Skip to main content

มี.ค. 67

Submitted by krishrong on

31 มี.ค.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน เมื่อวานนอนหลับสนิทดีมาก สังเกตได้ว่า วันที่กินอาหารวันที่ 2 จะหลับสนิทที่สุด, ส่วนวันที่กินอาหารวันแรก และวันที่อดข้ามวัน จะนอนหลับไม่สนิท
    • จะลองกินเกลือ วันละ ครึ่งช้อนชาก่อนนอน ทุกวัน แล้วดูว่าอาการนอนไม่หลับ ดีขึ้นหรือไม่
  • บางทีมีไอเดีย แต่ไม่มีทักษะเขียนโปรแกรม หรือ มีทักษะเขียนโปรแกรม แต่ไม่มีไอเดียจะทำอะไร
    • ฝึกเขียนโปรแกรมไปก่อน แม้จะยังไม่มีไอเดีย
  • เมื่อวานอ่านหนังสือได้ 10 หน้า ไม่มีสติหลงเพลินทั้งวัน
  • วันนี้ลองเปลี่ยนมาเดินไปมหาลัย สุดท้ายใช้เวลาเท่ากับการนั่งรถสองแถวเลยแฮะ คือ 1 ชม
    • ข้อดี คือ
      • ใช้เวลาเดินทางเท่ากัน(น้อยกว่าเล็กน้อยด้วย)
      • ประหยัดเงินได้เดือนละ 500 บาท
      • ช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นมาก หัวใจและระบบหมุนเวียนเลือดแข็งแรง ลำไส้ทำงานดี ไม่ท้องผูก ได้วิตามินดีในตอนเช้า
      • ทำให้สมองเกิดไอเดียดีๆได้ด้วย
      • ช่วยลดภาวะสมาธิสั้น สมาธิดีขึ้นได้
      • ธรรมชาติของมนุษย์ ถูกสร้างมาเพื่อเดินทางวันละไกลๆ เพื่อหาอาหาร
    • ข้อเสีย
      • เหงื่อออกเยอะ อาจทำให้ต้องซักกระเป๋าเป้บ่อย อาจจะพยายามเดินตอนที่แดดไม่ออก
      • ถ้ากินมื้อเช้าจะลำบากหน่อย เพราะ จะออกสายขึ้น อาจต้องปรับด้วยการกินอาหารเข้าขึ้นอีก เช่น กินอาหาร ตี4-5 ออกเดินทาง 6-7 โมง เป็นต้น แต่อาจไม่เหมาะกับ circadian rhythm ที่ควรกินหลังพระอาทิตย์ขึ้น แต่คงไม่แย่เท่ากินมื้อดึกหรอก
        • อาจจะลดเวลานอนลงเหลือ 4-5 ชม โดยใช้การกินอาหารเป็นแรงจูงใจในการตื่นเช้า เช่น ตื่นตี2-3 ทำอาหารกินตอนตี 2-4 จัดการธุระส่วนตัว/งานบ้าน ตอนตี 4-5 แล้วออกเดินทางไปมหาลัยตอนตี 5 เริ่มอ่านหนังสือ 6โมง ถึง 2 ทุ่ม จึงกลับหอพัก 3 ทุ่ม แล้วนั่งสมาธิ นอน 4 ทุ่ม
    • ข้อสังเกต
      • อาจต้องกินเยอะขึ้นเล็กน้อย เพราะ เดินวันละ 2 ชม ก็ใช้พลังงานประมาณหนึ่งเหมือนกัน
      • ถ้าเดิน จะไม่ค่อยได้อ่านนิยาย เพราะ ปกติจะอ่านนิยายระหว่างเดินทางบนรถสองแถว แต่จะเปลี่ยนมาพัฒนาทักษะการฟัง ด้วยการฟัง BBC world radio ระหว่างเดินแทน
        • แต่ปัญหาไม่ใช่เกิดจากการเดิน ที่ทำให้ไม่ได้อ่านนิยายนะ ถ้าอยากอ่านนิยาย ก็หาเวลาอ่านเพิ่มเอา
      • ตอนนั่งรถสองแถวท้องผูกบ่อย
  • ถ้าถามว่า คิดว่าคุ้มไหมที่ทิ้งงานประจำ มีรายได้ดี มั่นคง มาทำตามความฝัน และ อิสระในการเรียนรู้
    • คำตอบ สำหรับตัวเองคือ คุ้มมากนะ แม้จะลำบากขึ้น แต่ก็ได้พัฒนาตนเองมากขึ้น เรียนรู้อะไรมากขึ้นอย่างที่ไม่มีโอกาสได้ทำมาก่อน สมมติ ถ้าต้องแลกเงิน เดือนละ 7หมื่น กับ การพัฒนาความสามารถในด้านภาษา การเงิน เขียนโปรแกรม อิสระในการเรียนรู้รอบด้าน ที่สามารถนำความรู้ไปใช้ได้อีกตลอดชีวิต เรายอมเลือกทางเดินที่ลำบากแบบนี้ ในระยะยาวจะดีกว่า
      • เงินเป็นเพียงของชั่วคราว เดี๋ยวก็หาใหม่ได้ และ ความรู้ความสามารถจะทำให้หาเงินได้เรื่อยๆอย่างยั่งยืนจริงๆ
  • เว็บ bloomberg, reuter เนื้อหาข่าวมีสาระมากๆ ไม่คิดว่าจะต้องอ่านข่าวต่างประเทศจริงจังแบบนี้มาก่อนนะเนี่ย แต่ถ้าจะเทรด ก็ต้องอ่านจริงจัง ไม่ได้เล่นๆนะ
  • หลังจากนี้จะต้อง เปลี่ยนมากินมื้อเช้า 3 วันติดกันแล้ว เพราะ รู้สึกความยาวรอบข้อมือเล็กลงมาก ดูตัวเองในกระจกแล้วผอมลงมาก
  • วันนี้อ่านหนังสือ 10.30น กะว่าจะอ่านถึง 20.00 น(เพราะ กลับหอเร็วก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว) เดินกลับบ้านก็ 21.00 น พอดี
