลย แต่สำหรับการอ่านจาก e-reader กลับต้องพยายามเพ่งจ้องมากมาย
  • มานึกๆไปก็เริ่มรู้สึกว่า เรากำลังอ่านบ้าอะไรอยู่นะ ทั้งๆที่เราอยากศึกษา programming แต่กลับไปอ่านการเงิน เป็นปีละ
    • แผนเดิมคือ รวยก่อน แล้วค่อยไปเขียนโปรแกรม?

28 มิ.ย.

  • วันนี้วิ่ง HIIT แต่ไม่มีแรงวิ่ง Heart rate ไม่ถึง 170 bpm เหมือนเมื่อวาน
    • สมาธิในการฟังไม่ค่อยดีนะ เหมือนเพลียๆ
    • วันนี้นั่งสมาธิไม่ดี
  • ไม่ได้ดื่มกาแฟ วันนี้มีอาการ Caffeine withdrawal ตอนเช้า -บ่าย
    • อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ขี้เกียจใช้สมอง
    • ฟังอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เพราะ ไม่มีสมาธิฟัง
    • แต่ตอนเย็นเริ่มกลับมาอ่านหนังสือได้แล้ว
  • เหมือนแม่จะสมองเสื่อม ที่ทะเลาะกันเมื่อวาน วันนี้แม่บอกว่าลืมไปแล้ว
  • คำถามที่เราควรถามกับตัวเองคือ
    • ทำอย่างไรให้เรามีเวลาในชีวิตมากขึ้น
    • สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • สามารถหาความรู้ได้มากขึ้น เรียนรู้ได้เร็วขึ้น
  • พยายามอ่านหนังสือจากหน้าจอ e-reader แต่อ่านแล้วง่วงทุกที เหมือนน่าจะเพราะตัวอักษรเล็ก
    • แต่อ่านจากหน้าจอ Macbook ที่ขยายตัวอักษร แล้ว ลดความสว่าง จะอ่านได้คล่องเลยนะ
  • วันนี้ลองกินอาหาร 4 มื้อ กินในช่วง 12ชม ดูว่าพรุ่งนี้แรงวิ่งจะกลับมาไหม
  • เราต้องไม่ปล่อยให้ความคิดลบเข้าครอบงำความคิด ของเรา อย่าปล่อยให้มันอยู่ในใจเราได้นาน ไม่อย่างนั้นอนาคต พออายุมากขึ้น เราจะกลายเป็นคนแก่ที่เห็นแก่ตัวจัดๆ คิดได้เพียงด้านเดียว มองโลกในแง่ร้าย ตามโลกไม่ทัน

27 มิ.ย.

  • วันนี้วิ่ง HIIT จนหอบเหนื่อย พูดไม่ไหว แต่ Heart rate ไม่ถึง 170bpm น่าจะเป็นเพราะ ไปบริจาคเลือดมา
    • จริงๆ การเกิด VO2 Max จะง่ายขึ้นด้วยนะ เพราะ ว่า oxygen หลอดเลือดดำก็จะลดเร็วกว่า จากการที่มีเลือดสำหรับลำเลียง O2 น้อย ฮาๆๆ
    • พอสมองอยู่ในภาวะที่ O2 ต่ำ BDNF ก็จะสูงขึ้น
    • วันนี้พิมพ์สัมผัสคล่องกว่าเมื่อวานมาก
    • วันนี้สมาธิในการฟังดีมาก ฟัง accent ในคลิป youtube ได้ชัดเจร
    • วันนี้ไม่ได้ดื่มกาแฟ แต่อาการสมาธิสั้นหายไปนะ(ผลจากการวิ่ง!)
  • ช่วงนี้เครียดมาก กับการเทรด รวมถึงการทะเลาะกับแม่(แม่มองเราเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการ เลยรังเกียจเรา)
    • การวิ่ง ช่วยให้เรายังคงมีสุขภาพจิตที่ดีได้ แม้ว่าจะพบกับความผิดหวังจากการเทรด หรือ คนรอบข้าง ถ้าเราไม่ได้ฝึกวิ่งแบบHIIT เราคงแหลกสลายไปตั้งนานแล้ว 
  • ควรเชื่อพ่อแม่หรือไม่? หากว่าพ่อแม่ยังคงเชื่อ call center ที่มาหลอกลวงอยู่เลย ส่วนเราก็ปั่นหัว call center เล่นอยู่เสมอ แล้วถ้าเราเชื่อพ่อแม่ ให้พ่อแม่ชี้นำชีวิตทุกอย่าง ทั้งๆที่เราเรียนมามากกว่าเห็นโลกกว้างกว่า แสดงว่า เราโง่กว่า call center เสียอีกนะ
    • ส่วนเรา ควรเชื่ออะไรดี? ควรเชื่อการแสวงหาความรู้อยู่เสมอ ไม่หยุดพัฒนาตนเอง
  • อยากจะรีบๆอ่านตำรา Technical analysis แล้วไปศึกษาความรู้จริงๆ เกี่ยวกับ programming และ financial
  • วันนี้จะลองอ่านหนังสือจากหน้าจอคอมแทน e-reader โดยใช้การขยายตัวอักษร และ ลดแสง
    • ลองแล้ว อ่านได้ถึงดึกเลยนะ ไม่เหมือนอ่านจากจอคอม ที่อ่านได้แค่เย็นๆสายตาก็ล้าแล้ว

26

  • วันนี้ไม่วิ่ง HIIT, Fasting 20 ชม(เริ่มกินข้าวตอนเที่ยง), ดื่มกาแฟ
    • พิมพ์สัมผัสคล่องตัวลดลง
    • Mental health ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เครียด จากการเทรดที่ยังไม่สำเร็จ(คงยังต้องฝึกอีกมาก) ทำให้รู้เลยว่าทุกวันนี้ที่ทรงอยู่ได้ ไม่แหลกสลาย เพราะ การออกกำลังกายช่วยไว้
    • แต่ถึงแม้วันนี้จะแย่กว่าเมื่อวาน แต่ถ้าเทียบกับสัปดาห์ก่อน วันนี้ก็ยังดีกว่านะ!!!(ตั้งแต่ออกกำลังกาย HIIT ก็ดีขึ้น)
  • นั่งสมาธิจริงๆ ถ้าวางมือบนตักห่างเกินไป จะทำให้ต้องยื่นมือไปข้างหน้ามากไป และจะดึงหลังให้, นั่งตัวตรงยาก และง่วงได้ง่าย แต่ถ้าวางมือไว้ใกล้ตัวเกินไป ก็จะทำให้ไหล่ไม่สมดุล ตึงที่สะบักไหล่ ต้องวางมือที่ตำแหน่งพอดีๆ ไม่รู้สึกว่ารั้งตึงกล้ามเนื้อใดๆอยู่
    • ยังนั่งไม่ได้ความเท่าไหร่
  • เอาจริงๆ อาการตาแห้งก็ยังมีอยู่นะ เพราะ แม้จะอ่านหนังสือจาก e-reader ก็ยังแสบตาง่าย มักเป็นหลังการกินเนื้อสัตว์
  • ทำไมวันนี้อ่านจาก e-reader แต่อ่านได้น้อยกว่าวันแรกๆนะ? เหมือนความเข้าใจจะน้อยกว่าตอนอ่านจากหน้าจอคอมด้วย
    • อ่านจากหน้าจอคอม ให้ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ๆ แล้วลดแสงให้มืดๆ(ให้พอเท่าที่มองเห็น)
    • แต่เมื่อวาน เนื้อหาง่ายนะ วันนี้เนื้อหายากขึ้น
    • หรือ อาจเป็นเพราะ สายตายังไม่ชิน เพราะ พออ่านวันนี้ ก็สามารถอ่านได้ทั้งวันเลย โดยที่สายตาไม่ล้าง่ายเท่า

25

  • วันนี้วิ่งHIIT แต่ก็ไม่ได้หนัก(เหมือนเดิม) วิ่งสลับช้า-เร็ว
    • พิมพ์สัมผัสก็คล่องพอตัว
    • สมาธิยังดีพอที่จะอยู่กับตัวเอง และดีกว่าแต่ก่อนมากๆๆๆๆ
  • ช่วงนี้ฝึกสมาธิได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนสมาธิในการเรียนรู้ก็ลดลงด้วย เช่น ฟังภาษาอังกฤษได้เนื้อความลดลง เป็นต้น
    • ลองพยายามฝึกในชีวิตประจำวัน รู้ลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ทั้งวัน
  • อ่านหนังสือจาก kindle scribe ก็โอเคนะ ไม่ได้จำเป็นต้องเอา Antiglare layer ที่เคลือบออกก็อ่านได้
    • แต่เนื่องจากว่าไม่สามารถ reflow หน้าหนังสือได้ อาจจะต้องใช้โปรแกรมแปลงหน้ากระดาษก่อน แล้วค่อยเอาเข้า kindle

24

  • เมื่อเช้าวิ่งแบบ HIIT ได้ VO2 Max 1 นาที ไม่ได้หนักมากนัก
    • รู้สึกสดชื่น Mental health ดีขึ้น
    • พิมพ์สัมผัสได้เร็ว คล่องแคล่ว
  • ช่วงนี้ฝึกสมาธิได้ไม่ค่อยดี
  • อ่านหนังสือจาก E-reader เครื่องเล็ก พบว่าเหมือนจะใช้การโฟกัสของสายตา คนละรูปแบบกับการอ่านบนหน้าจอ เป็นการโฟกัสจริงๆ และสบายตากว่า แต่ต้องปรับตัวสักระยะหนึ่ง นอกจากนี้ สิ่งที่ได้อีกอย่างคือ บางทีแม้ตัวอักษรจะเล็กก็ยังอ่านได้ และอ่านได้ดีกว่าโหมด reflow เพราะ เราจะเห็นโครงสร้างหน้ากระดาษได้ดีกว่า จดจำตำแหน่งและทำความเข้าใจได้ดีกว่า

  • ปรับเป็นหน้ากระดาษแนวนอน แต่ไม่ต้อง reflow จะดีกว่า การใช้ reflow เพื่อขยายตัวอักษร แต่โครงหน้ากระดาษเปลี่ยนไป
  • วันนี้เริ่มฟังภาษาอังกฤษจากเนื้อเพลงได้ชัดเจนขึ้นไปอีกแล้ว หลังจากวิ่งมาเมื่อเช้า
  • เริ่มอ่านหนังสือ 11:00น

23

  • เหมือนการนั่งสมาธิ ก็เพิ่ม BDNF ได้ 3 เท่า เมื่อฝึกไป 3 เดือน https://blogs.berkshirecc.edu/stressandhealth2020/2020/03/17/the-real-fountain-of-youth-meditation/ 
  • เมื่อวานบริจาคเลือด วันนี้เลยพักการวิ่ง 1 วัน น้ำหนัก 50.7 kg
  • วันนี้ไม่ได้ออกกำลังกาย HIIT, ไม่ได้ดื่มกาแฟ แต่นั่งสมาธิเพิ่มเป็น 20 นาที
    • รู้สึกจิตตกไม่ได้สดชื่นเหมือนการวิ่ง แต่การพยายามฝึกอยู่กับสมาธิ อยู่กับลมหายใจ ก็ให้จิต/อารมณ์กลับมาเป็นปกติได้บ้าง คงเป็นเพราะ ไม่ชำนาญ ผลที่ได้เลยไม่ชัวร์(แต่ถ้าฝึกไปตลอด น่าจะได้ผลดีมาก) แต่ถ้าออกกำลังกาย จะชัวร์กว่าสำหรับเรา
    • การพิมพ์สัมผัสช้าลงนิดนึงนะ ความคล่องไม่เท่าวันที่ออกกำลังกาย แต่ก็ยังคงคล่องมากกว่าช่วงที่ Fasting อย่างเดียว
  • รู้สึกว่าช่วงนี้นอนกัดฟัน ตื่นมาเมื่อยขากรรไกร คงเป็นความเครียดกับเรื่องต่างๆ นั่นแหละ(ยังหาเงินไม่ได้, แม่ดูถูก เหมือนไม่ใช่ลูก)
  • ยังคงอ่านตำรา Naked forex ต่อ(อ่านได้เฉลี่ยวันละ 20 หน้า)
  • วันนี้พยายามฝึกรู้ลมหายใจเรื่อยๆตลอดวัน
    • รู้สึกว่าทำให้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ช่วยลบอารมณ์ด้านลบออกไปได้มาก รวมถึงความคิดฟุ้งซ่านต่างๆมากมายด้วย
  • เรากำลังทำอะไรอยู่นะ ทำไมไม่ศึกษาด้านคอมให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย? ทำไมมัวแต่วนกับการเงิน การเทรดมานานมากแล้ว?
  • เวลาอ่านหนังสือในคอม ให้ปรับหน้าจอให้สว่างน้อยที่สุดเท่าที่ยังมองเห็น จะทำให้อ่านสบายตาและอ่านได้นานขึ้น

