30
- หลังจากที่เลิกทะเลาะกับแม่ สุขภาพจิตก็ดีขึ้น เหมือนเป็นการหยุดทำบาปกรรม ก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็นคนเสียสติไป
- แต่เราไม่ได้หยุดเพราะ อยากได้บุญและกลัวบาป อะไรทำนองนั้น แต่เราหยุดเพราะ แม่สมควรได้รับความสุข ไม่ควรได้รับความลำบากใจใดๆอีก เพราะ แม่เสียสละเลี้ยงดูเรามามากกว่า 60 ปีแล้ว แม้เราจะเสียสละได้ไม่เท่าแม่ หรือ คิดเห็นไม่ตรงกับแม่ แต่เราก็จะไม่ทำไม่ดีกับแม่ และ ต้องดูแลแม่ให้มีชีวิตที่สุขสงบ มีชีวิตที่ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม(ที่ถูกศีลธรรม) ใน 10-20 ปีที่เหลืออยู่
- She deserves all this good thing
- อย่างน้อยๆ ต้องทำดีกับแม่ที่สุดก่อน ห้ามพูดไม่ดี ห้ามทำไม่ดี แม่ด่าก็เงียบๆไป
28
- คิดว่าจะเลิกเถียงแม่แล้ว(เงียบๆไป) เหมือนเวลาของแม่ที่จะมีชีวิตอย่างปกติสุข เหลือไม่มาก แค่ 10-15 ปี ควรให้แม่ได้มีชีวิตที่ดีที่สุด
- ถึงเราจะคิดว่า เรื่องการเลือกทางเดินชีวิตของเราเอง นั้น เราไม่ผิด มันคือการทำเพื่อตัวเองอย่างหนึ่ง แต่ถ้าแม่ด่าเรา เราจะเงียบ
- อย่างน้อยอีกไม่กี่ปีที่เหลืออยู่ ควรจะดูแลแม่ให้ดี
- เราต้องไม่ปล่อยให้ความคิดลบเข้าครอบงำความคิด ของเรา อย่าปล่อยให้มันอยู่ในใจเราได้นาน ไม่อย่างนั้นอนาคต พออายุมากขึ้น เราจะกลายเป็นคนแก่ที่เห็นแก่ตัวจัดๆ คิดได้เพียงด้านเดียว มองโลกในแง่ร้าย toxic ตามโลกไม่ทัน กลายเป็นมนุษย์ลุงที่ใครก็รังเกียจ
- บางทีใช้สมองเยอะ จนเครียดจัด ก็ต้องพักผ่อน ฟังเพลงปล่อยสมองโล่งๆบ้าง ไม่อย่างนั้นสุดท้ายสมองก็ตัน ใช้งานไม่ได้ดีอยู่ดี
26
- เหมือนเวลาอ่านหนังสือจาก หนังสือจริง หรือ e-reader(e-ink) จะสามารถรับรู้ Grammar ได้ดีกว่า อ่านจากหน้าจอนะ เพราะ เคยลองอ่าน จากหน้าจอมานานแต่ Grammar ไม่พัฒนาเสียที(แถมแย่ลง) เหมือนกับว่า สายตาจะทำงานหนักกว่าเมื่ออ่านบนหน้าจอ เลยทำให้รับรู้ภาษาได้ไม่เต็ม 100%
- อ่านหนังสือเท่านั้น หาความรู้และทดลองให้เห็นประจักษ์ อย่าเชื่อความคิดของตัวเอง ที่เต็มไปด้วยความหลงผิด อคติ และ ความคลาดเคลื่อน(บางทีข้อมูลผิดตั้งแต่ การรับรู้ ความจำที่ผิดพลาด)
- จริงๆการมาอ่านหนังสือที่มหาลัยของเรานั้น มีประโยชน์มากๆเลยนะ เพราะ ได้เห็นคนเก่งๆ เจอคนพูดภาษาต่างชาติได้คล่องแคล่ว ทำให้เรารู้ว่าเพียงแค่อ่านภาษาอังกฤษได้นั้น ยังไม่พอ (ถ้าเราอยู่แต่ในบ้าน ป่านนี้คงยังไม่รู้ว่าโลกภายนอกมีคนที่เก่งกว่าเรามากมาย มีอะไรที่เราต้องพัฒนาอีกมาก)
25
- Anti-glare ใน kindle scribe อาจไม่ได้ส่งผลกับการอ่านอย่างที่คิด(ยังคงอ่านได้ดี) ส่วนในเรื่องของการ reflow หน้ากระดาษที่ทำได้ไม่ดี อาจสามารถใช้โปรแกรมจัดหน้ากระดาษก่อน(
pdfsam) แล้วค่อยโยนเข้า kindle ก็จะหมดปัญหาแล้ว- ใน MacOs สามารถทำได้ ดังนี้ https://www.reddit.com/r/apple/comments/g7lzza/psa_you_can_crop_all_pages_in_a_pdf_using_preview/
ส่วนใน windows, linux มีให้เลือกมากมาย
- ใน MacOs สามารถทำได้ ดังนี้ https://www.reddit.com/r/apple/comments/g7lzza/psa_you_can_crop_all_pages_in_a_pdf_using_preview/
- หนังสือดีๆ มีมากมายจริงๆ อย่าปิดกั้นตัวเอง อย่าเชื่อความคิดที่ยังไม่รู้จริงของตัวเอง หรือ อย่าเชื่อคำพูดของคนอื่นๆ จงหาความรู้ให้ประจักษ์และพิจารณาด้วยตนเอง
- วันนี้อ่านตำราเทรด Technical analysis ได้แนวคิดดีๆ แบบที่ไม่เคยเองได้มาก่อน