    • อ่านหนังสือผ่านหน้าจอ Macbook pro ปิด Auto brightness, True tone แล้วลดแสงหน้าจอลงเหลือ 40% ช่วยให้อ่านสบายตาขึ้นนะ
    • สมาธิในการอ่านหนังสือยังดีอยู่ แม้จะไม่มีแรงทางกาย แต่ยังคงใช้ความคิดได้
  • Path to be a genius = Combining OMAD with Alternate day fasting. Then, ...
    • reading as many books as possible
    • practice as much as possible
  • เมื่อเช้าถูบ้าน เนื่องจากมีเวลาว่าง เพราะ กว่ามหาลัยจะเปิดก็อีกนาน และ อยู่หอก็ไม่มีอารมณ์จะอ่าน
    • ไม่แน่ใจว่าที่เราอ่านหนังสือที่หอไม่ได้ เป็นเพราะ ไม่มีเก้าอี้หรือเปล่านะ เลยรู้สึกไม่สะดวก
  • จะขอโควต้าแบ่งเวลาชีวิตเพิ่มดีไหมนะ???
    เหมือนอ่านตำราเทรด The Art of currency trading เล่มนี้เป็นสาย Fundamental นำ Technical ซึ่งมีเหตุผลรองรับดีมาก อธิบายเคลียร์ ชัดเจนมาก ไม่มีตรงไหนคลุมเครือ แต่อยากลองอ่านแนวอื่นต่อ
    • เราควรจะลองอ่านสาย Pure technical ด้วยดีไหมนะ ที่เขาว่ากันว่า "กราฟมาก่อนข่าว" แต่เคยอ่านบางเล่ม รู้สึกว่าบางอย่าง เขาจะให้เหตุผลว่า "ไม่มีเหตุผล" หรือเป็นเชิงความน่าจะเป็น เป็นส่วนมาก
      จากนั้นก็สาย Investing(The intelligent investor) แบบปู่ Warren Buffett
      • เอาจริงๆ เราต้องการเทรดเพียงแค่หาเงิน มาเรียนคอมต่อ ถ้าจะอ่านเพิ่ม แนะนำให้ค่อยไปอ่านในอนาคต แต่ถ้าตำราเล่มนี้ทำให้เรา พอจะทำเงินได้(จากที่ไม่เคยทำได้) ก็ใช้วิธีนี้ไปก่อน(แต่อย่าเชื่อว่าวิธีไหนจะดีกว่า เพียงเพราะทำเงินให้เราได้ ต้องอ่านให้ครบอยู่ดีแหละ)
      • ข้อดีของ Fundamental นำ Technical คือ มันดู Make sense กว่า เพราะ มันมีเหตุผลและปัจจัยที่มีความเป็นไปได้รองรับ ซึ่งถ้าไม่ได้เทพมาก อาจเทรดระยะยาวไป
      • ข้อเสียของ Techinical คือ ใช้ได้กับการเทรดระยะสั้น เพราะ เราไม่รู้ปัจจัยเบื้องหลัง ว่าจะส่งผลยาวนานแค่ไหน กราฟอาจจะดูดี แต่มันอาจพลิกเป็นอีกแบบในชั่วข้ามคืนก็ได้ และที่สำคัญคือ มันสามารถมองกราฟได้ตาม bias เราเสมอ ดังนั้น มีข้อมูล Fundamental แล้วค่อยเทรด จะดีที่สุด(ลองมานึกดูที่เราเทรดหุ้น Tech ได้กำไร ก็เพราะ เรารู้ข่าวมาก่อน และวิเคราะห์ได้ว่าอย่างไหนส่งผลอย่างไร และปัจจัยไหนให้ผลมากที่สุด และให้ผลนานแค่ไหน เลยเทรดได้กำไร, technical เป็นเพียงช่วยหาจุดเข้า)
  • วิธีการพัฒนาตนเอง
    • Fasting กินวันละมื้อ แล้วอดข้ามวัน 2-3 วันครั้งหนึ่ง
    • อ่านหนังสือ(อ่าน ดีกว่าดู คลิป VDO นะ เพราะ ไม่ใช่การฟังคนอื่นสรุปอีกที แต่เป็นการอ่านและพิจารณาด้วยตัวเองโดยตรง)
      • พลังของความรู้ จะดลบันดาลให้เราได้ทุกสิ่ง
  • ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถเพิ่มสินทรัพย์ได้มากที่สุด โดยใช้ต้นทุนน้อยที่สุด
  • การนั่งขัดสมาธิ อ่านหนังสือ กับพื้นมีโอกาสทำให้เราสูญเสียความร้อนจากร่างกายได้มากกว่าการนั่งเก้าอี้ หรือ มีเบาะฉนวนรองนั่ง เพราะ พื้นที่ผิวสัมผัสเยอะกว่า สูญเสียความร้อนได้ง่ายกว่า
  • อาจจะลอง ตื่นตี 2-3 แล้วกินอาหารตอน ตี4-5 แล้วเดินทางไปมหาลัยตอน 5-6.00น
  • ว่าจะการกินลงเหลือวันละมื้อ และอดวันเว้นวันละ เพราะ กินธัญพืช ยังมีแรงกระฉับกระเฉงอยู่เลย แม้จะเดิน 2 ชม. ไปกลับ อ่านหนังสือทั้งวัน
  • ตอนเดิน เกิดไอเดียดีๆพลุ่งพล่านเยอะเลย
    • ใช้อาหารเป็น reward สำหรับการตื่นเช้า(ตี 2- 3) และปรับเปลี่ยน circadian rhythm ให้นอนน้อยลง (นาฬิกาชีวิตมันปรับเปลี่ยนได้ เช่นคนทำงานกะ)
    • เกี่ยวกับการเทรดแบบ Fundamental (พิมพ์ระหว่างที่เดินจากมหาลัยกลับหอ)
    • ฟอเรกเหมือน้กมรักษาความมั่นคงทางการเงินทั้งในระดับประเทศ รวมถึงบริษัทใหญ่ที่ต้องการรักษามูลค่าทางการเงินของตนเอง

