Skip to main content

สิ่งที่ได้เรียนรู้ มิ.ย. 67

Submitted by krishrong on

30

  • หลังจากที่เลิกทะเลาะกับแม่ สุขภาพจิตก็ดีขึ้น เหมือนเป็นการหยุดทำบาปกรรม ก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็นคนเสียสติไป
    • แต่เราไม่ได้หยุดเพราะ อยากได้บุญและกลัวบาป อะไรทำนองนั้น แต่เราหยุดเพราะ แม่สมควรได้รับความสุข ไม่ควรได้รับความลำบากใจใดๆอีก เพราะ แม่เสียสละเลี้ยงดูเรามามากกว่า 60 ปีแล้ว แม้เราจะเสียสละได้ไม่เท่าแม่ หรือ คิดเห็นไม่ตรงกับแม่ แต่เราก็จะไม่ทำไม่ดีกับแม่ และ ต้องดูแลแม่ให้มีชีวิตที่สุขสงบ มีชีวิตที่ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม(ที่ถูกศีลธรรม) ใน 10-20 ปีที่เหลืออยู่
    • She deserves all this good thing
    • อย่างน้อยๆ ต้องทำดีกับแม่ที่สุดก่อน ห้ามพูดไม่ดี ห้ามทำไม่ดี แม่ด่าก็เงียบๆไป

28

  • คิดว่าจะเลิกเถียงแม่แล้ว(เงียบๆไป) เหมือนเวลาของแม่ที่จะมีชีวิตอย่างปกติสุข เหลือไม่มาก แค่ 10-15 ปี ควรให้แม่ได้มีชีวิตที่ดีที่สุด
    • ถึงเราจะคิดว่า เรื่องการเลือกทางเดินชีวิตของเราเอง นั้น เราไม่ผิด มันคือการทำเพื่อตัวเองอย่างหนึ่ง แต่ถ้าแม่ด่าเรา เราจะเงียบ
    • อย่างน้อยอีกไม่กี่ปีที่เหลืออยู่ ควรจะดูแลแม่ให้ดี
  • เราต้องไม่ปล่อยให้ความคิดลบเข้าครอบงำความคิด ของเรา อย่าปล่อยให้มันอยู่ในใจเราได้นาน ไม่อย่างนั้นอนาคต พออายุมากขึ้น เราจะกลายเป็นคนแก่ที่เห็นแก่ตัวจัดๆ คิดได้เพียงด้านเดียว มองโลกในแง่ร้าย toxic ตามโลกไม่ทัน กลายเป็นมนุษย์ลุงที่ใครก็รังเกียจ
  • บางทีใช้สมองเยอะ จนเครียดจัด ก็ต้องพักผ่อน ฟังเพลงปล่อยสมองโล่งๆบ้าง ไม่อย่างนั้นสุดท้ายสมองก็ตัน ใช้งานไม่ได้ดีอยู่ดี

26

  • เหมือนเวลาอ่านหนังสือจาก หนังสือจริง หรือ e-reader(e-ink) จะสามารถรับรู้ Grammar ได้ดีกว่า อ่านจากหน้าจอนะ เพราะ เคยลองอ่าน จากหน้าจอมานานแต่ Grammar ไม่พัฒนาเสียที(แถมแย่ลง) เหมือนกับว่า สายตาจะทำงานหนักกว่าเมื่ออ่านบนหน้าจอ เลยทำให้รับรู้ภาษาได้ไม่เต็ม 100%
  • อ่านหนังสือเท่านั้น หาความรู้และทดลองให้เห็นประจักษ์ อย่าเชื่อความคิดของตัวเอง ที่เต็มไปด้วยความหลงผิด อคติ และ ความคลาดเคลื่อน(บางทีข้อมูลผิดตั้งแต่ การรับรู้ ความจำที่ผิดพลาด)
  • จริงๆการมาอ่านหนังสือที่มหาลัยของเรานั้น มีประโยชน์มากๆเลยนะ เพราะ ได้เห็นคนเก่งๆ เจอคนพูดภาษาต่างชาติได้คล่องแคล่ว ทำให้เรารู้ว่าเพียงแค่อ่านภาษาอังกฤษได้นั้น ยังไม่พอ (ถ้าเราอยู่แต่ในบ้าน ป่านนี้คงยังไม่รู้ว่าโลกภายนอกมีคนที่เก่งกว่าเรามากมาย มีอะไรที่เราต้องพัฒนาอีกมาก)

