30 มิ.ย.
- เมื่อเราเกิดความตระหนักรู้ ว่าทุกการลงทุนหรือการเทรดของเรา สามารถผิดได้เสมอๆ เมื่อนั้นเราจึงจะเริ่มทำกำไรจากตลาดได้
28
- การฝึกเทรด port เดโม ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ เพราะ เพิ่มประสบการณ์ได้ช้า ถ้าจะให้เห็นความล้มเหลว ผิดพลาดของตัวเอง และเกิดการเรียนรู้ได้เร็ว ต้องเทรด back test
26
- performance การเทรด ต่ำมาก ควรต้องฝึกด้วยการ Back testing ก่อน
25
- ปัญหาหลักของเราในตอนนี้ คือ รอไม่เป็น
- จะเทรดกี่ครั้งต่อวันก็ได้ เพียงแต่จำกัดการขาดทุนให้ได้มากที่สุด อย่าเทรดเสีย รอให้เป็น รอสัญญาณที่ชัวร์ แล้วค่อยเข้าเทรด
- Daily Target คือเทรดให้ได้วันละ1% ถ้าเกินแล้วจะพอแค่นั้น, Daily loss ก็คือ 1% เช่นกัน ถ้าเกินจะหยุด
- เทรดวันละ 2-3 ไม้(risk ไม้ละ 0.3-0.5%)
24
- เทคนิคTechnical analysis จาก ตำรา Naked forex ก็ใช้ได้อยู่นะ มันทำให้ไม่ต้องคอยตามข่าว เราก็สามารถอ่านกราฟ และเทรดได้ โดยดูจากกราฟ
22
- ปัญหาการเทรดที่ผ่านมา คือการเข้าแล้วโดนกิน stop loss อยู่เรื่อยๆ ทั้งๆที่เข้าใหม่ก็ยังเป็นจุดเข้าเดิม!
- แก้โดยการใช้ limit order เพราะ สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่า รีบเข้าไป โอกาสกลับมาที่เดิมก็สูงอยู่ดี การเข้าในจุดที่เราคิดว่าได้เปรียบ จึงเป็นวิธีเข้าที่มีโอกาสขาดทุนน้อยที่สุด โดยที่ยังทำกำไรได้สูงสุด
- วันนี้ได้ลอง Backtest แล้ว มันดีจริงๆ ได้เห็นพฤติกรรมแท่งเทียนเยอะเลย
- อย่างน้อยๆ ถ้าไม่ได้ทำ Trading diary ก็ให้ดูกราฟแล้วเดาตามพฤติกรรมแท่งเทียนไปเรื่อยๆ แล้วลองเทรดในใจ ดูว่าที่เราคิด ที่เราตัดสินใจนั้น ถูกไหม
- จุดเข้าตรงไหน Stop loss ตรงไหน TP ตรงไหน
- แต่ถ้าทำ Trading diary จะทำให้เห็นสถิติได้ชัดเจนกว่า
- วิธีการคือ ใน Metatrader 5 ใช้โหมด Strategy test > เลือกที่โหมด Visualization > เลือก EA อะไรก็ได้(ไม่ได้ใช้ เราแค่จะให้มัน run กราฟให้เรา) > กด play/pause ด้วย spacebar ปรับความเร็วกราฟได้ตามต้องการ
- อย่างน้อยๆ ถ้าไม่ได้ทำ Trading diary ก็ให้ดูกราฟแล้วเดาตามพฤติกรรมแท่งเทียนไปเรื่อยๆ แล้วลองเทรดในใจ ดูว่าที่เราคิด ที่เราตัดสินใจนั้น ถูกไหม
21
- เหมือนที่ผ่านมาไม่ได้คุม risk การเทรด เท่าไหร่เลย เทรดมั่วไปหมด
- เหมือนตอนนี้เราเริ่มเทรด โดยไม่ได้วิเคราะห์ข่าวให้มั่นใจก่อนการเทรดแล้ว มาถึงก็เทรดๆๆ
- คำถามที่จะถามตัวเองคือ เราอยากที่จะเก่งในด้าน Technical หรือ Fundamental (เหมือนหนัง The Matrix ทีมียาให้เลือกกินระหว่างสีฟ้า กับแดง)
- Technical สามารถฝึกให้ชำนาญได้ สามารถหาเงินได้เรื่อยๆ แต่วันๆมักจะหมดไปกับการจ้องกราฟ หรือ ฝึกดูกราฟเป็นปีๆ???
- Fundamental ต้องศึกษาอย่างมากมาย(ลำบากกว่า) สามารถหาเงินจากการเทรดได้เช่นกัน เพราะ กราฟก็จะมี Trend ภาพใหญ่ตาม Fundamental ก็สามารถเทรดตาม Fundamental จะเทรดรายวัน หรือ ถือยาวก็แล้วแต่ เป็นต้น แต่สิ่งที่ได้คือ เราจะได้ความรู้ที่เปิดกว้างจากการศึกษาในเรื่องนั้นๆ และสามารถพลิกแพลงกลยุทธ์ในชีวิตจริงได้อย่างไม่จบสิ้น
- น่าจะเลือก Fundamental แม้จะลำบากกว่า ส่วน Technical เป็นส่วนเสริม เพื่อเติมเต็มความเก่งของเรา
- การอ่านข่าว ไม่ได้จะอ่านเพื่อเอาเนื้อหาไปเทรดในวันนั้นๆ(แม้จะมีเหมือนกัน) แต่หลักๆเป็นการอ่าน เพื่อให้รู้ถึงปัจจัยต่างๆที่กำลังขับเคลื่อนตลาดอยู่ หรือ ภาพรวมตลาด เมื่อรู้ปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อน ก็จะสามารถกำหนดหน้าเทรดในสกุลเงินต่างๆได้
- เช่นว่า สกุลเงินหนึ่ง ประเทศกำลังประสบปัญหาทางการเมือง ซึ่งอย่างไรก็จะมีผลกินระยะเวลานาน หน้าเทรดที่เหมาะสมในช่วงที่มีปัจจัยนี้อยู่ จึงจะเป็นการ sell สกุลเงินนั้น
- ส่วนการเทรดจริงในแต่ละวัน ก็จะอาศัย Technical ในการหาจุดเข้าเทรดที่จะทำให้ได้เปรียบที่สุด โอกาสผิดน้อยที่สุด
20
- เราสังเกตว่าเวลาอ่านข่าว reuter แล้ววิเคราะห์ เราจะยิ้มโดยอัตโนมัติแบบไม่รู้ตัว หรือนี่จะเป็นทางของเรา!? ต่อให้พลาด ก็ยังหัวเราะสนุกไปกับมัน แถมการตามข่าวยังทำให้เราจับจังหวะตลาด(Market breath)ได้ดีกว่า
- แต่ถ้าดูกราฟอย่างเดียวจะเครียดจนคลำเจอเส้นเลือดปุดๆที่หัวเลย ยิ่งแพ้ยิ่งหัวเสียอีก หรือมันจะไม่ใช่ทางของเรากันนะ??
