Skip to main content

Trading มิ.ย. 67

Submitted by krishrong on

บันทึกการเทรดในปัจจุบัน (1) Forex (2) Crypto

30 มิ.ย.

  • เมื่อเราเกิดความตระหนักรู้ ว่าทุกการลงทุนหรือการเทรดของเรา สามารถผิดได้เสมอๆ เมื่อนั้นเราจึงจะเริ่มทำกำไรจากตลาดได้

28

  • การฝึกเทรด port เดโม ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ เพราะ เพิ่มประสบการณ์ได้ช้า ถ้าจะให้เห็นความล้มเหลว ผิดพลาดของตัวเอง และเกิดการเรียนรู้ได้เร็ว ต้องเทรด back test

26

  • performance การเทรด ต่ำมาก ควรต้องฝึกด้วยการ Back testing ก่อน

25

  • ปัญหาหลักของเราในตอนนี้ คือ รอไม่เป็น
  • จะเทรดกี่ครั้งต่อวันก็ได้ เพียงแต่จำกัดการขาดทุนให้ได้มากที่สุด อย่าเทรดเสีย รอให้เป็น รอสัญญาณที่ชัวร์ แล้วค่อยเข้าเทรด
  • Daily Target คือเทรดให้ได้วันละ1% ถ้าเกินแล้วจะพอแค่นั้น, Daily loss ก็คือ 1% เช่นกัน ถ้าเกินจะหยุด
    • เทรดวันละ 2-3 ไม้(risk ไม้ละ 0.3-0.5%)

24

  • เทคนิคTechnical analysis จาก ตำรา Naked forex ก็ใช้ได้อยู่นะ มันทำให้ไม่ต้องคอยตามข่าว เราก็สามารถอ่านกราฟ และเทรดได้ โดยดูจากกราฟ

22

  • ปัญหาการเทรดที่ผ่านมา คือการเข้าแล้วโดนกิน stop loss อยู่เรื่อยๆ ทั้งๆที่เข้าใหม่ก็ยังเป็นจุดเข้าเดิม!
    • แก้โดยการใช้ limit order เพราะ สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่า รีบเข้าไป โอกาสกลับมาที่เดิมก็สูงอยู่ดี การเข้าในจุดที่เราคิดว่าได้เปรียบ จึงเป็นวิธีเข้าที่มีโอกาสขาดทุนน้อยที่สุด โดยที่ยังทำกำไรได้สูงสุด
  • วันนี้ได้ลอง Backtest แล้ว มันดีจริงๆ ได้เห็นพฤติกรรมแท่งเทียนเยอะเลย
    • อย่างน้อยๆ ถ้าไม่ได้ทำ Trading diary ก็ให้ดูกราฟแล้วเดาตามพฤติกรรมแท่งเทียนไปเรื่อยๆ แล้วลองเทรดในใจ ดูว่าที่เราคิด ที่เราตัดสินใจนั้น ถูกไหม
      • จุดเข้าตรงไหน Stop loss ตรงไหน TP ตรงไหน
      • แต่ถ้าทำ Trading diary จะทำให้เห็นสถิติได้ชัดเจนกว่า
    • วิธีการคือ ใน Metatrader 5 ใช้โหมด Strategy test > เลือกที่โหมด Visualization > เลือก EA อะไรก็ได้(ไม่ได้ใช้ เราแค่จะให้มัน run กราฟให้เรา) > กด play/pause ด้วย spacebar ปรับความเร็วกราฟได้ตามต้องการ

21

  • เหมือนที่ผ่านมาไม่ได้คุม risk การเทรด เท่าไหร่เลย เทรดมั่วไปหมด
  • เหมือนตอนนี้เราเริ่มเทรด โดยไม่ได้วิเคราะห์ข่าวให้มั่นใจก่อนการเทรดแล้ว มาถึงก็เทรดๆๆ
  • คำถามที่จะถามตัวเองคือ เราอยากที่จะเก่งในด้าน Technical หรือ Fundamental (เหมือนหนัง The Matrix ทีมียาให้เลือกกินระหว่างสีฟ้า กับแดง)
    • Technical สามารถฝึกให้ชำนาญได้ สามารถหาเงินได้เรื่อยๆ แต่วันๆมักจะหมดไปกับการจ้องกราฟ หรือ ฝึกดูกราฟเป็นปีๆ???
    • Fundamental ต้องศึกษาอย่างมากมาย(ลำบากกว่า) สามารถหาเงินจากการเทรดได้เช่นกัน เพราะ กราฟก็จะมี Trend ภาพใหญ่ตาม Fundamental ก็สามารถเทรดตาม Fundamental จะเทรดรายวัน หรือ ถือยาวก็แล้วแต่ เป็นต้น แต่สิ่งที่ได้คือ เราจะได้ความรู้ที่เปิดกว้างจากการศึกษาในเรื่องนั้นๆ และสามารถพลิกแพลงกลยุทธ์ในชีวิตจริงได้อย่างไม่จบสิ้น
  • น่าจะเลือก Fundamental แม้จะลำบากกว่า ส่วน Technical เป็นส่วนเสริม เพื่อเติมเต็มความเก่งของเรา
  • การอ่านข่าว ไม่ได้จะอ่านเพื่อเอาเนื้อหาไปเทรดในวันนั้นๆ(แม้จะมีเหมือนกัน) แต่หลักๆเป็นการอ่าน เพื่อให้รู้ถึงปัจจัยต่างๆที่กำลังขับเคลื่อนตลาดอยู่ หรือ ภาพรวมตลาด เมื่อรู้ปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อน ก็จะสามารถกำหนดหน้าเทรดในสกุลเงินต่างๆได้
    • เช่นว่า สกุลเงินหนึ่ง ประเทศกำลังประสบปัญหาทางการเมือง ซึ่งอย่างไรก็จะมีผลกินระยะเวลานาน หน้าเทรดที่เหมาะสมในช่วงที่มีปัจจัยนี้อยู่ จึงจะเป็นการ sell สกุลเงินนั้น
    • ส่วนการเทรดจริงในแต่ละวัน ก็จะอาศัย Technical ในการหาจุดเข้าเทรดที่จะทำให้ได้เปรียบที่สุด  โอกาสผิดน้อยที่สุด