25

  • Anti-glare ใน kindle scribe อาจไม่ได้ส่งผลกับการอ่านอย่างที่คิด(ยังคงอ่านได้ดี) ส่วนในเรื่องของการ reflow หน้ากระดาษที่ทำได้ไม่ดี อาจสามารถใช้โปรแกรมจัดหน้ากระดาษก่อน(pdfsam) แล้วค่อยโยนเข้า kindle ก็จะหมดปัญหาแล้ว
  • หนังสือดีๆ มีมากมายจริงๆ อย่าปิดกั้นตัวเอง อย่าเชื่อความคิดที่ยังไม่รู้จริงของตัวเอง หรือ อย่าเชื่อคำพูดของคนอื่นๆ จงหาความรู้ให้ประจักษ์และพิจารณาด้วยตนเอง
    • วันนี้อ่านตำราเทรด Technical analysis ได้แนวคิดดีๆ แบบที่ไม่เคยเองได้มาก่อน
  • คิดว่าถูก คิดว่าผิด คิดว่าดี คิดว่าไม่ดี อะไรก็เชื่อไม่ได้ บางทีเราหลอกตัวเราเอง บางทีเราเข้าใจผิดไปเอง อย่าเชื่อความคิด อย่าเชื่อความรู้สึกของตัวเอง เพราะ มันไม่จริง เป็นเพียงความปรุงแต่ง
  • สุดท้ายของสงคราม การทำลายล้างซึ่งกันและกัน ก็มีแต่ความเสียหาย ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น (แม้แต่การช่วงชิงกัน ในหน้าที่การงาน ในสังคม)
    • บางทีชนะคนอื่น ด้วยวิธีทำลายล้าง ทำให้ล้มเหลวจนพ้นทางเรา เราก็ไม่ได้รู้สึกดีนักหรอก ความรู้สึกผิดกลับคงอยู่ในใจ ไม่สนุกแม้แต่น้อย
    • บางทีถ้าคนอื่นอยากแข่งกับเรา แต่เราไม่แข่งด้วย การต่อสู้ก็ไม่เกิด

23

  • เหมือนการนั่งสมาธิ ก็เพิ่ม BDNF ได้ 3 เท่า เมื่อฝึกไป 3 เดือน https://blogs.berkshirecc.edu/stressandhealth2020/2020/03/17/the-real-fountain-of-youth-meditation/ 
  • คนห่วยๆ ที่เราพบเจอ ตอนนี้แบ่งได้ 2 แบบ
    • ขยะ(Trash) เป็นคนน่ารำคาญ ไร้ประโยชน์ ที่ไม่ต้องใส่ใจ ให้เมินเฉยเหมือนขยะข้างทาง ต่อความสกปรกให้มาเปื้อนเรา เราก็แค่ล้างออก แต่จะไม่เสียเวลาอันมีค่าของเราไปทะเลาะ
    • อึ(Poop) เป็นประเภทน่ารังเกียจ แค่มองยังขยะแขยง พยายามอย่าแม้แต่จะมอง ไม่งั้นความขยะแขยงจะเข้าตาเรา เรื่องเข้าใกล้ไม่ต้องพูดถึง หนีห่างเสมอๆ ปล่อยให้ก้อนอึชนะไป(เคยอ่านในพระไตรปิฎก เรื่องที่ ราชสีห์ยอมแพ้หมูสกปรก เพราะ ไม่อยากเปื้อนขี้ตามตัวจากหมู)
  • แม้แต่ Roger Federer นักเทนนิสอันดับ 1 ของโลก ก็ยังมีช่วงที่ต้องต่อสู้กับอารมณ์ด้านลบของตัวเอง สิ่งเหล่านี้เกิดได้กับทุกคน เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับมัน - > การฝึกสมาธิช่วยได้มาก
  • จริงๆ ที่เราฟังเนื้อร้องเพลง ภาษาอังกฤษออกมากขึ้น น่าจะเพียงแค่ 30%(ไปดูเนื้อร้องจริงๆยังมีที่ฟังไม่ออกอีกมาก) น่าจะเกิดจากการที่เราอ่านภาษาอังกฤษเยอะมากในช่วงนี้ จนคลังคำศัพท์ในหัวเยอะมากขึ้น
  • เหมือนการที่เราอ่านหนังสือจาก Tablet เล็กๆได้ แปลว่าตัวอักษรไม่จำเป้นต้องใหญ่ก็อ่านได้ ขึ้นอยู่กับ สมาธิ, Brain health

22

  • สรุป productivity: อดอาหาร(Fasting) 16-20ชม, ออกกำลังกาย HIIT, นั่งสมาธิ หลังตื่น-ก่อนนอน 10 นาที+ทำสมาธิในใจเรื่อยๆ ระหว่างวัน
  • ต่อให้เราไม่ได้อยากบรรลุ (อาจเพราะ มีความตั้งใจอะไรอยู่?) แต่การฝึกสติคอยดูกาย ใจ ก็เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตัวเองที่ดีมากๆ ต้องคอยย้อนกลับมาดูตัวเองบ่อยๆนะ