      เป็นเกมส์โยกย้ายสินทรัพย์ไปในสกุลเงินที่มั่นคงกว่า ให้ผลตอบแทนดีกว่า ณ ช่วงเวลานั้นๆ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ คือ รัฐบาลของประเทศนั้นๆ จึงเป็นเกมส์ที่สามารถชนะได้ทุกคน คนแพ้อาจเป็นรัฐบาล หรือประชาชน ที่ถือสกุลเงินของรัฐบาลที่บริหารผิดพลาด

      การถือสกุลเงินไม่ต่างจากการถือหุ้นของประเทศ ที่มีรัฐบาลเป็นผู้ให้การรับรอง

      มันไม่ใช่เกมส์ที่ยากมาก แค่พยายามคิดว่าประเทศไหนที่กำลังจะได้รับประโยชน์จากปัจจัยต่างๆในปัจจุยันและอนาคต ก็โยกไปถือสกุลเงินของประเทศนั้นๆ(ผ่านการเทรด การแลกเปลี่ยน หรือเข้าไปมีเอี่ยวกับปัจจัยนั้นๆโดยตรง เช่นซื้อหุ้นของบริษัทในประเทศนั้นๆ)

      อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลเป็นเหมือนเงินปันผลของหุ้น ที่รัฐบาลจะจ่ายให้จากการถือสกุลเงิน
      ถ้ารัฐบาลขึ้นอัตราฯ แล้วคนอยากจะถือหรืออยากเก็บสกุลเงินนั้นๆ เพื่อรับผลตอบแทน สกุลเงินก็จะมีแนวโน้มแข็งค่า
      ถ้าเศรษฐกิจดี บางทีคนอยากเข้ามาซื้อหุ้นของกิจการในประเทศนั้น ก็ต้องแลกสกุลเงินก่อนจึงจะซื้อหุ้นได้ สกุลเงินก็จะแข็งค่า
      รวมไปถึงกิจการส่วนใหญ่ของประเทศนั้น เช่น นิวซีแลนด์ ส่งออกผลิตภัณฑ์นม เป็นต้น ถ้าขายได้มาก ก็จะได้ดุลการค้า สกุลเงินก็จะแข็งค่าขึ้น
      หรือทรัพยากรธรรมชาติต่างๆที่มีมากกว่าประเทศอือ่น เช่น มีแร่ทอง น้ำมัน ลิเทียม เป็นต้น
      ความมั่นคงของประเทศก็มีส่วน เช่น ต่อให้อัตราดอกเบี้ยสูง แต่ประเทศไม่ได้มีอะไรเด่น หรือ กำลังประสบภาวะทางการเงิน เสี่ยงล้มละลาย คนก็ไม่กล้าถือ

30 มี.ค.