- คิดว่าถูก คิดว่าผิด คิดว่าดี คิดว่าไม่ดี อะไรก็เชื่อไม่ได้ บางทีเราหลอกตัวเราเอง บางทีเราเข้าใจผิดไปเอง อย่าเชื่อความคิด อย่าเชื่อความรู้สึกของตัวเอง เพราะ มันไม่จริง เป็นเพียงความปรุงแต่ง
- สุดท้ายของสงคราม การทำลายล้างซึ่งกันและกัน ก็มีแต่ความเสียหาย ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น (แม้แต่การช่วงชิงกัน ในหน้าที่การงาน ในสังคม)
- บางทีชนะคนอื่น ด้วยวิธีทำลายล้าง ทำให้ล้มเหลวจนพ้นทางเรา เราก็ไม่ได้รู้สึกดีนักหรอก ความรู้สึกผิดกลับคงอยู่ในใจ ไม่สนุกแม้แต่น้อย
- บางทีถ้าคนอื่นอยากแข่งกับเรา แต่เราไม่แข่งด้วย การต่อสู้ก็ไม่เกิด
23
- เหมือนการนั่งสมาธิ ก็เพิ่ม BDNF ได้ 3 เท่า เมื่อฝึกไป 3 เดือน https://blogs.berkshirecc.edu/stressandhealth2020/2020/03/17/the-real-fountain-of-youth-meditation/
- คนห่วยๆ ที่เราพบเจอ ตอนนี้แบ่งได้ 2 แบบ
- ขยะ(Trash) เป็นคนน่ารำคาญ ไร้ประโยชน์ ที่ไม่ต้องใส่ใจ ให้เมินเฉยเหมือนขยะข้างทาง ต่อความสกปรกให้มาเปื้อนเรา เราก็แค่ล้างออก แต่จะไม่เสียเวลาอันมีค่าของเราไปทะเลาะ
- อึ(Poop) เป็นประเภทน่ารังเกียจ แค่มองยังขยะแขยง พยายามอย่าแม้แต่จะมอง ไม่งั้นความขยะแขยงจะเข้าตาเรา เรื่องเข้าใกล้ไม่ต้องพูดถึง หนีห่างเสมอๆ ปล่อยให้ก้อนอึชนะไป(เคยอ่านในพระไตรปิฎก เรื่องที่ ราชสีห์ยอมแพ้หมูสกปรก เพราะ ไม่อยากเปื้อนขี้ตามตัวจากหมู)
- แม้แต่ Roger Federer นักเทนนิสอันดับ 1 ของโลก ก็ยังมีช่วงที่ต้องต่อสู้กับอารมณ์ด้านลบของตัวเอง สิ่งเหล่านี้เกิดได้กับทุกคน เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับมัน - > การฝึกสมาธิช่วยได้มาก
- จริงๆ ที่เราฟังเนื้อร้องเพลง ภาษาอังกฤษออกมากขึ้น น่าจะเพียงแค่ 30%(ไปดูเนื้อร้องจริงๆยังมีที่ฟังไม่ออกอีกมาก) น่าจะเกิดจากการที่เราอ่านภาษาอังกฤษเยอะมากในช่วงนี้ จนคลังคำศัพท์ในหัวเยอะมากขึ้น
- เหมือนการที่เราอ่านหนังสือจาก Tablet เล็กๆได้ แปลว่าตัวอักษรไม่จำเป้นต้องใหญ่ก็อ่านได้ ขึ้นอยู่กับ สมาธิ, Brain health
22
- สรุป productivity: อดอาหาร(Fasting) 16-20ชม, ออกกำลังกาย HIIT, นั่งสมาธิ หลังตื่น-ก่อนนอน 10 นาที+ทำสมาธิในใจเรื่อยๆ ระหว่างวัน
- ต่อให้เราไม่ได้อยากบรรลุ (อาจเพราะ มีความตั้งใจอะไรอยู่?) แต่การฝึกสติคอยดูกาย ใจ ก็เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตัวเองที่ดีมากๆ ต้องคอยย้อนกลับมาดูตัวเองบ่อยๆนะ
21
- ถ้าจะอ่านหนังสือตอนกินข้าวได้ ต้องเป็นเรื่องที่ชอบอ่าน
20
- ทุกความยากลำบากให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ
- อดทนอ่านข่าว Reuters อย่างยากลำบาก จนตอนนี้สามารถอ่านตำรา Naked Forex ได้อย่างชิลๆแล้ว เพราะ ศัพท์ง่ายกว่ามาก เหมือนอ่านหนังสืออ่านเล่นเลย
- ตอนนี้อ่านตำราการเงิน ทั้งๆที่นักเทรดส่วนมาก(ที่ไม่ประสบความสำเร็จ) ต่างบอกกันว่า ใช้ Techinical ก็พอแล้ว จะศึกษา Fundamental ให้ปวดหัวไปทำไม แต่เพราะเชื่อในปรมาจารย์นักเทรดที่บอกให้ศึกษา คิดว่าอนาคต ก็น่าจะได้ผลที่ดีมากๆแน่นอน
- ตอนนี้เผชิญกับความโดดเดี่ยว เพราะ เราลำบากก็ไม่มีใครอยากคบหา แต่คิดว่าความลำบากเหล่านี้ จะหล่อหลอมให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น
- นั่งในมหาลัย ในบริเวณที่มีแต่คนต่างชาติ ซึ่งใช้ภาษาต่างชาติกันเป็นปกติ ตัวเราแม้จะอ่านภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ก็กลายเป็นรู้สึกกระจอกมากๆเลย แต่คิดว่า ความอายเหล่านี้ต้องผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- จงระวังเวลาที่เราเลือกทางที่เรารู้สึกสบาย ไม่ต้องลำบากอะไร เพราะนั่นหมายถึงการที่เราไม่ได้พัฒนาตัวเอง