20

  • เราสังเกตว่าเวลาอ่านข่าว reuter แล้ววิเคราะห์ เราจะยิ้มโดยอัตโนมัติแบบไม่รู้ตัว หรือนี่จะเป็นทางของเรา!? ต่อให้พลาด ก็ยังหัวเราะสนุกไปกับมัน แถมการตามข่าวยังทำให้เราจับจังหวะตลาด(Market breath)ได้ดีกว่า
    • แต่ถ้าดูกราฟอย่างเดียวจะเครียดจนคลำเจอเส้นเลือดปุดๆที่หัวเลย ยิ่งแพ้ยิ่งหัวเสียอีก หรือมันจะไม่ใช่ทางของเรากันนะ??
  • For technical analysis, always concerns about false break.
    • Statistically, take profit before the snr zone is better than beyond the zone.
      Order limit must be used to get false break only, usually 30-40pips(300-400points) from snr zone.
  • ตอนนี้จะกลับมาอ่านตำราที่ใช้ TA ในการเทรดเป็นหลัก ซึ่งก็คือ Naked Forex เพื่อดูว่าเราพลาดอะไรไป แต่โดยหลักๆคือ เป็นการ bet ที่มีแต้มต่อที่ดี และคุมความเสี่ยงอยู่เสมอ ที่สำคัญตำราบอกว่า ระบบเทรดมีเป็นพันๆแบบ ซึ่งไม่ได้ให้เราได้ทุกอย่าง อยู่ที่การคุมความเสี่ยงของเรา เพราะ การเทรดมันคือหลักความน่าจะเป็น
    • การใช้ Technical เหมือนเรากำลังหลับตา แล้วพยายามต่อสู้กับศัตรูที่เข้ามาหาเราได้จากทุกทิศทาง เราทำได้เพียงดูพฤติกรรมย้อนหลัง เพื่อจับทิศทาง รวมถึงเราได้แต่ฝึกกระบวนท่ารับมือโดยที่ตามองไม่เห็น ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าศัตรูจะใช้อาวุธแบบไหน ยาวหรือสั้น เพียงเพื่อว่าจะสามารถป้องกันการโจมตีต่างๆ และยืนหยัดจนสามารถเอาชนะศัตรูในจังหวะที่พุ่งเข้าหาเราได้
  • เหมือน Technical ที่ผ่านมาที่เราใช้ ก็เหมือนกับการพยายามหา Trading system ไปเรื่อยๆ ที่สามารถรับมือกับตลาดโดยที่มีความเสี่ยงต่ำสุด เช่น
    • พยายามใช้ limit order โดยเก็บในจังหวะ False break ใต้ snr zone(หรืออาจจะใต้ของใต้ snr อีกที ฮาๆๆ) เพื่อให้ได้ความเสี่ยงต่ำสุด
  • จริงๆมีวิธีใช้ Fundamental ในการเทรด แบบไม่ยากด้วยนะ เพราะ ปัจจัยพื้นฐานเป็นแรงผลักดันในระยะยาวอยู่แล้ว ปัจจัยพื้นฐานเป็นอย่างไร กราฟในระยะยาวก็จะเป็นตามนั้น มัน Simple มากๆๆ (เพียงแต่กรณีที่ต้องการเทรดระยะสั้น เพื่อความบันเทิง หรือความเร้าใจส่วนตัว ก็สามารถเทรดตอนที่มัน sideway ในกรอบแคบๆได้)
    • แค่ตามข่าว แล้วเทรดตามปัจจัยระยะยาวไปเรื่อยๆ
    • เทคนิคนี้ได้มาจาก ลองพยายามรีวิวกราฟ แล้วใช้ปัจจัยพื้นฐานที่เคยอ่านข่าวมาจับ พอว่าตรงตามเหตุผล ที่เคยอ่านข่าวมาถึง 70-80% เลย โดยแม้จะตามข่าวในจังหวะ price in ไม่ทัน เข้าทีหลังก็ยังมีโอกาส
  • การอ่านข่าว Fundamental ไม่จำเป็นต้องลำบากอ่านข่าวขนาดนั้น เพียงแต่จับใจความให้ได้ว่า อะไรมีผลกับอะไร เท่านั้นก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าอยากรู้รายละเอียดปลีกย่อย เป็นเพียงเกร็ดความรู้

 

  • เทรดซิ่ง(day trade) TF 5min ใช้ market order, เทรดปกติ TF 4h ใช้ limit order
    • แต่ที่สุด การใช้ Market order อาจจะไม่เวิร์ค เพราะ เสียเปรียบตลาด หากกราฟไม่วิ่งในทันทีก็จะต้องวางเงินมากขึ้น เพื่อป้องกันการถูก stop loss run
    • การใช้ limit order เป็นการลดความเสี่ยง โดยจะทำให้ได้ราคาดีที่สุด ณ ขณะนั้น(เหมือนพ่อค้าจะซื้อของ ก็รอเวลาที่ตลาด sale ไม่ซื้อตอนแพง เพื่อให้ซื้อได้มากขึ้น โดยทุนเท่าเดิม) ซึ่งต่อให้สุดท้ายต้อง loss ก็เสียเล็กน้อยแล้วจบ ไม่มีปัญหามาโวยวายว่า กำหนด stop loss สั้นเกินไป (แล้วพอเข้าใหม่ ก็โดนกินอีก)

19

  • When you use technical, Don't trust the chart. Just bet on the point when you have a very high advantage.
    • แม้กราฟจะดูดี แต่อย่าเชื่อกราฟ แค่ bet ในจุดที่เราได้เปรียบ และเสียเปรียบน้อยที่สุดเสมอ
      • ม้กราฟดูเหมือนจะหลุดโซนแล้ว แต่ก็ยังกลับไปที่เดิมได้เสมอ
      • วิธีที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการวาง order limit เสมอ เพื่อให้ได้จุดที่ขาดทุนต่ำสุดเท่านั้น(ไม่เทรดแบบMarket order แบบกราฟพาไป)
    • การคุมความเสี่ยงสำหรับ Technical น่าจะเป็น การเทรดวันละ 2 กราฟ risk ไม้ละ 0.5%