- For technical analysis, always concerns about false break.
- Statistically, take profit before the snr zone is better than beyond the zone.
Order limit must be used to get false break only, usually 30-40pips(300-400points) from snr zone.
- Statistically, take profit before the snr zone is better than beyond the zone.
- ตอนนี้จะกลับมาอ่านตำราที่ใช้ TA ในการเทรดเป็นหลัก ซึ่งก็คือ Naked Forex เพื่อดูว่าเราพลาดอะไรไป แต่โดยหลักๆคือ เป็นการ bet ที่มีแต้มต่อที่ดี และคุมความเสี่ยงอยู่เสมอ ที่สำคัญตำราบอกว่า ระบบเทรดมีเป็นพันๆแบบ ซึ่งไม่ได้ให้เราได้ทุกอย่าง อยู่ที่การคุมความเสี่ยงของเรา เพราะ การเทรดมันคือหลักความน่าจะเป็น
- การใช้ Technical เหมือนเรากำลังหลับตา แล้วพยายามต่อสู้กับศัตรูที่เข้ามาหาเราได้จากทุกทิศทาง เราทำได้เพียงดูพฤติกรรมย้อนหลัง เพื่อจับทิศทาง รวมถึงเราได้แต่ฝึกกระบวนท่ารับมือโดยที่ตามองไม่เห็น ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าศัตรูจะใช้อาวุธแบบไหน ยาวหรือสั้น เพียงเพื่อว่าจะสามารถป้องกันการโจมตีต่างๆ และยืนหยัดจนสามารถเอาชนะศัตรูในจังหวะที่พุ่งเข้าหาเราได้
- เหมือน Technical ที่ผ่านมาที่เราใช้ ก็เหมือนกับการพยายามหา Trading system ไปเรื่อยๆ ที่สามารถรับมือกับตลาดโดยที่มีความเสี่ยงต่ำสุด เช่น
- พยายามใช้ limit order โดยเก็บในจังหวะ False break ใต้ snr zone(หรืออาจจะใต้ของใต้ snr อีกที ฮาๆๆ) เพื่อให้ได้ความเสี่ยงต่ำสุด
- จริงๆมีวิธีใช้ Fundamental ในการเทรด แบบไม่ยากด้วยนะ เพราะ ปัจจัยพื้นฐานเป็นแรงผลักดันในระยะยาวอยู่แล้ว ปัจจัยพื้นฐานเป็นอย่างไร กราฟในระยะยาวก็จะเป็นตามนั้น มัน Simple มากๆๆ (เพียงแต่กรณีที่ต้องการเทรดระยะสั้น เพื่อความบันเทิง หรือความเร้าใจส่วนตัว ก็สามารถเทรดตอนที่มัน sideway ในกรอบแคบๆได้)
- แค่ตามข่าว แล้วเทรดตามปัจจัยระยะยาวไปเรื่อยๆ
- เทคนิคนี้ได้มาจาก ลองพยายามรีวิวกราฟ แล้วใช้ปัจจัยพื้นฐานที่เคยอ่านข่าวมาจับ พอว่าตรงตามเหตุผล ที่เคยอ่านข่าวมาถึง 70-80% เลย โดยแม้จะตามข่าวในจังหวะ price in ไม่ทัน เข้าทีหลังก็ยังมีโอกาส
- การอ่านข่าว Fundamental ไม่จำเป็นต้องลำบากอ่านข่าวขนาดนั้น เพียงแต่จับใจความให้ได้ว่า อะไรมีผลกับอะไร เท่านั้นก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าอยากรู้รายละเอียดปลีกย่อย เป็นเพียงเกร็ดความรู้
- เทรดซิ่ง(day trade) TF 5min ใช้ market order, เทรดปกติ TF 4h ใช้ limit order
- แต่ที่สุด การใช้ Market order อาจจะไม่เวิร์ค เพราะ เสียเปรียบตลาด หากกราฟไม่วิ่งในทันทีก็จะต้องวางเงินมากขึ้น เพื่อป้องกันการถูก stop loss run
- การใช้ limit order เป็นการลดความเสี่ยง โดยจะทำให้ได้ราคาดีที่สุด ณ ขณะนั้น(เหมือนพ่อค้าจะซื้อของ ก็รอเวลาที่ตลาด sale ไม่ซื้อตอนแพง เพื่อให้ซื้อได้มากขึ้น โดยทุนเท่าเดิม) ซึ่งต่อให้สุดท้ายต้อง loss ก็เสียเล็กน้อยแล้วจบ ไม่มีปัญหามาโวยวายว่า กำหนด stop loss สั้นเกินไป (แล้วพอเข้าใหม่ ก็โดนกินอีก)
19
- When you use technical, Don't trust the chart. Just bet on the point when you have a very high advantage.
- แม้กราฟจะดูดี แต่อย่าเชื่อกราฟ แค่ bet ในจุดที่เราได้เปรียบ และเสียเปรียบน้อยที่สุดเสมอ
- แม้กราฟดูเหมือนจะหลุดโซนแล้ว แต่ก็ยังกลับไปที่เดิมได้เสมอ
- วิธีที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการวาง order limit เสมอ เพื่อให้ได้จุดที่ขาดทุนต่ำสุดเท่านั้น(ไม่เทรดแบบMarket order แบบกราฟพาไป)
- การคุมความเสี่ยงสำหรับ Technical น่าจะเป็น การเทรดวันละ 2 กราฟ risk ไม้ละ 0.5%
- แม้กราฟจะดูดี แต่อย่าเชื่อกราฟ แค่ bet ในจุดที่เราได้เปรียบ และเสียเปรียบน้อยที่สุดเสมอ
18
- สาเหตุที่เทรดพลาด?
- อยากได้กำไรก้อนโต ในทุกวัน
- ไม่คุมความเสี่ยง เสี่ยงมากเกินไปในแต่ละครั้ง
- ไม่อ่านข่าวให้ชัวร์ แล้วค่อยเทรด(เทรดทั้งๆที่ยังงงๆอยู่ ไม่รู้จะไปทางไหนแน่)
- ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ มาอ่านข่าวช่วงบ่ายโมง เพราะ เราไม่ถนัดเทรดตอนกลางคืน ความง่วง จะทำให้เราวิเคราะห์ได้ไม่เต็มที่
- stop loss ต้องมีความยืดหยุ่น เช่นว่า มีการเผื่อ stop loss run ไว้ด้วย
- ผิดคือผิด อย่าขยับ stop loss ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้เรียนรู้
- อย่าใช้ risk มากเกิน เพราะ จะทำให้เราไม่กล้า cut และ พยายามเทรดหนักในคราวต่อไปเพื่อตามทุนคืน
- หรือการเทรดแบบตามข่าว จะไม่เหมาะกับการเทรดทุกวันนะ?