22

  • สมาธิน่าจะต้องฝึกจริงๆแหละ เพราะ ถ้าไม่ฝึก ต่อให้วิ่งHIITมา สมองก็ไม่รู้ว่าจะพัฒนาส่วนไหน
    • เมื่อเช้าฝึกนั่งสมาธิ เริ่มกลับมานับเลขในใจได้บ้างแล้ว
    • อาการสมาธิสั้นยังคงอยู่ เพราะ เหมือนจะยุกยิกตลอดเวลาเลย
  • วันนี้วิ่ง HIIT แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะ มีการล้าสะสมของกล้ามเนื้อ จากการวิ่ง2 วันก่อน
    • ยังคงพิมพ์สัมผัสได้คล่องขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว(พัฒนาขึ้น) พิมพ์ได้เร็วขึ้นมากๆๆ ถ้าเทียบกับช่วงที่ Fasting 33 ชม
  • เมื่อวาน กิน 4 มื้อ ไม่ได้ทำให้วันนี้รู้สึกมีแรงเต็มที่เลย และรู้สึกว่าคัดจมูก เป็นภูมิแพ้ง่าย(สัมผัสได้ถึงอาการอักเสบ ไม่สบาย) และรู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกมากกว่า แต่ถ้าวันที IF 8/16 ยังมีพลังกว่านี้
    • การ Fasting ก็ยังมีความสำคัญมาก
  • สรุป productivity: อดอาหาร(Fasting) 16-20ชม, ออกกำลังกาย HIIT, นั่งสมาธิ หลังตื่น-ก่อนนอน 10 นาที+ทำสมาธิในใจเรื่อยๆ ระหว่างวัน
  • เรื่องการฝึกภาษาอังกฤษ เนื่องจากเราไม่สามารถใช้ intelligence ในการพูด/เขียนได้เท่าไหร่(เพราะสมองทึบ) เราจึงต้องใช้การผ่านประสบการณ์เยอะ ให้เรียนรู้แบบ Native แทน(ประมาณว่า แม้จะเป็นคนโง่ แต่ถ้าเกิดในประเทศนั้นๆ ก็ยังพูด เขียน ภาษานั้นๆได้)
    • ใช้การอ่านเยอะๆ ฟังเยอะๆ ฝึกเขียนเยอะๆ ฝึกพูดเยอะๆ จนชินกับมัน
  • ความรู้สึกของการฝึกฟังภาษาอังกฤษในตอนนี้คือ อยากลองฟังนู่นนี่นั่น ว่าเขาพูดอะไร ทำอะไรกันอยู่ เหมือนตอนที่เริ่มอ่านภาษาอังกฤษได้เลย เราก็อยากลองอ่านนู่นนี่นั่น ว่าเขาเขียนอะไร
    • นี่คงเป็นการยกระดับ (อัพเลเวล) ขึ้นไปอีกขั้นแล้วสินะ!!
  • เมื่อวานที่อ่านหนังสือไม่ได้น่าจะเป็นเพราะ เรานั่งในที่ ที่มีแสงสะท้อนเยอะ
    • หลังจากที่นั่งสมาธิจริงจัง ก็เริ่มกลับมาอ่านหนังสือได้
  • หลังจากที่เราออกกำลังกายมาเรื่อยๆ เราก็เริ่มประเมินขีดจำกัดของตัวเองได้ 
    • เคยมีแนวคิดว่า คนโง่มักคิดว่าตัวเองเก่ง หมายความว่า การที่เราเริ่มประเมินตัวเองได้ ตอนนี้เราเริ่มฉลาดขึ้นแล้วใช่ไหมนะ ฮาๆๆ
    • แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อเริ่มประเมินตัวเองได้ กลับเริ่มพยายาม ใช้เวลาและทรัพยากรความสามารถที่ตัวเองมี ได้คุ้มค่า มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
    • และกลับกลายเป็นว่า เมื่อรู้ limit ของตัวเอง ก็จะสามารถ push myself over the limit ได้ ซึ่งถ้าแต่ก่อน ไม่รู้แม้กระทั่ง limit ของตัวเอง ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องพัฒนาอะไรต่อ

21

  • วันนี้วิ่งเบากว่าเมื่อวาน แต่ก็ยังวิ่งสลับ ระหว่างหนักปานกลาง-วิ่งเบา นะ ก็ยังได้ VO2 Max 1 นาที
    • ฝึกพิมพ์สัมผัสได้คล่องเหมือนเดิม
    • แต่เหมือนอาการสมาธิสั้นยังอยู่นะ ช่วงนี้ไม่ได้ตั้งใจนั่งสมาธิเท่าไหร่ด้วย หรือว่าที่สมาธิดีขึ้น น่าจะเป็นสัมพันธ์กับการนั่งสมาธิมากกว่าการออกกำลังกาย
    • เหมือนช่วงนี้ ต่อให้วิ่งมา แต่ถ้าไม่ได้ตั้งใจฝึกนั่งสมาธิให้ดี ก็อ่านหนังสือไม่ได้นะ
  • ได้ Tablet มาจากพี่ เป็น Tablet เหมาะมือ ขนาด 8 นิ้ว (ถือมือเดียวได้) สะดวกสำหรับคนที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ในการถืออ่านระหว่างเดินทาง(ถ้า Tablet ใหญ่กว่านี้คงไม่ได้อ่าน เพราะถือไม่สะดวก)
    • Samsung galaxy tab a 8.0
  • เดี๋ยวนี้เริ่มอ่านหนังสือ ขณะเดินทาง(บนรถเมล์)แล้ว ฟังเพลงวง The chick ไปด้วย
  • เหมือนถ้าฟังเพลงอ่านหนังสือไปด้วย จะมีสมาธิมากขึ้นนะ?! แต่ต้องเป็นเพลงบางแบบ (โดยส่วนตัวฟังเพลงวง The chick)
  • ประเมินการเรียนภาษาอังกฤษของตัวเอง
  • คิดว่าน่าจะเอาตำราการเทรดด้วย Technical ไปไว้อ่านบนรถเมล์
    • ส่วนFinance ก็อ่านในเวลาปกติ เพราะ ต้อง concentrate มากกว่า

20

  • วันนี้วิ่งแบบ HIIT พบว่า ถ้าเปลี่ยนช่วงพักจากเดินเป็นวิ่งเบาๆ จะทำให้ heart rate ถึง 180 ได้ ถ้าเดินอย่างเดียวในช่วงพักจะไม่หนักพอ
    • สมาธิดี จนไม่สนใจคนรอบข้างเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีอาการสมาธิสั้นอยู่นะ วันนี้ยังมีเยอะพอสมควร รวบรวมสมาธิไม่ค่อยได้
    • วันนี้พิมพ์สัมผัสได้คล่อง แต่ไม่เท่าเมื่อวันก่อนๆ
  • วันนี้ลองเปลี่ยนมาอ่านหนังสือจากหน้าจอ ที่เป็น dc dimming จะลองดูว่าจะทำให้อ่านได้ดีกว่า สายตาล้าน้อยกว่าหรือไม่?
    • เหมือนจะไม่ต่างกันกับการอ่านจากหน้าจอ Macbook แย่พอๆกัน
    • การจะอ่านหนังสือได้ดีหรือไม่ เป็นเรื่องของสมาธิมากกว่า ไม่ใช่ทั้งกล้ามเนื้อตา หรือว่าหน้าจอเท่าไหร่
  • เรื่องการเทรด ตอนนี้เหมือนจะต่อได้สองสาย คือ Technical กับ Fundamental
    • โดยความรู้สึกของเรา จะชอบ Fundamental เพราะ จะต่อยอดความรู้ได้เรื่อยๆ เพราะ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลก เราสามารถเรียนรู้และฝึกคิดวิเคราะห์ต่อไปได้ลึกซื้ง กว้างขวาง ซับซ้อน ละเอียดอ่อนขึ้นเรื่อยๆ เราจะรู้อะไรๆในโลกมากขึ้นๆ ซึ่งยังสามารถประยุกต์ใช้ได้อีกมากมาย แม้จะเป็นหนทางลำบาก แต่คุ้มค่ากับความพยายามแน่นอน
    • ส่วน Techinical ดูเหมือนจะเป็นหนทางสบาย เพราะ แค่ดูกราฟทั้งวัน ไม่ต้องรู้อะไรเยอะ ก็สามารถหาเงินได้แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จะไม่ได้หาความรู้ และอาจต้องดูกราฟไปตลอดชีวิต ไม่มีหนทางที่จะแตกแขนงต่อไป
    • แต่ในตอนนี้น่าจะรู้ทั้งสองอย่าง อาจจะรู้ Technical ก่อนโดยศึกษาแค่พอใช้เป็น แล้วค่อยต่อยอดอ่าน Fundamental ต่อไป
  • เอาจริงๆ หลายๆเรื่อง เราไม่ควรคิดเอาเองนะ ควรศึกษาจากคนที่ประสบความสำเร็จในด้านนั้นๆจะดีกว่า เช่นว่าการเทรดด้วย Technical ที่แต่ก่อนเราปฏิเสธ พอลองอ่านตำราจริงๆ ก็ได้มุมมองดีๆมากมาย เป็นต้น
  • ความรู้ เปลี่ยนความคิด และ เปลี่ยนชีวิต อย่าคิดเอาเอง เพราะจะทำให้ชีวิตวนอยู่กับที่ พยายามอ่านหนังสือเยอะๆ ระวังการคิดเอาเองให้มากๆ
  • เหมือนตั้งแต่เริ่มมาออกกำลังกายแบบ HIIT ก็พิมพ์สัมผัสได้คล่องขึ้นเรื่อยๆนะ แสดงว่าน่าจะพัฒนาจริงๆ
  • ได้อุปกรณ์สำหรับอ่านหนังสือขณะเดินทางแล้ว คือ Samsung Galaxy tab A หน้าจอ 8.0 นิ้ว ถือมือเดียวได้(เหมาะกับการเดินทาง)
    • วันนี้ใช้อ่านตำรา Naked Forex บนรถเมล์

19

  • วันนี้วิ่งMedium intensity 1km, pace 5:51 min/km หอบเบาๆ ไม่ได้หนักอะไร (ยังคงอยู่ในระดับพูดคุยสนทนารู้เรื่องไปด้วยได้)
    • ไม่ได้รู้สึกว่าสมาธิดีขึ้นเท่าไหร่นะ อาการสมาธิสั้นยังอยู่
    • แต่การพิมพ์สัมผัส ก็ยังคงดีอยู่นะ
    • น่าจะออกกำลังกายแบบ Free trainging ด้วย HIIT ดีกว่า??
  • ดื่มกาแฟ 1 แก้ว
  • เริ่มอ่านหนังสือ 11:00น
    • อ่านข่าว reuters 1 ชม
    • อ่านหนังสือจริงๆ 13:36 น
  • แผนการต่อไปอาจเป็นการเทรดด้วย Technical อาศัยการ bet แบบกระจาย risk เล็กๆ ในวงกว้าง และ กลยุทธ์ limit order เก็บ stop loss run เพื่อให้ได้ Risk ต่ำสุด แต่ได้ reward สูงสุด
    • ส่วนการอ่านข่าว reuters, ตำรา Financial market ก็ยังอ่านอยู่ เพราะ เป็นความรู้ที่จำเป็น แต่ไม่ได้รีบจนต้องหยุดศึกษา programming กลางคัน
  • วันนี้ได้ช่วยแก้ปัญหาระบบเว็บให้พี่คนหนึ่ง เพราะเว็บถูกฝัง script สนุกมาก เพราะ ต้องอาศัยไอเดียหลายๆอย่าง ถึงมันจะไม่ใช่อะไรที่ยากก็เถอะ แต่ก็สนุกกว่าอ่านการเงินเยอะเลย(หลายเท่า)
    • สนุกจนลืมใช้ชีวิตไปเลย แทบจะไม่สนใจการเดิน หรือ ภาพลักษณ์ หรือเรื่องจุกจิกใดๆอีก
    • อาจต้องปรับการเรียน มาเน้น programming ให้มากขึ้น และอ่านเตรียมสอบ ลดการอ่านการเงินลงบ้าง
  • สรุปว่าวันนี้ออกกำลังกาย Medium intensity มีสมาธิในการอ่านหนังสือไม่ดีเท่าเมื่อวานที่ทำ HIIP
  • ตอนนี้ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คนรอบข้างเป็นชาวต่างชาติ(ในมหาลัย) ทำให้เรารู้สึกละอายใจ ที่แม้จะอ่าน และ ฟังภาษาอังกฤษได้ แต่ยังพูดสื่อสารไม่ได้ หรือกระทั่งพูดภาษาที่ 3 ไม่ได้ ซึ่งคิดว่าอันนี้เป็นความไม่มั่นใจในด้านดี รู้สึกว่าตัวเราเองกระจอกมากๆ ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว
  • วันนี้เอาจริงๆไม่ค่อยมีสมาธิอ่านหนังสือเลยแฮะ
  • คิดว่าจะอ่านตำรา Technical analysis ต่อละ ชื่อว่า Naked forex เป็นเกี่ยวกับการใช้กราฟเปล่า pure TA ไม่ใช้ indicator
    • แต่เอาจริงๆ เขาก็บอกอยู่ว่า Trade system ไม่ได้สำคัญเท่าการคุมความเสี่ยงเลย
      • Trading system คุณจะใช้อะไรก็ได้หมด สิ่งสำคัญคือ ต้องมีกลยุทธ์ในการลด risk และ มีวินัยในการคุมความเสี่ยง