18

  • สาเหตุที่เทรดพลาด?
    • อยากได้กำไรก้อนโต ในทุกวัน
    • ไม่คุมความเสี่ยง เสี่ยงมากเกินไปในแต่ละครั้ง
    • ไม่อ่านข่าวให้ชัวร์ แล้วค่อยเทรด(เทรดทั้งๆที่ยังงงๆอยู่ ไม่รู้จะไปทางไหนแน่)
  • ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ มาอ่านข่าวช่วงบ่ายโมง เพราะ เราไม่ถนัดเทรดตอนกลางคืน ความง่วง จะทำให้เราวิเคราะห์ได้ไม่เต็มที่
  • stop loss ต้องมีความยืดหยุ่น เช่นว่า มีการเผื่อ stop loss run ไว้ด้วย
  • ผิดคือผิด อย่าขยับ stop loss ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้เรียนรู้
  • อย่าใช้ risk มากเกิน เพราะ จะทำให้เราไม่กล้า cut และ พยายามเทรดหนักในคราวต่อไปเพื่อตามทุนคืน
  • หรือการเทรดแบบตามข่าว จะไม่เหมาะกับการเทรดทุกวันนะ?
    • เพราะ ข่าวที่เราอ่านมีจำกัด ไม่ได้ cover ข้อมูลของทั้งตลาด และมักไม่ใช่ข่าวที่จะบอกความเปลี่ยนแปลงของวันนี้ แต่เป็นอนาคตอีกระยะใหญ่ๆ ซึ่งใช้เทรดในวันนี้ไม่ได้
    • อาจต้องเพิ่มการอ่านข่าวให้มากขึ้น???
    • อาจจะมีจังหวะอย่างมากก็ สัปดาห์ละครั้ง???
      • ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ risk 2% เทรด ครั้งละ สัปดาห์???
    • มีข้อมูลอีกมากที่แสดงบนกราฟในแต่ละวัน หรือเราจะเรียน Technical เพิ่มเติม???
  • Read the news as much as you can until you get the idea;
    if you don't have any idea, don't trade!!
  • อย่าเทรดชนกับ Economic news (เพราะ winrate ต่ำ ไม่เคยทายถูกเลย!!!) ให้เทรดจากการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ได้อ่านจากข่าว เท่านั้น
  • สาเหตุที่ Franc swiss แข็งค่าสูง เพราะ สกุลเงิน มีทองคำรองรับเสมอ ไม่มีการพิมพ์เพิ่ม(ประเทศมีความรับผิดชอบทางการเงิน) อีกทั้งเศรษฐกิจดี มีความมั่นคง ไม่มีความขาดแคลนด้านงบประมาณ ไม่เป็นหนี้(lack of budget deficit) จึงจัดเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัยที่สุดในโลก(Safe heaven)
    https://www.bound.co/blog/swiss-franc-stable-currency 
  • หรือว่าเราจะศึกษา Technical ด้วยดีนะ มันไม่ได้ใช้ในการวิเคราะห์กราฟ แต่มัน คือ จุด bet ที่เหมาะสม ส่วนการเลือกหน้าเทรด อาจจะสุ่มสลับกันโยนหัวก้อยกันไปก็ได้
    • หาตำรามาอ่านเพิ่มอีกดีไหมนะ??
  • กลยุทธ์ ไร้สมอง ไร้ความคิด สูงสุดคืนสู่สามัญ ของคนใช้ Technical
    • Technical ไม่ใช่ตัวบอกว่ากราฟจะขึ้นหรือลง แต่เป็นเพียงตัวช่วยหาจุด bet ที่เหมาะสม(มีแต้มต่อ Risk: reward ที่ดี)
      • และกราฟไม่จำเป็นต้องเป็นตาม technical ที่ตีเส้นไว้เสมอไป มันเป็นเพียงตัวบอกโอกาสของความน่าจะเป็นเท่านั้น
    • ใช้หลักการของความน่าจะเป็น และ แต้มต่อที่ดี(Risk: reward) เพื่อความอยู่รอด และค่อยๆเพิ่ม wealth
      • การคุม risk ให้เท่ากันในทุกครั้ง จึงมีความสำคัญ
        • ถ้าแพ้แล้วหัวร้อน แสดงว่า แอบใช้ risk มากเกินไปแล้ว
      • ควรเน้นกระจายการเทรดเป็นความเสี่ยงเล็กๆ แต่เสี่ยงหลายครั้ง โอกาสถูกต้องตามหลักความน่าจะเป็น ก็มากขึ้น
        • และที่สำคัญคือ กระจายไปในคู่เงินที่ไม่ซ้ำกัน เช่น เทรด EURJPY แล้ว ก็จะไม่เทรดคู่ที่มี eur หรือ jpy อีก เป็นต้น
    • หลักการเทรด
      • ดูกราฟ ใช้ TF ที่ไม่มี noise - สำหรับ forex คือ 4h
      • เครื่องมือหลักๆที่ใช้ คือ แนวรับ-ต้าน และ trend line
      • เมื่อกราฟอยู่ใน "จุด bet ที่เหมาะสม" - หน้าที่คือ bet ด้วยการเลือกหน้าเทรดสักอย่าง(buy/sell) หรือ จะใช้ Fundamental(อ่านข่าว) ประกอบในการเลือกหน้าเทรดด้วยก็ได้ เพื่อเพิ่ม win rate หรือ จะใช้การโยนเหรียญ หัว-ก้อย ก็ได้

17

16

  • เรื่อง Crypto ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกระจายความเสี่ยงไปใน Crypto 3 เหรียญ คือ ETH, BNB, ADA จากแผนเดิมที่จะ DCA แค่ ADA (วันที่ 12 มิ.ย.)