- เพราะ ข่าวที่เราอ่านมีจำกัด ไม่ได้ cover ข้อมูลของทั้งตลาด และมักไม่ใช่ข่าวที่จะบอกความเปลี่ยนแปลงของวันนี้ แต่เป็นอนาคตอีกระยะใหญ่ๆ ซึ่งใช้เทรดในวันนี้ไม่ได้
- อาจต้องเพิ่มการอ่านข่าวให้มากขึ้น???
- อาจจะมีจังหวะอย่างมากก็ สัปดาห์ละครั้ง???
- ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ risk 2% เทรด ครั้งละ สัปดาห์???
- มีข้อมูลอีกมากที่แสดงบนกราฟในแต่ละวัน หรือเราจะเรียน Technical เพิ่มเติม???
- Read the news as much as you can until you get the idea;
if you don't have any idea, don't trade!! - อย่าเทรดชนกับ Economic news (เพราะ winrate ต่ำ ไม่เคยทายถูกเลย!!!) ให้เทรดจากการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ได้อ่านจากข่าว เท่านั้น
- สาเหตุที่ Franc swiss แข็งค่าสูง เพราะ สกุลเงิน มีทองคำรองรับเสมอ ไม่มีการพิมพ์เพิ่ม(ประเทศมีความรับผิดชอบทางการเงิน) อีกทั้งเศรษฐกิจดี มีความมั่นคง ไม่มีความขาดแคลนด้านงบประมาณ ไม่เป็นหนี้(lack of budget deficit) จึงจัดเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัยที่สุดในโลก(Safe heaven)
https://www.bound.co/blog/swiss-franc-stable-currency - หรือว่าเราจะศึกษา Technical ด้วยดีนะ มันไม่ได้ใช้ในการวิเคราะห์กราฟ แต่มัน คือ จุด bet ที่เหมาะสม ส่วนการเลือกหน้าเทรด อาจจะสุ่มสลับกันโยนหัวก้อยกันไปก็ได้
- หาตำรามาอ่านเพิ่มอีกดีไหมนะ??
- กลยุทธ์ ไร้สมอง ไร้ความคิด สูงสุดคืนสู่สามัญ ของคนใช้ Technical
- Technical ไม่ใช่ตัวบอกว่ากราฟจะขึ้นหรือลง แต่เป็นเพียงตัวช่วยหาจุด bet ที่เหมาะสม(มีแต้มต่อ Risk: reward ที่ดี)
- และกราฟไม่จำเป็นต้องเป็นตาม technical ที่ตีเส้นไว้เสมอไป มันเป็นเพียงตัวบอกโอกาสของความน่าจะเป็นเท่านั้น
- ใช้หลักการของความน่าจะเป็น และ แต้มต่อที่ดี(Risk: reward) เพื่อความอยู่รอด และค่อยๆเพิ่ม wealth
- การคุม risk ให้เท่ากันในทุกครั้ง จึงมีความสำคัญ
- ถ้าแพ้แล้วหัวร้อน แสดงว่า แอบใช้ risk มากเกินไปแล้ว
- ควรเน้นกระจายการเทรดเป็นความเสี่ยงเล็กๆ แต่เสี่ยงหลายครั้ง โอกาสถูกต้องตามหลักความน่าจะเป็น ก็มากขึ้น
- และที่สำคัญคือ กระจายไปในคู่เงินที่ไม่ซ้ำกัน เช่น เทรด EURJPY แล้ว ก็จะไม่เทรดคู่ที่มี eur หรือ jpy อีก เป็นต้น
- การคุม risk ให้เท่ากันในทุกครั้ง จึงมีความสำคัญ
- หลักการเทรด
- ดูกราฟ ใช้ TF ที่ไม่มี noise - สำหรับ forex คือ 4h
- เครื่องมือหลักๆที่ใช้ คือ แนวรับ-ต้าน และ trend line
- เมื่อกราฟอยู่ใน "จุด bet ที่เหมาะสม" - หน้าที่คือ bet ด้วยการเลือกหน้าเทรดสักอย่าง(buy/sell) หรือ จะใช้ Fundamental(อ่านข่าว) ประกอบในการเลือกหน้าเทรดด้วยก็ได้ เพื่อเพิ่ม win rate หรือ จะใช้การโยนเหรียญ หัว-ก้อย ก็ได้
- Technical ไม่ใช่ตัวบอกว่ากราฟจะขึ้นหรือลง แต่เป็นเพียงตัวช่วยหาจุด bet ที่เหมาะสม(มีแต้มต่อ Risk: reward ที่ดี)
17
- เหมือน Crypto จะมี volatitity ต่ำกว่า Forex การเทรด อาจจะต้องใช้ % risk ที่มากขึ้น(เพิ่มขนาด position size) ในแต่ละครั้ง
- BOJ จะ ทำ Bond tapering ช่วง 30-31 july ค่าเงินน่าจะแข็งค่าขึ้น
- SNB จะ cut rate 25 points on June 20 https://www.reuters.com/markets/rates-bonds/snb-cut-rates-25-bps-125-june-20-possibly-again-sept-2024-06-17/
16
- เรื่อง Crypto ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกระจายความเสี่ยงไปใน Crypto 3 เหรียญ คือ ETH, BNB, ADA จากแผนเดิมที่จะ DCA แค่ ADA (วันที่ 12 มิ.ย.)
14
- เหมือนว่า Technical สำหรับการ Trade forex มันไม่ Work สำหรับเราแฮะ
- วิธีแก้ไขคือ การกลับไปเทรด Fundamental ใช้การอ่านข่าวทุกวัน โดยในเมื่อเทรดน้อย ก็ใช้ risk ให้มากขึ้นในการเทรดแต่ละครั้ง
- เพิ่ม risk เป็น ครั้งละ 2% เทรดสัปดาห์ละครั้ง แม้ risk จะเยอะ และขัดกับหลักความน่าจะเป็น แต่เมื่อเรามั่นใจในกระบวนการเราก็สามารถทำได้ เพราะ การวิเคราะห์ของเราไม่ใช่ความน่าจะเป็นเสียทีเดียว
- สรุปว่าเลิกเทรดโดยใช้ความน่าจะเป็น และ Technical แล้ว
- Fundamental หรือ Technical?