  • เมื่อคืน หลังจากที่ลองกินเกลือ 1 ช้อนชา ก่อนนอน ก็หลับสนิทไม่ตื่นกลางดึกแล้ว เหมือนจะมีงานวิจัยด้วยแฮะ เกี่ยวกับปริมาณโซเดียมต่ำ ก็ส่งผลให้นอนไม่หลับได้เหมือนกัน (โดยปกติเราจะได้รับ sodium จากอาหาร แต่หากเรา Fasting ข้ามวัน ก็ควรจะต้องกินเกลือเสริม เพื่อให้ไม่ขาด sodium เพราะ จะสูญเสียไปโดยไม่ได้รับเพิ่ม)
  • เมื่อวานอ่านได้ 15 หน้า แม้จะรู้สึกขี้เกียจอย่างมาก หลังจากเพิ่งกินอาหาร แต่เนื่องจากเนื้อหาเคยอ่านมาบ้างในเล่มก่อนหน้ามั้ง เลยอ่านได้เร็ว
    • ข้อดีของการไม่อ่านหนังสือซ้ำ คือ ได้รับโอกาสใหม่ๆ ไม่ติดอยู่กับสิ่งแวดล้อมเดิม
  • ข้อดีของการเปิดฟังวิทยุภาษาอังกฤษคลอไปด้วย แม้จะไม่สนใจฟังแม้แต่น้อย คือ เราจะค่อยๆซึมซับจังหวะการพูด และ accent โดยอัตโนมัติ พอมีโอกาสได้ฟังภาษาอังกฤษจริงๆ ก็จะฟังได้ง่ายขึ้น
  • เอาจริงๆตอนนี้ เงินก็มีจำกัด และอาจกำลังใกล้หมด อยู่ได้ไม่เกินปี ไม่มีรายได้ ถ้าไม่อ่านหนังสือ เร่งหาความรู้ พัฒนาทักษะ พัฒนาตนเอง ก็ต้องอดตาย ชีวิตจบสิ้น
    • น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ช่วงนี้ขยัน
    • แต่เอาจริงๆก็ยังขยันไม่พอเลย เพราะ ยังรู้สึกว่า ในแต่ละวัน ยังมีเวลาว่างมาเล่นอยู่ ทั้งๆที่ไฟกำลังลนก้นแล้ว เงินที่มีกำลังถูกเผาไปเรื่อยๆ
    • แต่ถ้าเราผ่านมันไปได้(หวังว่านะ?) ช่วงเวลานี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างนิสัยใหม่ สำหรับการพัฒนาตนเองต่อไปเรื่อยๆของเราในอนาคต
  • เจอแมลงสาปในห้อง เป็นปัญหาสำคัญมากต่อ productivity(ทำลาย productivity อย่างมาก) อีกอย่างหนึ่ง เพราะ
    • นำมาซึ่งความเจ็บป่วยทางร่างกาย คือ ทำให้เกิดความสกปรก นำมาซึ่งเชื้อโรค ทั้งท้องเสีย โรคผิวหนัง ตาแดง ภูมิแพ้ และนอนไม่หลับ สุขภาพทรุดโทรม จากความไม่สบายดังกล่าว โดย ความเจ็บป่วย ภูมิแพ้ จะทำให้อ่านหนังสือได้ไม่ดีตลอด 1-2 วัน
    • ต้องใช้เวลาทั้งวัน ทำความสะอาดทุกอย่างในห้อง ไม่อย่างนั้นจะอยู่ไม่ได้
    • แต่พอทำความสะอาดไปแล้ว เดี๋ยวมันก็มาอีก
    • ควบคุม ป้องกันได้ยาก ทั้งๆที่เราพยายามอุดรอยรั่วทุกอย่าง เพราะ บางทีมันเป็นตัวเล็กๆแทรกแซงเข้ามา แล้วพยายามตั้งที่อยู่อาศัยใหม่ในห้องเรา
    • อาหารที่กักตุนไว้ก็เสียหาย เสียเงินอีก เงินยิ่งไม่ค่อยจะมี
    • เจอแมลงสาป 1 ตัว เสียเวลาฟรี 1-2 วัน ถ้าเจอวันเว้นวัน ชีวิตก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ เหมือนจ่ายเงิน เช่าหอ เพื่อฝึกซ้อมการเป็นพนักงานทำความสะอาด ไม่ได้จ่ายเงินกับที่อยู่อาศัยเพื่อเพิ่ม productivity นะ 555
    • เจอแมลงสาปตัวนึง ชีวิตพังไปหลายวัน เจอแมลงสาปทุกวัน ก็ต้องทำใจกับชีวิตละ
    • (นึกถึง อะนิเมะเรื่อง "ผู้กล้าซึนซ่าส์กับจอมมารสู้ชีวิต" เลย)
    • แต่อย่ามองมันในแง่ไม่ดีนะ พยายามเมตตาต่อมัน(ไม่งั้นเดี๋ยวเครียดตาย) จริงๆ แมลงสาป เป็น species ที่สำคัญต่อโลกใบนี้มากๆ ถ้าโลกนี้ไม่มีแมลงสาป พืชนานาชนิดจะสูญพันธุ์ แล้วสัตว์นานาชนิดก็จะสูญพันธ์ตาม หลายๆอย่างในธรรมชาติ คงความสมดุลอยู่ได้ เพราะมีแมลงสาปนี่แหละ
    • วิธีแก้คือ?!... หาเงิน ย้ายที่อยู่
  • เรื่องการเรียน grammar คงไม่ใช่เรียนทีเดียวจบ เพราะ อ่านกี่ครั้งก็ลืมตลอด แต่คงต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ลืมก็อ่านใหม่อีก เพราะ วิธีการเรียนรู้ภาษาต้องอาศัยการเรียนรู้แบบเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แบบท่องจำ แล้วเอาไปทำข้อสอบ
  • ในเบื้องต้นของการเรียนรู้ ให้อ่านตำราที่อ่านง่ายก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมและรู้จักเนื้อหาคร่าวๆทั้งหมด แล้วจึงไปอ่านตำราที่ลงรายละเอียดแบบจริงจังอีกที
  • วันนี้อ่าน The Art of currency trading เริ่มอ่าน 11.00น
    • วันนี้ไม่มีสติแฮะ ขี้เกียจก็ไม่รู้ตัว เลยไม่ได้ใช้สติดึงตัวเองเวลาเถลไถลให้กลับมาอ่านหนังสือ ไม่ได้ใช้สติควบคุมตัวเองให้คอยโฟกัสกับการอ่านให้มากขึ้นๆ
    • สรุปคือ วันนี้หย่อนยานกว่าวันก่อน แต่ด้วยความเคยชินกับการอ่านที่ได้สร้างไว้เมื่อวันก่อนๆ ก็เลยยังพอทำให้อ่านได้ โดยไม่ได้เถลไถลบ่อย แต่ถ้าไม่มีสติหลงเพลินแบบนี้ ไม่นานก็จะค่อยๆเถลไถลมากขึ้นๆแบบไม่รู้ตัว
  • บางทีเรารู้สึกว่า ทำไมคนอื่นเขาออกแบบระบบได้ซับซ้อน ลงตัว และล้ำมากๆ แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้เก่ง หรือ ทำได้เลยตั้งแต่แรกหรอก อย่างไรก็ต้องฝึกฝนมาทีละนิดๆ แก้ไขจุดผิดพลาดมาเรื่อยๆ ทุกอย่างต้องเริ่มจากการฝึกเสมอ
    • การจะสร้างระบบใหญ่ๆที่มีความซับซ้อน มันก็ต้องเริ่มมาจากการฝึกสร้างและออกแบบระบบเล็กๆน้อยๆมาก่อนแหละ
  • ต้องจัดเตรียมเวลาเพิ่มในแต่ละวันสำหรับ ทำตอนกินข้าวดีไหมนะ?
    • เขียนโปรแกรมง่ายๆ 30 นาที
    • อ่านข่าวเศรษฐกิจโลก หรือ คริปโต หรือ เทคโนโลยี 30 นาที แล้วแต่ว่าจะเทรดอะไร หรือ ข่าวไหนดัง
  • คนเรา ต่อให้อัจฉริยะแค่ไหน ก็ไม่มีทางค้นพบทุกอย่างบนโลกได้ด้วยตนเอง จึงเกิดเป็นการเรียนรู้ ศึกษา ในสิ่งที่คนอื่นค้นพบมาแล้ว เชื่อมโยงมาให้แล้ว จากนั้นจึงค่อยต่อยอดการค้นพบ จากความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้ก้าวหน้ามากขึ้น - การเรียน การอ่าน การศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่าคิดว่าจะค้นหาทุกอย่างด้วยตนเอง
    • อาจจะยกเว้นพระพุทธเจ้า ที่รู้แจ้งทุกอย่างได้ด้วยตนเอง(แต่ก็ต้องผ่านการสั่งสมบารมี อย่างมากมายมหาศาล)
    • อัจฉริยะหลายๆคน ก็อ่านหนังสือเยอะมากเลยนะ เช่น Bill Gates, Elon musk, Warren Buffett เป็นต้น
    • เท่าที่เห็นคือ คนที่ประสบความสำเร็จ มีแต่คนที่อ่านหนังสือเยอะมากกันทั้งนั้น ก็มีแต่คนธรรมดา ที่กลับไม่อ่านหนังสือ
  • รู้สึกว่าเราคิดเลขเร็วขึ้นมากเลยนะ ประมาณ 15-20% คิดเร็วขึ้นแบบที่ไม่ต้องพยายามเร่งตัวเอง หลังจากที่เปลี่ยนมาทำ Alternate day fasting และโดยเฉพาะช่วงที่เปลี่ยนมากินมื้อเช้าวันละมื้อ แล้วอดข้ามวันทุก 2วัน มันเป็นการพัฒนาตนเองที่สุดยอดมาก
  • ไม่ต้องกังวลว่าอดแล้วจะไม่มีแรงอ่านหนังสือ ต่อให้อดจนกล้ามเนื้อฝ่อลีบหมด สมองจะยังคงเป็นอวัยวะสุดท้ายที่ยังคงทำงานได้ปกติ
    หลังจากวันอดผ่านไปแล้วก็ค่อยไปกินเพิ่ม และออกกำลังสร้างกล้ามเนื้อใหม่
    • แต่อาจมีปัจจัยอื่นที่ทำให้รู้สึกว่าไม่มีแรงใช้ความคิด เช่น 
      • กินน้ำตาล หรือ แป้งแปรรูป ก่อนจะอด ซึ่งทำให้น้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และช่วงเปลี่ยนถ่ายมาใช้ไขมัน จะมีความรู้สึกโหยหาน้ำตาล และอ่อนเพลียหมดแรงได้
      • ขาดโซเดียม ในกรณีที่อดมากกว่า 24 ชั่วโมง เนื่องจากการที่เราไม่ได้กินอาหาร ร่างกายจะมีการขับโซเดียมออกมากกว่าปกติด้วย ซึ่งหากโซเดียมต่ำ จะส่งผลทำให้ไม่มีสมาธิ และ นอนไม่หลับได้
  • เรื่องตาแห้ง หลังใช้งานหน้าจอทั้งวัน ให้หลับตาลง 5 นาที จะดีขึ้น ดวงตาจะกลับมาชุ่มชื้นเป็นปกติเลย
  • จะลองกินเกลือ ก่อนนอน วันละ 1/2 -1 ช้อนชา ทุกวัน ดูว่าการนอนจะดีขึ้นไหม
  • วันนี้ลองรักษาศีล 8 งดฟังเพลง ดูสิ่งบันเทิง ปรากฏว่ามีเวลาเหลือแฮะ! แสดงว่าที่แต่ก่อนไม่มีเวลา เพราะ เอาไปเพลินอยู่กับสิ่งบันเทิงตลอด!!
    • เอาไปอ่านข่าวเศรษฐกิจต่อ

29 มี.ค.