18

  • วันนี้วิ่งแบบHIIT จนหอบหนักพอควร(หลายรอบ) แต่ pulse rate ไม่ได้สูงเกิน 170 เท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าได้ VO2 Max เพราะ หอบสุดๆ
    • แต่สิ่งที่เกิดคือ สมาธิดีมาก อาการสมาธิสั้นลดลง จนเหมือนคนปกติเลย
    • Mental health ก็ดี กลับมาเป็นปกติ
    • ยังคงต้องควบคุมน้ำตาลในเลือด งดแป้งแปรรูป งดน้ำตาล ไม่อย่างนั้นจะอ่านหนังสือไม่มีสมาธิ
  • ดื่มกาแฟ 1 แก้ว
  • ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกวันนี้เราเป็นซึมเศร้า คือ แม่
    • เพื่อแลกกับอาหารเช้าฟรี เราต้องได้รับยาพิษทางความคิดวันละ 1 โดสจากแม่
    • แม่เป็นคนที่กรอบความคิดแคบ และคิดลบสุดๆๆ ทุกคนผิดหมด ตัวเองตัดสินใจถูกเสมอ(ถึงผิดก็ไม่ยอมรับ กระทั่งทนฟังก็ไม่ได้) แต่พอคนอื่นเถียง ก็หาว่าอกตัญญู กลายเป็นคนบาปเสียอย่างนั้น เหมือนแม่อยากให้ลูกไปทำงานล่าสัตว์ แต่ลูกไม่อยากฆ่าสัตว์เพราะผิดศีล แม่ก็จะบอกว่าลูกบาป?
  • เริ่มอ่านหนังสือ 10:10
    • เมื่อวานอ่านได้ 8 หน้า(ถึงหน้า 147)
  • วิธีการที่ทำให้ไม่ประหม่าเวลาอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้า คือ ให้คิดว่าเป็นคนแปลกหน้าเหล่านั้น คนต่างชาติ แล้วเราจะมองข้ามเขาไปโดยอัตโนมัติ
    • แต่จริงๆวิธีที่ดีกว่า คือ Mind your own bussiness - ไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องยุ่งเรื่องคนอื่น สำรวมอินทรีย์(ตา หู จมูก ความคิด)อยู่แต่กับตัวเองเท่านั้น
  • ทำไมเวลาอ่านข่าว reuters จากใน tablet จะอ่านได้ดีกว่า อ่านจากหน้าจอ Macbook นะ เป็นเพราะ จอ Macbook เป็น PWM dimming หรือเปล่านะ
  • รู้สึกว่าความปราถนาในการพัฒนาตนเองของเรายังไม่หายไปไหน สมมติถ้าต้องเลือกระหว่างอยู่ในกลุ่มสาวสวย กับอยู่กับอาจารย์แก่ๆอายุมาก แต่เป็นปรมาจารย์ที่เก่งมากๆ เรายินดีกับการได้อยู่ใกล้อาจารย์มากกว่า
    • ถ้าอย่างนี้ การที่เราถูกด่าจากคนอื่น ว่าผิดอย่างนั้น อกตัญญูอย่างนี้ มันเป็นเพียงคำด่าของคนพาลใช่ไหมนะ เพราะ ทุกวันนี้เราก็พยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ?
  • เวลาให้กำลังใจตัวเอง ให้คิดว่าเราเก่งที่สุด ดีที่สุดในทุกๆด้าน ซึ่งความจริงก็อาจมีคนเก่งกว่าเรา แต่เนื่องจากเป็นการพูดคุยกับตัวเราเอง เราจึงสามารถพูดให้ตัวเราดูดีที่สุดได้ แต่ถ้าใช้มุมมองเวลาคุยกับคนอื่น ก็ยังคงใช้มุมมองของความเป็นจริงว่ายังมีคนเก่งกว่าเราอีกมากนะ
  • มีข้อสังเกตหนึ่งคือ เวลาที่เราเรียนวิชาเดียว มักจะทำให้เฉื่อยชามากขึ้น ขาดความกระตือรือร้น ถ้าเรียนหลายๆวิชาใน 1 วันน่าจะดีกว่า
    • เช่น เรียนเขียนโปรแกรม จะทำให้วิเคราะห์ข่าวได้ดีขึ้น เป็นต้น

17

  • วันนี้วิ่งหนักปานกลาง(ความเร็วคงที่ pace 5:30min/km) ไม่ได้หนักจนหอบ(มากนัก)
    • เหมือนกับว่า ถ้าวันไหนไม่ได้ออกกำลังกายแบบHIIT ที่หนักมากพอ จะรู้สึกซึมเศร้า และขี้หงุดหงิด รวมทั้งสมองไม่ได้แล่นเหมือนวันที่ HIIT
    • เราจะต้องไม่ปล่อยให้อารมณ์ด้านลบเข้าครอบงำ
  • วันนี้พิมพ์สัมผัสคล่องปานกลางและอ่านหนังสือได้ดี มีสมาธิอยู่นะ
    • ดีว่าวันที่ออกกำลังกายแบบชกลม ที่ไม่ค่อยช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นเท่าไหร่
    • แสดงว่า การวิ่งแบบ Aerobic ก็น่าจะดีกว่า HIIP เทียมหรือเปล่านะ เพราะ pulse rate อาจไม่ได้เป็นตัววัด VO2 Max แต่เป็นความหนักในการหายใจมากกว่า ถ้าวิ่งแม้ไม่หนักมาก อย่างไรก็ทำให้ร่างกายต้องใช้ O2 มากกว่าและหายใจหนักกว่า เมื่อเทียบกับการทำ HIIP เทียม ที่ได้ Max Heart rate แต่ไม่มีอาการหอบใดๆ
  • สาเหตุหนึ่งที่เราขี้หงุดหงิดและเกิดอารมณ์ด้านลบง่าย คือ เรามักจะนอนไม่พอ เนื่องจากกลับบ้านดึก โดยเฉพาะวันที่ออกกำลังกายเบา เลยทำให้เราเข้าใจว่าเกิดจากการออกกำลังกาย
  • น้ำหนัก 50.5kg(เพิ่มจาก 48กก ภายใน 1 สัปดาห์)
    • จะเริ่ม Fasting บ้างแล้ว แสดงว่าอาหารที่กินมากกว่าพลังงานที่ใช้
  • รู้สึกเหมือนวันเวลาผ่านไปเร็วมาก แป๊บเดียวครึ่งเดือนแล้ว แต่เรากลับรู้สึกว่ายังอ่านหนังสือได้ไม่เต็มที่มากพอ
  • เหมือนเรื่องกล้ามเนื้อตา จะไม่เกี่ยวเท่าไหร่กับการอ่านหนังสือนะ เพราะช่วงที่ผ่านมาไม่ได้มีปัญหาในการอ่าน(อ่านได้ทั้งวัน) แต่จะมีปัญหาในวันที่ไม่ได้ออกกำลังกายแบบ HIIT แล้วสมาธิจะไม่ดีมากกว่า
  • เริ่มอ่านหนังสือ 10:30น
    • เมื่อวานอ่านได้ 8 หน้า(ถึง139)
  • สรุปว่าแม้วันนี้จะหงุดหงิดง่าย(จากการนอนไม่พอ) แต่ก็ยังมีสมาธิอ่านหนังสือได้ดี(จากการวิ่ง Medium intensity)
    • แล้วการออกกำลัง HIIT แบบเทียม จะได้ประโยชน์อะไรไหมนะ?

16

  • วันนี้วิ่งแบบ HIIT แต่ไม่ถึง Max Heart rate แต่กลับกลายเป็นว่า สมองแล่นมากกว่าเมื่อวานที่ได้ max Heart rate 2 นาที
    • เหมือนต่อให้วิ่งไม่ได้ vo2 max สักนาที ก็ยังเหนื่อยกว่า และสมองแล่นมากกว่า Mental Health ดีกว่าเมื่อวาน ที่ออกกำลังกายแบบ HIIP ด้วยวิธีการชกลม จนได้ vo2 max 2 min แสดงว่า intensity ต่อร่างกายโดยรวมน่าจะสำคัญมากกว่า
      • อาจต้องไปดูงานวิจัยด้วยว่าที่เขาทดลอง High intensity exercise เขาได้ VO2 max ตลอด 5 นาทีไหม เขาทำ HIIP มีช่วงพักไหม
      • High intensity อาจไม่ได้นับที่ Max heart rate เสมอไป เพราะ ไม่ใช่การวัด VO2 Max โดยตรง น่าจะนับที่ความหอบเหนื่อยมากกว่า
  • ดื่มกาแฟ เบิ้ล 2 โดสจากปกติ แต่ไม่ได้ช่วยเพิ่ม Performance ในการวิ่งเลย แต่ใจไม่สั่น ไม่มีปัญหาอะไรเลยนะ
  • พิมพ์สัมผัสก็พอคล่องตัว แต่มันเสื่อมถอยลงตั้งแต่มาพยายามฝึกจำคีย์ อาจจะปล่อยฟรีดีไหมนะ จะกดอย่างไรก็แล้วแต่ จะเหลือบมองแป้นก็ได้ในช่วงแรก แต่ขอแค่วางนิ้วที่ตำแหน่งมาตรฐานก็พอ
  • ใช้ kindle scribe อ่าน Reuters บนรถเมล์ก็ได้นะ
  • วันนี้เริ่มอ่านหนังสือ 10:40น
  • สรุปว่า วันนี้วิ่ง HIIT วิ่งจนหอบ(ไม่ใช้ Heart rate มาวัดแล้ว)
    • อารมณ์ด้านลบลดลง อาการซึมเศร้าลดลง สุขภาพจิต(Mental health)ดีขึ้นมาก แม่ด่าก็ไม่โกรธ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเถียงใดๆ ควบคุมตัวเองได้ดี
    • มีสมาธิในการอ่านหนังสือมากขึ้น อ่านได้เรื่อยๆ ไม่สนใจคนที่เดินไปมาแต่อย่างใด โฟกัสกับการอ่านได้ดี และตอนนี้เริ่มอ่านหนังสือได้ทั้งวันแล้ว!!
    • สามารถฟังภาษาอังกฤษ ออกได้มากขึ้น หลังจากที่แย่ลงไปหลายวัน

15 มิ.ย.

  • วันนี้ออกกำลังกายแบบ HIIP ด้วยวิธีการฝึกชกลม(Boxing) ทำให้ Heart rate ได้ถึง 180 อยู่นะ และได้ VO2 Max 2 นาทีเลย เป็นอะไรที่ง่ายมาก
    • ทำสลับกับการวิ่งแบบ sprinting ได้เลย
      • แต่อย่างไรก็ตามต้องลองเทียบกับการวิ่งเบา(วันพัก) ดูบ้าง เพราะ ข้อสังเกตคือ แม้การฝึกชกลมจะทำให้HR สูงมาก แต่ intensity ต่อร่างกาย น่าจะไม่มากเท่าการวิ่ง ประโยชน์น่าจะไม่เท่ากัน
      • แต่การพิมพ์สัมผัส จะทำได้ไม่คล่องเท่าวันที่วิ่งนะ
  • ช่วงนี้นั่งสมาธิ แต่สติไม่ค่อยอยู่กับตัวเองเท่าไหร่(ฟุ้งซ่านไม่ได้อยู่ในอารมณ์อันเดียว)
    • ทักษะการฟังภาษาอังกฤษก็ลดลงนะ แสดงว่าที่จริงๆเราฟังได้ดีขึ้น น่าจะสัมพันธ์กับการฝึกสมาธิ เพราะ ช่วงที่ทำสมาธิได้ดี ทำให้โฟกัสได้ดีขึ้น ช่วงที่ทำสมาธิไม่ดี การฟังก็แย่ลง
  • เริ่มอ่านหนังสือ 10:22
    • เหมือนกับว่า ตั้งแต่เปลี่ยนมาอ่านแค่วิชาเดียวทั้งวัน มันจะโฟกัสได้ดีกว่านะ
  • วันนี้ไม่มีสมาธิเลย โมโหง่าย ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับนอนน้อยหรือเปล่านะ
    • ลองเลิกตั้งนาฬิกาปลุกดูแล้วกัน
  • เหมือนการออกกำลังกายอย่างเดียวจะไม่พอนะ ต้อง IF ด้วย เช่น กินภายใน 6 hr ก่อนเที่ยง เป็นต้น
  • มีอุปกรณ์อะไรไหมนะที่จะทำให้เราสามารถอ่านหนังสือได้ตลอดเวลา
  • วันนี้เหมือนเดินทางไปแล้วกลับ อ่านหนังสือน้อยมาก30นาทีทั้งวัน!!! เวลาที่จะเอาไปใช้ review paper เพิ่มเติมก็ไม่มี
  • ถ้าจะอยู่บ้าน ก็จะถูกแม่เคาะประตูทุกชั่วโมง บอกให้ไปหางานทำ และ พูดคำดูถูก ที่ฟังแล้วบั่นทอนสติปัญญา และไม่มีอะไรกิน แถมร้อนและฝุ่นเยอะ ก็อ่านไม่ได้อีก
    • วิธีคือ หาเงินจากการเทรดให้ได้มั่นคงพอ จนแม่เลิกที่จะกัดกินบั่นทอนชีวิตเรา จนยอมให้เราทำงานที่บ้านได้โดยไม่กวนการทำงาน(เพราะเห็นว่าสิ่งที่เราทำอยู่พัฒนาขึ้น) เมื่อนั้น เราก็จะได้ปลดล็อคเวลาในชีวิตที่มากขึ้น จากการไม่ต้องเดินทางไปกลับวันละ 4 ชม
      • แต่สุขภาพจิต เราจะเหลือถึงวันนั้นไหมนะ? อดทนทำต่อไป สู้ๆ

14 มิ.ย.