14

  • เหมือนว่า Technical สำหรับการ Trade forex มันไม่ Work สำหรับเราแฮะ
    • วิธีแก้ไขคือ การกลับไปเทรด Fundamental ใช้การอ่านข่าวทุกวัน โดยในเมื่อเทรดน้อย ก็ใช้ risk ให้มากขึ้นในการเทรดแต่ละครั้ง
    • เพิ่ม risk เป็น ครั้งละ 2% เทรดสัปดาห์ละครั้ง แม้ risk จะเยอะ และขัดกับหลักความน่าจะเป็น แต่เมื่อเรามั่นใจในกระบวนการเราก็สามารถทำได้ เพราะ การวิเคราะห์ของเราไม่ใช่ความน่าจะเป็นเสียทีเดียว
    • สรุปว่าเลิกเทรดโดยใช้ความน่าจะเป็น และ Technical แล้ว
  • Fundamental หรือ Technical?
    • ขึ้นอยู่กับลักษณะทาง Fundamental ของสิ่งที่เราจะเทรด เช่น
      • Forex เป็นตลาดที่มี Market cap ใหญ่ที่สุดในโลก การเคลื่อนย้ายเงินทุนขนาดใหญ่ ที่มากพอที่จะมีผลกับตลาด มักจะเกิดจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ไม่ใช่แรงซื้อ-ขายจากนักลงทุน(Technical เลยใช้ไม่ได้ผล)
      • กลับกัน หุ้น หรือ Crypto ที่มี Market cap ไม่ใหญ่(เมื่อเทียบกับ Forex) มักไม่ได้มีข่าวด้านปัจจัยพื้นฐานบ่อยๆ(ใช้ Fundamental โดยตรงไม่ได้) แรงซื้อ-ขายของนักลงทุน ที่สัมพันธ์กับ Technical analysis ก็จะมีผลได้มาก แต่ก็ยังอยู่ภายใต้หลักความเป็นจริงด้าน Fundamental(แม้จะมีผลโดยอ้อม หรือ ในระยะยาว)
    • ทั้งนี้โดยส่วนตัวคิดว่าการเทรดต้องเริ่มจาก Fundamental ก่อน เสมอ ต่อให้เราไม่ใช้ Fundamental โดยตรงก็ตาม ซึ่งเมื่อเข้าใจ Fundamental ของตลาดในปัจจุบัน เราจึงจะสามารถกำหนดกลยุทธ์ และ หน้าการเทรด(ซื้อ/ขาย) ที่เหมาะสมได้
      • ตัวอย่างเช่น
        • Crypto หากอยู่ในช่วงที่ US Fed ขึ้น interest rate ก็ไม่น่าแปลงที่เงินทุน จะไม่เข้ามาในตลาด Crypto แต่ไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้US แทน เพราะ การฝากเงินใน US จะได้ผลตอบแทนจาก ดอกเบี้ยสูงแบบชั่วร์ๆ ง่ายกว่า แถมยังความเสี่ยงต่ำ
        • กลยุทธ์การเทรด Crypto ในช่วงนั้น ก็มักจะเป็นการShort หรือ ทยอยซื้อเก็บเรื่อยๆทีละนิดๆ(หากรู้ว่าอีกไม่นานกำลังจะลดดอก) เป็นต้น
  • Idea การเทรดจากการวิเคราะห์ Fundamental หนึ่งๆ เราสามารถเอามาเทรดในกราฟนั้นๆ แบบ day trade ได้เหมือนกัน โดยไอเดียที่ได้จากข้อมูล จะทำให้เราเลือกหน้าเทรดที่เหมาะสม(buy/sell) และ มีโอกาสชนะ (win rate) สูงขึ้นได้
    • ข้อมูลคือแต้มต่อ ที่จะทำให้โอกาสทำเงินของเรามากขึ้น
    • เทรดกราฟเดิมซ้ำๆ จนกว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องจะหมดลง ค่อยไปกราฟอื่น
  • การอ่านตำรา Financial market and institution เป็นพื้นฐานที่ช่วยให้เราเข้าใจ และวิเคราะห์ตลาดได้ดีขึ้นมากจริงๆ
  • เหมือน bitcoin จะมีจังหวะหน่วง(2-3วิ) ตอนข่าวUS ที่เกี่ยวข้องเพิ่งประกาศ ต่างจาก Forex ที่จะมีการกระชากโดยทันที
    • จังหวะหน่วงเหล่านี้ เราน่าจะสามารถทำ correlative เทรด ได้นะ เช่น ไปดูกราฟ USDJPY แล้วรีบกลับไปกดเปิด position bitcoin
  • วันนี้ได้กำไร จาก forex โดยการอ่านข่าว Reuters แล้ว วิเคราะห์ Fundamental แล้วได้ ไอเดียมา หรือ อาจเป็นไอเดียที่เคยวิเคราะห์ไว้แล้วปัจจัยนั้นยังคงส่งผล จากนั้นก็เอาไอเดียนั้นๆ ไปเทรดสกุลเงิน โดยหาจุดเข้าที่ดีด้วย Technical analysis
    • ไม่จำเป็นต้องให้ได้ RR เยอะ แต่ใช้ risk เหมาะสม 1:2 ก็ได้ โดยเน้นสกุลเงินที่เราค่อนข้างมั่นใจมากๆ ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นแบบนี้โดยปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้(เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันมากๆ ฯลฯ) และใช้ risk สัก 2%

13 มิ.ย.

  • เราจะลองเทรดโดยไม่ใช้ fundamental บ้างดีไหมนะ ใช้หลักความน่าจะเป็น เทรดทุกครั้งที่มีโอกาส(เห็น pattern) ไม่ต้องคาดหวังว่าจะชนะทุกครั้ง แต่อาศัยแต้มต่อการชนะจาก reward ที่มากกว่า risk
    • เพราะ ตอนนี้ไส้แห้งแล้ว เทรดน้อยจัด
  • คิดว่าน่าจะปรับมาทำร่วมกับการ bet ทุกครั้งที่มีโอกาสทาง technical "ชัด" น่าจะดีกว่า ถ้า bet 5 ครั้ง มี fundamental ช่วยสัก 2 ครั้ง win rate น่าจะดีขึ้น และ ไม่พลาดโอกาสการ bet ด้วย
    • แต่หลักการ bet ก็ยังคงใช้ความน่าเป็นระยะยาว ที่ต้องทำร่วมกับการคุม risk เสมอ(สำคัญกว่า bet) โดยหวังผลระยะยาว ทำตามระบบ ไม่รีบร้อน และ ไม่ได้จริงจังกับชัยชนะ/พ่ายแพ้ในครั้งนั้นๆ แค่เลือกเอาสักทางที่คิดว่าเหมาะสม เมื่อเจอโอกาสทาง technical ที่ "ชัด" และมีแต้มต่อ RR ที่ดี
  • ปัญหาคือ แม้ว่ากลยุทธ์ของเราตอนนี้จะเสถียร แต่เราไม่มีโอกาสทำกำไรได้มากนัก => ก็ไม่ได้เงิน
    • ควรปรับปรุงตรงไหนดีนะ
      • ใช้ Technical ในการเทรด แล้วกระจายความเสี่ยงต่อวันให้ได้มากที่สุด เช่น กระจาย เป็นวันละ 2 ไม้ ความเสี่ยงไม้ละ 0.5%
      • เน้นเสี่ยงย่อยๆหลายครั้ง ตามหลักความน่าจะเป็น จะดีกว่าเสี่ยงใหญ่ๆครั้งเดียว

12 มิ.ย.