21

  • ถ้าจะอ่านหนังสือตอนกินข้าวได้ ต้องเป็นเรื่องที่ชอบอ่าน

20

  • ทุกความยากลำบากให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ
    • อดทนอ่านข่าว Reuters อย่างยากลำบาก จนตอนนี้สามารถอ่านตำรา Naked Forex ได้อย่างชิลๆแล้ว เพราะ ศัพท์ง่ายกว่ามาก เหมือนอ่านหนังสืออ่านเล่นเลย
    • ตอนนี้อ่านตำราการเงิน ทั้งๆที่นักเทรดส่วนมาก(ที่ไม่ประสบความสำเร็จ) ต่างบอกกันว่า ใช้ Techinical ก็พอแล้ว จะศึกษา Fundamental ให้ปวดหัวไปทำไม แต่เพราะเชื่อในปรมาจารย์นักเทรดที่บอกให้ศึกษา คิดว่าอนาคต ก็น่าจะได้ผลที่ดีมากๆแน่นอน
    • ตอนนี้เผชิญกับความโดดเดี่ยว เพราะ เราลำบากก็ไม่มีใครอยากคบหา แต่คิดว่าความลำบากเหล่านี้ จะหล่อหลอมให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น
    • นั่งในมหาลัย ในบริเวณที่มีแต่คนต่างชาติ ซึ่งใช้ภาษาต่างชาติกันเป็นปกติ ตัวเราแม้จะอ่านภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ก็กลายเป็นรู้สึกกระจอกมากๆเลย แต่คิดว่า ความอายเหล่านี้ต้องผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • จงระวังเวลาที่เราเลือกทางที่เรารู้สึกสบาย ไม่ต้องลำบากอะไร เพราะนั่นหมายถึงการที่เราไม่ได้พัฒนาตัวเอง
    • ศึกษา Techinical analysis เพราะ คิดว่าเป็นทางที่ง่าย ไม่ต้องหาความรู้เยอะ จริงๆน่าจะไม่ใช่แนวคิดที่ถูกต้อง เพราะ มันเป็นเพื่อความไม่อยากหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งนี้ก็ศึกษาได้ แต่ก็ต้องศึกษา Fundamental จริงๆต่ออยู่ดี
  • เหมือนเวลาฝึกอานาปานสติ มีเทคนิคตามพระไตรปิฎกคือ กำหนดรู้อยู่ที่จุดเดียว และดูลมหายใจเข้า-ออกที่ผ่านจุดนั้นเหมือนคนกำลังเลื่อยไม้ไปมา โดยไม่ต้องตามลมหายใจไป รู้อยู่ที่จุดเดียวคือปลายจมูก
  • เอาจริงๆ หลายๆเรื่อง เราไม่ควรคิดเอาเองนะ ควรศึกษาจากคนที่ประสบความสำเร็จในด้านนั้นๆจะดีกว่า เช่นว่าการเทรดด้วย Technical ที่แต่ก่อนเราปฏิเสธ พอลองอ่านตำราจริงๆ ก็ได้มุมมองดีๆมากมาย เป็นต้น
  • ความรู้สามารถ เปลี่ยนความคิด และ เปลี่ยนชีวิต อย่าคิดเอาเอง เพราะจะทำให้ชีวิตวนอยู่กับที่ พยายามอ่านหนังสือเยอะๆ ระวังการคิดเอาเองให้มากๆ
  • เหมือนตั้งแต่เริ่มมาออกกำลังกายแบบ HIIT ก็พิมพ์สัมผัสได้คล่องขึ้นเรื่อยๆนะ แสดงว่าน่าจะพัฒนาจริงๆ ช่วงที่ทำ Alternate day fasting มันก็ดีบ้างแย่บ้าง แต่ไม่ได้พัฒนาเร็วเท่าการวิ่งนะ

19

18

  • เราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับรายละเอียดประเทศต่างๆ ผ่าน Wikipedia ได้นะ มีรายละเอียดหลายอย่างที่ควรรู้เลย ตัวอย่างเช่น https://en.wikipedia.org/wiki/Liechtenstein 

17

  • ในวันที่ไม่ได้ออกกำลังกายแบบHIIT มักจะมีอารมณ์ด้านลบเข้ามา เราจะต้องไม่ปล่อยให้อารมณ์ด้านลบเข้าครอบงำจิตใจ อาจจะต้อง Fasting บ้างนะ

16

  • วันนี้ออกกำลังกายแบบ HIIP ด้วยการวิ่ง sprinting แต่พบว่า Heart rate ไม่ถึงเกณฑ์ 170bpm ซึ่งอาจหมายความว่าไม่ได้ VO2 Max แต่จริงๆ กลับพบว่าสมองแล่นมากกว่า, Mental Health ดีกว่า เมื่อวานที่พยายามออกกำลังกายแบบพิเศษ เพื่อเพิ่ม Heart rate จนผ่านเกณฑ์ VO2 Max ถึง 2 นาที(แต่กลับหงุดหงิดง่าย ซึมเศร้าง่าย)
    • การนับ VO2 Max ด้วย Heart rate อาจไม่ถูกต้องเสมอไป ถ้าคนหัวใจแข็งแรง แน่นอนว่าอัตราการเต้นก็ไม่มากเท่าคนที่อ่อนแอ หรือ สูบบุหรี่(มีการศึกษาว่า เวลาคนสูบบุหรีออกกำลังกายได้ กลับได้ Heart rate มากกว่าคนปกติมาก แต่ไม่ได้แปลว่าได้ VO2 Max)
    • การนับ VO2 Max ด้วยอาการหอบเหนื่อย จนพูดไม่เป็นประโยค ขณะออกกำลังกาย น่าจะเหมาะสมกว่า
  • สรุปว่าที่เมื่อวานออกกำลังกายแบบฝึกชกลม จนได้ Heart rate > 170-180 นานถึง 2 นาที แต่กลับหงุดหงิด ซึมเศร้า เพราะ มันไม่ได้หนักถึง VO2 Max จริงๆ(เมื่อวานที่ออกกำลังกาย ไม่ได้หอบเหนื่อยด้วย แม้ HR จะสูงมาก)
  • ความเกลียดชัง ความเคียดแค้น สุดท้ายมันจะกลายเป็นกำแพงกั้นความสำเร็จ และ ความสุขในใจเราได้ เราไม่จำเป็นต้องรักคนที่เคยทำร้ายเรา เพียงแต่ปล่อยวางความโกรธออกจากใจเรา เราจึงจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
  • สรุปว่าการจมอยู่กับความทุกข์ มันไม่มีอะไรดีต่อตัวเราเองเลย อะไรไม่ดีเราก็เรียนรู้ไว้ แต่การสร้างความทุกข์ในใจเราเองนั้น เลิกเสียเถอะ
  • ออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ไม่ว่าจะHIIT หรือ Aerobic ไม่เกิน 5-10 นาที ช่วยเรื่อง Mental health ได้จริง มากกว่าการเต้นแบบ HIIT เพราะ Intensity มากกว่า(หอบเหนื่อยมากกว่า) จึงได้ผลมากกว่าในการเกิด BDNF
  • สรุปว่า วิ่ง 5-10 นาที High intensity จนหอบทุกวัน อาจจะสลับกับ medium บ้าง(แต่ก็พยายามทำให้หอบสักครั้งนะ) คือเน้น VO2 Max(การใช้ ออกซิเจนสูงสุด = หอบ) เพื่อฟื้นฟู Mental health และ สมอง ให้ดีขึ้น
  • การวิ่งเปลี่ยนชีวิตจริงๆนะ!!! ตอนนี้เริ่มอ่านหนังสือได้นานขึ้น และมีสมาธิมากขึ้น พัฒนาตัวเองได้เร็วกว่า Fasting โดยหลักการคือ การพัฒนา VO2 Max ซึ่งสัมพันธ์ไปกับการเกิด BDNF

