- เวลาอยู่คนเดียว สิ่งที่จะต้องเจอคือ เพื่อนเก่า คือ กิเลสที่คอยล่อหลอก ให้อยากแสวงหาความ เพลิดเพลิน สนุกสนาน ลืมเวลา ลืมความรับผิดชอบ ลืมความฝัน ลืมภาระหน้าที่ สิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำ คือ อย่าไปฟัง อย่าไปหลงเชื่อ แรงกระตุ้นจาก เพื่อนเก่า มันคือภาพลวงตา ที่ครอบงำ ความคิด สติ-สัมปชัญญะของเรา และ คอยฟังเพื่อนใหม่ คือ สติสัมปชัญะ ซึ่งจะทำให้เราไม่หลงลืมตัวเอง ความรับผิดชอบ หน้าที่ ความฝัน
- ช่วงก่อนที่อ่านหนังสือที่มหาลัย เราก็ไม่กล้าดูการ์ตูน หรือเล่นเกมส์ เพราะ สถานที่คือห้องสมุด อยู่ท่ามกลางผู้คนที่ต้องการความสงบเงียบ ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร อ่านหนังสือทั้งวันก็ไม่ตายนะ
- แต่พอกลับมาอ่านหนังสือที่ห้อง แบบอยู่คนเดียวทั้งวัน กลับมีความอยากดูการ์ตูนผุดขึ้น อยากลองเล่นเกมส์ที่ไม่เคยเล่น ซึ่งแรกๆ ก็ยังพอควบคุมตัวเองให้อ่านหนังสือ ไม่ลืมความรับผิดชอบ ไม่ลืมความฝันได้ แต่พอไปเรื่อยๆ จะมีเผลอใจเริ่มไปลองทำตามความอยากดู แล้วหากเผลอไปทำแล้วติดใจ จะกลับค่อยๆ ลืมสติสัมปชัญญะ ลืมความฝัน ลืมความรับผิดชอบ ลืมกระทั่งตัวตนของตัวเองไป
- สิ่งสำคัญคือ อย่าฟังเพื่อนเก่า คือ กิเลส ที่คอยหลอกให้เราเพลิดเพลินและ หลงลืมความรับผิดชอบ ลืมความฝัน ความเป็นตัวเองไป คอยฟังเพื่อนใหม่ คือ สติสัมปชัญญะ ที่คอยเตือนว่าเราเป็นใคร ต้องทำอะไร
- นอกจากนี้ สติสัมปชัญญะ ยังใช้ในการฝึกสมาธิได้ด้วย เช่น
- สมมติอ่านหนังสืออยู่ แล้วเผลอไปดูการ์ตูนแบบไม่รู้ตัว พอมีสติรู้ตัวขึ้นมาก็กลับมาอ่านหนังสือต่อ ฝึกไปเรื่อยๆ จะสามารถอ่านหนังสือต่อเนื่องนานๆได้
Brain logs
Ideas, Thoughts or anything that appears instantly from my mind
For my life, the most important things for self-development are meditation, alternate day fasting and 5min HIIT, which are arranged by importance respectively.
- The most important and unskippable is meditation
- I have ruled out many things that affect my work, reading and study such as eye muscles, light flickering, and glaring effect on reading and I found that even though I've completed or controlled all those things, it is still no good if I don't do only one thing which is meditation.
- I may have ADD which is a variation of ADHD. Thus, meditation is the most crucial thing in my life.
- Alternate day fasting and 5min HIIT on fasting day have a ton of good health benefits for the body and especially the brain which will help support the practicing of meditation.
- it is able to skip HIIT or do less aggressive fasting but do not skip meditation
- ออกกำลังกายแบบ HIIT(High intensity) วันละ 5 นาที - มีงานวิจัยว่า ทำให้เกิดการหลั่ง BDNF มากกว่าการออกกำลังกาย ปกติ 4-5 เท่า ซึ่งมีผลในการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาสมองโดยตรง ทั้งนี้ถ้าไม่สะดวกอดอาหารจริงจังแบบข้ามวัน(Alternate day fasting) แบบที่จะแนะนำต่อไป การออกกำลังกายHIIT ร่วมกับจำกัดเวลากินอาหารไม่เกิน 12 ชม(IF 12/12) แค่นี้ ก็พอจะทดแทนได้
- ตัวอย่างการออกกำลังกาย เช่น วิ่งเร็วสุดแรง(sprinting), planking เป็นต้น โดยสลับรูปแบบการออกกำลังกายทุกวัน เพื่อสลับให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นๆได้พักอย่างเต็มที่
- ทั้งนี้มันเป็นการออกกำลังกายที่หนัก ควรทำมากที่สุดไม่เกินวันเว้นวัน หากสังเกตพบว่า ทำแล้วรู้สึกเพลีย แทนที่จะสดชื่น ควรหยุดพักทันทีสัก 1-2 วัน เพราะ ถ้าทำมากเกินไป จะเกิดความเครียดต่อร่างกาย แทนที่จะได้ฮอร์โมนความสุข และ BDNF ที่ทำให้สดชื่น