  • สรุปว่าเมื่อวานก็นอนหลับยาก วันนี้ตื่นตี 3 ยังคงไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ของสาเหตุออกคือ
    • กินอาหารไม่พอ 70%
    • ช้หน้าจอเยอะก่อนนอน 30%(เคยลองแล้วไม่ได้เกี่ยวมากนัก อย่างน้อยไม่ได้มีส่วนทำให้ตื่นตี 3 แน่นอน)
    • โซเดียมต่ำ 10%(เคยลองกินเกลือแล้วไม่ช่วยตรงนี้)
  • แต่ส่วนใหญ่วันที่นอนหลับยาก มักจะเป็นวันที่อดข้ามวันมา ซึ่งอาจจะสัมพันธ์กับการอดอาหาร
  • สุดท้ายก็นอนต่อถึง 6 โมง ก็รวมๆประมาณ 7 ชม
  • วันนี้จะพยายามงดสิ่งบันเทิง ตั้งใจรักษาศีล 8 เพราะ สิ่งบันเทิงทำให้ ไม่มีสติ ซึ่งสติ จำเป็นมากสำหรับการพัฒนาตนเอง
  • ช่วงนี้เท่าที่สังเกตตนเอง รู้สึกว่าทักษะการฟังลดลงเยอะเลยนะ เริ่มฟังได้แค่ accent ที่ชัดเจนมากๆ ถ้าสำเนียงอู้อี้ๆ จะฟังไม่ออกเลย หรือ ฟังเรื่องทางเทคนิคนิดหน่อยก็ไม่มีสมาธิฟัง ฟังได้แต่บรรยายการ์ตูนภาษาอังกฤษ
    • จะลองเปิด BBC world radio คลอ ไปด้วยขณะอ่านหนังสือ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมให้เกิดความคุ้นชิน
  • วันนี้กินอาหาร เช้า 1 มื้อ
  • เริ่มอ่านหนังสือ 11 โมง
    • อ่านได้ไม่ดีเท่าเมื่อวานที่เป็นวันอด เหมือนเวลากินอาหารปริมาณมากจะมีผลต่อสมาธิ
    • จะลองใช้เทคนิคอ่านหนังสือให้เหมือนเวลาเล่นเกมส์ คือ ไม่ต้องสนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ต้องคิดมากหรือระแวงถึงสิ่งรอบข้าง อ่านอย่างเดียว
    • ช่วงหลังอาหาร จะอ่านหนังสือไป ขี้เกียจไป ต้องใช้สติ รู้ทันความขี้เกียจ และฝืนมัน พยายามฝืกแบบนี้ไปเรื่อยๆ
  • ถึงแม้ช่วงนี้เราจะอ่านตำราเทรดเป็นหลัก แต่สิ่งที่จะทิ้งไม่ได้ คือ ต้องฝึกแก้โจทย์ Algorithm บ่อยๆ เพื่อฝึกสมองให้ชินกับการออกแบบระบบด้วย ไม่อย่างนั้น ตอนกลับไปเรียน programming ต่อ จะยากลำบาก
    • ทำโจทย์ใน leetcode.com ถ้าโจทย์ Algorithm ระดับง่าย สามารถทำไปพลางๆได้เลย แต่ถ้าระดับ medium ขึ้นไป แนะนำให้อ่านเลข และตำรา algorithm ก่อน
      • หลังจากทำ Alternate day Fasting รู้สึกว่าพอมาทำโจทย์ programming จะสามารถแก้ปัญหาได้สร้างสรรค์ และ เป็นระบบขึ้นเยอะ สามารถเชื่อมโยงสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันได้ แบบที่แต่ก่อนทำไม่ได้
  • ใช้เวลาจัดการชีวิตส่วนตัว 4.30 ชม เหมือนเดิม เพียงแต่แบ่งเช้า,เย็น
  • เริ่มเกิดสติขึ้นในชีวิตประจำวันบ้างแล้ว เริ่มรู้สึกไม่ได้มีชีวิต หากินไปวันๆแล้วรอวันตายแล้ว ถ้าได้เจริญสติ จะรู้ว่าเวลาทุกขณะสามารถทำให้เกิดคุณค่าได้จริงๆ
  • สรุปว่าวันนี้ก็ยังนอนไม่หลับเหมือนเดิม หรือว่าขาดโซเดียม เพราะ ดื่มน้ำทั้งวันตลอดในปริมาณที่เรียกได้ว่าเยอะพอสมควร จะลองกินเกลือเพิ่ม 1 ช้อนชา ก่อนนอน

28 มี.ค.