- ศึกษา Techinical analysis เพราะ คิดว่าเป็นทางที่ง่าย ไม่ต้องหาความรู้เยอะ จริงๆน่าจะไม่ใช่แนวคิดที่ถูกต้อง เพราะ มันเป็นเพื่อความไม่อยากหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งนี้ก็ศึกษาได้ แต่ก็ต้องศึกษา Fundamental จริงๆต่ออยู่ดี
- เหมือนเวลาฝึกอานาปานสติ มีเทคนิคตามพระไตรปิฎกคือ กำหนดรู้อยู่ที่จุดเดียว และดูลมหายใจเข้า-ออกที่ผ่านจุดนั้นเหมือนคนกำลังเลื่อยไม้ไปมา โดยไม่ต้องตามลมหายใจไป รู้อยู่ที่จุดเดียวคือปลายจมูก
- เอาจริงๆ หลายๆเรื่อง เราไม่ควรคิดเอาเองนะ ควรศึกษาจากคนที่ประสบความสำเร็จในด้านนั้นๆจะดีกว่า เช่นว่าการเทรดด้วย Technical ที่แต่ก่อนเราปฏิเสธ พอลองอ่านตำราจริงๆ ก็ได้มุมมองดีๆมากมาย เป็นต้น
- ความรู้สามารถ เปลี่ยนความคิด และ เปลี่ยนชีวิต อย่าคิดเอาเอง เพราะจะทำให้ชีวิตวนอยู่กับที่ พยายามอ่านหนังสือเยอะๆ ระวังการคิดเอาเองให้มากๆ
- เหมือนตั้งแต่เริ่มมาออกกำลังกายแบบ HIIT ก็พิมพ์สัมผัสได้คล่องขึ้นเรื่อยๆนะ แสดงว่าน่าจะพัฒนาจริงๆ ช่วงที่ทำ Alternate day fasting มันก็ดีบ้างแย่บ้าง แต่ไม่ได้พัฒนาเร็วเท่าการวิ่งนะ
19
- เจอหนังสือ 2 เล่ม พอๆกัน เลยถาม AI ว่าต่างกันอย่างไร https://g.co/gemini/share/e48cd99258fa
18
- เราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับรายละเอียดประเทศต่างๆ ผ่าน Wikipedia ได้นะ มีรายละเอียดหลายอย่างที่ควรรู้เลย ตัวอย่างเช่น https://en.wikipedia.org/wiki/Liechtenstein
17
- ในวันที่ไม่ได้ออกกำลังกายแบบHIIT มักจะมีอารมณ์ด้านลบเข้ามา เราจะต้องไม่ปล่อยให้อารมณ์ด้านลบเข้าครอบงำจิตใจ อาจจะต้อง Fasting บ้างนะ
16
- วันนี้ออกกำลังกายแบบ HIIP ด้วยการวิ่ง sprinting แต่พบว่า Heart rate ไม่ถึงเกณฑ์ 170bpm ซึ่งอาจหมายความว่าไม่ได้ VO2 Max แต่จริงๆ กลับพบว่าสมองแล่นมากกว่า, Mental Health ดีกว่า เมื่อวานที่พยายามออกกำลังกายแบบพิเศษ เพื่อเพิ่ม Heart rate จนผ่านเกณฑ์ VO2 Max ถึง 2 นาที(แต่กลับหงุดหงิดง่าย ซึมเศร้าง่าย)
- การนับ VO2 Max ด้วย Heart rate อาจไม่ถูกต้องเสมอไป ถ้าคนหัวใจแข็งแรง แน่นอนว่าอัตราการเต้นก็ไม่มากเท่าคนที่อ่อนแอ หรือ สูบบุหรี่(มีการศึกษาว่า เวลาคนสูบบุหรีออกกำลังกายได้ กลับได้ Heart rate มากกว่าคนปกติมาก แต่ไม่ได้แปลว่าได้ VO2 Max)
- การนับ VO2 Max ด้วยอาการหอบเหนื่อย จนพูดไม่เป็นประโยค ขณะออกกำลังกาย น่าจะเหมาะสมกว่า
- สรุปว่าที่เมื่อวานออกกำลังกายแบบฝึกชกลม จนได้ Heart rate > 170-180 นานถึง 2 นาที แต่กลับหงุดหงิด ซึมเศร้า เพราะ มันไม่ได้หนักถึง VO2 Max จริงๆ(เมื่อวานที่ออกกำลังกาย ไม่ได้หอบเหนื่อยด้วย แม้ HR จะสูงมาก)
- ความเกลียดชัง ความเคียดแค้น สุดท้ายมันจะกลายเป็นกำแพงกั้นความสำเร็จ และ ความสุขในใจเราได้ เราไม่จำเป็นต้องรักคนที่เคยทำร้ายเรา เพียงแต่ปล่อยวางความโกรธออกจากใจเรา เราจึงจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
- สรุปว่าการจมอยู่กับความทุกข์ มันไม่มีอะไรดีต่อตัวเราเองเลย อะไรไม่ดีเราก็เรียนรู้ไว้ แต่การสร้างความทุกข์ในใจเราเองนั้น เลิกเสียเถอะ
- ออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ไม่ว่าจะHIIT หรือ Aerobic ไม่เกิน 5-10 นาที ช่วยเรื่อง Mental health ได้จริง มากกว่าการเต้นแบบ HIIT เพราะ Intensity มากกว่า(หอบเหนื่อยมากกว่า) จึงได้ผลมากกว่าในการเกิด BDNF