  • ถ้าเกิดเจอข่าวอะไรที่เรารู้สึก ว้าว เช่น Apple จะทำให้สามารถใช้ AI ในเครื่องของทุกคนได้เลย เป็นผู้ช่วยส่วนตัวแบบฟรี, ADA ประกาศ การเปลี่ยนถ่ายการปกครองไปยัง community 100% เป็นต้น
    • อันนี้ต้องเตรียมตัวซื้อแล้ว บางทีอาจไม่ต้องสน technical(เพราะ เอาไว้ดูจุดเข้าเพื่อลดความเสี่ยงเฉยๆ) เข้าไปเลยทันทีที่รู้(ด้วยความเสี่ยงที่เหมาะสท)
  • กลยุทธ์การเทรด ADA เนื่องจากตอนนี้ตลาดเป็นขาลง(ระยะสั้น) แต่เราคาดว่า Fed น่าจะลด int rate ได้ในเดือน ก.ย. เพราะ แนวโน้มเงินเฟ้อน่าจะค่อยๆลดลง
    • ซื้อเก็บวันละ 20$ เป็นเวลาเกือบ 90วัน ก่อนถึงเดือน ก.ย.
      • การซื้อเก็บวันละน้อย จะช่วยลดความเสี่ยงทำให้ราคาเฉลี่ยต่ำพอๆกับราคาตลาด
      • กลยุทธ์นี้เหมาะกับการเทรดที่คิดว่าน่าจะขึ้นต่อในอนาคต แต่ในปัจจุบันราคายังปรับตัวลงในระยะสั้น
      • เหมาะกับการต้องการ ซื้อใน position ใหญ่ ด้วยความเสี่ยงที่ลดลง(เพราะราคาเฉลี่ยต่ำ)
  • ถ้าจะเทรดระยะสั้น เทรดเฉพาะ Bitcoin ชัวร์กว่า Crypto อื่นๆ เพราะ อิทธิพลจากตลาดจะส่งมายัง bitcoin โดยตรง ไม่มีปัจจัยกวนแบบ Crypto ตัวอื่นที่ต้องอิงจาก bitcoin อีกที

11 มิ.ย.

  • เหมือนจะต้องเริ่มอ่านตำราการลงทุนบ้างแล้ว "The intelligent investor"
  • การเทรด commodity เช่น bitcoin ใช้ sentiment ร่วมกับ technical ได้ผลดีอยู่
    • sentiment ใช้กำหนดหน้าเทรด เช่นว่า ถ้าเราเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ ที่มีประสบการณ์ จะอยากซื้อที่ไหน หรือ อยากขายที่ไหน, ราคานี้ถูกแล้ว น่าซื้อ หรือยังแพงเกินไป น่าขาย เป็นต้น
    • technical ไว้ใช้หาจุดเข้าเทรดที่เหมาะสม ที่จะทำให้เรา leverage ได้มาก
  • การเทรด ในตอนนี้อาจจะ อ่านข่าว reuters เป็นหลัก ก็พอจะทำให้เทรดได้ เพราะ ในนั้นมีบทวิเคราะห์ให้ด้วย
    • แต่ถ้าจะให้ดีต้องศึกษาเกี่ยวกับ financial เพื่อให้เข้าใจ และ เทรดforexได้ดีกว่านี้
  • ถ้า ADA จะประกาศ hard fork ในยุค Voltair เพื่อให้การควบคุมไปสู่ community แบบสมบูรณ์ เราจะ All in ไหม?
    • เราจะคำนึงถึงความเสี่ยงเป็นสำคัญ อย่างไรก็ไม่ All in(ได้ข้อคิดจาด FB page "Zyo book")
      • อย่างมากจะใช้ risk ไม่เกิน 5%
  • เราจะเทรดด้วย Technical หรือ Narrative ดีนะ
    • ตำรา The Art of currency trading บอกว่า ไม่ควรเทรดด้วย Technical ต้องมี Idea(Narrative) ก่อน แล้วค่อยหาจุดเข้าด้วย technical
      • เพราะ กราฟจะออกอะไรก็ได้(ตามปัจจัยในโลกความเป็นจริง/นักเทรด) แต่เรามักจะมองกราฟตาม bias เราเสมอ
      • อีกทั้งยังสามารถ ทำให้รู้สึกว่า สามารถเลื่อน stop loss อีกนิดๆๆ ได้ ไม่จบไม่สิ้น
      • กราฟอาจหลอกกันได้ แต่ปัจจัยในโลกความเป็นจริง หลอกกันไม่ได้
      • เราจะไม่ใช้ Technical ในการตัดสินใจโดยเด็ดขาด ใช้เพียงขั้นตอนสุดท้ายในการหาจุดเข้าเท่านั้น
    • วันนี้พลาด หุ้น Apple เพราะ มัวแต่ไปดู​Technical ทั้งๆที่ narrative มันน่าสนใจมาก
    • เราจะพลาด ADA ไหม?

7มิ.ย.