- ในวันพัก แนะนำให้ ออกกำลังกายเบาแบบ IWT ซึ่งก็ได้ BDNF เหมือนกัน และได้มากกว่าการออกกำลังกายปกติด้วย โดยเป็นวิธีการเดินเร็ว สลับเดินช้า อย่างละ 3 นาที เป็นเวลา 30 นาที ทุกวัน หรือ อาจเป็นการวิ่งช้า สลับเดินเร็ว อย่างละ 3 นาที ก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นไปอีก
- นั่งสมาธิ ตอนเช้าหลังตื่น และ ก่อนนอน ครั้งละ 10 นาที
- เป็นแนวทางการฝึกสมาธิที่โดยส่วนตัวทำตามได้ง่ายที่สุด เพราะ ไม่ได้นานเกินไป จนรบกวนชีวิตประจำวัน จนทำทุกวันได้ยาก
- ที่พบกับตัวเองคือ ถ้าช่วงเช้าไม่มีสมาธิ ช่วงก่อนนอน ก็มักจะทำสมาธิได้ หรือ ถ้าก่อนนอนทำสมาธิไม่ได้ ช่วงเช้าก็มักจะทำได้ ทำให้มีโอกาส สามารถฝึกสมาธิให้ก้าวหน้าได้เรื่อยๆ
- นอกจากนี้ในระหว่างวัน ก็คอยฝึกรู้ลมหายใจ แต่ไม่ต้องรู้นาน แค่ระลึกถึงลมหายใจทีละ 2-3 ลมหายใจ(ถ้าฝึกในชีวิต ไปทำสมาธิครั้งละ 10 นาที ทุกชั่วโมง คงไม่เหมาะกับชีวิตที่เร่งรีบ) แต่สิ่งสำคัญคือการระลึกรู้บ่อยๆ ยิ่งถี่ ยิ่งดี อันนี้จะช่วยให้สมาธิพัฒนาได้เร็วมาก
- ฝึกสติ คอยระลึกรู้กายใจ รู้ความรู้สึก รู้ความคิด แม้เราจะไม่ปราถนาการบรรลุธรรม แต่สติเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองที่ดีมาก การที่เราคอยดูความเปลี่ยนแปลงตนเอง สามารถทำให้เรารู้ว่าอะไรมากระทบเรา แล้วตัวเราเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไร ปกติหรือไม่ปกติ สามารถปรับปรุงแก้ไขตนเองในเบื้องต้นได้ ไปจนถึงการรู้ ความคิดที่เรามักแอบคิดโดยที่ไม่รู้ตัว นิสัย กิเลส จนเกิดการเปลี่ยนแปลงนิสัย ยกระดับจิตใจตัวเองขึ้นไปอีกขั้นได้
- งดน้ำตาลทรายน้ำหวาน และ ลดการกิน แป้งแปรรูป แป้งขัดสี ให้เหลือน้อยที่สุด เพราะ สิ่งเหล่านี้จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงอย่างฉับพลัน และ ไม่คงที่ ส่งผลโดยตรงต่อระบบควบคุมน้ำตาล และ ส่งผลโดยตรงต่อสมาธิมากๆๆๆ(ซึ่งแม้จะออกกำลังกาย หรือ Fasting ก็ช่วยไม่ได้)
- น้ำตาลในเลือดไม่ใช่สิ่งผิดปกติ แต่ที่ผิดปกติจากธรรมชาติคือ แป้งขัดสี และ น้ำตาลทราย
- วิธีการถ้ายังต้องกินข้าวแกง ซึ่งมีแต่ข้าวขัดสี ความเห็นส่วนตัว คือ แบ่งเป็นมื้อเล็กๆ กินทีละน้อย(ไม่เกินกำปั้น) แต่เพิ่มความบ่อย เพื่อเลียนแบบการดูดซึมน้ำตาลทีละนิด ของแป้งไม่ขัดสีในธรรมชาติ (ไม่รู้ว่าถูกไหมนะ แต่ให้สังเกตตัวเองว่า หลังกินอาหาร ยังคงสามารถมีสมาธิอ่านหนังสือได้ปกตินั่นแหละ ถ้าโฟกัสไม่ได้ แสดงว่า กินแป้งขัดสี/น้ำตาลเยอะไปแล้ว)
- แต่เอาจริงๆก็กินให้น้อยที่สุดนั่นแหละ แล้วหาแป้งไม่ขัดสี ที่มีกากใย(แป้งเชิงซ้อน) กินเพิ่ม
- อย่า Fasting โดยที่กินแป้งแปรรูป/ขัดสีปริมาณมากในคราวเดียว เพราะ อาจจะแย่กว่าการแบ่งกินมื้อเล็กๆ และเพิ่มช่วงระยะเวลากินให้นานขึ้นเสียอีก
- Alternate day fasting(กินอาหารวันเว้นวัน IF 36/12 - กินในช่วง 12 ชม แล้วอด 36 ชม) - การจะอดอาหารให้ได้ประโยชน์เข้มข้นจริงๆ คือ ต้องอดมากกว่า 24 ชม ขึ้นไป เพื่อให้เกิดการชะลอวัย (Autophagy)และ ประโยชน์ด้านสมอง(แต่ได้ BDNF เพียง 3.5 เท่า ที่การอด 48 ชม อาจไม่มากเท่าการออกกำลังกาย HIIT นะ? อันนี้ไม่แน่ใจ) ซึ่งโดยส่วนตัวพบว่า ถ้าจะอดอาหาร การกินอาหารวันเว้นวัน เป็นรูปแบบชีวิตได้ทำได้ง่าย และได้ผลดีที่สุด วิธีหนึ่ง
- ประโยชน์หนึ่งของการอดอาหาร (Fasting) ในการพัฒนาตนเอง คือ ทำให้มี Neuroplasticity สูงขึ้น สมองสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะ การคิดคำนวณ การใช้เหตุผล การเคลื่อนไหว ภาษา ฯลฯ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ฝึกนิสัยใหม่ ก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วย มีการใช้ในการรักษาผู้ป่วยทางสมอง คนปกติก็น่าจะได้ประโยชน์ไม่น้อย