- สรุปว่า วิ่ง 5-10 นาที High intensity จนหอบทุกวัน อาจจะสลับกับ medium บ้าง(แต่ก็พยายามทำให้หอบสักครั้งนะ) คือเน้น VO2 Max(การใช้ ออกซิเจนสูงสุด = หอบ) เพื่อฟื้นฟู Mental health และ สมอง ให้ดีขึ้น
- การวิ่งเปลี่ยนชีวิตจริงๆนะ!!! ตอนนี้เริ่มอ่านหนังสือได้นานขึ้น และมีสมาธิมากขึ้น พัฒนาตัวเองได้เร็วกว่า Fasting โดยหลักการคือ การพัฒนา VO2 Max ซึ่งสัมพันธ์ไปกับการเกิด BDNF
15
- มาคิดๆดูแล้ว เหมือนทุกวันนี้เราสูญเสียอะไรไปมากมายในชีวิต ยอมลำบากมากมาย แต่ไม่มีใครที่สนใจอยากจะช่วยเหลือด้วยใจจริง ไม่มีเพื่อน(มีแต่หวังผลประโยชน์ หรือแค่ซักไซ้ รู้เรื่องชีวิตเราเฉยๆ แถมบางคนยังหาว่าเราอวดดีอีก) ถ้าอนาคตเราประสบความสำเร็จขึ้นมา แน่นอนว่าเพื่อนเก่า จะกลายมาเข้าหาเราและอยากสนิทกับเรามากขึ้น แต่จงจำไว้ว่าเพื่อนเหล่านี้ล้วนแต่หวังผลประโยชน์ มันไม่มีค่าพอสำหรับการที่เราจะลำบากแทบตาย เพื่อเพื่อนไร้ค่าเหล่านี้
- เพศตรงข้ามก็เช่นกัน ซึ่งเคยยินทำนองตำราพิชัยสงคราม มัน(เพศตรงข้าม)สามารถหลอกล่อคนได้มาก จงจำไว้ว่า พวกนั้นไม่มีค่าพอสำหรับความลำบากที่เราเผชิญตามลำพังในช่วงวิกฤติชีวิต พอเห็นชีวิตเราดี ก็อยากจะมานั่งสวยๆไปวันๆโดยอาศัยการล่อลวงเรา
- ไม่ใช่เราที่จะต้องทำให้ใครประทับใจ คนอื่นต่างหากที่ต้องพยายามทำให้เราประทับใจ แต่สุดท้ายเราจะเลือกใครหรือไม่ ก็อยู่ที่เรา ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องสนใจใครด้วยซ้ำ ถ้ามันไม่มีค่าพอ
- จำไว้ว่า ไม่ใช่ให้"พวกนั้น"เลือกเรา เราต่างหาก จะเป็นผู้เลือก ว่าจะให้ใครเข้ามาในชีวิต หรือ ไปไกลๆจากเรา
- อีกวิธีหนึ่งคือ ถ้าพวกนั้นล่อลวงเรา เราก็ล่อลวงพวกนั้นกลับคืน ไม่โกง สนุกดี แต่เอาจริงๆ ไม่ควรทำเพราะมันจะเสียเวลาอันแสนมีค่าในชีวิตเรา ซึ่งพวกนั้นไม่มีคุณค่าพอ
- เขียนเตือนตัวเองไว้ ว่าอย่าโดนหลอกง่ายๆในอนาคต ถ้าเราประสบความสำเร็จแล้ว พวกคนเหล่านี้จะไม่มีคุณค่าพอที่เราจะเสียเวลาด้วยเลยแม้แต่น้อย
- หรือต่อให้เราล้มเหลว หรือ ยังไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรพวกนี้ก็ไม่ใช่เพื่อนอยู่แล้ว เป็นเพียงคนที่ผ่านมาผ่านไป
- เพศตรงข้ามก็เช่นกัน ซึ่งเคยยินทำนองตำราพิชัยสงคราม มัน(เพศตรงข้าม)สามารถหลอกล่อคนได้มาก จงจำไว้ว่า พวกนั้นไม่มีค่าพอสำหรับความลำบากที่เราเผชิญตามลำพังในช่วงวิกฤติชีวิต พอเห็นชีวิตเราดี ก็อยากจะมานั่งสวยๆไปวันๆโดยอาศัยการล่อลวงเรา
- เราจึงต้องพัฒนาตัวเองให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องสนใจสายตา [อันว่างเปล่า หรือ แกล้งทำท่าฉงนสงสัย หรือ แกล้งทำเป็นห่วง หรือ แกล้งทำเป็นให้กำลังใจ หรือ แกล้งทำเป็นดูถูก] ใดๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ มาจากการที่คนเหล่านี้กำลังกลัว อิจฉา จึง พยายามทำลายความมั่นใจในตัวเองของเรา ทั้งการด่าให้เสียกำลังใจตรงๆ ไปจนถึงแกล้งทำเป็นมาเป็นมิตรเรา แล้วพยายามหาวิธีเกทับให้เราเสียกำลังใจ หรือหลอกให้ไขว้เขวกับเป้าหมาย
- จงจำไว้ว่า แม้เราจะสำเร็จแล้ว ก็ยังสำเร็จ อีกเท่าตัวได้อีก และทวีไปอีกได้เรื่อยๆ จงเชื่อมั่นในตัวเอง และพยายามให้ถึงที่สุด ไม่ต้องเกรงใจเพื่อน ที่หลอกลวง และ พยายามแทงข้างหลังเรา เหล่านี้
- วันนี้ไปฟังเทศน์ของพระอาจารย์ บุญทวี สีลตจิตโต ที่วัดปทุมวนาราม พระอาจารย์ได้แนะนำเคล็ดอย่างหนึ่ง คือ ให้ฝึกรู้ลมหายใจ ให้เหมือนเราดูโทรศัพท์ ถ้าคิดจะดูโทรศัพท์เมื่อไหร่ ให้รู้ลมหายใจแทน แล้วชีวิตเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ
14
- ออกกำลังกายแบบ HIIT ช่วยให้อาการสมาธิสั้นดีขึ้นได้มากจริงๆ แต่ก่อนเข้าใจว่าต้องฝึกสติ ฝึกสมาธิ อาการสมาธิสั้น จึงจะดีขึ้น แต่หลังจากที่ได้ออกกำลังกายแบบ HIIT 1 สัปดาห์ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ สามารถโฟกัสกับการอ่านหนังสือได้ ได้ท่ามกลางการนั่งในที่สาธารณะ ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อน มีคนนั่งข้างๆนิดหน่อย จะไม่ได้เลย สมาธิจะหลุดง่าย ไม่สามารถโฟกัสกับงานของตัวเองได้ แต่ตอนนี้ แม้จะมีคนนั่งอยู่รอบๆ แต่ก็ยังสามารถโฟกัสกับการอ่าน โดยที่ยังคงรู้สึกปกติ สบายๆ ไม่ลนลานอะไรเหมือนเมื่อก่อน
- อาการสมาธิสั้น เป็นภาวะของสมองที่ไม่เหมือนคนปกติ โดยจะไม่สามารถตัดความคิดที่เป็น noise ออก จากความคิดหลักที่ต้องการ focus ได้ ทำให้สมองต้องประมวลผลทุกอย่างที่เข้ามารบกวนตลอด ถ้าเราแก้ที่สมอง ด้วยการออกกำลังกายให้เกิดการฟื้นฟูตัวเอง ก็จะช่วยให้ดีขึ้นได้
- ความรู้สึกก็เหมือนกัน มันเป็นเพียงการรับรู้หนึ่งของสมอง อาจจะรับรู้ถูก หรือ ผิดก็ได้ เช่น ถ้าใช้ไฟฟ้าจี้กระตุ้นสมองส่วนหนึ่ง ก็ทำให้มีความสุขขึ้นมาได้ เป็นต้น ความรู้สึก จึงเป็นเพียงการรับรู้หนึ่ง ที่สิ่งมีชีวิตมีในธรรมชาติ แต่อาจไม่ได้มีประสิทธิภาพในเรื่องความถูกต้องแม่นยำทั้งหมด(สามารถถูกหลอก หรือ หลอกตัวเองได้)
- เรื่องการฝึกสติ สมาธิ ก็สำคัญ แต่มันเป็นอีกลักษณะหนึ่ง เป็นวิธีการฝึกเพื่อเข้าใจความจริงของร่างกาย ทั้งด้านกายภาพ และ นามธรรม
- สติจะทำให้เรารู้ตัวในชีวิตประจำวัน ถ้าคอยสังเกตรู้ความคิด รู้ความรู้สึกตัวเองไปเรื่อยๆ จะพบว่าตัวเราจริงๆนั้นว่างเปล่า ความคิด ความจำ และ ความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ
- การฝึกสมาธิ จะทำให้เราโฟกัสได้ลึก เข้าสู่ภาวะ deep diving ได้เร็วกว่าคนปกติ แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องการลด noise ในคนที่เป็นสมาธิสั้นเท่าไหร่ ถ้าคนสมาธิสั้นฝึกสมาธิ จะเป็นลักษณะที่ว่า ชีวิตประจำวันก็ดูไม่นิ่งเหมือนเดิม เพราะ noise ในหัวก็ยังมีไม่ได้ถูกลดสัญญาณลง(เพราะกายภาพของสมองไม่เหมือนคนปกติ) แต่ถ้ามีเรื่องที่ใช้ความคิด หรือ โฟกัสกับอะไร จะนิ่งกว่าปกติมาก(ผลจากการฝึกสมาธิ) ทั้งนี้ จริงๆยังไม่แน่นะ เพราะ อาจจะมีส่วนในการทำให้สงบเยือกเย็นลงด้วย ซึ่งก็มีผลดีต่อสมาธิสั้นโดยตรงเช่นกัน
9 มิ.ย.
- ออกกำลังกายแบบ High intensity สลับกับ Alternate day fasting(ทำสลับวันกัน) รวมถึงดื่มกาแฟ 1 แก้วทุกวัน ช่วยให้ทำงานได้ประสิทธิภาพ 100% ทั้งวัน (มีสมาธิ มีพลังในการเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ดีมาก กระฉับกระเฉง และไม่ง่วง)
- เหมือนหลังจากเปลี่ยนมาออกกำลังกายแบบ High intensity 5 นาทีตอนเช้า มันทำให้สมาธิและความกระฉับกระเฉงในการทำงานดีขึ้น
- แต่ก็ยังคงต้องการกาแฟ(ซึ่งก็ดีต่อสมองเหมือนกัน) เนื่องจากภาวะสมาธิสั้นที่เป็น-กาแฟช่วยลด noise ของความคิดในหัวลงได้ ทำให้โฟกัสได้เหมือนคนปกติ
- แต่เหมือน Fasting ก็ยังจำเป็น เพราะ รู้สึกเหมือน ตั้งแต่ทิ้ง Fasting แล้วมาออกกำลังกาย ความสามารถบางอย่างเริ่มถดถอย เช่น สมาธิ(เริ่มกลับมานับเลข 1-100 ในใจไม่ได้), การฟังภาษาอังกฤษ เริ่มต้องกลับมาใช้ subtitle เป็นต้น ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ การออกกำลังกาย ยังไม่ high intensity มากพอหรือไม่?