  • วันนี้ออกกำลังกายด้วยการวิ่ง แบบ HIIP(sprinting) แต่ไม่หนักพอที่ heart rate จะถึง 170 แฮะ
    • น่าจะเป็นเพราะเมื่อวานก็ HIIP ไป แต่จริงๆเมื่อวานHR ได้ถึง 181 เลยนะ(vo2max 1min)
    • แต่วันนี้กลับพิมพ์สัมผัสคล่องขึ้นนะ น่าจะเป็นเพราะการวิ่งจะได้ขยับตัวจริงๆมากกว่า
  • ดื่มกาแฟ
  • เมื่อเช้าไม่ได้นั่งสมาธิ
    • วันนี้เหมือน เริ่มมีอาการตื่นตระหนกง่ายขึ้นนะ และ สมาธิไม่อยู่กับตัวเอง
  • พรุ่งนี้จะวิ่งเบา หรือ stress training ดีนะ?
  • เริ่มอ่านหนังสือ 11:30น 12:44 น
  • เหมือนกับว่าที่เมื่อวานกินอาหาร 4 มื้อ แล้ววันนี้ความกระสับกระส่ายเวลาจะกินอาหารลดลงนะ

13 มิ.ย.

  • วันนี้ลองออกกำลังกายแบบ HIIP ตามนี้ https://www.youtube.com/watch?v=Jzgqjb16Oek  ก็ได้ HR ถึง 170 อยู่นะ แต่แค่แป๊บนึง
    • ไม่ได้รู้สึก active หรือ รู้สึกสดชื่นในการเรียนรู้ เท่าการวิ่งจริงๆนะ
      • ถ้าปรับมาวิ่งทุกวันน่าจะดีกว่าไหมนะ วิ่งเบาๆวันหนึ่ง อีกวันวิ่ง HIIT
    • พิมพ์สัมผัสไม่ได้เร็ว เหมือนวันที่ไปวิ่ง
      • การวิ่งจริงๆ อย่างไรก็น่าจะดีกว่าการออกกำลังกายปลอมๆสินะ
    • แต่สมาธิอ่านหนังสือดี อ่านได้ตลอดวัน
      • น่าจะเป็นเพราะลดแป้งขัดสี - manage ไม่ให้กินทีเดียวมากเกินไป แต่หลังอาหารมื้อไหนที่มีแป้งเยอะ จะไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลยนะ
  • วันนี้กินอาหารปกติ
  • นั่งสมาธิได้ดี
  • ดื่มกาแฟ
  • ถึงมหาลัย 9:45
  • เรื่องการจัดตารางเวลา อ่านหนังสือ น่าจะปรับเป็น Major กับ Minor นะ
    • ในแต่ละวันมีเวลา 9 ชมสำหรับการอ่าน
    • Major อ่านก่อน Minor เสมอ
    • Minor คือ วิชาละ 30 นาที ไม่เกินนี้ ส่วน Major ก็คือเวลาที่เหลือทั้งหมด
      • ตอนนี้มี Minor 4 วิชา คือ ไตรปิฎก, Programming, English, Investment รวม 2 ชม
      • อ่าน reuter 1 ชม (Fix 18.00น)
      • เหลือเวลาสำหรับ Major 6 ชม(Finance)
    • อีกวิธีหนึ่งคือ ปรับ Minor ให้เหลือวันละวิชา แล้วสลับกันไปในแต่ละวัน
      • น่าจะดีนะ กับการมุ่งพัฒนาอย่างจริงจังในเป้าหมายหลัก
      • เอาแบบนี้แล้วกัน แล้วเพิ่มเวลาการอ่าน Major มากขึ้นไปอีก เป็น 7:30 ชม
  • เหมือนช่วงนี้จะเป็นซึมเศร้านะ ไม่รู้ว่าเพราะ ฟังเพลงบ่อยหรือเปล่า จิตใจเลยซึม อีกอย่างคือไม่มีสติเลย
    • ถ้าใช้สติคอยส่องดูตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนน่าจะทำให้เห็นสาเหตุของปัญหาได้นะ
    • เหมือนอาการขี้งกกำเริบ เกิดจากเงินเหลือน้อยหรือเปล่านะ
    • หรือเป็นเพราะว่าพลังงานสะสมไม่พอ ทำให้อัตราการmetabolism ลดลง
  • สรุปว่าวันนี้ลองกินอาหาร 4 มื้อ(ใน 12 ชม) กินให้มากพอตามความรู้สึก เพราะ ช่วงที่ผ่านมา ออกกำลังกาย แต่กินอาหารน้อยตลอด

12 มิ.ย.

  • วันนี้นั่งสมาธิไม่ดีเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการที่ไปยุ่งใน social media มากเกินไปหรือไม่ หรืออดอาหารข้ามวันมา ทำให้ตื่นตัวเป็นพิเศษ
  • วันนี้กินอาหารปกติ(IF 12/12)
  • วันนี้วิ่งแบบ HIIT แต่พลังงานไม่พอ(เมื่อวานอดข้ามวัน)เลยวิ่งหนักได้ไม่เต็มที่ ถ้าออกกำลังกายด้วย การอดข้ามวันคงไม่เหมาะ
    • แต่ก็พิมพ์สัมผัสได้เร็วอยู่นะ แม้จะวิ่งไม่ได้สุดแรง(เพราะแรงไม่มี) BDNF อาจไม่มากนัก
  • ที่ลองสังเกตตัวเองเรื่องอาหารที่เป็นแป้งแปรรูป หรือ แป้งขัดสี มันมีผลต่อสมาธิจริงๆแฮะ ถ้าจำกัดปริมาณแป้ง/น้ำตาล สมาธิจะดีขึ้น
  • เหมือน 'เวลาที่เราต้องจ่ายไป' กับการพยายามสนทนา/มีปฏิสัมพันธ์ใน social media มันมากมายเหลือเกิน(เป็นชม.ต่อวัน กับการมัวคิดคำพูด) ซึ่งมันไม่คุ้มเท่าไหร่เลย เอาเวลาไปอ่านหนังสือ หาความรู้ยังได้ประโยชน์มากกว่า
    • บันทึกแค่ใน blog ของเรา และ พูด 'ตอนที่จำเป็น' น่าจะดีกว่า
  • มาถึงมหาลัย 10:00น
    • เริ่มอ่านหนังสือจริงๆ 12:40น
  • หลังจากที่วิ่งออกกำลังกายแบบ HIIT มา 1 สัปดาห์ เหมือน
    • สมาธิจะพัฒนามากขึ้นนะ เริ่มมีสมาธิอยู่กับตัวเอง สิ่งแวดล้อมรอบข้างเริ่มไม่มีผลมากนัก
    • เริ่มมีความฉลาดทางอารมณ์สูงขึ้น เริ่ม figure out ปัญหาต่างๆในชีวิตได้มากขึ้น ที่เคยตกอยู่ใต้อิทธิพลทางอารมณ์(เช่น โกรธ  หงุดหงิด) ตอนนี้เริ่มไม่หลงในสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น
    • มีความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียใหม่ๆทั้งในการแก้ปัญหาชีวิต ทั้งการเทรด การพัฒนาตัวเอง มองเห็นจุดที่เป็นปัญหาในชีวิตมากขึ้น ความยึดติดในความเคยชินหรือนิสัยเดิมๆที่ไม่ดีลดลง สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการได้อยู่เสมอ หากมีวิธีใหม่ที่ถูกต้องหรือเหมาะสมมากกว่า
  • วันนี้สมาธิดีมาก ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง สามารถมีสมาธิอยู่กับตัวเอง แล้วเอาสมาธินั้นไปอ่านหนังสือ
    • แต่หลังจากไปกินอาหาร ติดกัน 2 มื้อ ก็เริ่มกระสับกระส่าย เพราะ แป้งขัดสีเยอะ น้ำตาลสูง
  • รู้สึกว่าเรานี่ผลาญเวลาเก่งเหมือนกันนะ นั่งเฉยๆหรือทำอะไรไม่มีประโยชน์ 10 นาที ทำได้ง่ายมากๆ แต่ถ้าจะให้อ่านหนังสือ 10 นาที รู้สึกว่านานมากๆ
  • เหมือนกับว่าที่ทุกวันนี้การเรียนรู้แต่ละอย่างของเรารู้สึกไม่ก้าวหน้าเท่าไหร่ เพราะ ว่าเรากระจายไปหลายอย่างมากเกินไป วิชาที่เราต้องการให้จบเร็วๆเสียที คือ finance มันก็ยังไม่จบ(จบแล้วจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ) ชีวิตเลยรู้สึกว่ากำลังไม่ไปไหน
    • น่าจะต้องเปลี่ยนมาเน้นเรียนวิชาเดียวแล้วล่ะ คือ finance ให้จบก่อน แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นอิสระมากขึ้น เพราะ จะมีความรู้เต็มขั้นในการเทรด Forex
    • เหมือนกับว่าการเรียนหลายอย่าง ทำให้เราต้อง Manage หลายอย่างมากเกินไป ซึ่งมันต้องเปลี่ยนการโฟกัสสลับไปมา ทำให้เรียนได้ไม่มีประสิทธิภาพ
      • ความยุ่งยากในการ manage -> เสียเวลาเพิ่ม
      • พอเริ่มแต่ละวิชา ต้องใช้เวลานานกว่าจะเริ่มมีสมาธิ พอกำลังจะมีสมาธิในการอ่าน(deep dive) ก็ต้องเปลี่ยนวิชาอีกแล้ว สรุปคือ อ่านได้จริงๆวิชาละ 20 นาที ที่เหลือ ฟุ้งซ่าน
      • ช่วงที่เสียสมาธิ ระหว่างเปลี่ยนวิชา ก็ฟุ้งซ่านไปเล่น Facebook อีก
  • สรุปว่า แผนการหลังจากนี้คือ มุ่งอ่านแต่ finance ให้จบเร็วๆ แล้วไปอ่านอย่างอื่นต่อ

11 มิ.ย.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน(IF 12/36) เนื่องจากเริ่มรู้สึกแปลกๆเหมือนร่างกายไม่อยากกินอาหาร และที่สำคัญคือ สมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความคิดพลุ่งพล่าน จดจ่อกับหนังสือไม่ได้ ตั้งแต่ที่เปลี่ยนมาออกกำลังกายอย่างเดียว เลยจะลองอดข้ามวันต่อดูบ้าง เผื่อจะสงบขึ้น เพื่อให้มีการสลับรูปแบบการใช้พลังงานไปเป็น ketone (intermetabolic switching)
  • ดื่มกาแฟ
  • วันนี้พิมพ์ช้าลงนะ อาจจะเพราะ ไม่ได้วิ่งเมื่อเช้า
  • วันนี้ถึงมหาลัย 9.00น
    • เขียน blog 1 ชม
    • เริ่มอ่านหนังสือ 10.00น แต่ได้เริ่มอ่านจริงๆ 11:30น
  • เหมือนจะต้องเริ่มอ่านตำราการลงทุนบ้างแล้ว "The intelligent investor"
  • จะว่าไป หลังจากที่เลิกอดข้ามวัน สมาธิในการอ่านหนังสือลดลงเยอะมากเลยนะ แม้จะออกกำลังกายทุกวันก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่
    • หมายความว่า การ Fasting ก็ยังคงจำเป็นสินะ ก็ทำคนละวันไปเลย อดวันนึง ออกกำลังกาย HIIT อีกวันนึง
    • มันน่าจะให้ผลคนละแบบ ออกกำลังกาย ทำให้ energetic, การ Fasting ทำให้ สงบ แต่น่าจะดีต่อสมองทั้งคู่
  • ยังคงต้องอ่านหนังสือด้วยการมองไกลๆ สุดช่วงแขน
  • วันนี้สมาธิดี สามารถอ่านหนังสือได้ปกติ ทั้งวัน!!! ไม่พลุ่งพล่านเหมือนวันที่ออกกำลังกาย+กินอาหาร(Too much energy)
    • ที่ไม่สามารถทำสมาธิได้ ไม่ใช่เพราะ ออกกำลังกาย แต่เกิดจากอาหารที่กินมากกว่า โดยสาเหตุ คือ แป้งขัดสีในปริมาณมากในคราวเดียว เช่น ข้าวขาว 2 จาน เป็นต้น ซึ่งก็มากเพียงพอที่จะทำให้สมาธิแตกกระเจิง
    • อาจจะต้องลองออกกำลังกายโดย กินอาหารแต่พอเหมาะในแต่ละมื้อ แต่แบ่งกินหลายๆมื้อ
  • สรุปว่า ที่เรารู้สึกไม่อยากกินอาหารมาหลายวัน(แต่ก็พยายามกิน) น่าจะเป็นเพราะ ร่างกายมันรู้สึกว่ามีพลังงานสะสมเพียงพอแล้ว วันนี้พอลองอดข้ามวัน ก็ยังอ่านหนังสือได้ดีทั้งวัน ไม่ได้หมดแรงอย่างที่เข้าใจแต่อย่างใด!!!
  • สรุปว่า วันนี้สมาธิดีมาก สาเหตุที่สมาธิไม่ดี น่าจะมาจากการกินอาหารพวกแป้งขัดสีปริมาณมากในแต่ละมื้อ แม้แต่การวิ่ง หรือ การอดอาหารก็เอาไม่อยู่
    • วันนี้อ่านหนังสือได้ทั้งวัน อ่านได้ตั้งแต่เช้ายันดึก อ่าน reuters ได้ดีด้วย

10 มิ.ย.