- ขึ้นอยู่กับลักษณะทาง Fundamental ของสิ่งที่เราจะเทรด เช่น
- Forex เป็นตลาดที่มี Market cap ใหญ่ที่สุดในโลก การเคลื่อนย้ายเงินทุนขนาดใหญ่ ที่มากพอที่จะมีผลกับตลาด มักจะเกิดจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ไม่ใช่แรงซื้อ-ขายจากนักลงทุน(Technical เลยใช้ไม่ได้ผล)
- กลับกัน หุ้น หรือ Crypto ที่มี Market cap ไม่ใหญ่(เมื่อเทียบกับ Forex) มักไม่ได้มีข่าวด้านปัจจัยพื้นฐานบ่อยๆ(ใช้ Fundamental โดยตรงไม่ได้) แรงซื้อ-ขายของนักลงทุน ที่สัมพันธ์กับ Technical analysis ก็จะมีผลได้มาก แต่ก็ยังอยู่ภายใต้หลักความเป็นจริงด้าน Fundamental(แม้จะมีผลโดยอ้อม หรือ ในระยะยาว)
- ทั้งนี้โดยส่วนตัวคิดว่าการเทรดต้องเริ่มจาก Fundamental ก่อน เสมอ ต่อให้เราไม่ใช้ Fundamental โดยตรงก็ตาม ซึ่งเมื่อเข้าใจ Fundamental ของตลาดในปัจจุบัน เราจึงจะสามารถกำหนดกลยุทธ์ และ หน้าการเทรด(ซื้อ/ขาย) ที่เหมาะสมได้
- ตัวอย่างเช่น
- Crypto หากอยู่ในช่วงที่ US Fed ขึ้น interest rate ก็ไม่น่าแปลงที่เงินทุน จะไม่เข้ามาในตลาด Crypto แต่ไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้US แทน เพราะ การฝากเงินใน US จะได้ผลตอบแทนจาก ดอกเบี้ยสูงแบบชั่วร์ๆ ง่ายกว่า แถมยังความเสี่ยงต่ำ
- กลยุทธ์การเทรด Crypto ในช่วงนั้น ก็มักจะเป็นการShort หรือ ทยอยซื้อเก็บเรื่อยๆทีละนิดๆ(หากรู้ว่าอีกไม่นานกำลังจะลดดอก) เป็นต้น
- ตัวอย่างเช่น
- ขึ้นอยู่กับลักษณะทาง Fundamental ของสิ่งที่เราจะเทรด เช่น
- Idea การเทรดจากการวิเคราะห์ Fundamental หนึ่งๆ เราสามารถเอามาเทรดในกราฟนั้นๆ แบบ day trade ได้เหมือนกัน โดยไอเดียที่ได้จากข้อมูล จะทำให้เราเลือกหน้าเทรดที่เหมาะสม(buy/sell) และ มีโอกาสชนะ (win rate) สูงขึ้นได้
- ข้อมูลคือแต้มต่อ ที่จะทำให้โอกาสทำเงินของเรามากขึ้น
- เทรดกราฟเดิมซ้ำๆ จนกว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องจะหมดลง ค่อยไปกราฟอื่น
- การอ่านตำรา Financial market and institution เป็นพื้นฐานที่ช่วยให้เราเข้าใจ และวิเคราะห์ตลาดได้ดีขึ้นมากจริงๆ
- เหมือน bitcoin จะมีจังหวะหน่วง(2-3วิ) ตอนข่าวUS ที่เกี่ยวข้องเพิ่งประกาศ ต่างจาก Forex ที่จะมีการกระชากโดยทันที
- จังหวะหน่วงเหล่านี้ เราน่าจะสามารถทำ correlative เทรด ได้นะ เช่น ไปดูกราฟ USDJPY แล้วรีบกลับไปกดเปิด position bitcoin
- วันนี้ได้กำไร จาก forex โดยการอ่านข่าว Reuters แล้ว วิเคราะห์ Fundamental แล้วได้ ไอเดียมา หรือ อาจเป็นไอเดียที่เคยวิเคราะห์ไว้แล้วปัจจัยนั้นยังคงส่งผล จากนั้นก็เอาไอเดียนั้นๆ ไปเทรดสกุลเงิน โดยหาจุดเข้าที่ดีด้วย Technical analysis
- ไม่จำเป็นต้องให้ได้ RR เยอะ แต่ใช้ risk เหมาะสม 1:2 ก็ได้ โดยเน้นสกุลเงินที่เราค่อนข้างมั่นใจมากๆ ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นแบบนี้โดยปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้(เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันมากๆ ฯลฯ) และใช้ risk สัก 2%
13 มิ.ย.
- เราจะลองเทรดโดยไม่ใช้ fundamental บ้างดีไหมนะ ใช้หลักความน่าจะเป็น เทรดทุกครั้งที่มีโอกาส(เห็น pattern) ไม่ต้องคาดหวังว่าจะชนะทุกครั้ง แต่อาศัยแต้มต่อการชนะจาก reward ที่มากกว่า risk
- เพราะ ตอนนี้ไส้แห้งแล้ว เทรดน้อยจัด
- คิดว่าน่าจะปรับมาทำร่วมกับการ bet ทุกครั้งที่มีโอกาสทาง technical "ชัด" น่าจะดีกว่า ถ้า bet 5 ครั้ง มี fundamental ช่วยสัก 2 ครั้ง win rate น่าจะดีขึ้น และ ไม่พลาดโอกาสการ bet ด้วย
- แต่หลักการ bet ก็ยังคงใช้ความน่าเป็นระยะยาว ที่ต้องทำร่วมกับการคุม risk เสมอ(สำคัญกว่า bet) โดยหวังผลระยะยาว ทำตามระบบ ไม่รีบร้อน และ ไม่ได้จริงจังกับชัยชนะ/พ่ายแพ้ในครั้งนั้นๆ แค่เลือกเอาสักทางที่คิดว่าเหมาะสม เมื่อเจอโอกาสทาง technical ที่ "ชัด" และมีแต้มต่อ RR ที่ดี
- ปัญหาคือ แม้ว่ากลยุทธ์ของเราตอนนี้จะเสถียร แต่เราไม่มีโอกาสทำกำไรได้มากนัก => ก็ไม่ได้เงิน
- ควรปรับปรุงตรงไหนดีนะ
- ใช้ Technical ในการเทรด แล้วกระจายความเสี่ยงต่อวันให้ได้มากที่สุด เช่น กระจาย เป็นวันละ 2 ไม้ ความเสี่ยงไม้ละ 0.5%
- เน้นเสี่ยงย่อยๆหลายครั้ง ตามหลักความน่าจะเป็น จะดีกว่าเสี่ยงใหญ่ๆครั้งเดียว
- ควรปรับปรุงตรงไหนดีนะ
12 มิ.ย.
- ถ้าเกิดเจอข่าวอะไรที่เรารู้สึก ว้าว เช่น Apple จะทำให้สามารถใช้ AI ในเครื่องของทุกคนได้เลย เป็นผู้ช่วยส่วนตัวแบบฟรี, ADA ประกาศ การเปลี่ยนถ่ายการปกครองไปยัง community 100% เป็นต้น
- อันนี้ต้องเตรียมตัวซื้อแล้ว บางทีอาจไม่ต้องสน technical(เพราะ เอาไว้ดูจุดเข้าเพื่อลดความเสี่ยงเฉยๆ) เข้าไปเลยทันทีที่รู้(ด้วยความเสี่ยงที่เหมาะสท)
- กลยุทธ์การเทรด ADA เนื่องจากตอนนี้ตลาดเป็นขาลง(ระยะสั้น) แต่เราคาดว่า Fed น่าจะลด int rate ได้ในเดือน ก.ย. เพราะ แนวโน้มเงินเฟ้อน่าจะค่อยๆลดลง
- ซื้อเก็บวันละ 20$ เป็นเวลาเกือบ 90วัน ก่อนถึงเดือน ก.ย.