15

  • มาคิดๆดูแล้ว เหมือนทุกวันนี้เราสูญเสียอะไรไปมากมายในชีวิต ยอมลำบากมากมาย แต่ไม่มีใครที่สนใจอยากจะช่วยเหลือด้วยใจจริง ไม่มีเพื่อน(มีแต่หวังผลประโยชน์ หรือแค่ซักไซ้ รู้เรื่องชีวิตเราเฉยๆ แถมบางคนยังหาว่าเราอวดดีอีก​) ถ้าอนาคตเราประสบความสำเร็จขึ้นมา แน่นอนว่าเพื่อนเก่า จะกลายมาเข้าหาเราและอยากสนิทกับเรามากขึ้น แต่จงจำไว้ว่าเพื่อนเหล่านี้ล้วนแต่หวังผลประโยชน์ มันไม่มีค่าพอสำหรับการที่เราจะลำบากแทบตาย เพื่อเพื่อนไร้ค่าเหล่านี้
    • เพศตรงข้ามก็เช่นกัน ซึ่งเคยยินทำนองตำราพิชัยสงคราม มัน(เพศตรงข้าม)สามารถหลอกล่อคนได้มาก จงจำไว้ว่า พวกนั้นไม่มีค่าพอสำหรับความลำบากที่เราเผชิญตามลำพังในช่วงวิกฤติชีวิต พอเห็นชีวิตเราดี ก็อยากจะมานั่งสวยๆไปวันๆโดยอาศัยการล่อลวงเรา
      • ไม่ใช่เราที่จะต้องทำให้ใครประทับใจ คนอื่นต่างหากที่ต้องพยายามทำให้เราประทับใจ แต่สุดท้ายเราจะเลือกใครหรือไม่ ก็อยู่ที่เรา ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องสนใจใครด้วยซ้ำ ถ้ามันไม่มีค่าพอ
      • จำไว้ว่า ไม่ใช่ให้"พวกนั้น"เลือกเรา เราต่างหาก จะเป็นผู้เลือก ว่าจะให้ใครเข้ามาในชีวิต หรือ ไปไกลๆจากเรา
        • อีกวิธีหนึ่งคือ ถ้าพวกนั้นล่อลวงเรา เราก็ล่อลวงพวกนั้นกลับคืน ไม่โกง สนุกดี แต่เอาจริงๆ ไม่ควรทำเพราะมันจะเสียเวลาอันแสนมีค่าในชีวิตเรา ซึ่งพวกนั้นไม่มีคุณค่าพอ
    • เขียนเตือนตัวเองไว้ ว่าอย่าโดนหลอกง่ายๆในอนาคต ถ้าเราประสบความสำเร็จแล้ว พวกคนเหล่านี้จะไม่มีคุณค่าพอที่เราจะเสียเวลาด้วยเลยแม้แต่น้อย
      • หรือต่อให้เราล้มเหลว หรือ ยังไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรพวกนี้ก็ไม่ใช่เพื่อนอยู่แล้ว เป็นเพียงคนที่ผ่านมาผ่านไป
  • เราจึงต้องพัฒนาตัวเองให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องสนใจสายตา [อันว่างเปล่า หรือ แกล้งทำท่าฉงนสงสัย หรือ แกล้งทำเป็นห่วง หรือ แกล้งทำเป็นให้กำลังใจ หรือ แกล้งทำเป็นดูถูก] ใดๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ มาจากการที่คนเหล่านี้กำลังกลัว อิจฉา จึง พยายามทำลายความมั่นใจในตัวเองของเรา ทั้งการด่าให้เสียกำลังใจตรงๆ ไปจนถึงแกล้งทำเป็นมาเป็นมิตรเรา แล้วพยายามหาวิธีเกทับให้เราเสียกำลังใจ หรือหลอกให้ไขว้เขวกับเป้าหมาย
  • จงจำไว้ว่า แม้เราจะสำเร็จแล้ว ก็ยังสำเร็จ อีกเท่าตัวได้อีก และทวีไปอีกได้เรื่อยๆ จงเชื่อมั่นในตัวเอง และพยายามให้ถึงที่สุด ไม่ต้องเกรงใจเพื่อน ที่หลอกลวง และ พยายามแทงข้างหลังเรา เหล่านี้
  • วันนี้ไปฟังเทศน์ของพระอาจารย์ บุญทวี สีลตจิตโต ที่วัดปทุมวนาราม พระอาจารย์ได้แนะนำเคล็ดอย่างหนึ่ง คือ ให้ฝึกรู้ลมหายใจ ให้เหมือนเราดูโทรศัพท์ ถ้าคิดจะดูโทรศัพท์เมื่อไหร่ ให้รู้ลมหายใจแทน แล้วชีวิตเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ

14

  • ออกกำลังกายแบบ HIIT ช่วยให้อาการสมาธิสั้นดีขึ้นได้มากจริงๆ แต่ก่อนเข้าใจว่าต้องฝึกสติ ฝึกสมาธิ อาการสมาธิสั้น จึงจะดีขึ้น แต่หลังจากที่ได้ออกกำลังกายแบบ HIIT 1 สัปดาห์ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ สามารถโฟกัสกับการอ่านหนังสือได้ ได้ท่ามกลางการนั่งในที่สาธารณะ ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อน มีคนนั่งข้างๆนิดหน่อย จะไม่ได้เลย สมาธิจะหลุดง่าย ไม่สามารถโฟกัสกับงานของตัวเองได้ แต่ตอนนี้ แม้จะมีคนนั่งอยู่รอบๆ แต่ก็ยังสามารถโฟกัสกับการอ่าน โดยที่ยังคงรู้สึกปกติ สบายๆ ไม่ลนลานอะไรเหมือนเมื่อก่อน
    • อาการสมาธิสั้น เป็นภาวะของสมองที่ไม่เหมือนคนปกติ โดยจะไม่สามารถตัดความคิดที่เป็น noise ออก จากความคิดหลักที่ต้องการ focus ได้ ทำให้สมองต้องประมวลผลทุกอย่างที่เข้ามารบกวนตลอด ถ้าเราแก้ที่สมอง ด้วยการออกกำลังกายให้เกิดการฟื้นฟูตัวเอง ก็จะช่วยให้ดีขึ้นได้
    • ความรู้สึกก็เหมือนกัน มันเป็นเพียงการรับรู้หนึ่งของสมอง อาจจะรับรู้ถูก หรือ ผิดก็ได้ เช่น ถ้าใช้ไฟฟ้าจี้กระตุ้นสมองส่วนหนึ่ง ก็ทำให้มีความสุขขึ้นมาได้ เป็นต้น ความรู้สึก จึงเป็นเพียงการรับรู้หนึ่ง ที่สิ่งมีชีวิตมีในธรรมชาติ แต่อาจไม่ได้มีประสิทธิภาพในเรื่องความถูกต้องแม่นยำทั้งหมด(สามารถถูกหลอก หรือ หลอกตัวเองได้)
    • เรื่องการฝึกสติ สมาธิ ก็สำคัญ แต่มันเป็นอีกลักษณะหนึ่ง เป็นวิธีการฝึกเพื่อเข้าใจความจริงของร่างกาย ทั้งด้านกายภาพ และ นามธรรม
      • สติจะทำให้เรารู้ตัวในชีวิตประจำวัน ถ้าคอยสังเกตรู้ความคิด รู้ความรู้สึกตัวเองไปเรื่อยๆ จะพบว่าตัวเราจริงๆนั้นว่างเปล่า ความคิด ความจำ และ ความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ
      • การฝึกสมาธิ จะทำให้เราโฟกัสได้ลึก เข้าสู่ภาวะ deep diving ได้เร็วกว่าคนปกติ แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องการลด noise ในคนที่เป็นสมาธิสั้นเท่าไหร่ ถ้าคนสมาธิสั้นฝึกสมาธิ จะเป็นลักษณะที่ว่า ชีวิตประจำวันก็ดูไม่นิ่งเหมือนเดิม เพราะ noise ในหัวก็ยังมีไม่ได้ถูกลดสัญญาณลง(เพราะกายภาพของสมองไม่เหมือนคนปกติ) แต่ถ้ามีเรื่องที่ใช้ความคิด หรือ โฟกัสกับอะไร จะนิ่งกว่าปกติมาก(ผลจากการฝึกสมาธิ) ทั้งนี้ จริงๆยังไม่แน่นะ เพราะ อาจจะมีส่วนในการทำให้สงบเยือกเย็นลงด้วย ซึ่งก็มีผลดีต่อสมาธิสั้นโดยตรงเช่นกัน

9 มิ.ย.