- พยายามอดข้ามวันให้ได้บ่อยๆ หรือ อดวันเว้นวันให้ได้ตลอด โดยส่วนตัวแต่ก่อนเคยลองกินวันละมื้อ(IF 22/2) แต่พัฒนาตนเองได้ไม่เร็วเท่าการกินอาหารแล้วอดวันเว้นวัน(IF 36/12)
- หากเรียงลำดับประสิทธิภาพในการทำงานและการพัฒนาตนเอง(เช่น Performance ในการอ่านหนังสือ การใช้ความคิดที่พัฒนาขึ้น)ของการอดรูปแบบต่างๆ จากมากไปน้อยมีดังนี้ (* เป็นความเห็นจากประสบการณ์ส่วนตัว อาจเชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด)
- IF 42/6 (กินในช่วง 6 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน แต่ทำได้ยาก)> IF 36/12(กินในช่วง 12 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน - ทำได้ไม่ยากนัก) > IF 22/2 (กินวันละมื้อทุกวัน) > IF 16/8(กินในช่วง 8 ชม ทุกวัน)>IF 32/16(กิน 16 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน)
- แต่ทั้งนี้จะเลือกอดวิธีไหน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของชีวิตแต่ละคน ที่น่าจะง่ายสุดคือ กินอาหารวันเว้นวัน(IF 36/12) ส่วนใครที่ชีวิตแทบไม่ได้ใช้แรงหรือขยับตัว ก็อาจลดชั่วโมงที่กินอาหารลงอีกเหลือ 6 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน(IF 42/6)
- ถือศีล 8 เป็นรูปแบบชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ถ้าถือศีลทุกวันคงไม่ไหว สำหรับคนปกติที่มีกิเลส ก็ถืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในวันหยุด หรือถ้าจะให้ดีคือ ถือวันเว้นวัน เพื่อฝึกตนเองขึ้นไปอีก
นอนน้อย 4 ชม ในพระไตรปิฎก(บทชาคริตานุโยค) บอกถึงการนอนในเวลา 4 ทุ่ม ถึง ตี2(มัชฌิมยาม) ซึ่งเป็นเวลานอนที่ดีที่สุด แต่จะทำได้ต้อง ถือศีล 8 กินก่อนเที่ยง เพื่อให้ร่างกายอยู่ในโหมด Fasting (ถ้ากินอาหารมื้อดึก จะตื่นยาก) และ ฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขณะนอนหลับ นอกจากนี้ต้องค่อยๆปรับตัว ช่วงแรกๆจะยังรู้สึกลำบากมาก- > ขอละไว้ก่อน อาจจะไม่ไหว- ดื่มกาแฟ วันละ 1-2 แก้ว ช่วยให้สมาธิดีขึ้นมาก(โดยเฉพาะคนที่เป็นสมาธิสั้น) เพิ่มการโฟกัส ช่วยให้สมองขยันทำงานมากขึ้น ลดความเสี่ยงสมองเสื่อมในระยะยาวได้ อีกทั้ง มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะกว่าชาเขียว 10 เท่า แต่ทั้งนี้ต้องเป็นกาแฟที่คั่วกลาง เต็มเมล็ด แล้วมาบดชงเอง(กาแฟที่ผ่านการบดมานาน และผ่านกรรมวิธีมาแล้ว ประโยชน์จะลดลงมาก)
- ทั้งนี้อาจไม่ได้ดีเสมอไป มีงานวิจัยว่าการดื่มกาแฟ ขณะที่นอนไม่เพียงพอ จะทำให้สมองส่วน Grey matter มีปริมาตรเล็กลงได้
- ทั้งนี้ คาเฟอีน จะมีผลเสียมากน้อย แตกต่างไปในแต่ละคน ทดสอบได้ด้วยการดื่มกาแฟตอนเย็น หากยังสามารถนอนหลับได้เป็นปกติ แสดงว่าสมองสามารถรองรับคาเฟอีนได้ ก็จะไม่มีผลเสียมาก เท่ากับประโยชน์ที่จะได้รับจากกาแฟ
- สวดมนต์ก่อนนอน (บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) เป็นการทำสมาธิที่ง่ายมากที่สุดรูปแบบหนึ่ง ทำให้สามารถผ่อนคลาย หลับสนิท ฟื้นตัวได้เร็ว
- อ่านหนังสือทั้งวัน และ ทุกเวลาที่ว่าง- ต่อให้สมองดีจากการ Fasting แต่ถ้าไม่มีการเติมความรู้ บรรจุเพิ่ม ให้สมองเอาไปใช้คิด มันก็คิดอะไรใหม่ๆไม่ได้ การอ่านจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาตนเอง
- ไม่แนะนำให้เรียนด้วยการดูคลิป VDO เพราะ มันคือการฟังสรุปจากคนอื่นที่ไปอ่านหนังสือมาอีกที ซึ่งถ้าเราไม่อ่านเอง เราไม่มีวันเชี่ยวชาญในสิ่งนั้นๆได้จริงๆ
- อ่านหนังสือใช้พลังงานน้อยมาก คือ 70kcal/ชม(นอน 40 kcal/ชม, เดิน 214kcal/ชม) ต่อให้อดอาหาร ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแรงอ่านหนังสือ
- อ่านใน e-reader สะดวกมากๆๆ พกไปอ่านได้ทั้งวันทุกเวลา