- อาจจะสลับระหว่าง High intensity exercise กับ alternate day fasting คือ วันที่ออกกำลังกายก็จะกินอาหารปกติ(แต่กินเผื่ออีกวันด้วยนะ) ส่วนวันที่ไม่ออกกำลังกาย ก็จะอดอาหารข้ามวัน
- แต่ยังไม่ได้ลอง เพราะทำได้ยากที่จะออกกำลังกายหนัก(ต้องการโปรตีนสูง) แต่ก็อดอาหารไปด้วย รอเตรียมความพร้อมอีกนิดนึง
- ทำไมอยู่ๆถึงฟังเพลงภาษาอังกฤษออกมากขึ้น
- นั่งสมาธิ
- อ่านเนื้อหาหลากหลาย กระตุ้นการเรียนรู้
- สลับฟังหลายๆแนว ทั้งbbc radio, เพลง, YouTube ถ้าฟังอย่างเดียวตลอดจะเบื่อ และไม่ถูกกระตุ้นการเรียนรู้
- เริ่มอ่านหนังสือ 13:30 น เพราะ เหมือนต้องจัดการบันทึก ความคิด ไอเดียที่พลุ่งพล่านมากมาย หลังจากการวิ่งออกกำลังกาย
8 มิ.ย.
- Caffeine ในกาแฟ แม้จะทำให้เซลล์สมองขยันทำงานมากขึ้น แต่กลับมีอาจผลสามารถยับยั้งการพัฒนาสมองได้
https://ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2743873/ "relevant doses of caffeine can significantly depress adult hippocampal neurogenesis."- เป็นเพียงการทดลองในหนู ซึ่ง dose ของ caffeine ในคนอาจให้ผลต่างกันได้ เพราะ ในการทดลอง ให้ dose ที่สูงกว่าในคนมากกับหนูทดลอง
แต่เพื่อประโยชนตนเอง จะของดไปก่อน รออ่านงานวิจัยให้ชัวร์ก่อน- อีกงานวิจัย อันนี้ทดลองในคนจริงๆแล้ว โดยทดลองร่วมกับการออกกำลังกายแบบ High intensity แล้วดูว่า BDNF หลังออกกำลังกาย ยังคงมากเท่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มกาแฟไหม
https://www.researchgate.net/publication/324058829_The_effect_of_caffeine_ingestion_and_fatiguing_exercise_on_levels_of_brain-derived_neurotrophic_factor_in_healthy_men - ส่วนงานวิจัยที่มีผลอีกแบบก็มี คือ Caffeine ทำให้หลั่ง BDNF มากขึ้น https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0028390812003450
https://www.spandidos-publications.com//10.3892/mmr.2013.1601
https://www.scirp.org/journal/paperinformation?paperid=62172
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5697621/ - ถาม Gemini ก็บอกว่า Caffeine มี evidence แต่อาจไม่ได้ส่งผลมากมายขนาดนั้น https://gemini.google.com/app/4338aaaab9a8565d
- สรุปไม่ได้ ว่ามีผลดีหรือไม่ดีต่อ BDNF แต่คิดว่ามีผลไม่มากต่อปริมาณ BDNF ในมนุษย์หลังออกกำลังกาย ซึ่งประโยชน์โดยรวมต่อสมอง มันเยอะกว่า จึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะหยุดดื่มกาแฟ
- งานวิจัยนี้ก็น่าสนใจ เกี่ยวกับผลของ การออกกำลังกายแบบ HIIT กับการ boost BDNF หลายเท่าตัว(ต้องหาเวลาอ่าน)
https://journals.physiology.org/doi/full/10.1152/japplphysiol.00126.2015 - เปลี่ยนมาอ่าน ตำรา Financial เล่มใหม่ ซื่งเป็นผู้เขียนคนเดิม Mishkin แต่เป็น Edition ที่ใหม่กว่า Economics of Money, Banking, and Financial Markets, 13th edition
- อยู่ๆ ฟังเพลงภาษาอังกฤษ ก็สามารถเข้าใจเนื้อร้องได้มากขึ้น เพราะอะไรนะ
- นั่งสมาธิ ทำให้โฟกัสกับเสียงได้มากขึ้น
- ทำกิจกรรมที่ทำให้เกิด neuroplasticity ทำให้สมองส่วนการฟัง แปลข้อมูลได้ดีขึ้น
- ใช้หูฟัง ทำให้ได้ยินเสียงที่ชัดกว่า
- สรุปการเทรด
7 มิ.ย.
- การเปลี่ยนเวลานอน อันตรายกว่า จำนวนชั่วโมงการนอนในแต่ละวัน เพราะ จะรบกวน circadian rhythm มีงานวิจัยว่า เพียงแค่เข้านอน หรือ ตื่นนอน ต่างจากเวลาเดิม 70นาที ก็จะส่งผลให้สมองทำงานได้ไม่ดีแล้ว
- เหมือนการพยายามนอนน้อย จะไม่ประสบความสำเร็จ มีไอเดียว่า ให้เราค่อยๆลดเวลานอนลงดีกว่า เช่น นอน 6ชม จาก 8 ชม เป็นต้น เพียงแค่ 2 ชม.ต่อวันที่เพิ่มขึ้น ก็คุ้มค่าและทำอะไรได้ตั้งมากมายแล้ว
6 มิ.ย.