  • ดู int rate ของ ทุกสกุลเงิน สกุลเงินไหน ให้เยอะสุดให้ซื้อ น้อยสุดให้ขาย https://www.earnforex.com/interest-rates-table/ 
    • แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยในการ drive สกุลเงินเสมอไป เพราะ ขนาด CHF มี int rate ต่ำ ก็ยังแข็งค่าขึ้นได้ จากการที่เงินไม่เฟ้อ ไม่เสื่อมมูลค่า แต่JPY เงินฝืด แต่ทำไมค่าเงินอ่อนหว่า? อิอิ
  • การเทรดช่วงแรก การทำกำไรจะเป็นไปได้ช้า แต่จะเร็วขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อเวลาผ่านไป เพราะ เกิดจากการทบต้นของกำไร เป็นกราฟ exponential
    • ไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่างใด เพราะ รีบร้อนไปก็ไม่ได้กำไรมากกว่าเดิมเท่าไหร่(แถมเสี่ยงพลาดขาดทุน จากการเพิ่ม risk เพื่อหวังการเพิ่ม reward ระยะสั้น) ให้ระบบกำไรทบต้น เพิ่มกำไรให้เราเองเถอะ เราเพียงแค่คุมความเสี่ยงแล้วเทรดเหมือนกันทุกวันๆ
    • จะเทรดแต่ละครั้ง ได้กำไรมาก-น้อยแค่ไหน ไม่ได้มีผลเท่าไหร่ในระยะยาว เพียงแค่พยายามควบคุมความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ แล้วสิ่งที่จะเพิ่ม wealth ให้เราได้อย่างทรงพลังจริงๆคือ ระบบกำไรทบต้น
    • การเทรด ไม่ควรรีบร้อนทำกำไร เพราะ มันจะเป็นการใช้ risk ที่มากขึ้นโดยอัตโนมัติ จะทำให้เสี่ยงขาดทุนแทน สิ่งที่จะทำให้เราเกิดกำไรแท้จริง คือ ระบบกำไรทบต้น จากกำไรทีละเล็กละน้อยมากกว่า
    • สิ่งสำคัญที่สุด ของนักเทรด จริงๆ ไม่ใช่ risk reward แต่เป็นกำไรทบต้น เพราะ ต่อให้ RR 1:2 ยังได้กำไรระยะยาวมากกว่า RR 1:3 จาก win rate ที่สูงกว่า และ การทบต้นที่บ่อยกว่า
  • สิ่งสำคัญในการเทรด ไม่ใช่การพยายามเก็บกำไรก้อนใหญ่ที่ได้จากการเทรดแต่ละครั้ง แต่เป็นการสะสมกำไร "ไม่ว่าจะมาก หรือน้อย" แล้วใช้พลังของกำไรทบต้นไปเรื่อยๆ จะเพิ่ม wealth ในอนาคตให้เราได้อย่างแท้จริง
    • การพยายามเก็บกำไรก้อนใหญ่ มักจะหนีไม่พ้น การวาง risk สูง เพิ่มเดิมพัน ซึ่งมันไม่ได้ชนะเสมอไป หากเสียเมื่อใหร่ก็ย่อยยับทันที ซึ่งมันเป็นลักษณะของ ฝีพนัน ไม่ใช่เซียนพนัน
    • การแบ่งโอกาสเสี่ยงเป็นการเสี่ยงทีละน้อย แม้จะพลาดก็เสียเพียงเล็กน้อย แต่จะทำให้เรามีจำนวนโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น และ เมื่อใช้ผลของการทบต้น เรื่อยๆ ก็จะทำให้เกิด wealth ที่มั่นคงอย่างแท้จริง
  • สรุป นักเทรดที่ดีจะต้อง โฟกัสที่กำไรทบต้น ทีละเล็กละน้อย ไม่ใช่การแสวงหาแต่กำไรก้อนใหญ่จากการเทรดแต่ละครั้ง
    • นักเทรดที่ดี ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก ว่าการเทรดนั้น risk reward สวยงามแค่ไหน แต่สนใจกำไรทบต้นไปเรื่อยๆมากกว่า ขนาดว่า risk reward 1:1.5-2 ยังทำเงินในระยะยาวได้มากกว่า risk reward สวยๆ 1:3ขึ้นไป เลย
      • ชัยชนะที่ดีในการเทรด ไม่ใช่การชนะกำไรอย่างยิ่งใหญ่ในวันเดียว แต่เป็นการชนะด้วยกำไรเล็กๆ ทบต้นในทุกๆวัน
  • ความร่ำรวยแท้จริงของนักเทรด ไม่ได้มาจากการได้กำไรก้อนใหญ่ในการเทรด(เป็นเพียงของแถม) แต่มาจากกำไรทบต้นทีละน้อย ที่ค่อยๆทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น หากเราค่อยๆเทรดจนได้กำไรเท่าตัว(ทุนเพิ่มเป็น 2 เท่า) การเทรดครั้งต่อไปแม้จะใช้ความเสี่ยง คือ risk 1% เท่าเดิม แต่ก็จะสามารถทำกำไรได้ 2 เท่า จากตอนแรก และเมื่อสะสมกำไรเข้าไปอีก มันก็จะทวีคูณเพิ่มไปอีกๆ
    • อย่าไปคาดหวังการร่ำรวยจากกำไรก้อนใหญ่ มันเป็นเหมือน เพียงของแถม หรือ​ โบนัสจากการทำงาน ที่แม้จะไม่มีก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รวย
    • อย่ารีบจะทำกำไร เร็วๆ โดยเฉพาะในช่วงแรก เพราะ ลักษณะของการทบต้น อย่างไรก็จะช้าในช่วงแรก การรีบจะทำให้เราเสี่ยงมากขึ้น และ จะขาดทุนแทน ซึ่งการรักษาทุนสำคัญมากในช่วงแรก เพราะ หากทุนน้อยลงไปอีก การทำกำไรก็จะน้อยลงตามสัดส่วน และ จะสะสมทุนเพิ่มได้ยากขึ้นไปอีก
  • Crypto เหมือนจะวิ่งเยอะ แต่จริงๆอย่าตกใจ เพราะ Forex ก็มีโอกาสนี้อยู่เสมอ และบ่อยกว่าด้วย
    • คำถามต่อมาคือ เราควรจะ All in ไหม?
      • ไม่ควรแม้แต่น้อย ไม่ Make sense สำหรับการเทรดแม้แต่น้อย
        • เพราะ เราไม่ควรเอาความเสี่ยงทั้งชีวิต มาลงกับวินาที หรือ นาทีใดนาทีหนึ่ง โอกาสถูกอาจมีเพียง 1/20 แต่ถ้าเราไม่ถูกต้องใน 1 ใน 20 นั้น คือเราจบเห่เลยนะ
    • คำถามต่อมาคือ ทำไมเราไม่ซื้อ ADA เหรียญ Crypto ที่ดีที่สุดในโลกเก็บไว้บ้างไม่ได้
      • เพราะ ความเสี่ยง ที่เรารับไม่ไหว ในฐานะนักเทรด
      • แต่เราก็ช่วยเทรด ADA ช่วยเพิ่ม Volatility และ liquidity ของราคานะ!!
    • ถ้าต้องเลือกระหว่าง "ได้กำไรก้อนใหญ่จาก Crypto ในตอนนี้" แต่เทรดไม่เป็นตลอดชีวิต กับ "เทรดอย่างมีวินัยได้ตลอดชีวิต"
      ขอเลือกเทรดได้อย่างมีวินัย ตลอดชีวิตดีกว่านะ!!!
  • เหมือนเข้า order forex แต่เช้า ไม่วิ่งเลยนะ สุดท้ายก็จะไปวิ่งตอนทุ่มกว่าๆ อยู่ดี
  • สรุปว่า วันนี้ได้เห็นผลประจักษ์ของ ความเป็นไปได้ในความน่าจะเป็นทุกทาง ของการเทรด
    • วันนี้หยุด All in แล้ว แม้จะยังคงเจ๊ง แต่ไม่มาก เพราะ ถึงแม้ว่าจะใช้ risk เกิน แต่ก็ไม่ All in แบบที่คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว(หลังจากที่ disscuss หลักการเทรดกับตัวเอง ว่าทำไมจึงไม่ควร All in) จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเราไม่ควร ใช้ risk เกินตัว
    • แต่ต่อไปต้องหยุดใช้ risk เกินตัวแล้ว เพราะที่ผ่านมา ขาดทุนมาตลอด ก็เพราะใช้ risk เกินlimit กับการเทรดแต่ละครั้งเหมือนกัน แม้จะเริ่มได้กำไรบ้าง จากการวิเคราะห์ตลาด แต่ก็สูญไปกับการใช้ risk ที่มากเกินไป

6มิ.ย.