- การเรียนรู้ข้อมูลครั้งละเล็กน้อย(distributed practice) ดีกว่า การเรียนรวดเดียวเยอะๆ(Massive practice/cramming)
จากหนังสือ Becoming Fluent: How Cognitive Science Can Help Adults Learn a Foreign Language หน้า 21- เหมือนต้นไม้ ถ้าทยอยใส่ปุ๋ยวันละเล็กน้อย จะเติบโตได้ดี แต่ถ้าใส่ปุ๋ยทีเดียวทั้งหมด ก็จะรากเน่า เพราะ ความเข้มข้นมากเกินไปดูดซึมไม่ไหว
- อาจเขียนเป็น routine lists ง่ายๆไม่ซับซ้อน เกี่ยวกับสิ่งที่จะศึกษา/กิจกรรมที่จะฝึกฝนในแต่ละวัน โดยแบ่งเป็น part สั้นๆ ไม่เกิน 1 ชม ต่อ part
- ถ้าเกินกว่า 1 ชม จะเรียนรู้ไม่ได้ประสิทธิภาพ เพราะ สมองส่วนนั้นๆอาจจะล้า ให้เปลี่ยนไปทำกิจกรรมที่ใช้สมองส่วนอื่นๆ สลับกันไปเรื่อยๆ
- การเรียนหลายๆวิชาในวันหนึ่ง ดีกว่าเรียนวิชาเดียวทั้งวัน เพราะ ช่วยกระตุ้นสมองครบทุกส่วน ช่วยคงสภาพไม่ให้ฝ่อ จากการไม่ได้ใช้งาน
- ฝึกสติ - เป็นต้นทางของการพัฒนาตนเอง สามารถทำให้รู้ทันนิสัยที่ไม่ดีของตัวเอง หรือกระทั่งแก้ไขนิสัยหรือ ความเคยชินที่ไม่ดี และ พัฒนาฝึกฝนตนเอง ด้วยตนเองได้ สติในที่นี้ คือ สติปัฏฐาน 4 นะ
- มีที่นั่งอ่านหนังสือที่ดี ได้แก่ โต๊ะ เก้าอี้(ไม่ควรนั่งพื้น เพราะ หลังจะค่อม และเมื่อยคอ อากาศร้อน ยากต่อการลุกขึ้น และเปลี่ยนอิริยาบถ เคยลองแล้ว productivity ต่ำกว่า) และโคมไฟ(แสงควรอยู่ที่ 500 lux วัดจากแอพฯในมือถือได้)
- ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ว่าโต๊ะ-เก้าอี้ต้องพอดีตัวแค่ไหน ถ้ามันเข้ากับสรีระ(ตามหลักกายสรีระศาสตร์-ergonomic ได้จะดีมาก) แต่อย่างน้อยต้องเอื้อให้สามารถขยับตัว ลุก ยืน เดิน เปลี่ยนอริยาบถได้บ่อยๆ โดยสะดวก
- อยู่ในสถานที่เงียบสงัด - สำคัญมากต่อสมาธิ บางคนถึงขนาดต้องทำห้องให้เก็บเสียงเลยนะ บางทีเราคิดอะไรอยู่ แล้วมีเสียงมากระทบ ก็ทำให้สมาธิหลุด ต้องเสียเวลามาต่อใหม่เรื่อยๆ สำหรับการฟังเพลง อาจใช้ตอนต้องการกลบเสียงน่ารำคาญกว่าจากภายนอก แต่ถ้าเงียบสงัดได้จะดีที่สุด
- ฟังเพลง ขณะอ่านหนังสือ/ทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง(ไม่ช่วยให้ประสิทธิภาพดีขึ้นแต่อย่างใดนะ)
https://www.youtube.com/watch?v=lQpawPFyIis
- ฟังเพลง ขณะอ่านหนังสือ/ทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง(ไม่ช่วยให้ประสิทธิภาพดีขึ้นแต่อย่างใดนะ)
- เปิดไฟส่องโต๊ะ แม้จะอ่านจากหน้าจอ - เพื่อให้แสงจากหน้าจอและสิ่งแวดล้อมกลมกลืนกัน และ สายตาไม่ทำงานหนักในการปรับรูม่านตาไปมา อ่านหนังสือได้มีสมาธิดีกว่า
- หาโอกาสลอง ฟังวิทยุ BBC world news - แม้จะไม่ได้ใส่ใจฟัง แต่เราจะเกิดความคุ้นชิน และ เรียนรู้ทักษะการฟังสำเนียงภาษาอังกฤษ ได้โดยไม่รู้ตัว
- อ่านนิยายภาษาอังกฤษ - มีงานวิจัยว่า การอ่านนิยายมีประโยชน์เทียบเท่าการอ่านตำราวิชาการ แต่จะเป็นด้าน ทักษะทางภาษา และ ความเข้าใจผู้อื่น และ คลายเครียดได้เร็วกว่าการฟังเพลง - ถ้าอยากเล่นเกมส์ หรือ ดูหนัง การ์ตูน ฟังเพลง ลองอ่านนิยายดูก็ได้นะ เป็นวิธีผ่อนคลายที่ดีมาก แถมยังเกิด productivity สูงด้วย
- ที่อยู่อาศัย - จัดให้เป็นระเบียบ และ สะดวกต่อการทำความสะอาด(easy to clean)ได้บ่อยๆและรวดเร็ว เกิดสุขอนามัยที่ดี ส่งผลโดยตรงต่อ สุขภาพและ productivity เช่น
- หาวิธีที่ทำให้ทำความสะอาดพื้นห้องได้ง่ายขึ้น สะดวก ใช้เวลาน้อยลง และ ทำความสะอาดได้บ่อยขึ้น เช่น จัดเก็บของที่พื้น ใส่ชั้นวาง หรือมีโต๊ะเตี้ยรอง ไม่วางของที่พื้นโดยตรง เพื่อทำให้สามารถทำความสะอาดพื้นห้องซึ่งเป็นส่วนที่สกปรกง่ายที่สุด ได้บ่อย สะดวก และ ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ต้องคอยเลื่อนของไปมา ทำให้ง่ายและสะดวกรวดเร็วในการกวาดถู