- ออกกำลังกายแบบ HIIT เพียงแค่ 5 นาที ซึ่ง ทำให้เกิด BDNF ได้ถึง 4-5 เท่า(ดีต่อสมอง ช่วยให้เกิด Neurosynapse, plasticity, genesis) ซึ่งได้ผลพอๆกับการ Fasting 48 ชม แต่ทำง่ายกว่ามากๆ และทำได้ทุกวันด้วย โดยที่จะ Fasting ไปด้วยหรือไม่ ให้ผลไม่ต่างกัน(ยังคงดีทั้งคู่) งานวิจัย: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/36631068/
ฟังจากคลิปนี้ https://www.youtube.com/watch?v=oyO-xhvgH6M- คอมเมนต์ของเรา ในคลิปนั้น
ขอบคุณสำหรับงานวิจัยนะครับ ที่อ่านมาเพิ่มเติมคือ
- แม้ว่าในหนูทดลอง ที่ Fasting(อดอาหาร) 9ชม แล้วพบ BDNF แต่ในมนุษย์ แม้จะอดอาหาร 20ชม กลับไม่พบ BDNF หรือพบน้อยกว่า เพราะว่าอัตรา metabolism ต่างกัน ในมนุษย์อาจต้องมีการ Fasting ให้นานขึ้น หรือ มีการออกกำลังกายเพิ่มด้วย
- เคยเจองานวิจัย(doi: 10.1139/apnm-2014-0290) ว่า การ Fasting 48 hr ในคน ทำให้เกิด BDNF มากขึ้น 3.5 เท่า แต่คงทำได้ยากในชีวิตประจำวันของคนปกติ - แต่เอาจริงๆ แค่ตื่นเช้ามา ออกกำลังกาย High intensity วันละ 5 นาที ก็ได้ผลดีกับสมองแบบสุดๆ และทำได้ง่ายกว่าการอดอาหาร 48 ชมมากๆๆ
- แต่ Fasting อย่างไรก็น่าจะยังมีประโยชน์อย่างอื่นต่อสุขภาพอีกมากมาย (doi: 10.1038/nrn.2017.156)
โดยส่วนตัว ช่วงวัยรุ่น เคยมีประสบการณ์ พัฒนาตัวเอง จากการออกกำลังกายเหมือนกันครับ โดยการฝึกวิ่งเร็ว ทุกวันตอนเช้า 1กม. ให้ได้ภายใน 5 นาที(สอบรักษาดินแดน) แล้วไปฝึกทำเลขต่อ ปรากฏว่าในระยะเวลา 1 เดือนกว่าๆ สมองพัฒนาไปมากครับ สามารถไปถึงระดับ "แก้โจทย์เลขในใจได้เลย, คิดเลขหลายๆหลักในใจได้" รวมถึง ทักษะทางภาษา ความคิดเชื่อมโยง ความจำ การวางแผนล่วงหน้า ความคิดสร้างสรรค์ ก็พัฒนาในระดับที่ดีขึ้นมาก แต่พอหยุดซ้อมวิ่งไป ก็กลับไปสมองทึบเหมือนเดิม(แต่ตอนนั้นหาสาเหตุไม่เจอ ว่าพัฒนาขึ้นเพราะอะไร และลองพยายามวิ่งแบบ aerobic ก็ไม่พัฒนาขึ้นเท่าไหร่)
แม้จะเริ่มอายุมากขึ้น ได้รู้งานวิจัยนี้แล้ว อาจจะต้องทดลองกับตัวเอง ด้วยการไปฝึกวิ่งเร็วสุดกำลังวันละ 5 นาทีบ้างแล้ว เผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้างเหมือนเมื่อก่อน(นิดนึงก็ยังดี) สุดยอดจริงๆครับ
- คอมเมนต์ของเรา ในคลิปนั้น
5 มิ.ย.
- ลองกลับมาฟังเพลงภาษาอังกฤษ เริ่มฟังเนื้อร้องออกมากขึ้น เฉยเลย บางประโยคที่เราไม่เข้าใจ กลับเข้าใจได้ค่อนข้างชัดเจน ฟังเพลงเดิม แต่ได้อรรถรสขึ้นมาก
- ช่วงที่ผ่านมาก็ดูคลิป youtube ภาษาอังกฤษ, ฟังวิทยุ BBC มาเรื่อยๆ
- ชีวิต ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบันจริงๆนะ ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตากำหนด หรือ คำทำนายแต่อย่างใด ได้อ่านพระไตรปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระเจ้าอชาติศัตรู (ที่เคยถูกพราหมณ์ทำนายว่าจะเกิดมาฆ่าพ่อตัวเอง แล้วก็เป็นตามคำทำนาย) ได้ทูลถามสามัญผล กับพระพุทธเจ้า พอพระเจ้าอชาติศัตรูกลับวังไป พระพุทธเจ้าก็บอกกับเหล่าภิกษุว่า ถ้าพระเจ้าอชาติศัตรูไม่ปลงพระชนม์พระบิดา ฟังเทศน์บทเมื่อครู่จบ ก็จะได้ดวงตาเห็นธรรม หมายความว่า โชคชะตาของเราจะเป็นอย่างไร อยู่ที่เราจะตัดสินใจเลือก ตัดสินใจทำ หรือไม่ทำ ณ ปัจจุบันขณะนี้ ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังอนาคต ไม่ใช่ว่าต้องเป็นตามคำทำนาย พรหมลิขิต หรือ พยากรณ์
- ละเว้นความชั่ว ทำความดีเข้าไว้ อย่างไรก็จะได้ผลดี