  • วันนี้น้ำหนัก 48.3 กก. นอน 8 ชม วันนี้อดข้ามวัน ไม่ได้กินเกลือเพิ่มแต่อย่างใด รู้สึกอ่อนแรงกว่าเมื่อวานเล็กน้อย(10%)
    • เป็นตะคริวที่ขา เล็กน้อย ตอนกำลังจะนอน
  • เหมือนสติ ทำให้รู้ทันนิสัย หรือความเคยชินที่ไม่ดี ที่เราไม่ค่อยได้สังเกตเห็นได้ แต่เรากลับถูกมันชักจูงทุกวันๆ ซึ่งเห็นได้แม้แต่นิสัยหรือความเคยชินไม่ดีเล็กๆน้อยๆ ซึ่งมันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนิสัย นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
    • แต่ก่อนพยายามพัฒนาตัวเองมากมาย แต่ก็ไม่สามารถหาวิธีปรับเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีได้ อย่างมากก็เพียงปรับเปลี่ยนเชิงพฤติกรรมที่ทำ แต่ความคิดหรือความติดใจในนิสัยที่ไม่ดีก็ยังเหมือนเดิม และ ทำได้ไม่นานก็กลับไปเหมือนเก่า การจะปรับเปลี่ยนมันได้ ต้องมีสติเห็นมันก่อน
  • วันนี้นอนได้ดีขึ้น แม้จะจ้องหน้าจอก่อนนอน(แต่เปิดโหมด night shift) แสดงว่าปัจจัยนี้ไม่ได้มีผลเสียทีเดียว และยังเหลืออีก 2 ปัจจัย คงต้องดูต่อไป
    • จ้องหน้าจอ
    • เปิดพัดลมจ่อ
    • ปิดหน้าต่างห้องอับชื้น
    • สวดมนต์ นั่งสมาธิ
    • กินอาหารไม่พอ
  • เหมือนการรักษาศีล 8 ทำให้จิตใจน้อมเข้าสู่ความสงบโดยอัตโนมัติ และ อยากสวดมนต์ นั่งสมาธิ ขึ้นมาเอง สติค่อยๆเกิดได้เองง่ายขึ้น
  • เมื่อวานอ่านหนังสือ The Art of currency trading ไปได้ 8 หน้า
    • วันนี้เริ่มอ่าน 9.30 น กลับบ้าน 19.00 น
    • สามารถใช้สติในการให้จอจ่ออยู่กับหนังสือได้ดีขึ้น พอเวลาอ่านหนังสือไปได้สักประโยค จะมีความคิด เผลออยากจะไปทำอะไรนอกลู่นอกทางผุดขึ้น สติก็จะรู้ทัน และดึงตัวเองกลับมาอยู่กับเนื้อหาได้
      • ฝึกด้วยสติรู้ทันความคิด ไปเรื่อยๆ จากตอนแรกที่ อ่านได้ทีละประโยคก็คิดฟุ้งซ่าน จะกลายเป็น ทีละหลายๆประโยค และ กลายเป็นทีละย่อหน้า ทีละหน้า ทีละหลายๆหน้า
      • สรุปวันนี้อ่านได้ 18 หน้า จากการฝึกสติ สุดยอดมาก จริงๆ การเรียนรู้ของเราแย่ลงตั้งแต่เราเปลี่ยนมากินมื้อเย็นนะ สติเลือนรางลงมากในช่วงนั้น
  • ได้เห็นคลิป youtube ถึงรายได้ ที่ US ขนาดพนักงานในร้าน Fast food ก็มีรายได้ต่อเดือน เกือบแสน
    • ประเด็นไม่อยากให้เป็นว่า ทำไมเราไม่มีโอกาสแบบนั้นนะ 555
    • แต่สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นคือ ตั้งคำถามว่า เราจะสร้างโอกาส กับสิ่งที่มีอยู่รอบตัวเราได้อย่างไร
    • หรือ ทำอย่างไร เราจะมีเงินโดยไม่ต้องทำงาน หลุดพ้นจากวงจรของการเป็นทาสของเงิน และทำงานที่เรารัก เพื่อทำประโยชน์ ไม่ได้ทำเพื่อเงิน
    • อย่างน้อย คงต้องหาความรู้ต่อไปก่อน เพื่อให้มองเห็นโอกาสได้ง่ายขึ้น
  • หลังจากได้อ่าน The Art of currency trading ก็เริ่มเข้าใจความหมายของข่าวการลงทุน และ เศรษฐกิจขึ้นเยอะ แต่ก่อนเห็นข่าวก็ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรกัน หรือ พูดถึงประเด็นต่างๆ เพราะอะไร หรือ มันสำคัญอย่างไร แต่ตอนนี้ก็เข้าใจอะไรมากขึ้นๆ เริ่มวิเคราะห์หรือเข้าใจในสิ่งที่เนื้อหาข่าวต้องการจะสื่อได้ดีขึ้น นี่สินะ ผลของความรู้ที่ทำให้เห็นโอกาสมากขึ้น ซึ่งกลับมาคิดคือ เมื่อก่อนพลาดข่าวหรือบทความอะไรไปเยอะมากๆ
  • เสียเงินซื้อคอร์สเรียนไปเยอะ(หลายหมื่นบาท) แต่ไม่ได้เรียน หรือรู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์ เหมือนเป็นการไปฟังสิ่งที่คนอื่นไปอ่านแล้วมาสรุปให้เราฟังอีกที จึงไปโหลดหนังสือดีๆมาอ่าน ได้ประโยชน์เยอะกว่ามากๆ อีกทั้งยังเสียเงินน้อยมากๆ หรือไม่เสียเลย รวมถึง เล่มไหนรู้สึกไม่ถูกใจ ก็เปลี่ยนไปอ่านเล่มอื่นที่เขียนได้เข้าใจกว่า ที่เหมาะกับเรามากกว่าได้อีก
  • เวลาเราอ่านหนังสือ ความรู้สึกจะไม่เหมือนตอนเล่นเกมส์ ตอนอ่านหนังสือชอบระแวงคนรอบข้าง ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรา ซึ่งจริงๆมันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น หรือเป็นอย่างที่เราคิด และเป็นความคิดไปเองของเรา ส่วนตอนเล่นเกมส์ จะไม่นึกถึงสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดมันเกิดจากความคิดของเราเอง ถ้าเราสามารถอ่านหนังสือแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างเหมือนตอนเล่นเกมส์ได้ จะดีที่สุด!!
  • ความเร็วในการอ่านหนังสือ แบบสบายๆ ไม่จริงจัง อย่างน้อยควรจะอยู่ที่ ชั่วโมงละ 3 หน้า ตกหน้าละ 20 นาที ถ้าอ่านวันละ 8 ชม. ควรจะอ่านได้ประมาณ 24 หน้า ต่อวันนะ ถ้าน้อยกว่านี้ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
  • ถึงจะบอกว่ารักษาศีล 8 แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบนะ ยังเต็มไปด้วยจุดด่างพร้อยมากมาย(ยังมีไปดู-ฟัง-เล่น สิ่งบันเทิงบ้าง)
    • แต่อย่างไรก็ต้องพยายามลดงดเว้น เพราะ ศีล 8 ทำเพื่อให้ สติเกิดง่ายขึ้น ถ้าเรายังคงหลงมัวเมา ยังคงร้องเพลง ดูการ์ตูน ก็จะพัฒนาสติได้ยาก และเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นไม่ได้
  • สรุปว่า น่าจะกินวันละมื้อ แล้วอดวันเว้นวันไม่ไหว เพราะ ขนาดกินวันละมื้อ 2 วัน แล้วอด 1 วัน ก็ยังจะไม่ไหว แรงหมดพอดี คงทำได้เป็นแบบเดิมไปแหละ
  • เรื่องการนอนไม่หลับ น่าจะเกิดจากผลของ circadian rhythm ที่ถูกรบกวนในช่วงก่อนหน้า ที่กินมื้อดึก ล่ะมั้ง ไม่น่าเกี่ยวกับ เรื่องหิวเกิน หรือ ไม่ได้สวดมนต์นั่งสมาธิ
    • แต่เรื่องสวดมนต์ นั่งสมาธิ มันดีมาก ยังไงก็ต้องทำทุกวันนะ