- แก้ปัญหาสายตา - ปัญหาเรื่องการมองเห็น ส่งผลโดยตรงต่อ productivity ทั้งค่าสายตาและกล้ามเนื้อตา
- โดยส่วนตัวมีปัญหาเรื่องสายตาเอียง แม้จะไม่ได้มาก แต่ส่งผลโดยตรงต่อการมองใกล้และไกล การมองไม่ชัดทำให้ต้องแปลผลในสิ่งที่มองยากขึ้น ทำให้รับข้อมูลได้น้อยลง นอกจากปัญหาสายตาทั่วไปแล้ว ยังมีเรื่องของกล้ามเนื้อตาด้วยที่ไม่ควรมองข้าม - โดยส่วนตัว สั้นผสมเอียง รวมๆประมาณ 1.00-1.25 diopter การมองเห็นจะมีความชัดลดลงในระยะ 0.75-1 เมตร
- วิธีพักสายตา เวลาสายตาเริ่มโฟกัสไม่ได้ หลังอ่านหนังสือไปนานๆ คือ หลับตาสัก 3-4 นาที (อาจจะเปิดเพลงฟังจนจบ 1 เพลง) พอลืมตาขึ้นมา จะกลับมาอ่านหนังสือต่อได้อย่างดีเลย
Tags
- บางทีเวลาเรามีทุนก้อนใหญ่ ให้แบ่งออกเป็นหลายๆกองเล็กๆ สำหรับการลงทุนแต่ละอย่าง จะดีกว่ารวมเป็นกองใหญ่กองเดียว เพราะ
- มันจะทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงในแต่ละกองได้ง่ายขึ้น เช่นว่า ว่ากองไหนกำไร กองไหนขาดทุน ส่วนไหนเป็นเงินห้ามยุ่ง ส่วนไหนควรทำให้งอกเงย ส่วนไหนควรพักก่อน เพราะขาดทุนมากเกินไป เป็นต้น
- มันจะไม่ทำให้เราถูกตัวเลขหลอก เช่น เห็นว่าทุนเราเยอะ เลยเทรดหนัก โดยไม่รู้ตัวว่า กำไรที่หาได้กำลังน้อยกว่าการขาดทุน และเงินค่อยๆหมดไปเรื่อยๆแล้ว แต่ถ้าเราทำเป็นกองเล็กๆ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
- ปัญหาตอนนี้ คือ แบ่งเงินไปกองไหนเยอะ กองนั้นก็จะใช้ฟุ่มเฟือย เช่น
- เอาเงินออกจากกองเทรด Crypto Future จนเงินเหลือน้อย - ก็เทรดในความเสี่ยงน้อย
- เอาเงินไปใส่ใน Crypto spot เยอะ - ก็เทรดทีนึงเยอะ คลิกไม่กี่คลิก ก็ซื้อ ก็ขาย ก็ขาดทุนเยอะใน 1 วัน
- เอาเงินไปใส่ใน Forex น้อย - ก็เทรดตามข่าวที่มีแนวโน้มต่อตลาด ได้กำไรนิดๆหน่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์(ยังไม่ใส่เยอะ เพราะ ยังต้องปั้นสะสมพอร์ตเอง)
- เอาเงินไปใส่กองชีวิตประจำวันเยอะ - ก็เริ่มช้อปปิ้งเยอะ เพราะ คิดว่าของมันจำเป็นต้องใช้ เช่น โต๊ะอ่านหนังสือ เพื่อให้อ่านหนังสือได้มีสมาธิ โดยไม่มีปัญหาทางสรีระศาสตร์(Ergonomic) อาหารการกิน ที่มีคุณภาพมากขึ้น เป็นต้น
- คิดว่าเอาไปใส่กองนี้ดีที่สุดนะ เพราะ มันจะทำให้เราใช้เงินเพื่อพัฒนาชีวิต ไม่ใช้เงินไปกับการพนัน
- แต่บางทีเห็นของล่อใจ ก็ซื้อเหมือนกัน พอซื้อมาก็ไม่ได้ใช้ ไม่เกิดประโยชน์ เท่ากับขาดทุน ไม่ต่างจากการเทรดเสีย(แม้จะดีกว่าที่ยังขายต่อได้ก็เถอะ)
Tags
คนน้ำหนัก 60 kg ใช้พลังงาน ในการอ่านหนังสือ ชั่วโมงละ 70kcal, เดิน 214kcal, นอน 40 kcal
Tags
จริงๆ ในเรื่องของความลำบากในชีวิต ประโยชน์อย่างหนึ่งคือ "ในบางคน" ถ้าชีวิตไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรลำบาก ก็จะเผลอตัว ไม่เตรียมการกับอนาคต ไม่พยายามหาความรู้ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอทุกเมื่อ แต่เมื่อพบเจอกับ "ความลำบาก" จะเป็นเงื่อนไขที่บีบบังคับ ให้ "ทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนาตนเอง" ไม่อย่างนั้นชีวิตก็จบสิ้น
แต่ชีวิตจะพัฒนาขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ตอนที่เจอกับความลำบาก แต่เป็นหลังจากที่รู้ตัวว่า "เราควรหาความรู้ และได้เริ่มอ่านหนังสือ ศึกษาหาความรู้ในเรื่องต่างๆ" โดยเพียงแค่นั่งลงแล้ว อ่านๆๆๆ หนังสือไปเรื่อยๆ เวลานั้นจึงจะเป็นจุดที่ชีวิตเริ่มพัฒนา ในบางที เราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีช่วงชีวิตที่ลำบากก็ได้ ถ้าเรารู้คุณค่า และความสำคัญของการแสวงหาความรู้ และ แบ่งเวลาชีวิตส่วนหนึ่งเพื่อ มาเพื่ออ่านหนังสือ หาความรู้
แล้วก็ไม่ใช่ว่าต้องจริงจัง เคร่งเครียดอะไรด้วยนะ แค่นั่งลงแล้วอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ
ความลำบากเป็นปัจจัยเสริม ให้เห็นคุณค่าของความรู้ แต่ชีวิตจะพัฒนาจริงๆก็เพียงแค่ นั่งลงอ่านหนังสือ
Tags
- ปัญหาคือ พยายามกินมื้อเย็นมื้อเดียว แล้วอดข้ามวัน(alternate day fasting) หรือ ก็คือ อดวันเว้นวัน ซึ่งเท่ากับการกิน 1 มื้อใหญ่ๆ ให้เพียงพอกับ 2 วัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ทำได้ อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว จากการย่อยอาหารมื้อใหญ่มากในคราวเดียว
- ทางแก้คือ
- เปลี่ยนมากินทั้งวัน 12 ชม แล้วอดข้ามวัน เหมือนเดิม
- ประโยชน์ที่จะได้จาก ketosis คือ เวลาอดต่อเนื่อง 36 ชม - 18 ชม(เวลาในการ burn carbohydrate ก่อนที่เข้า ketosis อย่างเข้มข้นจริงๆ)= 18 ชม
- ประโยชน์ที่จะได้จาก autophagy แบบเข้มข้น คือ เวลาอดต่อเนื่อง 36 ชม - 24ชม(เวลาก่อนที่จะเข้า autophagy) = 12 ชม
- สรุป กระบวนการใช้เวลา 2 วันต่อรอบ เฉลี่ยต่อวันได้ประโยชน์ จาก ketosis 9 ชม จาก autophagy 6 ชม
- เปลี่ยนมากิน วันละมื้อ 2 วัน แล้ว อดข้ามวัน 1 วัน
- ในวันที่กินวันละ 1 มื้อ 2 วัน(IF 22/2)
- ประโยชน์ที่จะได้จาก ketosis คือ เวลาอดต่อเนื่อง 22 ชม - 18 ชม = 4 ชม
- ประโยชน์ ที่จะได้จาก autophagy คือ 0 ชม
- ในวันที่อดข้ามวัน
- ประโยชน์ที่จะได้จาก ketosis คือ เวลาอดต่อเนื่อง 46 - 18 = 28 ชม
- ประโยชน์ที่จะได้จาก autophagy คือ 46-24=22 ชม
- รวมเวลาที่ได้ประโยชน์ จาก 3 วัน คือ ketosis 36 ชม autophagy 22 ชม
เฉลี่ยต่อวันได้ประโยชน์ จาก ketosis 12 ชม จาก autophagy 7:20 ชม - ข้อดี คือ
- สะดวกในการใช้ชีวิต เพราะ กินวันละมื้อ โดยไม่ต้องหยุดงาน มากินทั้งวัน
- แบ่งหลายวัน มีโอกาสที่จะได้อาหารหลากหลายกว่า
- ไม่ต้องกินเยอะมากในวันเดียวจนเสียสุขภาพ
- เวลาในการอดเฉลี่ยมีมากกว่า
- ข้อสังเกต คือ
- ปกติกินวันละมื้อ มักจะไม่มีแรงเหลือในวันถัดไป อาจต้องเป็นมื้อที่ใหญ่ขึ้นนิดนึง เผื่อวันที่จะอดด้วย
- ต้องชั่งน้ำหนักตัวเองเสมอๆ ถ้าน้ำหนักลด
- ก็อาจเพิ่มวันกินอาหารบ้าง เป็น กิน 3 วัน วันละมื้อ แล้ว อดข้ามวัน 1 วัน
- หรือเพิ่มมื้ออาหารในวันก่อนที่จะอด รวมเป็น 2 มื้อ แล้วค่อย อดข้ามวัน 1 วัน
- ในวันที่กินวันละ 1 มื้อ 2 วัน(IF 22/2)
- เปลี่ยนมากินทั้งวัน 12 ชม แล้วอดข้ามวัน เหมือนเดิม
- สรุปว่า จะเปลี่ยนมาทำ IF 22/2 แล้วอดข้ามวัน 1 วัน(IF 46/2) หรือ ก็คือ กินวันละมื้อ 2 วัน แล้วอดข้ามวัน 1 วัน(คำนวณแล้วว่าได้ประโยชน์มากกว่า แถมใช้ชีวิตง่ายกว่า รู้อย่างนี้ทำไปตั้งนานแล้ว)
- แนะนำให้กินเป็นมื้อเช้า เคยกินมื้อเย็น-ดึก มื้อใหญ่ๆก่อนนอน ซึ่งมันไม่เหมาะกับ circadian rhythm ของคนเรา ทำให้นอนหลับยาก และเกิดการอักเสบเยอะ(ผื่นขึ้นหน้า) แทนที่จะได้ประโยชน์อาจทำให้แก่ไวขึ้นแทน
ถ้าสมมติมีพระเจ้า และ มีโลก เป็นบ้านที่พระเจ้าสร้างขึ้น แล้วบังเอิญมีคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า(Bitcoin) เครื่องหนึ่งที่ทำงานมาหลายสิบปีแล้ว แต่กินพลังงานมาก ทำงานก็ช้า อีกทั้งมีตัวเลือกที่สามารถทดแทนได้ คือ Cardano ที่ใช้พลังงานน้อยกว่ามากๆ แต่มีเสถียรภาพ มีความปลอดภัย แถมไม่ต้องกินทรัพยากรการประมวลผลเยอะ พระเจ้าก็คงเอาคอมพิวเตอร์เก่าๆเครื่องนั้นออก(Bitcoin) แล้วเปลี่ยนเป็นระบบใหม่(Cardano) ที่กินไฟน้อยนิด ใช้พลังการประมวลผลน้อยนิด เสถียร ทำงานไว แล้วเอาพลังงานไฟฟ้าที่เหลือไปพัฒนาโลกอย่างอื่นต่อ ทั้งการหาวิธีลดความอดอยาก, ลดโลกร้อน เป็นต้น
- บางคนบอกว่า bitcoin อย่างไรก็ใช้พลังงานน้อยกว่า ธนาคารทั้งโลกรวมกัน
- ก็ถ้าในเมื่อมีเทคโนโลยีที่ดีกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่าได้ ทำไมยังจะต้องไปใช้ทางเลือก ที่ทำให้ยังคงต้องผลาญพลังงานเหมือนเดิมล่ะ?