- การซื้อเก็บวันละน้อย จะช่วยลดความเสี่ยงทำให้ราคาเฉลี่ยต่ำพอๆกับราคาตลาด
- กลยุทธ์นี้เหมาะกับการเทรดที่คิดว่าน่าจะขึ้นต่อในอนาคต แต่ในปัจจุบันราคายังปรับตัวลงในระยะสั้น
- เหมาะกับการต้องการ ซื้อใน position ใหญ่ ด้วยความเสี่ยงที่ลดลง(เพราะราคาเฉลี่ยต่ำ)
- ซื้อเก็บวันละ 20$ เป็นเวลาเกือบ 90วัน ก่อนถึงเดือน ก.ย.
- ถ้าจะเทรดระยะสั้น เทรดเฉพาะ Bitcoin ชัวร์กว่า Crypto อื่นๆ เพราะ อิทธิพลจากตลาดจะส่งมายัง bitcoin โดยตรง ไม่มีปัจจัยกวนแบบ Crypto ตัวอื่นที่ต้องอิงจาก bitcoin อีกที
11 มิ.ย.
- เหมือนจะต้องเริ่มอ่านตำราการลงทุนบ้างแล้ว "The intelligent investor"
- การเทรด commodity เช่น bitcoin ใช้ sentiment ร่วมกับ technical ได้ผลดีอยู่
- sentiment ใช้กำหนดหน้าเทรด เช่นว่า ถ้าเราเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ ที่มีประสบการณ์ จะอยากซื้อที่ไหน หรือ อยากขายที่ไหน, ราคานี้ถูกแล้ว น่าซื้อ หรือยังแพงเกินไป น่าขาย เป็นต้น
- technical ไว้ใช้หาจุดเข้าเทรดที่เหมาะสม ที่จะทำให้เรา leverage ได้มาก
- การเทรด ในตอนนี้อาจจะ อ่านข่าว reuters เป็นหลัก ก็พอจะทำให้เทรดได้ เพราะ ในนั้นมีบทวิเคราะห์ให้ด้วย
- แต่ถ้าจะให้ดีต้องศึกษาเกี่ยวกับ financial เพื่อให้เข้าใจ และ เทรดforexได้ดีกว่านี้
- ถ้า ADA จะประกาศ hard fork ในยุค Voltair เพื่อให้การควบคุมไปสู่ community แบบสมบูรณ์ เราจะ All in ไหม?
- เราจะคำนึงถึงความเสี่ยงเป็นสำคัญ อย่างไรก็ไม่ All in(ได้ข้อคิดจาด FB page "Zyo book")
- อย่างมากจะใช้ risk ไม่เกิน 5%
- เราจะคำนึงถึงความเสี่ยงเป็นสำคัญ อย่างไรก็ไม่ All in(ได้ข้อคิดจาด FB page "Zyo book")
- เราจะเทรดด้วย Technical หรือ Narrative ดีนะ
- ตำรา The Art of currency trading บอกว่า ไม่ควรเทรดด้วย Technical ต้องมี Idea(Narrative) ก่อน แล้วค่อยหาจุดเข้าด้วย technical
- เพราะ กราฟจะออกอะไรก็ได้(ตามปัจจัยในโลกความเป็นจริง/นักเทรด) แต่เรามักจะมองกราฟตาม bias เราเสมอ
- อีกทั้งยังสามารถ ทำให้รู้สึกว่า สามารถเลื่อน stop loss อีกนิดๆๆ ได้ ไม่จบไม่สิ้น
- กราฟอาจหลอกกันได้ แต่ปัจจัยในโลกความเป็นจริง หลอกกันไม่ได้
- เราจะไม่ใช้ Technical ในการตัดสินใจโดยเด็ดขาด ใช้เพียงขั้นตอนสุดท้ายในการหาจุดเข้าเท่านั้น
- วันนี้พลาด หุ้น Apple เพราะ มัวแต่ไปดูTechnical ทั้งๆที่ narrative มันน่าสนใจมาก
- เราจะพลาด ADA ไหม?
- ตำรา The Art of currency trading บอกว่า ไม่ควรเทรดด้วย Technical ต้องมี Idea(Narrative) ก่อน แล้วค่อยหาจุดเข้าด้วย technical
7มิ.ย.
- ดู int rate ของ ทุกสกุลเงิน สกุลเงินไหน ให้เยอะสุดให้ซื้อ น้อยสุดให้ขาย https://www.earnforex.com/interest-rates-table/
- แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยในการ drive สกุลเงินเสมอไป เพราะ ขนาด CHF มี int rate ต่ำ ก็ยังแข็งค่าขึ้นได้ จากการที่เงินไม่เฟ้อ ไม่เสื่อมมูลค่า แต่JPY เงินฝืด แต่ทำไมค่าเงินอ่อนหว่า? อิอิ
- การเทรดช่วงแรก การทำกำไรจะเป็นไปได้ช้า แต่จะเร็วขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อเวลาผ่านไป เพราะ เกิดจากการทบต้นของกำไร เป็นกราฟ exponential
- ไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่างใด เพราะ รีบร้อนไปก็ไม่ได้กำไรมากกว่าเดิมเท่าไหร่(แถมเสี่ยงพลาดขาดทุน จากการเพิ่ม risk เพื่อหวังการเพิ่ม reward ระยะสั้น) ให้ระบบกำไรทบต้น เพิ่มกำไรให้เราเองเถอะ เราเพียงแค่คุมความเสี่ยงแล้วเทรดเหมือนกันทุกวันๆ
- จะเทรดแต่ละครั้ง ได้กำไรมาก-น้อยแค่ไหน ไม่ได้มีผลเท่าไหร่ในระยะยาว เพียงแค่พยายามควบคุมความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ แล้วสิ่งที่จะเพิ่ม wealth ให้เราได้อย่างทรงพลังจริงๆคือ ระบบกำไรทบต้น
- การเทรด ไม่ควรรีบร้อนทำกำไร เพราะ มันจะเป็นการใช้ risk ที่มากขึ้นโดยอัตโนมัติ จะทำให้เสี่ยงขาดทุนแทน สิ่งที่จะทำให้เราเกิดกำไรแท้จริง คือ ระบบกำไรทบต้น จากกำไรทีละเล็กละน้อยมากกว่า
- สิ่งสำคัญที่สุด ของนักเทรด จริงๆ ไม่ใช่ risk reward แต่เป็นกำไรทบต้น เพราะ ต่อให้ RR 1:2 ยังได้กำไรระยะยาวมากกว่า RR 1:3 จาก win rate ที่สูงกว่า และ การทบต้นที่บ่อยกว่า