  • อาชีพการเทรด เป็นอาชีพที่หาเงินได้เท่าที่ risk limit จะอำนวย แต่หากเราใช้ risk เกิน limit จะกลายป็นนักพนัน ไม่ใช่นักเทรด
    • เมื่อเราหยุดการเป็นนักพนัน เราจึงจะมีกะจิตกะใจ ในการหาข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ในการเทรดจริงๆ
  • เทรด Crypto ไม่ผิด ถ้าคิดว่ามี scenario และ ไอเดีย ที่เหมาะสม แต่ผิดที่ใช้ risk เกินกำลังเงินทุนที่เรามี จนเกิน limit ลามไปถึงเงินเก็บของเรา
  • ถ้าอยากลงทุนใน Crypto ให้ อ่านตำรา Investing ก่อนนะ
  • ข่าวที่อ่านวันนี้
    • JPY มอง wage growth ถ้าเริ่มดีขึ้น ก็น่าจะไฟเขียวในการขึ้น int rate เป็นหลักการที่กล่าวถึงใน policy normalization
    • เพิ่งรู้ว่า CAD มีนโยบาย ลด int rate มาเรื่อยๆ
    • USD ตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัวลง

5

  • ยังคงใช้ risk เกินตัว และ over trade ต้องลดความดุเดือดในการเทรดลง
  • Forex โฟกัสแต่ interest rate?
    • JPY กำลังจะขึ้น interest rate
    • USD ยังไม่แน่ว่าจะลด int rate แต่ต้องลดสักวันหนึ่ง แต่เริ่มเห็นแนวโน้มที่ inflation จะลดลง
    • EUR ยังลด int rate แต่ครั้งถัดไปน่าจะกลับมาขึ้น เพราะ ปัญหาเงินเฟ้อกลับมา
    • NZD มีแนวโน้มจะขึ้น int rate
    • CHF ไม่ได้จะลดค่าเงินตัวเองอย่างเดียวแล้วนะ เขาว่าถ้า price stability เสียไป ก็อาจจะกลับมาขึ้น int. rate ได้
    • AUD ค่า GDP ไม่โต(ลดลงพอสมควร) น่าจะต้องลดดอก
    • GBP ยังคงมองหาโอกาสในการลด int rate อยู่
  • พลาด ไม่ได้ตามข่าวของ aud เพราะ ดูเหมือนจะมีการลด int rate เศรษฐกิจไม่ได้เข้มแข็งมากนัก ไม่ลดดอกนะ เพราะ inflation ยังอยู่
    • รอเล็ง short AUDNZD?
  • ในช่วงเริ่มหัดเทรดนี้ เราจะเทรดเฉพาะปัจจัยที่เรามั่นใจจริงๆเท่านั้น เพราะ เราเพิ่งเริ่มหัดวิเคราะห์ เพิ่งหัดมองตลาด ความรู้พื้นฐาน(Financial market)ก็ยังอ่านไม่จบ รออ่านให้มีความรู้เต็มที่ก่อน แล้วจึงค่อยเทรดแบบเต็มที่
  • Trick อย่างหนึ่งในการเทรด คือ อ่านข่าวเยอะๆ ดูกราฟน้อยๆ เพราะส่วนใหญ่จะโดนกราฟหลอก โดยที่ลืมอ่านข่าวให้ดี แต่ถ้าอ่านข่าวมากพอ จนตกผลึก ได้ไอเดียการเทรด อันนี้มักจะเทรดได้ดี
    • การเทรดจากการดูกราฟ เป็นการเทรดที่ห่วยสุดๆ เพราะ จะผิดหรือถูกก็ไม่แน่ มันยังได้อีกนิด เลื่อน stop loss ได้อีกนิดๆๆๆๆ สุดท้ายก็เสียๆๆไปเรื่อยๆจนหมด
    • การเทรดจากการอ่านข่าว แล้วตกผลึก เกิดเป็นไอเดีย เป็นการเทรดที่ดีมีคุณภาพ เพราะ มันมีปัจจัย ณ ขณะนั้นที่ drive มูลค่าจริงๆ ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ไม่มีการไม่แน่ใจจนต้องคอยขยับ stop loss อีกนิดๆ จนสุดท้ายหมดตัว
    • เพราะ ฉะนั้น เทรดอย่าดูกราฟ ให้อ่านข่าว หาข้อมูล หาความรู้ที่เกี่ยวข้อง อ่านๆๆๆๆๆ
    • ถ้าอยากรู้ว่าวันนี้จะเทรดอะไร ให้ไปอ่านข่าว ไม่ใช่ดูกราฟ แต่ถ้าวันนั้น อ่านแล้วไม่ตกผลึกได้ไอเดียอะไร ก็ไม่ต้องเทรด
    • เทคนิคการอ่านข่าว (จากตำรา The Art of currency trading) คือ อ่านแล้วคิดๆ ทุกคำ ทุกๆประโยค โดยเฉพาะ Central Bank report/announcement
  • Crypto สรุปว่ายังไม่ชัวร์เรื่อง fed ถึงจะมีแนวโน้มเรื่องการลด int rate ก็เถอะ และสักวันหนึ่งอย่างไรก็ต้องลด int rate ก็เถอะ
    • จริงๆ การเทรด Crypto น่าจะต้องหาตำราการลงทุน(investment)มาอ่านนะ น่าจะใช้ได้เหมือนกัน แต่มันจะไม่เหมาะกับการเทรด หลักการมันต่างกัน คือ
      • เหมือนมันจะต่างกับการเทรดอยู่หน่อย ตรงที่สามารถซื้อสะสมได้ บางคนก็เลยซื้อสะสมไว้ก่อน ถ้าพอจะกะได้ว่า อีกไม่นานมูลค่าน่าจะขึ้น
    • แต่ส่วนใหญ่คือปัญหาเรื่องการใช้ risk มากเกินไปเท่านั้น