- ลองคิดๆดู การไม่มีเพื่อนไม่ได้ทำให้เราเหงา บางทีแม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่เราก็รู้สึกโดดเดี่ยวได้ โดยเฉพาะถ้ามีแต่คนไม่จริงใจรอบๆตัว หรือไว้ใจไม่ได้เต็มร้อย(ซึ่งมักพบได้เป็นส่วนมาก) แต่สำหรับเรา เราจะเหงาที่สุดถ้าไม่มีความรู้มากพอที่จะดูแลตัวเอง รักษาตัวให้รอด พัฒนาตัวเอง คุณท๊อปบอกว่าช่วงที่เขาอ่านหนังสือ 12 ชม ต่อวัน เขาแต่งงานกับหนังสือไปแล้ว
- เพื่อน หรือแม้กระทั่ง คนรัก ที่ไม่จริงใจ(ซึ่งมักพบได้เป็นส่วนมาก) จะอยู่กับเราเวลาที่เราสำเร็จ แต่จะหนีหายเวลาที่เราลำบาก แต่ความรู้จะอยู่กับเราไปตลอดไม่หายไปไหน และจะเป็นเครื่องมือให้เราเอาตัวรอดได้เสมอ
- การอ่าน หรือเรียนซ้ำ ไม่ได้ผิดอะไรนะ เพราะ อะไรที่เราเรียนซ้ำ อย่างไรก็จะทำให้เราเข้าใจได้เร็วขึ้น และ มากยิ่งขึ้น เช่น โดยส่วนตัว ไม่ถนัดในการเรียนภาษา อ่านแล้วไม่นานก็ลืม ก็อ่านซ้ำ เรียนใหม่ ซ้ำๆๆๆ จะกี่รอบก็แล้วแต่ อย่างไรสุดท้ายมันก็ต้องจำได้ขึ้นใจ
- โดยส่วนตัวไม่เชื่อเรื่อง พรหมลิขิต หรือ โชคชะตาเท่าไหร่ มันเป็นเพียงกิเลสของเราเอง ที่หลอกเราให้คิดไปต่างๆนานา เช่น ถ้าเราไปอยู่ในที่ที่มีคนเก่งๆเยอะ เช่น มหาลัยชั้นนำ เป็นต้น เราก็จะมีโอกาสเจอคนเก่งๆ มากมายรายล้อมเรา ซึ่งเพื่อนดีๆ ที่เราเจอ อาจจะไม่ใช่โชคชะตา แต่เป็นความน่าจะเป็น เพราะ อยู่ในสถานที่ดีๆ ก็มักจะมีโอกาสได้เจอคนดีๆมากขึ้น
- สมมติถ้าเราไปเที่ยวผับ บาร์ ร้านเหล้า แล้วหวังว่าจะได้เจอเพื่อนดีๆ ก็คงจะยาก เพราะ มันเป็นเรื่องของความน่าจะเป็น ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา หรือ พรหมลิขิต
- รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าเอาตัวเราไปอยู่ในที่สิ่งแวดล้อมห่วยๆ แล้วหวังว่าโชคชะตา จะพาให้เราเจอกับ มิตรดี หรือ ชีวิตที่ดีขึ้นนะ
- ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบัน ที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคต(อย่างที่บอกไว้ในข้อ 2)
- มีการศึกษาว่า มนุษย์โดยจิตใต้สำนึกเป็นสัตว์สังคม ถ้าเราไม่มีเพื่อน หรือ ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง หรือคิดไม่ดีกับคนอื่น สมองเราจะเกิดความเครียดระยะยาว(Chronic stress) ที่มีความรุนแรงพอ ที่จะทำให้สมองฝ่อเล็กลงได้(IQ ต่ำลง)
- Be nice to the other, create and retain good relationships as much as you can with almost any one you meet in life.
- ที่เราควรจะปรับเปลี่ยนตัวเอง คือ อย่ามองคนอื่นในแง่ลบ ให้พยายามเป็นมิตรกับผู้อื่น อย่างน้อยๆก็ปฏิสัมพันธ์กันด้วยดี ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดไม่ดีต่อกันแม้แต่น้อย
- ปฏิสัมพันธ์ที่ดี แม้จะไม่ใช่กับคนรู้จัก ก็ได้ผลดีไม่ต่างกัน เช่น ทักทายพนักงานร้านกาแฟ คิดดีต่อคนที่พบเจอในชีวิตทั่วไป เป็นต้น สมองก็นับเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดีเหมือนกัน
- ปฏิสัมพันธ์ที่ดีใน social media ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่นะ สมองเราฉลาดพอ ที่จะรู้ว่ามันไม่ใช่รูปแบบธรรมชาติ
- พระภิกษุที่ปฏิบัติดี แม้ท่านจะอยู่คนเดียว แต่ท่านมีจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ จึงไม่มีความคิดไม่ดีต่อผู้อื่น จึงไม่มีความเครียดในเรื่องนี้
- อาจจะไม่ถึงขนาดต้องปรับเปลี่ยนนิสัยที่ชอบอยู่คนเดียว ไปเป็นชอบเข้าสังคมหรอก เพียงแค่อย่างน้อยๆ อย่าคิดไม่ดีกับผู้อื่น หรือ มองคนอื่นในด้านลบ เท่านั้น
- คลิปคุณท๊อป ดีมากๆ https://www.youtube.com/watch?v=9IDI5SzjanI เกี่ยวกับ งานประชุม world economic forum
- หลักๆในโลกที่สำคัญ คือ Digital, Green, Revolution
Comments