- สิ่งสำคัญในการเทรด ไม่ใช่การพยายามเก็บกำไรก้อนใหญ่ที่ได้จากการเทรดแต่ละครั้ง แต่เป็นการสะสมกำไร "ไม่ว่าจะมาก หรือน้อย" แล้วใช้พลังของกำไรทบต้นไปเรื่อยๆ จะเพิ่ม wealth ในอนาคตให้เราได้อย่างแท้จริง
- การพยายามเก็บกำไรก้อนใหญ่ มักจะหนีไม่พ้น การวาง risk สูง เพิ่มเดิมพัน ซึ่งมันไม่ได้ชนะเสมอไป หากเสียเมื่อใหร่ก็ย่อยยับทันที ซึ่งมันเป็นลักษณะของ ฝีพนัน ไม่ใช่เซียนพนัน
- การแบ่งโอกาสเสี่ยงเป็นการเสี่ยงทีละน้อย แม้จะพลาดก็เสียเพียงเล็กน้อย แต่จะทำให้เรามีจำนวนโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น และ เมื่อใช้ผลของการทบต้น เรื่อยๆ ก็จะทำให้เกิด wealth ที่มั่นคงอย่างแท้จริง
- สรุป นักเทรดที่ดีจะต้อง โฟกัสที่กำไรทบต้น ทีละเล็กละน้อย ไม่ใช่การแสวงหาแต่กำไรก้อนใหญ่จากการเทรดแต่ละครั้ง
- นักเทรดที่ดี ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก ว่าการเทรดนั้น risk reward สวยงามแค่ไหน แต่สนใจกำไรทบต้นไปเรื่อยๆมากกว่า ขนาดว่า risk reward 1:1.5-2 ยังทำเงินในระยะยาวได้มากกว่า risk reward สวยๆ 1:3ขึ้นไป เลย
- ชัยชนะที่ดีในการเทรด ไม่ใช่การชนะกำไรอย่างยิ่งใหญ่ในวันเดียว แต่เป็นการชนะด้วยกำไรเล็กๆ ทบต้นในทุกๆวัน
- นักเทรดที่ดี ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก ว่าการเทรดนั้น risk reward สวยงามแค่ไหน แต่สนใจกำไรทบต้นไปเรื่อยๆมากกว่า ขนาดว่า risk reward 1:1.5-2 ยังทำเงินในระยะยาวได้มากกว่า risk reward สวยๆ 1:3ขึ้นไป เลย
- ความร่ำรวยแท้จริงของนักเทรด ไม่ได้มาจากการได้กำไรก้อนใหญ่ในการเทรด(เป็นเพียงของแถม) แต่มาจากกำไรทบต้นทีละน้อย ที่ค่อยๆทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น หากเราค่อยๆเทรดจนได้กำไรเท่าตัว(ทุนเพิ่มเป็น 2 เท่า) การเทรดครั้งต่อไปแม้จะใช้ความเสี่ยง คือ risk 1% เท่าเดิม แต่ก็จะสามารถทำกำไรได้ 2 เท่า จากตอนแรก และเมื่อสะสมกำไรเข้าไปอีก มันก็จะทวีคูณเพิ่มไปอีกๆ
- อย่าไปคาดหวังการร่ำรวยจากกำไรก้อนใหญ่ มันเป็นเหมือน เพียงของแถม หรือ โบนัสจากการทำงาน ที่แม้จะไม่มีก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รวย
- อย่ารีบจะทำกำไร เร็วๆ โดยเฉพาะในช่วงแรก เพราะ ลักษณะของการทบต้น อย่างไรก็จะช้าในช่วงแรก การรีบจะทำให้เราเสี่ยงมากขึ้น และ จะขาดทุนแทน ซึ่งการรักษาทุนสำคัญมากในช่วงแรก เพราะ หากทุนน้อยลงไปอีก การทำกำไรก็จะน้อยลงตามสัดส่วน และ จะสะสมทุนเพิ่มได้ยากขึ้นไปอีก
- Crypto เหมือนจะวิ่งเยอะ แต่จริงๆอย่าตกใจ เพราะ Forex ก็มีโอกาสนี้อยู่เสมอ และบ่อยกว่าด้วย
- คำถามต่อมาคือ เราควรจะ All in ไหม?
- ไม่ควรแม้แต่น้อย ไม่ Make sense สำหรับการเทรดแม้แต่น้อย
- เพราะ เราไม่ควรเอาความเสี่ยงทั้งชีวิต มาลงกับวินาที หรือ นาทีใดนาทีหนึ่ง โอกาสถูกอาจมีเพียง 1/20 แต่ถ้าเราไม่ถูกต้องใน 1 ใน 20 นั้น คือเราจบเห่เลยนะ
- ไม่ควรแม้แต่น้อย ไม่ Make sense สำหรับการเทรดแม้แต่น้อย
- คำถามต่อมาคือ ทำไมเราไม่ซื้อ ADA เหรียญ Crypto ที่ดีที่สุดในโลกเก็บไว้บ้างไม่ได้
- เพราะ ความเสี่ยง ที่เรารับไม่ไหว ในฐานะนักเทรด
- แต่เราก็ช่วยเทรด ADA ช่วยเพิ่ม Volatility และ liquidity ของราคานะ!!
- ถ้าต้องเลือกระหว่าง "ได้กำไรก้อนใหญ่จาก Crypto ในตอนนี้" แต่เทรดไม่เป็นตลอดชีวิต กับ "เทรดอย่างมีวินัยได้ตลอดชีวิต"
ขอเลือกเทรดได้อย่างมีวินัย ตลอดชีวิตดีกว่านะ!!!
- คำถามต่อมาคือ เราควรจะ All in ไหม?
- เหมือนเข้า order forex แต่เช้า ไม่วิ่งเลยนะ สุดท้ายก็จะไปวิ่งตอนทุ่มกว่าๆ อยู่ดี
- สรุปว่า วันนี้ได้เห็นผลประจักษ์ของ ความเป็นไปได้ในความน่าจะเป็นทุกทาง ของการเทรด
- วันนี้หยุด All in แล้ว แม้จะยังคงเจ๊ง แต่ไม่มาก เพราะ ถึงแม้ว่าจะใช้ risk เกิน แต่ก็ไม่ All in แบบที่คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว(หลังจากที่ disscuss หลักการเทรดกับตัวเอง ว่าทำไมจึงไม่ควร All in) จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเราไม่ควร ใช้ risk เกินตัว
- แต่ต่อไปต้องหยุดใช้ risk เกินตัวแล้ว เพราะที่ผ่านมา ขาดทุนมาตลอด ก็เพราะใช้ risk เกินlimit กับการเทรดแต่ละครั้งเหมือนกัน แม้จะเริ่มได้กำไรบ้าง จากการวิเคราะห์ตลาด แต่ก็สูญไปกับการใช้ risk ที่มากเกินไป
6มิ.ย.