27 มี.ค

  • เมื่อคืนนอนหลับได้ปกติแล้ว เหมือนวันก่อน ที่หลับไม่ดี เป็นเพราะ วันที่อดข้ามวัน จะหิว จนนอนไม่ค่อยหลับ
    • ก่อนนอนสวดมวต์ นั่งสมาธินิดหน่อยด้วย แต่คิดว่าการนั่งสมาธิไม่น่าเกี่ยว? เพราะ เราไม่ได้ทำสมาธิเก่งขนาดนั้น
    • สรุปน่าจะเป็น หลังจากที่กินอาหารไปเมื่อวาน วันนี้กลับมามีสมาธิได้ปกติ
    • เหมือนกับว่า ที่เมื่อวานกินอาหารแล้วยังไม่มีสมาธิเพราะ กินถั่วลิสงคั่ว ซึ่งยังคงมี lectin หลงเหลือ และมันขวางการดูดซึม (ทั้งๆที่ธัญพืชควรเป็นอาหารย่อยง่าย แต่กลับใช้เวลาย่อยถึงเย็น)
      ถ้าจะกินอาหารประเภท ธัญพืช, มะเขือเทศ ที่มี lectin สูง อย่างไรก็ต้องเอาไปต้มก่อนอย่างน้อย 15-20 นาที เพื่อสลาย lectin ก่อนเสมอ
    • ทำไมตัวแปรที่ทำให้ชีวิตหยุดชะงักมันเยอะจังเลยนะ??? ผิดพลาดไปจุดเดียว จะเสียเวลาไป 1 วัน เต็มๆ!!
  • วันนี้สายตาโฟกัสกับตัวหนังสือใน E-reader ได้แล้ว
  • หลังจากที่ถือศีล 8 ชีวิตก็เรียบง่าย ร่างกายก็ไม่ลำบาก จิตก็สบาย และเจริญสติได้ดีขึ้น ค่อยๆน้อมเข้าสู่ความสงบได้เอง และ สติเริ่มค่อยๆเกิดได้เองมากขึ้น
    • แต่ก่อนเคยลอง Fasting ด้วยการ อดอาหารช่วงเช้า แล้วกินมื้อเย็น พบว่าการอักเสบในร่างกายยังเกิดมาก เช่น ผื่นและผิวลอก(seborrheic dermatitis)ขึ้นหน้าในวันรุ่งขึ้น เป็นต้น แต่พอเปลี่ยนมากินอาหารเช้า แล้วอดหลังเที่ยง ผื่นที่หน้าก็ไม่เกิดอีกเลย หรือเกิดน้อยมาก แสดงถึงการอักเสบที่ลดลงและภูมิคุ้มกันดีขึ้นอย่างมาก
    • นอกจากนี้ชีวิตก็เรียบง่ายขึ้น ทำงานตอนเช้าเหนื่อยๆ กลับมาร่างกายก็ได้พักอย่างเต็มที่ ไม่ต้องวุ่นวายกับการหาอาหาร กินอาหาร ย่อยอาหารอีก
    • ชีวิตที่เรียบง่าย ทำให้สติเกิดง่ายขึ้น รวมไปถึง เริ่มน้อมเข้าสู่ความสงบ แทบจะไม่จำเป็นต้องหาความเพลิดเพลิน จากการดู การฟัง การเล่น การเสพสิ่งบันเทิงต่างๆ เพื่อมาทำให้ตนเองหลงลืมความทุกข์อีก ช่วยให้เลิกดูหนัง การ์ตูนได้ง่าย และเอาเวลาไปอ่านหนังสือ หรือ พัฒนาตนเองต่อได้ ทั้งในด้านการทำงาน และ ด้านการเจริญสติ
      • ตั้งแต่ที่ลองกินมื้อเย็น สติค่อยๆเลือนลาง เพราะ ต้องเหนื่อยกับการบริหารจัดการชีวิตมากมาย ไม่มีเวลาเรียนรู้ตัวเอง ทั้งทำงานเสร็จ ก็ต้องมาวางแผนการเตรียมอาหาร พอกินมื้อเย็น ก็นอนไม่หลับ เหนื่อย และ ร่างกายเจ็บป่วย ก็ต้องหาสิ่งบันเทิงเสพเพื่อให้ลืมทุกข์ชั่วขณะอีก กลายเป็นวังวนนรก(loop นรก)
      • แต่หลังจากเปลี่ยนมากินมื้อเช้า แล้วอดหลังเที่ยง ชีวิตเรียบง่าย สุขภาพดี ไม่รู้สึกว่าต้องการเสพสิ่งบันเทิง และสติที่เลือนลางไป เริ่มกลับมาเกิดได้เอง ซึ่งสติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนรู้กายใจ กลายเป็นวังวนแห่งการพัฒนาตนเอง และหวังว่าสุดท้ายจะได้ออกจากทุกวังวน
  • วันนี้เริ่มอ่านหนังสือตอน 12.00 น คิดว่าจะอ่านถึง 20.00 น เป็นเวลา 8 ชม.
    • วันนี้อ่านบน Macbook pro นะ เหมือนกับว่า สุดท้ายก็ไม่ได้ต่างกับการอ่านบน e-reader มากนัก โดยเฉพาะการอ่านตำราที่มีรายละเอียดเยอะๆ จะสะดวกกว่า เพราะ บนหน้าจอ สามารถเลื่อนกลับไปมาระหว่างเนื้อหาได้ง่ายกว่า
      • แต่หนังสือจริงๆก็น่าจะยังดีที่สุด เพียงแต่ข้อจำกัดด้านความสะดวก
    • เท่าที่สังเกตตัวเอง ขณะอ่านหนังสือ แล้วใช้ความคิด 1 ขณะกับสิ่งที่อ่าน ความคิดขณะต่อมา จะหลุดไปฟุ้งซ่าน และ หนีไปดู Social network ต่อแบบลืมตัว ทำให้เป็นสาเหตุที่อ่านไม่ถึงไหนสักที
      • การเจริญสติทำให้เห็นความผิดพลาดตรงนี้ คงต้องค่อยๆปรับความเคยชิน ให้ใช้ความคิดได้นานขึ้น ทนทานกับการคิดใช้สมองต่อเนื่องนานๆ
      • ความคิดเหมือนลิง ที่คอยออกนอกลู่นอกทางตลอดเวลา แต่ก่อนเราไม่มีสติ ก็เตลิดไปกับลิง ถ้าเรามีสติเริ่มทันมัน เราจะเริ่มจับลิงตอนที่กำลังจะหนีได้ และจะค่อยๆฝึกให้ลิงค่อยๆเชื่อฟังเรามากขึ้นๆ จนเป็นลิงที่ใช้งานได้
  • รูปแบบการเรียนรู้ด้วยการอ่านหนังสือ ต่างจาก ฟังบรรยาย หรือ VDO คือ
    • หนังสือ จะมีรายละเอียดครบถ้วนชัดเจน ส่วน VDO หรือ ฟังบรรยาย จะเป็นการที่ผู้บรรยายสรุปให้เราฟังอีกที ซึ่งจะไม่มีรายละเอียดปลีกย่อยหลายๆอย่างเหมือนในหนังสือ ซึ่งถ้าเราอยากเป็น Expert หรือ เชี่ยวชาญในสิ่งนั้นๆจริงๆ การได้รู้หรือสัมผัสกับรายละเอียดปลีกย่อยอย่างครบถ้วนด้วยตนเอง แม้จะแค่รู้แล้วไม่ได้จดจำทุกรายละเอียดแต่อย่างใด จะทำให้เราเข้าใจในสิ่งๆนั้นได้ดีกว่า การฟังคนอื่นสรุปให้แล้วเราเข้าใจอย่างผิวเผิน
  • รู้สึกว่าการพิมพ์สัมผัสช้าลงแฮะ ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เสมอ การวางนิ้วที่จุดคงที่สำคัญที่สุด
  • เหมือนจริงๆการกินมื้อเช้ามื้อใหญ่มื้อเดียว ก็ทำให้คุมสติ สมาธิให้อยู่กับหนังสือยากเหมือนกัน หรือจะลดวันกินอาหารลงอีก เหลือวันเว้นวันดีนะ

26 มี.ค.