  • หลังจากที่วิ่งแบบHIIT รู้สึกว่าการควบคุมอารมณ์ดีขึ้น การแก้ปัญหาทางอารมณดีขึ้น เริ่ม figure out ได้ว่าเรื่องบางอย่าง ที่เราโมโหมันไร้สาระ ไม่ได้มีผลอะไรจริงๆกับชีวิตเราสักอย่าง ที่เราต้องทำคือ แข่งกับตัวเอง โฟกัสกับตัวเอง ทำตัวเองให้ดีขึ้นเท่านั้น -> EQ(ความฉลาดทางอารมณ์) ดีขึ้น
    • เริ่มไม่รู้สึกอะไร เวลาแม่พูดด้อยค่าเราแล้ว,​ เริ่มไม่โมโหเพื่อนบ้านมหาประลัยเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าถ้าโมโห เราจะเสียเวลาอันมีค่าของเราเอง ซึ่งมันไม่คุ้ม
  • วันนี้กินอาหารปกติ 3 มื้อ IF 16/8
  • วิ่งแบบ HIIT แต่ไม่ high เท่าไหร่ เพราะ วิ่งติดต่อกันทุกวัน กล้ามเนื้อบาดเจ็บสะสม ไม่ได้พัก
  • ยังคงมีปัญหากล้ามเนื้อตา ต้องมองไกลๆ จึงจะไม่เพ่งจนหน้าผากย่น
  • ออกเดินทางสาย เดินทางได้ง่ายและเร็วกว่า ออกเดินทางแต่เช้า
    • ออกเดินทางเช้า : รอรถนาน(รอรถ 7โมง ถึง 8โมง) เพราะรถแต่ละคัน คนแน่นจนขึ้นไม่ได้ และ ถนนก็รถติด แดดร้อน เดินทาง1-2 ชม
    • ออกเดินทาง 8.30-9.00 น : รถว่างมีที่นั่ง ถนนโล่ง รถมาเร็ว เดินทาง 30 นาที
  • วันนี้ออกเดินทาง 8.30-10.00น
  • จัดการ weblog และ สนทนาวุ่นวายกับ social ถึง 12.00น 2 ชม
  • กินข้าว ถึง 13.00น
  • เริ่มอ่านหนังสือ 13.00น
  • วันนี้อาการสมาธิสั้นถือว่าลดลงมากเลยนะ เริ่มรู้สึกเหมือนคนปกติมากขึ้น แต่ยังมีปัญหาเรื่องการโฟกัสกับการอ่านหนังสือแทน เพราะ ความคิดพลุ่งพล่านจนต้องบันทึกหรือทำนู่นทำนี่ไม่หยุด
  • ยังคงต้องอ่านหนังสือจากไกลๆอยู่นะ
  • เหมือนตกเย็น สัก3-4โมงเย็น อาการสมาธิสั้นจะกลับมานะ หรือ ว่ากล้ามเนื้อตาล้าก็ไม่แน่ใจ แต่อ่านหนังสือไม่ได้
    • แต่เอาจริงๆ เหมือนความคิด โฟกัสได้ยากมาก เหมือนมีความคิดปะทุตลอดเวลา -> สมาธิสั้นกลับมา หลังจากที่ไม่ได้อดข้ามวัน?
    • ลองหลับตานั่งสมาธิ 5 นาทีแล้วดีขึ้นนะ เหมือนเคลียร์ความคิดวุ่นวายออกไปจากสมอง แล้วก็พักสายตาไปด้วย
      • หลังจากทำก็กลับมาอ่านได้อย่างมีสมาธิ (อ่าน reuters)
      • แต่พอเจอคนมากๆ ก็เริ่มเสียสมาธิอีกแล้ว
      • เหมือนเราจะ sensitive ต่อเสียงนะ พอใส่หูฟังเปิดเพลงกลบเสียก๊อกๆแก๊กๆรอบข้าง สมาธิก็ดีขึ้นทันที(ยกระดับขึ้นไป 10-20% เลย)
  • สรุปว่า เป็นทั้งปัญหากล้ามเนื้อตา และ สมาธิสั้น
    • ตัวอักษรต้องใหญ่ และมองไกลๆ ถึงจะอ่านได้
    • ต้องเงียบ หรือใส่หูฟัง ถึงจะมีสมาธิอ่าน
  • อ่าน reuters ได้ 3 ข่าว กับ cnbc อีก ครึ่งข่าว

9 มิ.ย.

  • วันนี้กินอาหารปกติ 3 มื้อ IF 12/12
  • ออกกำลังกาย medium intensity: วิ่ง 10 นาที, planking 5 นาที, วิดพื้น, sit up
  • พิมพ์สัมผัส ยังคงคล่องแคล่ว ไม่ได้ขึ้นๆลงๆแบบตอน Fasting
  • ใช้เวลาในการเขียน blog คุยกับคนอื่นใน social 2 ชม -> จำเป็นมากไหม
  • ยังคงอยากแสวงหาการใช้เวลาให้เต็มประสิทธิภาพ
  • วันนี้รู้สึกอยากอดอาหาร ไม่อยากกินอาหาร รู้สึกอิ่มแปลกๆ หลังจากที่งด fasting ไปหลายวัน
    • รู้สึกเหมือนกระสับกระส่ายเวลากินอาหาร เป็นอาการของ insulin sensitivity ที่ต่ำลงหรือเปล่านะ แต่ก่อนก็เป็นแบบนี้ ตอนที่กินอาหาร 3 มื้อทุกวัน แต่ไม่เคยเป็นมานานแล้วตั้งแต่มาเริ่มอดอาหาร มากกว่า 20 ชม
    • Fasting ก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำ
  • เรื่องการทำให้เกิด ไอเดีย พลังกระตือรือร้นในการทำงาน การออกกำลังกายชนะ ขาดลอย
    แต่เรื่องสมาธิ และการฟื้นฟู การ fasting ชนะขาดลอย
  • ทำไม่เราไม่ได้เริ่มทำงานเสียทีนะ เหมือนการวิ่งทำให้ไอเดียผุดขึ้นในหัวมากมาย ที่ต้องจัดการบันทึก แต่ไม่ค่อยได้เรียนรู้สิ่งใหม่เลย
    • ถ้า Fasting จะสงบมากขึ้น ชะลอความคิดที่พลุ่งพล่านมากเกินไปได้
  • หลังจากได้ลองแล้ว เหมือนการเรียนรู้หลายๆอย่างใน 1 วัน ก็ยังดีกว่าการเรียนรู้แค่อย่างเดียว เพียงแต่ต้องบริหารจัดการเวลาให้ดีขึ้นกว่านี้ เพื่อไม่ให้ตกหล่นไปสักวิชา
  • เอ๋​... วันนี้อ่านหนังสือ programming สมาธิดีมากเลยนะ แสดงว่าที่ ไอเดียพลุ่งพล่าน ไม่ได้เกิดจากภาวะสมาธิสั้น แต่เกิดจากสมองมันมีการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆได้ดีขึ้นจริงๆ และเรายังไม่ชิน เลยต้องคอยมาบันทึกไอเดีย 'อันสุดแสนล้ำค่า' ของเรา
    • เหมือนเข้าใจประโยคภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น แต่ก่อนอ่านหลายรอบกว่าจะเข้าใจสักประโยค ตอนนี้แปลความหมายแต่ละประโยคได้เร็วขึ้น
  • วันนี้ดื่มกาแฟ
    • เลยอ่านหนังสือได้ดี โฟกัสได้ แต่เมื่อวานงดกาแฟไป ไม่สามารถมีสมาธิอยู่กับการอ่านหนังสือได้เลย แม้ว่าจะวิ่ง HIIT มา
    • แถมเมื่อวานยังจิตตก ซึมเศร้า เพราะ เหมือนสมองที่เคย Active กลับไม่ active เหมือนเดิม(อาการ Caffeine withdrawal) แต่พอวันนี้ดื่มกาแฟ อาการเหล่านี้ก็หายแล้ว
      • เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก บางทีมันเป็นเพียงตัวแปรหนึ่งในสมอง เหมือนเป็นภาพลวงตาหนึ่ง ไม่ใช่เราจริงๆหรอก

8 มิ.ย.