- เปรียบเหมือนโลกเป็นบ้านเรา ถ้าเราต้องจ่ายค่าไฟเดือนละ หลายพันล้าน การลดบิลค่าไฟได้สัก 5-10 % มันก็เป็นเงินมหาศาลที่จะเอาไปพัฒนาชีวิตมนุษย์บนโลกได้อีกมากมาย
- กินพลังการประมวลผลเยอะ ถ้าในแง่ programming ถือว่าไม่เหมาะสม
- ถ้าเลือกได้ ก็จะเอาพลังการประมวลผลไปทำอย่างอื่น เช่น ใช้พลังการประมวลผลไปกับ AI ในการพัฒนาการเกษตรให้ดีขึ้น เพื่อลดความอดอยากของประชากรโลก
คุณสมบัติที่ไม่ดีของ Bitcoin สามารถทดแทนได้ใน Cardano แต่หาไม่ได้หรือมีไม่ครบในเหรียญ crypto อื่น
- ความเสถียร : เปิดมา 5 ปี ยังไม่เคยล่ม หรือ รีเซต ทั้งๆที่โปรแกรม ทำงานบน Hardware ราคาถูก ในแง่ programming มันเป็นระบบที่เจ๋งมาก เพราะขนาด Google, Facebook, Amazon ที่เต็มไปด้วยวิศวะกรเก่งๆ มี Hardware ประสิทธิภาพสูง ก็ยังเจอกับปัญหาระบบล่มอยู่
- ทำงานเร็ว : ความเร็วที่อยู่ในระดับที่ใช้งานได้จริงในชีวิต ถ้าเร็วมากแต่ไม่เสถียรหรือไม่ปลอดภัย ก็ใช้งานจริงไม่ได้
- ความปลอดภัย: ยังไม่เคยถูกแฮคได้ ตั้งแต่ที่เปิดระบบมา(เหรียญ meme ที่แม้จะมีคนรู้จักน้อย ก็โดนแฮกกันมาเยอะแล้ว)
- ความ decentralized แท้จริงๆ: ไม่มี top rich holder หรือมีก็เพียงสัดส่วนไม่เกิน 20% ซึ่งต่ำกว่าเหรียญอื่นมาก เช่น Ethereum มีสัดส่วน top 100 holder ถึง 50% หมายความว่าการควบคุมราคาเหรียญ อยู่ในมือคนแค่ 100 คนนี้ เพียงแค่ 100 คนนี้ พร้อมใจกันขาย มูลค่าด้านราคา ก็จะดิ่งลงเหว
แต่ทั้งนี้พระเจ้าคงไม่มีอยู่จริง แต่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน อนาคตเป็นสิ่งที่บอกไม่ได้เหมือนกัน ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หรือเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่
- รูปแบบชีวิต คือ ศีล8 ตามที่พระพุทธเจ้าสอน มันเป็นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายและสมบูรณ์แบบจริงๆ ทั้งในแง่ สุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมไปถึง productivity และ สามารถต่อยอดไปทำสมาธิและเอื้อต่อการเจริญสติปัฏฐานที่ละเอียดขึ้นได้ด้วย
- หลังจากที่ลองเปลี่ยนมากินมื้อเช้า และงดอาหารหลังเที่ยง(Fasting) ทุกอย่างมันลงตัวและสมบูรณ์แบบเลยแฮะ กิจกรรมทุกอย่างที่วุ่นวาย หรือใช้แรงทางกาย เช่น งานบ้าน ซักผ้า กวาดบ้าน ทำอาหาร กินอาหาร ฯลฯ ทำให้มันเสร็จในช่วงเช้าทีเดียว ตอนสายๆ ก็ไปอ่านหนังสือที่หอสมุดมหาลัย และ เดินทางกลับหอพักตอน 2 ทุ่ม ถึง ก็ 3 ทุ่ม อาบน้ำ แล้วก็ทำกิจกรรมเบาๆ เช่น ทบทวนตัวเอง อ่านหนังสือต่อ เป็นต้น แล้วก็เข้านอน 4 ทุ่มพอดี
- แต่ก่อน อดตอนเช้า แล้วกินตอนเย็น เข้าใจว่าเรียบง่ายแล้ว แต่จริงๆไม่ใช่ ร่างกายต้องรับภาระหนักทำงานทั้งวัน ตอนกำลังจะนอนเพื่อพักผ่อน กลับต้องมาวุ่นวายกับการเตรียมอาหาร กินอาหาร ย่อยอาหารมื้อใหญ่ ซึ่งก็เป็นภาระหนักกับร่างกายอีก แถมอาหารมื้อใหญ่ ก็ทำให้อึดอัดนอนไม่หลับ ทีนี้ร่างกายก็ยิ่งไม่ได้พักไปกันใหญ่ ซึ่งร่างกายไม่มีปากที่จะบอกเราว่าตัวเองลำบากแค่ไหน อนุมูลอิสระเยอะแค่ไหน จึงได้แสดงออกมาเป็นการอักเสบรูปแบบต่างๆ ถึงจุดหนึ่งถ้ามันสะสมมากๆ ก็อาจทำให้ระบบอวัยวะไม่สามารถทำงานได้ดังปกติ
- ในทางการแพทย์ นาฬิกาชีวิตของคนเรา(Circadian rhythm) ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เหมาะกับการกินอาหารในตอนเช้า ไม่เหมาะกับการกินมื้อเย็น, มื้อดึก
- ช่วงที่กินเป็นมื้อเย็น-ดึก จะมีผื่นขึ้นหน้าตลอด ซึ่งแสดงถึงการอักเสบและภูมิคุ้มกันที่ไม่ดี แต่พอเปลี่ยนมากินมื้อเช้า ผื่นที่หน้าก็ไม่เกิดอีกเลย หรือมีน้อยมากๆ
- โดยส่วนตัวจะมีวันที่กินวันละมื้อ 2 วัน แล้วอดข้ามวัน อีก 1 วัน (alternate day fasting) เพื่อเร่งกระบวนการพัฒนาตนเองในด้าน neuroplasticity ให้สามารถพัฒนาตนเองได้เร็วขึ้นอีก ทั้งนี้ต้องดูแลเรื่องโภชนาการให้เพียงพอด้วย โดยเปลี่ยนมากินธัญพืช ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง(dense and rich nutrition)
- แต่ก่อน อดตอนเช้า แล้วกินตอนเย็น เข้าใจว่าเรียบง่ายแล้ว แต่จริงๆไม่ใช่ ร่างกายต้องรับภาระหนักทำงานทั้งวัน ตอนกำลังจะนอนเพื่อพักผ่อน กลับต้องมาวุ่นวายกับการเตรียมอาหาร กินอาหาร ย่อยอาหารมื้อใหญ่ ซึ่งก็เป็นภาระหนักกับร่างกายอีก แถมอาหารมื้อใหญ่ ก็ทำให้อึดอัดนอนไม่หลับ ทีนี้ร่างกายก็ยิ่งไม่ได้พักไปกันใหญ่ ซึ่งร่างกายไม่มีปากที่จะบอกเราว่าตัวเองลำบากแค่ไหน อนุมูลอิสระเยอะแค่ไหน จึงได้แสดงออกมาเป็นการอักเสบรูปแบบต่างๆ ถึงจุดหนึ่งถ้ามันสะสมมากๆ ก็อาจทำให้ระบบอวัยวะไม่สามารถทำงานได้ดังปกติ
