ต่อให้เราพัฒนาตนเอง ทั้งร่างกาย ให้มีสุขภาพดี แข็งแรง คล่องแคล่ว มีสมองที่ฉับไว สติปัญญาที่ดี ด้วยการออกกำลังกาย การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การทำ Intermittent Fasting หรือ กระทั่งทำสมาธิแบบฌาณได้ จนมีสมองที่มีประสิทธิภาพเหนือธรรมดา ไปจนถึงพัฒนาทางวัตถุ ที่อยู่อาศัย มีทรัพย์สิน มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย
แต่หากจิตใจเรายังคงต้องทุกข์ไปกับกิเลส เช่น ความอยากได้-เมื่อเจอสิ่งที่น่าปรารถนาพอใจ ความไม่อยากได้-เมื่อเจอสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาพอใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมัวเมา ความไม่เข้าใจชีวิต เป็นต้น ตัวเราก็ไม่ได้มีอะไรที่ดีไปกว่าเดิมจริงๆหรอก มันเหมือนเพียงคนๆเดิม ทุกข์ง่ายเหมือนเดิม เพียงแต่มีสิ่งแวดล้อมรอบตัวดีขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายสิ่งรอบๆตัวรวมถึงร่างกาย ก็ต้องเสื่อมบุบสลาย คืนโลกไปทั้งหมด
มีเพียงวิธีเดียว เพื่อจะหลุดพ้นจากวงจรแห่ง ความหลง ในสุข-ทุกข์ และ กิเลส คือ การหันมาเรียนรู้ ธรรมชาติของร่างกาย และ จิตใจของเราเอง จนเห็น (1) สภาพที่ไม่เที่ยง(อนิจจัง) ของร่างกาย ที่ต้องคอยแอบขยับเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถตลอดเวลา โดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่ได้เกิดจากการควบคุมของเรา, จิตใจ ที่เต็มไปด้วยความแปรปรวน เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็คิดนึก เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธหงุดหงิด เดี๋ยวก็หลง (2) เห็นถึงสภาพที่ไม่คงทน(ทุกข์ขัง) (3)ไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้จริง(อนัตตา) จนเกิดการปล่อยวาง ความยึดถือ และพ้นทุกข์ได้จริงในที่สุด
วิธีการเรียนรู้ความจริงในธรรมชาติของตนเอง เพื่อให้พ้นทุกข์นี้ คือ วิธีการที่เรียกว่า การเจริญสติปัฏฐาน 4 โดยคำอธิบาย ขยายความโดยละเอียด โดยส่วนตัวยังไม่เก่งพอ กลัวจะอธิบายผิด แนะนำให้อ่านจากพระไตรปิฎกโดยตรง และ เรื่องการอธิบายขยายความ แนะนำให้หาฟังจาก พระอาจารย์ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี โดยส่วนตัวก็กำลังเรียนรู้อยู่ครับ
Add new comment