  • วันนี้กินอาหารปกติ 3 มื้อ IF 18/6
  • วิ่งตอนเช้า 5 นาที แบบสุดกำลัง(High intensity)
    • ช่วงนี้พิมพ์สัมผัสเร็วขึ้นอยู่นะ
    • รู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นด้วย มากกว่าตอน Fasting อย่างเดียว
  • งดกาแฟ เพราะ ว่าเหมือนจะมีผลต่อ BDNF แต่จริงๆมันไม่ได้มี evidence เยอะขนาดนั้น
    • สรุปว่าวันนี้ก็โฟกัสกับหนังสือไม่ค่อยได้
  • นั่งสมาธิเช้า และ ก่อนนอน
  • เหมือนชีวิตประจำวันตอนนี้ กลับบ้านดึก ทำให้นอนเร็วสุดได้ 5 ทุ่ม
  • ยังคงตื่นค่อนข้างสาย ไม่สามารถนอนได้ 6 ชม แบบที่ตั้งใจไว้
    • น่าจะต้องตั้งนาฬิกาปลุกแล้วล่ะ
  • ทำไมรู้สึกว่าเราวุ่นวายกับการหาความรู้เพิ่มเติมเยอะจัง กว่าจะได้อ่านหนังสือหลักๆ ก็เสียเวลาไปมาก แต่ที่เสียเวลาจริงๆคือตอนเดินทางมากกว่า ที่เสียไปกว่า 3-4 ชม ต่อวัน ซึ่งถ้าเอามาอ่านหนังสือ ก็อ่านได้เยอะมากเลย
  • เหมือนเวลาอ่านข่าว reuters ทีนึง ใช้เวลาประมาณ 2 ชม จึงจะเข้าใจภาพรวม
  • routine อีกอย่างคือ หาความรู้รอบตัวเพิ่มเติม ก็ใช้เวลา 1 ชมเหมือนกัน
  • วันนี้ไม่มีอาการตาแห้ง ไม่คันตานะ เหมือนการอักเสบหายไป อีกอย่างคือ น่าจะสมาธิดีขึ้นจากการวิ่งด้วย
    • แต่พอวันนี้ไม่ดื่มกาแฟ อาการสมาธิสั้น แบบกึกๆกักๆ ตัดสินใจไม่ถูกก็กลับมานะ
  • เหมือนแม่เรา จะยังไม่มีประสบการณ์ และ ความรู้ พอเจอเพื่อนบ้าน จิตใจและสติปัญญาไม่พัฒนา มารังแก ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรๆให้ถูกต้อง เช่น แทนที่จะแจ้งความว่าถูกเอาเปรียบ คุกคาม ให้ตำรวจช่วยจัดการ กลับใช้ชีวิตลำบากให้คนอื่นเอาเปรียบง่ายๆ เป็นต้น
    • มิหนำซ้ำ ยังบังคับเราให้ไม่ทำอะไรอีก ทั้งๆที่เราเอง เคยช่วยจัดการไปแล้วรอบนึง และ คาดการณ์ทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง ทีนี้เราเองก็ลำบากไปด้วยเลย
    • และแม่ก็มาเอาเปรียบเราอีกที เช่นว่า ปัญหาทุกอย่างในชีวิตของเขา เกิดจากการที่เราไม่ไปทำงาน เป็นต้น ทั้งๆที่เรามีความรู้ สติปัญญา ไปไหนก็ไม่มีใครกล้ากลั่นแกล้งเรา เท่าที่เห็นมีแต่แม่เองนั่นแหละ ที่เป็นคนโดนเอาเปรียบอยู่เรื่อยๆ เพราะ ไม่มีความรู้ และไม่มีการพัฒนาทางสติปัญญา
    • แม่เราความรู้น้อยจริงๆ แต่กลับอยากนำทางชีวิตเรา แค่คิดตามก็สยองแล้ว แค่คิดถึงอนาคตก็ท้อใจแทน แม่ไม่รู้ตัวบ้างหรอว่ามีอะไรในโลกนี้อีกมากที่แม่ไม่รู้ ขนาดว่าเราเรียนอะไรมาตั้งเยอะ กลับยิ่งรู้ว่ามีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมาก
      • เราอยู่คนเดียว เรารู้สึกว่า "ไม่มีใครมารังแกเราได้ ด้วยระดับความรู้และสติปัญญาที่เรามี" แต่พอเราอยู่กับแม่ "เรารู้สึกไม่มีค่า ต้องก้มหัว คุกเข่าให้คนรอบข้าง ทั้งๆที่มันเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีสมอง"
    • อย่าเชื่อแม่ อย่าหลงโง่ไปตามแม่ แม่เราน่าจะกำลังสมองเสื่อม สมองกำลังถูกกัดกินอยู่ทุกวันๆ
    • พยายามยุ่งเรื่องที่บ้านให้น้อยที่สุด แล้วทำอย่างไรก็ตามให้หนีออกจากที่นั่นให้ได้ เพราะ เรารู้สึกว่าแม่ไม่มีทางหลุดพ้นจากปัญหานี้ได้ เพราะ แม่จะไม่มีวันทำเงื่อนไขของ การพัฒนาความรู้ และ สติปัญญา ของตนเองได้สำเร็จ
    • สิ่งที่เราทำคือเพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่เพื่อสนองความโลภ หรือ อัตตา หรือ ความภาคภูมิใจ(ที่ปราศจากความรู้ และเต็มไปด้วยความยึดติดงมงาย)ของใคร
    • ถ้าเราไม่ร่ำรวย ไม่ประสบความสำเร็จ อย่าเข้าไปหาแม่เรา เพราะ แม่จะด่าว่า ทำให้ตัวเรารู้สึกด้อยค่าลง จิตใจย่ำแย่ และ กรอบความคิดคับแคบลง
  • มีเพื่อนบ้านที่ไร้การศึกษาคนหนึ่ง พยายามเอาเปรียบต่างๆนานา แถมยังทำตัวกร่าง ข่มขู่(คำพูด และ การกระทำ) วางอำนาจ โดยอาศัยว่าตัวเองมีพวกมาก(ซึ่งก็มีแต่พวกชาวบ้าน ชั่วๆ โง่ๆ ที่เป็นพันธมิตรกัน) วิธีแก้คือ อย่าเอาตัวเราเองไปเกลือกกลั้ว สิ่งที่เขาจะทำร้ายเราได้ คือการที่เราเข้าไปเล่นเกมในสนามที่เขาเป็นคนสร้างขึ้น มันเป็นเกมแห่งการทำชั่ว สกปรก ที่พวกไร้สมองภาคภูมิใจ มีแต่ความไร้สมอง ต่อให้เราเก่งแค่ไหนเราก็แพ้
    • มีวิธีที่จะทำให้ชนะได้คือ อย่าไปเล่นเกมส์แห่งความชั่วกับพวกมัน เพราะ เราไม่ทำชั่ว และจะไม่เสียเวลาอันมีค่าของและเอาอนาคตของเราไปยุ่ง แต่จะ หลอกล่อให้พวกมัน หลงเล่นเกมส์แห่งความชั่วกันไปเอง หลอกให้พวกมันติดอยู่ในวังวนแห่งเกมส์ภาพลวงตาที่ตัวเองสร้างขึ้น อย่างไม่จบไม่สิ้น ให้พวกมันอยู่กับความชั่วของตนเองจนพอใจ (หรือ อาจสติแตก) เหมือนใช้อุบายหลอกเด็กให้ทำตามที่เราต้องการ แต่จริงๆ คือ พวกมันกำลังทำลายชีวิตตัวเองให้ย่อยยับไปทีละน้อยๆ จนพินาศในที่สุด
    • อีกอย่างหนึ่งคือ อย่าให้ขยะสังคมเหล่านี้มารั้งความเจริญของเราได้ ถ้าเทียบระดับการศึกษา เราเป็นคนส่วนน้อยของประเทศที่มีการศึกษาสูง สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ส่วนพวกขยะสังคม เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยทำมาหากินไปวันๆ ถ้าพวกขยะสังคมสามารถมาฉุดรั้งความเจริญของเราได้ สังคมนี้คงไม่ต้องมีการศึกษากันแล้ว เอาขยะไปบริหารประเทศเถอะ
    • อย่าให้ขยะสังคมเหล่านี้มาหลอกล่อ และ มีผลต่อจิตใจของเราได้ บอกตัวเองเสมอว่า อย่าหลงไปกับภาพลวงตาที่พวกมันสร้างขึ้นเพื่อหลอกให้เรากลัว หลอกให้เราดูไม่มีค่า ซึ่งเป็นวิธีการที่พวกชั้นต่ำชอบทำเพื่อปลอบใจตัวเอง เวลาที่เห็นคนที่เหนือกว่า เพราะ จริงๆ เราเหนือกว่าพวกมันสุดๆ แบบคนละชั้นไม่เห็นฝุ่น (เราได้รับการศึกษาจากสถาบันที่ดีที่สุดในประเทศ และ เป็นคณะฯที่คะแนนสูงด้วย ส่วนพวกมัน ไม่มีอะไรเลย)
    • การที่ขยะสังคมพยายามทำเลวกับเรา แล้วเราให้ความสนใจ เป็นอะไรที่ผิดมากๆ เพราะ ขยะสังคมพวกนี้ ไม่ควรได้รับความสนใจใดๆจากเรา แม้แต่น้อย บางคนพยายามทำดีมากมาย แต่กลับไม่ค่อยคนสนใจหรือมีไม่เยอะ แล้วทำไมพวก กากเดนสังคมพวกนี้ ถึงมีโอกาสได้รับความสนใจกันล่ะ มันไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง อย่าให้ความใส่ใจกากเดนสังคมเหล่านี้
    • สิ่งที่จะทำให้เราชนะได้ คือ พัฒนาตนเอง ซึ่งไม่ว่าจะระดับการศึกษา กรอบความคิด ของเราก็เหนือกว่าพวกมันอยู่แล้ว พอเราพัฒนาตนเองและประสบความสำเร็จ ก็ออกไปจากสิ่งแวดล้อมห่วยๆเหล่านี้อย่างสง่างาม ขยะสังคมเหล่านั้นก็ไม่มีทางมาแปดเปื้อนเราได้ พวกมันก็เป็นแค่ฝุ่นที่เราเหยียบ
  • เปลี่ยนมาอ่าน ตำรา Financial เล่มใหม่ ซื่งเป็นผู้เขียนคนเดิม Mishkin แต่เป็น Edition ที่ใหม่กว่า Economics of Money, Banking, and Financial Markets, The, 13th edition
  • เหมือนพอกินอาหารเยอะไปในคราวเดียว จะทำให้ง่วง เลยเผลอหลับไปตอนบ่าย อาจจะเพิ่มช่วงเวลาการกินเป็น IF 16/8
  • ยังคงต้องขยายตัวอักษรให้ใหญ่ แล้วมองจากไกลๆ ตัวอักษรสูงประมาณ 7mm จะอ่านได้ดี 
  • สรุปว่า วันนี้แทบอ่านหนังสือไม่ได้เลย โฟกัสไม่ได้ เพราะไม่ได้ดื่มกาแฟ(caffeine withdrawal)

7 มิ.ย.

  • วันนี้กินอาหารปกติ
    • จะปรับเรื่องการกินอาหาร ให้เข้ากับการออกกำลังกายอย่างไรดีนะ
      1. กินอาหารทุกวัน 3 มื้อ(โดยเปลี่ยนมาเป็น Time restricted fasting IF18/6) แล้ววิ่งแบบ HIIT 5 นาทีทุกวัน
      2. กินอาหารวันเว้นวัน เหมือนเดิม แล้ววิ่งในวันที่กินอาหาร --> วิธีนี้คงไม่มีแรงวิ่ง หรือออกกำลังกายนะ
  • หลังจากที่วิ่งแบบ High intensity เมื่อวาน
    • รู้สึกว่าสมาธิดีขึ้นนะ โฟกัสกับงานได้ดีกว่า
    • มีพลังในการทำงาน กระตือรือร้นมากกว่า
    • ควบคุมตัวเอง ทำตามตาราง routine ได้ดีกว่า
    • การ Fastingพิมพ์สัมผัสได้คล่องขึ้น
  • วันนี้ดื่มกาแฟ
  • นั่งสมาธิหลังตื่น-ก่อนนอน
  • การที่เราฟังเนื้อเพลงภาษาอังกฤษออกได้ดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการนั่งสมาธิทุกวันหรือเปล่านะ รู้สึกว่าเวลาฟังแล้วใช้สมาธิเพ่งไปที่เสียง ก็จะฟังได้เข้าใจมากขึ้น
  • เริ่มอ่านหนังสือ 10.30น
    • ว่าจะอ่านพระไตรปิฎก แต่ 10นาทีสุดท้าย กลับเกิดไอเดีย และ ฟุ้งซ่านอีก 30 นาที
  • การพัฒนาตัวเอง ในบางเรื่อง เรารู้สึกได้ว่าเรากำลังดีขึ้น เข้าใจอะไรๆ มากขึ้น มีประสบการณ์ที่ถูกต้องมากขึ้น หากเขียนเป็นกราฟ ก็เหมือนกราฟที่กำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่น การเทรด หลังจากที่อ่านตำรามาอย่างถูกต้อง(The Art of currency trading) เป็นต้น
    • แต่มันก็จะมีการพัฒนาตนเองบางอย่าง ที่วนอยู่กับที่ เช่น การพยายามเทรด โดยที่ไม่ได้ศึกษามาก่อน เป็นต้น
  • เหมือนวันนี้จะมีอาการตาแห้งกลับมาอีกแล้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกินขนมที่มีส่วนประกอบเป็นนมวัว หรือเปล่า
  • ที่สังเกตตัวเองคือ ในช่วงนี้ที่มาพยายามตั้งใจอ่านหนังสือมากขึ้น เป็นเพราะอยากอ่านหนังสือให้ได้ 12 ชม เหมือนคุณท๊อปจิรายุส แล้วก็ตั้งใจว่าจะไม่ดูการ์ตูน 1 เดือนด้วย แต่จริงๆน่าจะเป็นผลมาจาก การตั้งเป้าหมายเชิงการกระทำ ที่มันดีกว่าเชิงผลลัพธ์
  • อาจต้องปรับการเรียนให้เหลือแค่ Major กับ Minor ดีไหมนะ? เพราะ เหมือนอ่านแล้วไม่ก้าวหน้าเท่าไหร่
    • พรุ่งนี้จะลองอ่านแค่ 2 วิชา คือ Major(Finance) กับ Minor(programming)
  • ปัญหาของการฟังเพลงตอนอ่านหนังสือคือ วันต่อมามันจะจำที่อ่านไปแล้วไม่ค่อยได้
  • วันนี้ตอน4-5โมงเย็น เริ่มอ่านหนังสือไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการที่น้ำตาลในเลือดตกหรือไม่ เพราะ ระหว่างที่น้ำตาลตก กว่าจะเริ่มมี ketosis ก็อีกหลายชั่วโมง ซึ่งในระหว่างนี้จะไม่ค่อยมีพลังงานอะไรในกระแสเลือด เลยทำให้สมองว่าง ใช้ความคิดได้ไม่ดีนัก
    • เลยเปลี่ยนมากินอาหารมื้อเย็นเพิ่ม เพื่อให้มีพลังงานจาก gluocose ต่อ แล้วลองดูว่า เราจะอ่านหนังสือต่อได้หรือไม่
    • ช่วงเปลี่ยนถ่ายจากการใช้ glucose เป็น ketone ก็ให้เป็นช่วงที่เรานอนในอีก 12 ชมข้างหน้าแล้วกัน
    • สรุปวันนี้ IF 12/12
    • แต่เหมือนสุดท้ายจะเป็นที่สายตาด้วย
      • เพราะวันนี้มีตาแห้ง คัน อีกแล้ว ไม่รู้กินอะไร ทำให้แพ้
      • รวมถึงการเพ่งจนหน้าผากย่น ก็กลับมาอีกแล้ว เป็นอาการของปัญหากล้ามเนื้อตาขณะมองใกล้
        • ปัญหาในการอ่านหนังสือ คือ น่าจะมองใกล้ไม่ได้อีกแล้ว ต้องกลับไปมองไกลสุดแขนอีก การย่นหน้าผากแบบไม่รู้ตัวก็จะหายไป
    • ถ้าปัญหาที่เราอ่านหนังสือไม่ได้ เกิดจากปัญหากล้ามเนื้อตา ถ้าอย่างนั้น การกินอาหารมื้อเย็น ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานะ เพราะ เมื่อกี้กินอาหารเย็น แล้วมาอ่านหนังสือ ก็อ่านไม่ได้อยู่ดี จนต้องมองไกลๆจากหน้าจอ จึงจะอ่านได้
  • เนื่องจากทักษะการฟังของเราเริ่มดีขึ้น(จากการอ่านเยอะๆ การฟังBBC radioบ่อยๆ การดู youtube และ นั่งสมาธิ รวมถึงการ ออกกำลังกาย และ Fasting) เราอาจจะสามารถเรียนรู้การพูด conversation จากการดูคลิป youtube ไปเรื่อยๆได้
    • เหมือนทักษะการฟังของเราดีขึ้นเพราะเรานั่งสมาธิ เลยทำให้เราโฟกัสกับเสียงได้ดีขึ้น
  • เหมือนกับว่าถ้าไม่ได้ดูการ์ตูนเลย มันจะมีความรู้สึกสนุกกับการทำงาน อ่านหนังสือ โดยสามารถทำได้ทั้งวันโดยไม่เหน็ดเหนื่อยเลยนะ

6 มิ.ย.