4

  • inflationไม่ใช่เรื่องค่าเงินอ่อนลง แต่เกี่ยวกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น บางทีค่าเงินอ่อนมาก แต่ deflation ก็มี ได้แก่ ญี่ปุ่น เป็นต้น
  • เข้า Crypto ด้วย risk 2.6% ของ port เงินเก็บ !!! ไม่ใช่ port trade นะ ค่อนข้างจะ over risk อยู่พอสมควร
    • ถ้าจะ All in อย่างไรก็ควรจำกัดอยู่ที่ port trade นะ?! อย่าลามมา port saving
    • ขัดกับหลักการเทรดที่ดี ที่ควรเป็น small risk หลายๆครั้ง ดีกว่า large risk แค่ไม่กี่ครั้ง
    • สุดท้ายตอนนี้ก็ลดขนาด position ลงแล้ว ให้เหลือ risk 5% ของ port trade
  • เวลาตั้ง limit order เรามักจะไม่ได้เข้าตามแผนที่ควรจะได้เข้าเลยแฮะ สรุปว่าเข้าที่ market price ที่เราคิดว่า ราคามันสมเหตุสมผล(reasonable) ก็โอเคแล้ว อย่ามัวแต่รอของถูก(แต่ถ้าแพงเกินไปก็ไม่เอานะ)
  • สรุปว่า All in Crypto ไปหมดแล้ว(เงินเก็บทั้งหมด) ด้วยเหตุผลว่า ตอนนี้ ผลจากการที่ Fed คงดอกเบี้ยสูง นานๆ ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจเริ่มแย่ลง ทั้ง PMI, New Job rate ก็ต่ำลงมาก ซึ่งคิดว่า Fed น่าจะต้องลด interest rate บ้างแล้ว
    • inflation ก็มีแนวโน้มลดลงแล้ว ถ้า Fed จะพิจารณาลดดอกเบี้ย คงไม่มีใครว่าอะไรนักหรอก
    • อย่างไรเงินก็ต้องไหลเข้า Crypto เลย price in ไปก่อน แบบ All in

3

  • อย่าเทรดในสิ่งที่เราไม่รู้ ต้องมีข้อมูลก่อนเสมอจึงจะเทรด เหมือนเราเดินเข้าไปในฝูงชนที่มีคนหลากหลายกลุ่ม กำลังเดินกันพลุกพล่าน เราจะรู้ว่าแต่ละกลุ่มกำลังเดินกันไปทางไหน เราต้องถามข้อมูลจากพวกเขาให้รู้เรื่องก่อนที่จะตามขบวนไป ถ้าเราตามขบวนโดยที่ไม่มีข้อมูล อาจจะพลาดไปร่วมขบวนกับกลุ่มที่กำลังจะเดินไปลงเหวก็ได้
  • เทรดแบบ เสี่ยงน้อยๆ แต่หลายครั้ง ดีกว่า เสี่ยงมากๆ ครั้งเดียว(All in 100%) !!! 
    • เพราะ ในความเป็นจริง ไม่มีใครเทรดถูกในครั้งเดียวหรอก ต่อให้คิดมาดีแค่ไหน กลยุทธ์ในการเทรด ด้วยการเทรดบ่อยๆ แต่เสี่ยงน้อย จึงเหมาะกับโลกความเป็นจริงมากกว่า ที่ไม่มีใครทายถูกทุกครั้ง โดยที่ยังสามารถใช้ประโยชน์จาก leverage และ risk:reward ได้อย่างเต็มที่กว่า
      • รู้หรือไม่!? ว่าที่เรียกกันว่า All in ของนักลงทุน คือ risk ไม่เกิน 5% ของ portfolio นะ (จากตำรา The Art of currency trading)
  • เทรด Crypto ด้วยการอ่านข่าวก็ได้เหมือนกันนะ(หาเว็บแหล่งข่าว Crypto อ่าน) เพื่อดูว่าเงินทุนมีโอกาสไหลไปเหรียญไหน ณ เวลาปัจจุบัน
    • ทดลองเทรดแบบใช้ risk ต่ำสุดไปก่อน
  • Forex โฟกัสแต่ interest rate?
    • JPY กำลังจะขึ้น interest rate
    • USD ยังไม่แน่ว่าจะลด int rate แต่ต้องลดสักวันหนึ่ง แต่เริ่มเห็นแนวโน้มที่ inflation จะลดลง
    • EUR ยังลด int rate แต่ครั้งถัดไปน่าจะกลับมาขึ้น เพราะ ปัญหาเงินเฟ้อกลับมา
    • NZD มีแนวโน้มจะขึ้น int rate
    • CHF ไม่ได้จะลดค่าเงินตัวเองอย่างเดียวแล้วนะ เขาว่าถ้า price stability เสียไป ก็อาจจะกลับมาขึ้น int. rate ได้
    • AUD คงดอกมั้ง อะไรสักอย่างนี่แหละ แต่ GDP ไม่โต น่าจะต้องลดดอก
    • GBP ยังคงมองหาโอกาสในการลด int rate อยู่

2

  • กลยุทธ์ การเทรด Crypto จะเทรด หรือลงทุนดีนะ?
    • เทรดคือ การคุมความเสี่ยงให้น้อย เสี่ยงเล็กๆแต่หลายครั้ง เพื่อเก็บผลกำไรที่มากกว่า, ส่วนลงทุนคือ ใช้เงินเย็นซื้อทิ้งไว้ แล้วรอเวลาที่มูลค่าแท้จริงเพิ่ม
    • การเทรดน่าจะดีกว่าสำหรับเรานะ? เพราะ การลงทุน มันดูเหมือน เราจะคุม stop loss ไม่ค่อยได้ มันไม่ต่างจาก "การเทรดด้วย position ใหญ่ในคราวเดียว"
    • สรุปว่าแผนการลงทุน Crypto จะปรับมาเป็นการเทรดย่อยๆ และคุมความเสี่ยงอยู่เสมอ เหมือนการเทรด forex แทนการซื้อเก็บที่คิดไว้เมื่อวาน
  • อ่านข่าว reuters - BOJ มีโอกาสขึ้น int. rate ถ้าหากว่า wage hike และผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น จนเศรษฐกิจดี และเงินเฟ้อมากขึ้น
    • อาจจะทำ 2 ทางควบคู่กันดีไหมนะ
      • เพิ่ม int. rate เพื่อให้เงินแข็งค่า
      • ขณะเดียวกัน ถ้าเกิด deflation ก็ทำ QE?? เพื่ออัดฉีดเงินกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ(คิดเอาเองมั่วๆนะ)

  • แผนการลงทุน Crypto ในตอนนี้คือ หาจังหวะซื้อสะสม ก่อนที่ Fed จะประกาศลด interest rate!!!!!****
    • กราฟลงแดงเมื่อไหร่ให้ทยอย ซื้อ Crypto ที่เราคิดว่ามันมีคุณค่ามากที่สุด
    • มีวินัยในการลงทุน อย่าซื้อด้วย risk ที่มาก จนเกินเงินสำรองที่มี น่าจะไม่เกิน 60,000 บาท
      • แบ่งซื้อ ด้วย risk น้อยๆ หลายๆครั้ง เพื่อให้มีโอกาสได้ราคาที่คุ้มค่ามากกว่า ซื้อครั้งใหญ่ครั้งเดียว
        • ซื้อครั้งละ 3000 เดือนละ 6 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน? -> ซื้อไปด้วย และ คอยดูนโยบาย Fed ไปด้วย
Notes

** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags" ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.