- การงดสิ่งบันเทิง ทำให้ความหลงมัวเมายึดติดในความบันเทิงน้อยลง มีสติเจริญขึ้น สติที่แจ่มใสขึ้น จะช่วยให้เห็นปัญหาในชีวิตได้ชัดเจนขึ้น เวลาในชีวิตมากขึ้นจากการไม่ถูกดึงดูดไปกับสิ่งไร้สาระ มีโอกาสที่จะพัฒนาชีวิตได้ดีขึ้น
เหมือนความรู้ทุกศาสตร์ ดีหมด เรียนให้เข้าใจ มีคุณค่าทุกอย่าง (แต่สิ่งที่แย่ในไทย คือ ไม่สอนการนำไปใช้ เอาแต่สอนเพื่อไปทำข้อสอบ)
- อย่างเราเรียนมาทางด้านสุขภาพ (แม้จะไม่ชอบและสุดท้ายก็ลาออกมาทำตามความฝัน) ก็ได้หลักคิด การต่อยอดในการหาความรู้ในการดูแลสุขภาพ และเอาการดูแลสุขภาพ(Intermittent fasting การออกกำลังกาย ฯลฯ) มาเป็นหนึ่งในวิธีการพัฒนาตนเอง ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างก้าวกระโดด
- หรืออย่างความรู้ทางด้านเคมี ก็ทำให้เราอ่านองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เข้าใจ พอรู้ว่าเขาใส่อะไรมาบ้าง
- ความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ ก็ไม่เพียงแต่เอาไว้คุยกับคนต่างชาติ
- แต่เราสามารถใช้อ่าน เว็บบอร์ด(reddit) ดูว่าวัยรุ่นต่างประเทศเขาฮิตอะไรกันอยู่ มีปัญหาชีวิตเหมือนเราหรือไม่ มุมมองเกี่ยวกับการทำตามความฝันเหมือนเราหรือไม่(แม้อายุมากแล้วยังเรียนต่อตามความฝัน)
- รวมไปถึง เข้าถึงความรู้ได้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น เพราะ ปรมาจารย์ในด้านต่างๆ มักจะเขียนหนังสือโดยใช้ภาษาอังกฤษ การอ่านตำราของปรมาจารย์เหล่านี้ เหมือนกับเรากำลังได้รับการถ่ายทอดสุดยอดวิชาจากคนเก่งๆโดยตรง
- หรือ แม้แต่มีช่องทางการสั่งของราคาถูกจากต่างประเทศ เป็นต้น
- พอเราเห็นโลกกว้าง เราก็จะไม่ติดใน กรอบสังคมที่เราอยู่อาศัย หรือกรอบความคิดจากคนรอบข้าง แต่เราจะมีความคิดที่กว้างขวางขึ้นมาก
เทรด Forex
- The Art of Currency Trading: A Professional’s Guide to the Foreign Exchange Market
- The New Trading for a Living
- Mark Douglas. Trading in the Zone
- Naked Forex
การลงทุน
- The intelligent investor
- ตำราที่คุณปู่ Warren Buffett แนะนำ
- "But when I was 11, I picked stocks. I had the whole wrong idea. I thought stocks were things that went up and down and I charted them. I read books on technical analysis. I read everything. And I thought the important thing was to predict what a stock would do and predict the stock market. And then I read Ben Graham and I realized that I was doing it exactly the wrong way when I read the book, The intelligent investor. And from that point I never bought another stock I bought businesses that happen to be publicly traded. But I became an owner of a business. And I did not care whether a stock went up or down the next day or the next week or the next month or the next year. And I didn't have any idea what it would do. I didn't know what the stock market would do, but I knew businesses."
https://www.facebook.com/reel/899010888198299
- เรื่องการเทรด สิ่งที่จะต้องอ่านเพิ่มคือ
- ศึกษา Fundamental economy เพื่อให้รู้เกี่ยวกับ ระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ กลไกเศรษฐกิจ กลไกค่าเงิน กลไกราคาพื้นฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งในระดับโลก และ แต่ละประเทศ
- ตำรา Financial Markets & Institutions เขียนโดย Frederic S. Mishkin and Stanley G. Eakins
- ศึกษา World History ของแต่ละประเทศ ว่าความเป็นมาเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นจุดเด่น จุดด้อย
- ศึกษา ภูมิศาสตร์ ทรัพยากร ดิน แร่ พลังงาน เศรษฐกิจหลัก ของแต่ละประเทศ ว่ามีอะไรเป็นจุดเด่น จุดด้อย
- ศึกษา Fundamental economy เพื่อให้รู้เกี่ยวกับ ระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ กลไกเศรษฐกิจ กลไกค่าเงิน กลไกราคาพื้นฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งในระดับโลก และ แต่ละประเทศ
- นอกเหนือจากการเทรด สิ่งที่จะอ่านเพิ่มคือ
- การลงทุนใน Crypto: the Bitcoin standard, the Fiat standard
- สาย pure technical analysis
- ตำราเทรดเล่มอื่นๆที่มีชื่อเสียง(แนะนำใน reddit)