  • วันนี้จะลองปรับลดการ Fasting ลง และออกกำลังกายแบบ High intensity แทน เพราะ เหมือนเจองานวิจัย ว่าการออกกำลัง HIIT เพียงแค่ 5 นาที ได้ผลเท่ากับ Fasting 48 ชม.
    • วันนี้วิ่งเร็วสุดแรง(High intensity) ตอนเช้า 5 นาที
      • วันนี้รู้สึกกระฉับกระเฉงมากๆ มีสมาธิกับการอ่านหนังสือมากขึ้นเยอะ
    • IF 23/1
      • กิน 1 มื้อ 2 จาน
      • ก็อ่านหนังสือได้ดีนะ เหมือน การอ่านขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเรามากกว่า และ การออกกำลังกายตอนเช้า ก็ช่วยให้สมาธิในการอ่านดีขึ้นด้วย
    • ดื่มกาแฟ
    • นั่งสมาธิได้ดี
    • ฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ ในเวลาอยู่ท่ามกลางผู้คนเยอะๆ มีเสียงคุยกันรอบๆ ช่วยได้เยอะนะ ช่วยให้เรากลับมาอยู่ในโลกส่วนตัวของเราและตั้งสมาธิอ่านได้
      • แต่ถ้าอยู่ในที่เงียบอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องฟังเพลง จะอ่านได้เร็วกว่า
      • เนื้อหาในหนังสือมันไม่ได้ยากเลย basic โคตรๆ แต่ที่เราอ่านไม่ถึงไหน เพราะ ใจเราไปแช่อยู่กับเสียงคนคุยกันมากมาย ในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ทำให้ไม่ได้อ่านสักที(อาการของคนสมาธิสั้น)
      • หลักๆ คือ การฟังเพลงเพื่อไม่ให้ได้ยิน หรือ รับรู้สิ่งแวดล้อมภายนอก เพื่อให้มีสมาธิอยู่กับตัวเองมากที่สุด

5 มิ.ย.

  • วันนี้วันกินอาหารปกติ(IF 36/12) ดื่มกาแฟตอนเช้า
    • เมื่อคืนนอนไม่หลับ เพราะ ดื่มกาแฟช่วงบ่าย
    • วันนี้ลืมนั่งสมาธิตอนเช้า เลยนั่งก่อนทำงาน 10 นาที
    • วันนี้มีสมาธิอ่านหนังสือได้ดี ตั้งแต่เช้า น่าจะเพราะ ดื่มกาแฟ และ นั่งสมาธิ 10 นาทีก่อนทำงาน ไม่เหมือนเมื่อวานที่เพิ่งจะโฟกัสได้ตอนบ่าย เพราะ เพิ่งดื่มกาแฟตอนเที่ยง(เมื่อวานช่วงเช้า ไม่ได้ความแม้แต่น้อย อ่าน reuters ไม่รู้เรื่องเลย)
    • อาการกล้ามเนื้อตาก็ยังมีอยู่ บางทีก็ต้องถอดแว่น อ่านหนังสือบ้าง ถ้ากล้ามเนื้อตามันล้ามากเกินไป
    • อ่านพระไตรปิฎก ยังไม่ได้อ่านอรรถกถา(ของมหามกุฏราชวิทยาลัย)นะ เพราะไม่มีเวลาทำความเข้าใจทุกอย่าง อ่านแต่ส่วนพุทธพจน์(ฉบับหลวง)อย่างเดียว แต่ถ้าชาดกแนะนำมหามกุฏนะ เพราะ มีคำอธิบายที่ดีเข้าใจง่าย
    • เริ่มอ่านหนังสือ 10:30 น
    • ถ้าเราเจอปัญหา struggle หรือ ค้าง ที่ routine หนึ่งๆ เราจะทำอย่างไรดีนะ? แบบว่า เป็นช่วงเวลาที่อ่านจนล้า แล้วคิดอะไรไม่ออก ก็ได้แต่จ้องหน้าจอแช่อยู่อย่างนั้น เราจะเลิกแล้วทำ activity ต่อไปเลยหรือไม่ เพราะ ความ struggle ก็นานจนเลยเวลาที่กำหนดมาแล้ว
      • คิดว่า ถ้าเลยเวลา ควรไป activity ต่อไปเลย เพราะ
        1. สมองต้องการความหลากหลายในการเรียนรู้ ในแต่ละวัน
        2. สมองส่วนนั้นล้าแล้ว ค่อยไปฝึกฝนตัวเองให้อ่านได้นานขึ้น วอกแวกน้อยลงในวันถัดไป(ซึ่งต้องค่อยๆฝึก)
        3. ถ้ามัวแต่ struggle จะไม่ได้อะไร activity ถัดไปที่ควรจะได้ทำ ก็จะไม่ได้ทำไปด้วย
    • แต่เหมือนการเรียนหลายอย่างในวันเดียว มันทำให้ไม่ค่อยจะก้าวหน้าในวิชาหลัก เพราะ หลายๆครั้งไม่สามารถทำตามตารางเวลาได้ และทำให้ตารางเวลาพัง
      • หรือจะเปลี่ยนมาใช้ระบบ Major&Minor เหมือนเก่า Major เรียนทุกวัน ส่วน Minor เรียนสลับวนกันไป
        • Major เป็นวิชา Finance
        • Minor เป็น programming, language
        • ??? เอาอย่างไรดี
      • แต่ปัญหาจริงๆ จะเป็นตอนอ่าน reuters ไม่เข้าใจ ทำให้ติดพันมากกว่า
        • หรืออย่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นอ่าน reuters ตอนกลางคืน หลังทำงานอื่นเสร็จดีไหมนะ???
    • เหมือนจริงๆมีอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เราไม่มีสมาธิอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ คือ เราเทรดแบบ All in ใช้ risk เกินกำหนด ทำให้เกิดความเครียด และต้องคอยวุ่นวายกับการบริหารจัดการพอร์ต
      • เสียสมาธิ เพราะ จิตใจจะถูกดึงไปดูกราฟ เพราะ เสียวสันหลัง จากการใช้ความเสี่ยงที่มากเกินไป
        • วิธีแก้ที่เหมาะสมคือ เทรดแบบใช้ risk เหมาะสม

4 มิ.ย.

  • วันนี้วันอด(IF40/8)
  • ไม่ได้ดื่มกาแฟ
  • นั่งสมาธิหลังตื่นและก่อนนอน ครั้งละ 10 นาที ช่วยให้สมาธิดีขึ้นจริงๆนะ
    • เริ่มมีสมาธิเหมือนคนปกติมากขึ้น
  • ทุกวันมีระยะเวลา 24 ชม เท่ากัน แต่เหมือนที่เรารู้สึกว่าทุกวันนี้เวลาผ่านไปเร็ว เพราะเราเฉื่อยชา ถ้าเราactiveมากขึ้น เราจะใช้เวลาคุ้มค่ามากขึ้น แล้วจะรู้สึกว่าเวลาช้าลง
  • วันนี้มาอ่านหนังสือที่มหาลัย ตั้งใจว่าจะไม่สนใจใคร มีสมาธิอยู่กับการอ่านหนังสือและอยู่กับตัวเองอย่างเดียว สนใจตัวเองให้ได้มากที่สุด
    • แต่สมาธิที่ฝึก ยังไม่ใช่สมาธิแบบมีสติรู้สึกตัวนะ มันยังมีโมหะอยู่
  • เมื่อวานที่ไม่ค่อยได้บันทึกอะไรเป็นเพราะว่าอยู่บ้าน
  • เริ่มอ่านหนังสือ 10.00 น
    • ยังคงต้องอ่านหนังสือด้วยการมองไกลๆอยู่ ห้ามเผลอไปมองใกล้ๆโดยเด็ดขาด
      • อาจไม่เกี่ยวเสียทีเดียว น่าจะเป็น เพราะ นั่งกับคนอื่นมากกว่า
    • วันนี้อ่าน reuters ไม่ได้ความเลยแฮะ อาจเป็นเพราะ ไม่ได้ดื่มกาแฟเลยยังไม่ตื่น
      • สุดท้ายก็ต้องดื่มกาแฟ ไม่อย่างนั้นไม่ตื่นและไม่มีสมาธิอ่าน
      • พอดื่มกาแฟก็กลับมาอ่านข่าว reuters ได้แล้ว
    • ตำรา Finance เข้าใจยากพอสมควร เรานึกว่าจะอ่าน 700 หน้าจบได้ง่ายๆ แต่จริงๆ ยังมีสิ่งที่เราต้องศึกษาเพิ่มเติมอีก มากกว่า 700 หน้านั้น
  • ยังคงมีปัญหาเรื่องการเดินทาง เพราะวันนี้แค่รอรถเมล์ก็ 1 ชมแล้ว เดินทางอีก 1 ชม รวมเป็น 2 ชม
    • อาจต้องยอมจ่ายมากขึ้น เพื่อไม่ให้เสียเวลามากเกินไปโดยไม่เกิดประโยชน์
  • ตอนนี้มีอัตตา คิดว่าเราเก่งอยู่คนเดียวบนโลก แต่พอออกมาเจอสังคมจริงๆ เราก็เป็นแค่ mean มีคนเก่งพอๆกับเราเยอะ และอาจเก่งกว่าเราอีกมาก(แม้จะมีคนที่ยังตก mean และด้อยกว่าเราก็ตาม)
    • เรื่องเรียนต่อต่างประเทศ มหาลัยอันดับ 1 ของพักไว้ก่อนนะ เพราะรู้สึกว่ามันยังอีกไกลพอควร เรายังเป็นเพียงแค่ค่าเฉลี่ย
    • แต่เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองได้ อย่างไร้ขีดจำกัด ขึ้นอยู่กับระดับความพยายาม และ มีวิธีพัฒนาตัวเองอย่างถูกต้อง
    • สรุปว่าเรื่องเรียนต่อ เราก็ยังคงต้องสมัครสอบมหาลัยในไทย ปีนี้ เพราะ ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร โอกาสใดๆอยู่ตรงหน้า ถ้ามันดีกว่าปัจจุบัน ก็ต้องคว้าไว้ก่อน
  • กาแฟเป็นเหมือนยาแก้สมาธิสั้นของเรา(เป็นยากลุ่ม stimulant) ทำให้โฟกัสในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น แม้จะเป็น task ที่ไม่ได้ชอบ
  • อย่าลืมเตรียมตัวสำหรับการสอบเข้าในปีนี้
  • ทำไมช่วงนี้เหมือนเราไม่ค่อยได้พัฒนาตัวเองอะไรเท่าไหร่เลยนะ
  • ถ้าจะอ่านหนังสือได้ดี ต้องพยายามอยู่คนเดียว
    • เนื่องจากภาวะสมาธิสั้นที่เราเป็น เวลาเรานั่งกับคนอื่น เราจะไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือของเราเลย สมาธิเราจะไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้ สมาธิจะถูกดึงไปอยู่กับคนอื่นแทน
    • พอเราย้ายมานั่งคนเดียว สมาธิจะดีมากๆ แต่เวลาอยู่กับคนอื่น จะเป็นอะไรที่ Waste of time มากๆ
      • เพราะ อารมณ์ของคนเต็มไปด้วยความแปรปรวน แค่อารมณ์-ความคิดของเราคนเดียวก็ว่าลำบากแล้ว ถ้ายังมีความแปรปรวนของคนอื่นเข้ามารบกวนเราอีก ก็ไม่แปลกที่เราจะไม่มีสมาธิ
      • แต่หลักๆคือ ถ้าเราเองไม่เห็นใคร เราก็จะไม่เกิดความคิดปรุงแต่งเกี่ยวกับคนอื่น วิธีหนึ่งคือ นั่งหันหลังให้คนอื่น แต่จริงๆวิธีแก้ที่ดีที่สุด คือ แก้ที่จิตใจ และ ความคิด ถ้าเราไม่อะไรกับคนอื่น จะอย่างไรก็ช่าง มองเหมือนความว่างเปล่า เป็นเพียงธาตุ 4 มารวมกัน เราก็จะเหมือนอยู่คนเดียว แม้จะเต็มไปด้วยคนมากมาย เราก็สงบอยู่กับตัวเองได้
    • สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของความพยายาม เพราะ ถ้าเราไม่ฝืนอ่านต่อ จนเจอกับสิ่งแวดล้อมรูปแบบต่างๆ เราก็คงไม่รู้หรอกว่าเราเหมาะกับสิ่งแวดล้อมแบบไหน
  • วันนี้ตาไม่ค่อยแห้ง เพราะ เมื่อวานกินธัญพืชเป็นหลัก ไม่ค่อยมีเนื้อสัตว์(antigen, allergen ลดลง)
  • วิธีพิมพ์สัมผัส คือ วางมือที่ตำแหน่งมาตรฐาน แล้วฝึกพิมพ์โดยไม่ต้องมองแป้น ถ้ายังมองแป้นอยู่ ก็ไม่พ้นการใช้ตามอง muscle memory ก็ไม่ได้เริ่มทำงานเสียที

3 มิ.ย.