- อาชีพการเทรด เป็นอาชีพที่หาเงินได้เท่าที่ risk limit จะอำนวย แต่หากเราใช้ risk เกิน limit จะกลายป็นนักพนัน ไม่ใช่นักเทรด
- เมื่อเราหยุดการเป็นนักพนัน เราจึงจะมีกะจิตกะใจ ในการหาข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ในการเทรดจริงๆ
- เทรด Crypto ไม่ผิด ถ้าคิดว่ามี scenario และ ไอเดีย ที่เหมาะสม แต่ผิดที่ใช้ risk เกินกำลังเงินทุนที่เรามี จนเกิน limit ลามไปถึงเงินเก็บของเรา
- ถ้าอยากลงทุนใน Crypto ให้ อ่านตำรา Investing ก่อนนะ
- ข่าวที่อ่านวันนี้
5
- ยังคงใช้ risk เกินตัว และ over trade ต้องลดความดุเดือดในการเทรดลง
- Forex โฟกัสแต่ interest rate?
- JPY กำลังจะขึ้น interest rate
- USD ยังไม่แน่ว่าจะลด int rate แต่ต้องลดสักวันหนึ่ง แต่เริ่มเห็นแนวโน้มที่ inflation จะลดลง
- EUR ยังลด int rate แต่ครั้งถัดไปน่าจะกลับมาขึ้น เพราะ ปัญหาเงินเฟ้อกลับมา
- NZD มีแนวโน้มจะขึ้น int rate
- CHF ไม่ได้จะลดค่าเงินตัวเองอย่างเดียวแล้วนะ เขาว่าถ้า price stability เสียไป ก็อาจจะกลับมาขึ้น int. rate ได้
- AUD ค่า GDP ไม่โต(ลดลงพอสมควร) น่าจะต้องลดดอก
- GBP ยังคงมองหาโอกาสในการลด int rate อยู่
- พลาด ไม่ได้ตามข่าวของ aud เพราะ
ดูเหมือนจะมีการลด int rate เศรษฐกิจไม่ได้เข้มแข็งมากนักไม่ลดดอกนะ เพราะ inflation ยังอยู่- รอเล็ง short AUDNZD?
- ในช่วงเริ่มหัดเทรดนี้ เราจะเทรดเฉพาะปัจจัยที่เรามั่นใจจริงๆเท่านั้น เพราะ เราเพิ่งเริ่มหัดวิเคราะห์ เพิ่งหัดมองตลาด ความรู้พื้นฐาน(Financial market)ก็ยังอ่านไม่จบ รออ่านให้มีความรู้เต็มที่ก่อน แล้วจึงค่อยเทรดแบบเต็มที่
- Trick อย่างหนึ่งในการเทรด คือ อ่านข่าวเยอะๆ ดูกราฟน้อยๆ เพราะส่วนใหญ่จะโดนกราฟหลอก โดยที่ลืมอ่านข่าวให้ดี แต่ถ้าอ่านข่าวมากพอ จนตกผลึก ได้ไอเดียการเทรด อันนี้มักจะเทรดได้ดี
- การเทรดจากการดูกราฟ เป็นการเทรดที่ห่วยสุดๆ เพราะ จะผิดหรือถูกก็ไม่แน่ มันยังได้อีกนิด เลื่อน stop loss ได้อีกนิดๆๆๆๆ สุดท้ายก็เสียๆๆไปเรื่อยๆจนหมด
- การเทรดจากการอ่านข่าว แล้วตกผลึก เกิดเป็นไอเดีย เป็นการเทรดที่ดีมีคุณภาพ เพราะ มันมีปัจจัย ณ ขณะนั้นที่ drive มูลค่าจริงๆ ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ไม่มีการไม่แน่ใจจนต้องคอยขยับ stop loss อีกนิดๆ จนสุดท้ายหมดตัว
- เพราะ ฉะนั้น เทรดอย่าดูกราฟ ให้อ่านข่าว หาข้อมูล หาความรู้ที่เกี่ยวข้อง อ่านๆๆๆๆๆ
- ถ้าอยากรู้ว่าวันนี้จะเทรดอะไร ให้ไปอ่านข่าว ไม่ใช่ดูกราฟ แต่ถ้าวันนั้น อ่านแล้วไม่ตกผลึกได้ไอเดียอะไร ก็ไม่ต้องเทรด
- เทคนิคการอ่านข่าว (จากตำรา The Art of currency trading) คือ อ่านแล้วคิดๆ ทุกคำ ทุกๆประโยค โดยเฉพาะ Central Bank report/announcement
- Crypto สรุปว่ายังไม่ชัวร์เรื่อง fed ถึงจะมีแนวโน้มเรื่องการลด int rate ก็เถอะ และสักวันหนึ่งอย่างไรก็ต้องลด int rate ก็เถอะ
- จริงๆ การเทรด Crypto น่าจะต้องหาตำราการลงทุน(investment)มาอ่านนะ น่าจะใช้ได้เหมือนกัน แต่มันจะไม่เหมาะกับการเทรด หลักการมันต่างกัน คือ
- เหมือนมันจะต่างกับการเทรดอยู่หน่อย ตรงที่สามารถซื้อสะสมได้ บางคนก็เลยซื้อสะสมไว้ก่อน ถ้าพอจะกะได้ว่า อีกไม่นานมูลค่าน่าจะขึ้น
- แต่ส่วนใหญ่คือปัญหาเรื่องการใช้ risk มากเกินไปเท่านั้น
- จริงๆ การเทรด Crypto น่าจะต้องหาตำราการลงทุน(investment)มาอ่านนะ น่าจะใช้ได้เหมือนกัน แต่มันจะไม่เหมาะกับการเทรด หลักการมันต่างกัน คือ
4
- inflationไม่ใช่เรื่องค่าเงินอ่อนลง แต่เกี่ยวกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น บางทีค่าเงินอ่อนมาก แต่ deflation ก็มี ได้แก่ ญี่ปุ่น เป็นต้น
- เข้า Crypto ด้วย risk 2.6% ของ port เงินเก็บ !!! ไม่ใช่ port trade นะ ค่อนข้างจะ over risk อยู่พอสมควร
- ถ้าจะ All in อย่างไรก็ควรจำกัดอยู่ที่ port trade นะ?! อย่าลามมา port saving
- ขัดกับหลักการเทรดที่ดี ที่ควรเป็น small risk หลายๆครั้ง ดีกว่า large risk แค่ไม่กี่ครั้ง
- สุดท้ายตอนนี้ก็ลดขนาด position ลงแล้ว ให้เหลือ risk 5% ของ port trade
- เวลาตั้ง limit order เรามักจะไม่ได้เข้าตามแผนที่ควรจะได้เข้าเลยแฮะ สรุปว่าเข้าที่ market price ที่เราคิดว่า ราคามันสมเหตุสมผล(reasonable) ก็โอเคแล้ว อย่ามัวแต่รอของถูก(แต่ถ้าแพงเกินไปก็ไม่เอานะ)
- สรุปว่า All in Crypto ไปหมดแล้ว(เงินเก็บทั้งหมด) ด้วยเหตุผลว่า ตอนนี้ ผลจากการที่ Fed คงดอกเบี้ยสูง นานๆ ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจเริ่มแย่ลง ทั้ง PMI, New Job rate ก็ต่ำลงมาก ซึ่งคิดว่า Fed น่าจะต้องลด interest rate บ้างแล้ว
- inflation ก็มีแนวโน้มลดลงแล้ว ถ้า Fed จะพิจารณาลดดอกเบี้ย คงไม่มีใครว่าอะไรนักหรอก
- อย่างไรเงินก็ต้องไหลเข้า Crypto เลย price in ไปก่อน แบบ All in
3
- อย่าเทรดในสิ่งที่เราไม่รู้ ต้องมีข้อมูลก่อนเสมอจึงจะเทรด เหมือนเราเดินเข้าไปในฝูงชนที่มีคนหลากหลายกลุ่ม กำลังเดินกันพลุกพล่าน เราจะรู้ว่าแต่ละกลุ่มกำลังเดินกันไปทางไหน เราต้องถามข้อมูลจากพวกเขาให้รู้เรื่องก่อนที่จะตามขบวนไป ถ้าเราตามขบวนโดยที่ไม่มีข้อมูล อาจจะพลาดไปร่วมขบวนกับกลุ่มที่กำลังจะเดินไปลงเหวก็ได้
- เทรดแบบ เสี่ยงน้อยๆ แต่หลายครั้ง ดีกว่า เสี่ยงมากๆ ครั้งเดียว(All in 100%) !!!