  • ออกกำลังกายแบบ High intensity สลับกับ Alternate day fasting(ทำสลับวันกัน) รวมถึงดื่มกาแฟ 1 แก้วทุกวัน ช่วยให้ทำงานได้ประสิทธิภาพ 100% ทั้งวัน (มีสมาธิ มีพลังในการเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ดีมาก กระฉับกระเฉง และไม่ง่วง)
    • เหมือนหลังจากเปลี่ยนมาออกกำลังกายแบบ High intensity 5 นาทีตอนเช้า มันทำให้สมาธิและความกระฉับกระเฉงในการทำงานดีขึ้น
    • แต่ก็ยังคงต้องการกาแฟ(ซึ่งก็ดีต่อสมองเหมือนกัน) เนื่องจากภาวะสมาธิสั้นที่เป็น-กาแฟช่วยลด noise ของความคิดในหัวลงได้ ทำให้โฟกัสได้เหมือนคนปกติ
    • แต่เหมือน Fasting ก็ยังจำเป็น เพราะ รู้สึกเหมือน ตั้งแต่ทิ้ง Fasting แล้วมาออกกำลังกาย ความสามารถบางอย่างเริ่มถดถอย เช่น สมาธิ(เริ่มกลับมานับเลข 1-100 ในใจไม่ได้), การฟังภาษาอังกฤษ ​เริ่มต้องกลับมาใช้ subtitle เป็นต้น ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ การออกกำลังกาย ยังไม่ high intensity มากพอหรือไม่?
    • อาจจะสลับระหว่าง High intensity exercise กับ alternate day fasting คือ วันที่ออกกำลังกายก็จะกินอาหารปกติ(แต่กินเผื่ออีกวันด้วยนะ) ส่วนวันที่ไม่ออกกำลังกาย ก็จะอดอาหารข้ามวัน
      • แต่ยังไม่ได้ลอง เพราะทำได้ยากที่จะออกกำลังกายหนัก(ต้องการโปรตีนสูง) แต่ก็อดอาหารไปด้วย รอเตรียมความพร้อมอีกนิดนึง
  • ทำไมอยู่ๆถึงฟังเพลงภาษาอังกฤษออกมากขึ้น
    • นั่งสมาธิ
    • อ่านเนื้อหาหลากหลาย กระตุ้นการเรียนรู้
    • สลับฟังหลายๆแนว ทั้งbbc radio, เพลง, YouTube ถ้าฟังอย่างเดียวตลอดจะเบื่อ และไม่ถูกกระตุ้นการเรียนรู้
  • เริ่มอ่านหนังสือ 13:30 น เพราะ เหมือนต้องจัดการบันทึก ความคิด ไอเดียที่พลุ่งพล่านมากมาย หลังจากการวิ่งออกกำลังกาย

8 มิ.ย.

  • Caffeine ในกาแฟ แม้จะทำให้เซลล์สมองขยันทำงานมากขึ้น แต่กลับมีอาจผลสามารถยับยั้งการพัฒนาสมองได้
    https://ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2743873/ "relevant doses of caffeine can significantly depress adult hippocampal neurogenesis."
  • งานวิจัยนี้ก็น่าสนใจ เกี่ยวกับผลของ การออกกำลังกายแบบ HIIT กับการ boost BDNF หลายเท่าตัว(ต้องหาเวลาอ่าน)
    https://journals.physiology.org/doi/full/10.1152/japplphysiol.00126.2015 
  • เปลี่ยนมาอ่าน ตำรา Financial เล่มใหม่ ซื่งเป็นผู้เขียนคนเดิม Mishkin แต่เป็น Edition ที่ใหม่กว่า Economics of Money, Banking, and Financial Markets, 13th edition
  • อยู่ๆ ฟังเพลงภาษาอังกฤษ ก็สามารถเข้าใจเนื้อร้องได้มากขึ้น เพราะอะไรนะ
    • นั่งสมาธิ ทำให้โฟกัสกับเสียงได้มากขึ้น
    • ทำกิจกรรมที่ทำให้เกิด neuroplasticity ทำให้สมองส่วนการฟัง แปลข้อมูลได้ดีขึ้น 
    • ใช้หูฟัง ทำให้ได้ยินเสียงที่ชัดกว่า
  • สรุปการเทรด

7 มิ.ย.

  1. การเปลี่ยนเวลานอน อันตรายกว่า จำนวนชั่วโมงการนอนในแต่ละวัน เพราะ จะรบกวน circadian rhythm มีงานวิจัยว่า เพียงแค่เข้านอน หรือ ตื่นนอน ต่างจากเวลาเดิม 70นาที ก็จะส่งผลให้สมองทำงานได้ไม่ดีแล้ว
  2. เหมือนการพยายามนอนน้อย จะไม่ประสบความสำเร็จ มีไอเดียว่า ให้เราค่อยๆลดเวลานอนลงดีกว่า เช่น นอน 6ชม จาก 8 ชม เป็นต้น เพียงแค่ 2 ชม.ต่อวันที่เพิ่มขึ้น ก็คุ้มค่าและทำอะไรได้ตั้งมากมายแล้ว

6 มิ.ย.