  • วันนี้กินอาหารปกติ ไม่ได้อดตามแผน เพราะ มีธุระบางอย่างทำให้ต้องปรับวัน
  • ไม่ได้ดื่มกาแฟ
  • ยังคงนั่งสมาธิเช้า-เย็น ครั้งละ 10 นาที
  • การกำหนดเป้าหมาย จากตำรา Be fluent
    • กำหนดเป้าหมายระยะยาว และระยะสั้น
      • ระยะยาว คือ ความฝันที่เราอยากจะเป็น อยากจะทำได้
      • ระยะสั้น คือ เป้าหมายเชิงการกระทำ ว่าจะทำอะไรเช่น อ่านหนังสือให้ได้วันละ 12 ชม, คิดเป็นภาษาอังกฤษตอนว่างๆ เป็นต้น  แต่ไม่ใช่เรื่องของความสำเร็จหรือนามธรรม เช่นว่า สอบติดคณะนี้ แล้วไปเรียนต่ออันนี้ๆ หาเงินได้เท่านี้ๆ ดูเหมือนเป็นขั้นเป็นตอน แต่มันไม่ถูกต้อง เป็นต้น
    • เป้าหมายระยะยาว เป็นเพียงความฝัน แต่เป้าหมายระยะสั้นสำคัญกว่า เพราะ คือความเป็นจริง
  • เหมือนถ้าเสพสิ่งบันเทิง แล้วจะมีสมาธิทำงานได้ยาก เช่นว่า ดูการ์ตูน ที่แม้จะมีความหมายดี เป็นต้น
  • วันนี้กินอาหารในช่วง 8 ชม(IF40/8) ยัดจนแน่นท้องมาก รวบมื้อมากไปแล้วกินในคราวเดียวก็ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะ ทำในชีวิตจริงไม่ได้ ทำได้เฉพาะวันที่อยู่แต่ในบ้าน ถ้าจะอดวันเว้นวัน ในวันที่กิน ก็กินในช่วงไม่เกิน 12 ชม ก็ดีแล้ว
  • ฟังคุณท๊อปแล้วอยากไปเรียนต่างประเทศแฮะ เช่น ป.ตรี วิศวคอม MIT
    • สาเหตุที่มหาลัยระดับโลก ต้องรับเฉพาะ คนเรียนที่เก่งจริงๆ เพราะว่า อาจารย์ทุกคน เป็นระดับ ผู้สร้างนวัตกรรม หรือ ผู้คิดค้นทฤษฎี - thought leader ให้กับโลก ถ้าคนเรียนไม่เก่งจริง ก็ไม่สามารถทนรับการสอนจากอาจารย์ได้ และ สุดท้ายก็เรียนไม่สำเร็จอยู่ดี
    • ถ้าเราอยากไปเรียน ต้องพัฒนาตนเองจนมั่นใจว่าเรา เก่งพอ อดทน มีความพยายาม และทรหด มากพอ
  • อยากลองงด social media, งดดูการ์ตูน 1 เดือน
  • วันนี้ไม่ได้อ่านหนังสือ เพราะ กินเยอะจนไม่มีสมาธิอ่าน(พยายาม IF 8/40)

2 มิ.ย.

  • วันนี้วันกินอาหารปกติ(IF 36/12)
  • วันนี้ดื่มกาแฟแล้วสมาธิดีขึ้นจริงๆนะ ช่วงนี้ที่ภาวะสมาธิสั้นที่เริ่มกลับมา เกิดจากการที่ช่วงก่อนหน้าเรางดกาแฟไปนี่แหละ
  • พยายามฝึกตัวเองให้อ่านหนังสือได้ 12 ชมต่อวัน เหมือนคุณท๊อปจิรายุส
    • พยายามอ่านข่าว reuters ตอนกินข้าวด้วย
  • เราจะเรียนต่อในปีนี้ ดีไหมนะ แต่เงินทุนยังไม่มีเลย???
  • เริ่มอ่านหนังสือ 10.00น
    • อ่าน reuters ถ้าปรับตัวอักษรให้ใหญ่ อย่างน้อย 0.5cm จะอ่านได้ดี !!!
      • อ่าน reuter ไป 3 ข่าว 1:30 ชม(วันนี้อ่านได้ความอยู่นะ ไม่เหมือนเมื่อวาน อาจเป็นเพราะปรับตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น สายตาเลยไม่ต้องทำงานหนัก กาแฟอาจไม่เกี่ยวเสียทีเดียว)
  • เท่าที่สังเกต ช่วงเช้าจะสะลืมสะลือ ตกบ่ายจะอ่านหนังสือได้ดีขึ้น แต่ถ้าปรับตัวอักษรให้ใหญ่ จะอ่านได้หมดนะ
    • หรือกาแฟอาจไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น จะเกี่ยวกับสายตามากกว่าหรือเปล่านะ
    • วันนี้ยังคงมีตาแห้งแดง แต่ไม่ได้ถึงกับคันระคายเคืองตา พออ่านไปสักหลายๆชั่วโมง ส่งกระจกดู ตาจะแดงลามมาถึงตาดำเลยแฮะ ไปนานๆอาจเป็นต้อลม
      • อาจต้องหลับตาพักเป็นช่วงๆ
  • ช่วงนี้เหมือนไม่มีไอเดียอะไรใหม่ๆเท่าไหร่เลย ได้แต่บันทึกชีวิตประจำวันวนไปเรื่อยๆๆ
  • เคยดูหลักสูตรวิศวะคอม MIT คร่าวๆ เหมือนมีเรียนบูรณาการณ์กับวิทยาศาสตร์ทุกสาขา น่าสนใจอยู่นะ เรียนจบคือเชี่ยวชาญ เก่งลึกรอบด้าน
    https://www.dek-d.com/studyabroad/64522/ 
    ค่าเรียนมหาลัย น่าจะประมาณ 10ล้านบาท 
  • ถ้าเราอยากอ่านหนังสือให้นิ่ง สงบ เพื่อการพัฒนาตนเองจริงๆ เราต้องหาสถานที่อ่านที่เป็นส่วนตัวจริงๆ แบบที่จะไม่มีใครมารบกวน มีความสัมพันธ์ เดินผ่านไปผ่านมา เพื่อที่จะสามารถโฟกัสอยู่กับตำราได้อย่างเต็มที่
  • อ่านหนังสือจนถึงดึก พอกล้ามเนื้อตาเริ่มล้า ให้ถอดแว่นอ่านหนังสือแล้วมองจากไกลๆ พอช่วยได้นะ
  • อ่านหนังสือที่มหาลัย เหมือนจะไม่ค่อยมีคนขยันเท่าอ่านหนังสือใน coworking space นะ
    • ที่มหาลัย ส่วนใหญ่เด็กยังไม่ออกไปเจอโลกความเป็นจริง ยังคงภาคภูมิใจในตนเองและมหาลัยของตน ค่อนข้างเบียวและเฉื่อยชาหน่อยๆ
    • ที่ co working space เจอคนเก่งมากมาย อ่านข้อมูล eng กันเป็นปกติ ซึ่งขยันกว่าเด็กในมหาลัยด้วย เพราะ ต้องทำงานในโลกความเป็นจริง = เก่ง + ขยัน
      • เราออกมานอกมหาลัย ก็ได้เปิดหูเปิดตาเยอะเหมือนกันนะ ได้รู้ว่ามีคนเก่งๆอีกเยอะที่โลกข้างนอก

1 มิ.ย.

  • วันนี้วันอด(IF32/16)
  • ลอง Dry fasting ได้ยินว่ามันทำให้ burn fat เร็วขึ้น เพื่อให้ได้H2O และ เข้า ketosis เร็วขึ้น
    • หาข้อมูลเพิ่มเติม เหมือนมันไม่ดีนะ เพราะการ burn fat จะเกิดของเสีย ซึ่งต้องการน้ำในการขับออก
      https://www.medicinenet.com/what_is_dry_fasting_and_is_it_safe/article.htm 
    • พอกลับมาดื่มน้ำก็หายอึนแล้ว
  • เหมือน ถ้าเพิ่มเวลากินอาหารเป็น 16 ชม จะมีสมาธิอ่านหนังสือได้ดีขึ้นแฮะ น่าจะเป็นเพราะว่าได้พลังงานเพียงพอละมั้ง
    • วันนี้มีสมาธิดีจริงๆแฮะ ไม่วอกแวก ยุกยิก เหมือนเมื่อวาน
  • ยังนั่งสมาธิเช้า,เย็นครั้งละ 10 นาที อยู่นะ
  • ปัญหากล้ามเนื้อตาก็ยังไม่หาย ยังคงต้องอ่านหนังสือด้วยการมองไกลๆ มองใกล้ๆไม่ได้
    • ถ้ามองใกล้จะไปกระตุ้น reflex การเพ่งที่มากเกินไป เกิด over convergence ของ eye muscle, รวมไปถึงกล้ามเนื้อ บริเวณหน้าผาก ก็เกิดการหดตัว เกิดหน้าผากย่น
    • (สังเกตการเพ่งที่ผิดปกติได้จาก เวลาใช้สายตามองหน้าจอใกล้ๆ จะทำหน้าผากย่นโดยไม่รู้ตัว แต่เวลามองไกลประมาณอย่างน้อยสุดช่วงแขน จะไม่เป็น และจะอ่านหนังสือได้ดี)
  • ยังคงมีปัญหาเรื่องสมาธิสั้นอยู่ อาจต้องกลับมาดื่มกาแฟ
  • พยายามอ่านข่าว reuter ตั้งแต่ 10:30- 14:00น ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่เลยแฮะ อ่านไม่จบสักข่าว
    • ควรต้องทำใจตัดจบ!!! แล้วไปหาความรู้/อ่านตำรา finance เพิ่มเติม ไม่อย่างนั้นก็จะติดในวังวนแบบนี้ต่อ เพราะ เราอ่านข่าวไม่เข้าใจจากการที่เรายังมีความรู้ไม่มากพอ
    • เหมือนถ้าขยายให้ตัวอักษรใหญ่ จะอ่านได้ดีขึ้นนะ เพราะ เท่าที่สังเกต ตำรา pdf ที่ตัวอักษรใหญ่ๆ จะอ่านได้ดีกว่าเล่มอื่น
  • หลังจากที่กินเพิ่มเวลากินอาหารในการทำ IF ให้มากถึง 16 ชม รู้สึกว่า performance โดยรวม drop ลง ทั้งการอ่านหนังสือ อ่านข่าว การพิมพ์สัมผัส ก็ช้าลง สมาธิแย่ลง อาการสมาธิสั้นกลับมาใหม่ -> ลองเปลี่ยนแนวมากินวันละมื้อดีไหมนะ(IF 23/1)
  • เหมือน routine แต่ละอย่าง ห้ามเกิน 1 ชม ไม่อย่างนั้น จะโฟกัสไม่ได้ แล้วจะกลายเป็นการเรียนที่ไม่เข้าหัว(overflow)แทน และเสียเวลาเปล่า
  • เหมือนเราจะอ่านตำรา becomming fluent ได้ดีที่สุด ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ ตัวอักษรใหญ่ที่สุดหรือเปล่านะ ต้องลองสังเกตตัวเองต่อไป และลองขยายตัวอักษรให้ใหญ่ๆเวลาอ่าน
  • ฟังคลิปของคุณท๊อป จิรายุ อีกคลิป ดีมาก เขาบอกว่าต้องพยายามขยาย comfort zone ของตัวเองออกไปเรื่อยๆ อะไรที่กลัวให้ทำเพิ่มวันละอย่าง เช่น การพูดต่อหน้าคนเยอะๆ เป็นต้น แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ได้จากตัวเขาคือ คนเราสามารถพัฒนา และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพราะ แต่ก่อน เขาเป็นคนที่เกเร ไม่ตั้งใจเรียน แต่สุดท้ายก็กลับมาพยายามในด้านการเรียน และ พัฒนาตนเองอย่างยากลำบากในหลายๆอย่าง จนประสบความสำเร็จ
    • การฟังคนเก่งๆเล่าประสบการณ์ ได้ประโยชน์ มากกว่าดูการ์ตูนนะ
  • ถ้าเราอยากได้เวลาในการอ่านหนังสือเพิ่ม แต่ติดปัญหาเรื่องการเสียเวลาในการเดินทาง วันละ 3-4 ชม จะทำอย่างไรดีนะ
  • วิธีการเพิ่มความมั่นใจในตนเองในที่สาธารณะ และ เวลาอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก คือ การฝึกควบคุมตัวเองให้ไม่ทำสิ่งหน้าอาย
    • ไม่ใช่การกล้าที่จะทำสิ่งหน้าอายในที่สาธารณะ แล้วหลอกตัวเองว่าจะทำให้เรามั่นใจมากขึ้น(มันเป็นการเพิ่มความไม่ละอาย-หน้าด้าน กิเลส และ อัตตาตัวตน มากกว่า ที่จะเพิ่มความมั่นใจในด้านดี)
Notes

** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags" ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.