- เพราะ ในความเป็นจริง ไม่มีใครเทรดถูกในครั้งเดียวหรอก ต่อให้คิดมาดีแค่ไหน กลยุทธ์ในการเทรด ด้วยการเทรดบ่อยๆ แต่เสี่ยงน้อย จึงเหมาะกับโลกความเป็นจริงมากกว่า ที่ไม่มีใครทายถูกทุกครั้ง โดยที่ยังสามารถใช้ประโยชน์จาก leverage และ risk:reward ได้อย่างเต็มที่กว่า
- รู้หรือไม่!? ว่าที่เรียกกันว่า All in ของนักลงทุน คือ risk ไม่เกิน 5% ของ portfolio นะ (จากตำรา The Art of currency trading)
- เพราะ ในความเป็นจริง ไม่มีใครเทรดถูกในครั้งเดียวหรอก ต่อให้คิดมาดีแค่ไหน กลยุทธ์ในการเทรด ด้วยการเทรดบ่อยๆ แต่เสี่ยงน้อย จึงเหมาะกับโลกความเป็นจริงมากกว่า ที่ไม่มีใครทายถูกทุกครั้ง โดยที่ยังสามารถใช้ประโยชน์จาก leverage และ risk:reward ได้อย่างเต็มที่กว่า
- เทรด Crypto ด้วยการอ่านข่าวก็ได้เหมือนกันนะ(หาเว็บแหล่งข่าว Crypto อ่าน) เพื่อดูว่าเงินทุนมีโอกาสไหลไปเหรียญไหน ณ เวลาปัจจุบัน
- ทดลองเทรดแบบใช้ risk ต่ำสุดไปก่อน
- Forex โฟกัสแต่ interest rate?
- JPY กำลังจะขึ้น interest rate
- USD ยังไม่แน่ว่าจะลด int rate แต่ต้องลดสักวันหนึ่ง แต่เริ่มเห็นแนวโน้มที่ inflation จะลดลง
- EUR ยังลด int rate แต่ครั้งถัดไปน่าจะกลับมาขึ้น เพราะ ปัญหาเงินเฟ้อกลับมา
- NZD มีแนวโน้มจะขึ้น int rate
- CHF ไม่ได้จะลดค่าเงินตัวเองอย่างเดียวแล้วนะ เขาว่าถ้า price stability เสียไป ก็อาจจะกลับมาขึ้น int. rate ได้
- AUD คงดอกมั้ง อะไรสักอย่างนี่แหละ แต่ GDP ไม่โต น่าจะต้องลดดอก
- GBP ยังคงมองหาโอกาสในการลด int rate อยู่
2
- กลยุทธ์ การเทรด Crypto จะเทรด หรือลงทุนดีนะ?
- เทรดคือ การคุมความเสี่ยงให้น้อย เสี่ยงเล็กๆแต่หลายครั้ง เพื่อเก็บผลกำไรที่มากกว่า, ส่วนลงทุนคือ ใช้เงินเย็นซื้อทิ้งไว้ แล้วรอเวลาที่มูลค่าแท้จริงเพิ่ม
- การเทรดน่าจะดีกว่าสำหรับเรานะ? เพราะ การลงทุน มันดูเหมือน เราจะคุม stop loss ไม่ค่อยได้ มันไม่ต่างจาก "การเทรดด้วย position ใหญ่ในคราวเดียว"
- สรุปว่าแผนการลงทุน Crypto จะปรับมาเป็นการเทรดย่อยๆ และคุมความเสี่ยงอยู่เสมอ เหมือนการเทรด forex แทนการซื้อเก็บที่คิดไว้เมื่อวาน
- อ่านข่าว reuters - BOJ มีโอกาสขึ้น int. rate ถ้าหากว่า wage hike และผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น จนเศรษฐกิจดี และเงินเฟ้อมากขึ้น
- อาจจะทำ 2 ทางควบคู่กันดีไหมนะ
- เพิ่ม int. rate เพื่อให้เงินแข็งค่า
- ขณะเดียวกัน ถ้าเกิด deflation ก็ทำ QE?? เพื่ออัดฉีดเงินกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ(คิดเอาเองมั่วๆนะ)
- อาจจะทำ 2 ทางควบคู่กันดีไหมนะ
1
- แผนการลงทุน Crypto ในตอนนี้คือ หาจังหวะซื้อสะสม ก่อนที่ Fed จะประกาศลด interest rate!!!!!****
- กราฟลงแดงเมื่อไหร่ให้ทยอย ซื้อ Crypto ที่เราคิดว่ามันมีคุณค่ามากที่สุด
- มีวินัยในการลงทุน อย่าซื้อด้วย risk ที่มาก จนเกินเงินสำรองที่มี น่าจะไม่เกิน 60,000 บาท
- แบ่งซื้อ ด้วย risk น้อยๆ หลายๆครั้ง เพื่อให้มีโอกาสได้ราคาที่คุ้มค่ามากกว่า ซื้อครั้งใหญ่ครั้งเดียว
- ซื้อครั้งละ 3000 เดือนละ 6 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน? -> ซื้อไปด้วย และ คอยดูนโยบาย Fed ไปด้วย
- แบ่งซื้อ ด้วย risk น้อยๆ หลายๆครั้ง เพื่อให้มีโอกาสได้ราคาที่คุ้มค่ามากกว่า ซื้อครั้งใหญ่ครั้งเดียว
Notes
** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags"
ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ
Add new comment