  1. ออกกำลังกายแบบ HIIT เพียงแค่ 5 นาที ซึ่ง ทำให้เกิด BDNF ได้ถึง 4-5 เท่า(ดีต่อสมอง ช่วยให้เกิด Neurosynapse, plasticity, genesis) ซึ่งได้ผลพอๆกับการ Fasting 48 ชม แต่ทำง่ายกว่ามากๆ และทำได้ทุกวันด้วย โดยที่จะ Fasting ไปด้วยหรือไม่ ให้ผลไม่ต่างกัน(ยังคงดีทั้งคู่) งานวิจัย: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/36631068/ 
    ฟังจากคลิปนี้ https://www.youtube.com/watch?v=oyO-xhvgH6M
    1. คอมเมนต์ของเรา ในคลิปนั้น
      ขอบคุณสำหรับงานวิจัยนะครับ ที่อ่านมาเพิ่มเติมคือ
      - แม้ว่าในหนูทดลอง ที่ Fasting(อดอาหาร) 9ชม แล้วพบ BDNF แต่ในมนุษย์ แม้จะอดอาหาร 20ชม กลับไม่พบ BDNF หรือพบน้อยกว่า เพราะว่าอัตรา metabolism ต่างกัน ในมนุษย์อาจต้องมีการ Fasting ให้นานขึ้น หรือ มีการออกกำลังกายเพิ่มด้วย
      - เคยเจองานวิจัย(doi: 10.1139/apnm-2014-0290) ว่า การ Fasting 48 hr ในคน ทำให้เกิด BDNF มากขึ้น 3.5 เท่า แต่คงทำได้ยากในชีวิตประจำวันของคนปกติ - แต่เอาจริงๆ แค่ตื่นเช้ามา ออกกำลังกาย High intensity วันละ 5 นาที ก็ได้ผลดีกับสมองแบบสุดๆ และทำได้ง่ายกว่าการอดอาหาร 48 ชมมากๆๆ
      - แต่ Fasting อย่างไรก็น่าจะยังมีประโยชน์อย่างอื่นต่อสุขภาพอีกมากมาย (doi: 10.1038/nrn.2017.156)

      โดยส่วนตัว ช่วงวัยรุ่น เคยมีประสบการณ์ พัฒนาตัวเอง จากการออกกำลังกายเหมือนกันครับ โดยการฝึกวิ่งเร็ว ทุกวันตอนเช้า 1กม. ให้ได้ภายใน 5 นาที(สอบรักษาดินแดน) แล้วไปฝึกทำเลขต่อ ปรากฏว่าในระยะเวลา 1 เดือนกว่าๆ สมองพัฒนาไปมากครับ สามารถไปถึงระดับ "แก้โจทย์เลขในใจได้เลย,​ คิดเลขหลายๆหลักในใจได้" รวมถึง ทักษะทางภาษา ความคิดเชื่อมโยง ความจำ การวางแผนล่วงหน้า ความคิดสร้างสรรค์ ก็พัฒนาในระดับที่ดีขึ้นมาก แต่พอหยุดซ้อมวิ่งไป ก็กลับไปสมองทึบเหมือนเดิม(แต่ตอนนั้นหาสาเหตุไม่เจอ ว่าพัฒนาขึ้นเพราะอะไร และลองพยายามวิ่งแบบ aerobic ก็ไม่พัฒนาขึ้นเท่าไหร่)

      แม้จะเริ่มอายุมากขึ้น ได้รู้งานวิจัยนี้แล้ว อาจจะต้องทดลองกับตัวเอง ด้วยการไปฝึกวิ่งเร็วสุดกำลังวันละ 5 นาทีบ้างแล้ว เผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้างเหมือนเมื่อก่อน(นิดนึงก็ยังดี) สุดยอดจริงๆครับ

5 มิ.ย.

  1. ลองกลับมาฟังเพลงภาษาอังกฤษ ​เริ่มฟังเนื้อร้องออกมากขึ้น เฉยเลย บางประโยคที่เราไม่เข้าใจ กลับเข้าใจได้ค่อนข้างชัดเจน ฟังเพลงเดิม แต่ได้อรรถรสขึ้นมาก
    • ช่วงที่ผ่านมาก็ดูคลิป youtube ภาษาอังกฤษ, ฟังวิทยุ BBC มาเรื่อยๆ
  2. ชีวิต ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบันจริงๆนะ ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตากำหนด หรือ คำทำนายแต่อย่างใด ได้อ่านพระไตรปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระเจ้าอชาติศัตรู (ที่เคยถูกพราหมณ์ทำนายว่าจะเกิดมาฆ่าพ่อตัวเอง แล้วก็เป็นตามคำทำนาย) ได้ทูลถามสามัญผล กับพระพุทธเจ้า พอพระเจ้าอชาติศัตรูกลับวังไป พระพุทธเจ้าก็บอกกับเหล่าภิกษุว่า ถ้าพระเจ้าอชาติศัตรูไม่ปลงพระชนม์พระบิดา ฟังเทศน์บทเมื่อครู่จบ ก็จะได้ดวงตาเห็นธรรม หมายความว่า โชคชะตาของเราจะเป็นอย่างไร อยู่ที่เราจะตัดสินใจเลือก ตัดสินใจทำ หรือไม่ทำ ณ ปัจจุบันขณะนี้ ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังอนาคต ไม่ใช่ว่าต้องเป็นตามคำทำนาย พรหมลิขิต หรือ พยากรณ์
    • ละเว้นความชั่ว ทำความดีเข้าไว้ อย่างไรก็จะได้ผลดี
  3. ลองคิดๆดู การไม่มีเพื่อนไม่ได้ทำให้เราเหงา บางทีแม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่เราก็รู้สึกโดดเดี่ยวได้ โดยเฉพาะถ้ามีแต่คนไม่จริงใจรอบๆตัว หรือไว้ใจไม่ได้เต็มร้อย(ซึ่งมักพบได้เป็นส่วนมาก) แต่สำหรับเรา เราจะเหงาที่สุดถ้าไม่มีความรู้มากพอที่จะดูแลตัวเอง รักษาตัวให้รอด พัฒนาตัวเอง คุณท๊อปบอกว่าช่วงที่เขาอ่านหนังสือ 12 ชม ต่อวัน เขาแต่งงานกับหนังสือไปแล้ว
    • เพื่อน หรือแม้กระทั่ง คนรัก ที่ไม่จริงใจ(ซึ่งมักพบได้เป็นส่วนมาก) จะอยู่กับเราเวลาที่เราสำเร็จ แต่จะหนีหายเวลาที่เราลำบาก แต่ความรู้จะอยู่กับเราไปตลอดไม่หายไปไหน และจะเป็นเครื่องมือให้เราเอาตัวรอดได้เสมอ
  4. การอ่าน หรือเรียนซ้ำ ไม่ได้ผิดอะไรนะ เพราะ อะไรที่เราเรียนซ้ำ อย่างไรก็จะทำให้เราเข้าใจได้เร็วขึ้น และ มากยิ่งขึ้น เช่น โดยส่วนตัว ไม่ถนัดในการเรียนภาษา อ่านแล้วไม่นานก็ลืม ก็อ่านซ้ำ เรียนใหม่ ซ้ำๆๆๆ จะกี่รอบก็แล้วแต่ อย่างไรสุดท้ายมันก็ต้องจำได้ขึ้นใจ
  5. โดยส่วนตัวไม่เชื่อเรื่อง พรหมลิขิต หรือ โชคชะตาเท่าไหร่ มันเป็นเพียงกิเลสของเราเอง ที่หลอกเราให้คิดไปต่างๆนานา เช่น ถ้าเราไปอยู่ในที่ที่มีคนเก่งๆเยอะ เช่น มหาลัยชั้นนำ เป็นต้น เราก็จะมีโอกาสเจอคนเก่งๆ มากมายรายล้อมเรา ซึ่งเพื่อนดีๆ ที่เราเจอ อาจจะไม่ใช่โชคชะตา แต่เป็นความน่าจะเป็น เพราะ อยู่ในสถานที่ดีๆ ก็มักจะมีโอกาสได้เจอคนดีๆมากขึ้น
    • สมมติถ้าเราไปเที่ยวผับ บาร์ ร้านเหล้า แล้วหวังว่าจะได้เจอเพื่อนดีๆ ก็คงจะยาก เพราะ มันเป็นเรื่องของความน่าจะเป็น ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา หรือ พรหมลิขิต
    • รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าเอาตัวเราไปอยู่ในที่สิ่งแวดล้อมห่วยๆ แล้วหวังว่าโชคชะตา จะพาให้เราเจอกับ มิตรดี หรือ ชีวิตที่ดีขึ้นนะ
    • ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบัน ที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคต(อย่างที่บอกไว้ในข้อ 2)
  6. มีการศึกษาว่า มนุษย์โดยจิตใต้สำนึกเป็นสัตว์สังคม ถ้าเราไม่มีเพื่อน หรือ ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง หรือคิดไม่ดีกับคนอื่น สมองเราจะเกิดความเครียดระยะยาว(Chronic stress) ที่มีความรุนแรงพอ ที่จะทำให้สมองฝ่อเล็กลงได้(IQ ต่ำลง)
    • Be nice to the other, create and retain good relationships as much as you can with almost any one you meet in life.
    • ที่เราควรจะปรับเปลี่ยนตัวเอง คือ อย่ามองคนอื่นในแง่ลบ ให้พยายามเป็นมิตรกับผู้อื่น อย่างน้อยๆก็ปฏิสัมพันธ์กันด้วยดี ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดไม่ดีต่อกันแม้แต่น้อย
      • ปฏิสัมพันธ์ที่ดี แม้จะไม่ใช่กับคนรู้จัก ก็ได้ผลดีไม่ต่างกัน เช่น ทักทายพนักงานร้านกาแฟ คิดดีต่อคนที่พบเจอในชีวิตทั่วไป เป็นต้น สมองก็นับเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดีเหมือนกัน
      • ปฏิสัมพันธ์ที่ดีใน social media ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่นะ สมองเราฉลาดพอ ที่จะรู้ว่ามันไม่ใช่รูปแบบธรรมชาติ
      • พระภิกษุที่ปฏิบัติดี แม้ท่านจะอยู่คนเดียว แต่ท่านมีจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ จึงไม่มีความคิดไม่ดีต่อผู้อื่น จึงไม่มีความเครียดในเรื่องนี้
      • อาจจะไม่ถึงขนาดต้องปรับเปลี่ยนนิสัยที่ชอบอยู่คนเดียว ไปเป็นชอบเข้าสังคมหรอก เพียงแค่อย่างน้อยๆ อย่าคิดไม่ดีกับผู้อื่น หรือ มองคนอื่นในด้านลบ เท่านั้น
  7. คลิปคุณท๊อป ดีมากๆ https://www.youtube.com/watch?v=9IDI5SzjanI เกี่ยวกับ งานประชุม world economic forum
    1. หลักๆในโลกที่สำคัญ คือ Digital, Green, Revolution
Notes

** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags" ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.