  • สรุปว่า วันนี้ตื่น ตี 4 เมื่อวานก็ยังหลับได้ไม่ดี แม้จะลองกินเกลือเพิ่มตอนดึก เพราะ กลัวว่าจะขาด sodium
    • แต่นอกจากนี้ก็ใช้งานหน้าจอก่อนนอนด้วย อาจจะต้องลองงดดู
    • หรือไม่ก็เกี่ยวกับการอดมากจนแรงหมด
  • จะเปลี่ยนมาอ่านหนังสือผ่าน E-reader แล้ว ลองดูว่าจะ อ่านได้ทั้งวัน ทั้งคืน หรือไม่
    • จะได้เริ่มกระบวนการ ค่อยๆ push yourself to the limit (เมื่อมีช่องทางให้ทำความเพียรพยายามได้ ก็ต้องเร่งทำ)
  • วันนี้ลองอ่าน The Art of currency trading บน e-reader
    • ลองไปนั่งอ่านท่ามกลางผู้คนเยอะๆ ก็ไม่มีสมาธิอยู่ดี เดี๋ยวคนเดินผ่าน ก็ถอนหายใจบ้างล่ะ
      • ประเด็นคือ ถ้าเราไปอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่แสวงหาความรู้เท่าไหร่ มาหอสมุดแค่มานั่งพัก ก็อาจจะถูกถอนหายใจใส่ และไม่มีสมาธิได้
      • แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มคนที่แสวงหาความรู้ มีสาระกับชีวิต ก็สามารถมีสมาธิได้เหมือนกัน แต่อาจจะหายากนิดนึง
      • ถ้าปลอดภัยที่สุด ก็นั่งอ่านในที่ส่วนตัว ที่เราจะมีสมาธิมากที่สุด
    • สรุปว่าตอนนี้ 12.30 น ยังคงอ่านแล้วไม่มีสมาธิ น่าจะเป็นที่กินมื้อเช้าในปริมาณเยอะในคราวเดียว
    • แต่ลองเปลี่ยนมาอ่านบนหน้าจอ Macbook pro ก็อ่านต่อได้นะ แต่เวลาอ่านให้มองจากไกลๆหน่อยเผื่อกรณีกล้ามเนื้อตาล้า เพราะตื่นเช้ากว่าปกติ
      • ถ้าปรับตัวอักษรให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะใหญ่ได้ ก็ช่วยให้อาการล้าของสายตาลดลงได้นะ อ่านได้ดีขึ้น ดูเหมือนระยะการกวาดสายตาที่มากขึ้น ไม่ได้มีผลทำให้ตาล้าเท่าไหร่
    • สรุปว่า วันนี้น่าจะมีปัญหาสายตาจริงๆแหละ พออ่านหนังสือจากหน้าจอสักพัก แล้วลองเดินไปที่อื่น ก็แสบตาจนไม่อยากมองอะไร
      • อาจเป็นเพราะตื่นเช้าขึ้นกว่าปกติ ทำให้ร่างกายยังไม่ทันปรับตัว เลยทำให้กล้ามเนื้อตาล้าง่าย
    • สรุปคือ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า อ่านจากหน้าจอ กับ e-reader อย่างไหนดีกว่า บางทีอ่านจากหน้าจอไม่ได้ ก็ไปอ่าน e-reader หรือ บางทีกลับกัน อ่านจาก e-reader ไม่ได้ ก็ไปอ่านจากหน้าจอ จะใช้อุปกรณ์ไหนก็ได้ อย่างขอให้อ่านเพื่อเอาความรู้เข้าไปผ่านสมองให้ได้
    • สรุปว่าวันนี้อ่านได้ 6 หน้า
  • เรื่อง social media ไม่มีใครสามารถนำเสนอความรู้ดีๆ ยัดเข้าสมองเราได้ตลอดเวลาหรอก ถ้าอยากได้ความรู้ดีๆ แนะนำให้หาหนังสือดีๆอ่านดีกว่า
  • ลองดูการ์ตูน เป็นภาษาอังกฤษ https://www.youtube.com/watch?v=bBcUT8x1UIc 
  • ชีวิตในตอนนี้ มีคำนิยามอย่างหนึ่ง คือ ถังแตก https://www.facebook.com/jrt.investment/posts/pfbid02fHZz72MTZV6jS6DGPwEWesXrvX3j8zSnNpJ1NtZ6MoPKH99auRBczKnSmnH7UcxPl เหมือน ปู่ชาร์ลี มังเกอร์ ​ก็เคยถังแตกเหมือนกัน ถึงขนาดว่าซื้ออาหารต้องใช้คูปองตลอด เราก็ทำอาหารกินเอง คือ ธัญพืช+ไข่ต้ม+ผลไม้ ใช้งบแค่เดือนละ 900 บาท สั่งออนไลน์ได้คูปองส่วนลดอีก แล้วก็อดด้วยการทำ IF
    • ชีวิตช่วงนี้เป็นหนึ่งในช่วงที่จะได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ว่าเงินทุกบาท ต้องใช้แรง ใช้ความรู้แลกมา ไม่ใช่ได้ทุกๆเดือน(แม้จะไม่มีงาน)แบบราชการ
    • เงินแม้เล็กน้อย ก็ต่อชีวิตได้
  • ช่วงนี้ฝึกกล้ามเนื้อ แขนและหน้าท้อง ทำให้เวลาอยู่ในห้องแอร์ไม่หนาวแล้ว
  • เหมือนอาหารที่กินไปเมื่อเช้า เพิ่งย่อยเสร็จจริงๆ ตอน 4 ทุ่ม เลยแฮะ??

25 มี.ค.

  • สรุปว่าเมื่อวานก็ยังนอนหลับได้ไม่ดีเท่าไหร่ ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง(กับดัก)มีอะไรบ้างนะ คงต้องไล่ลองปรับทีละอย่าง
    • ใช้งานหน้าจอก่อนนอนด้วย
    • ขาดsodium
    • ปิดหน้าต่างทำให้ห้องอับชื้น ไม่ระบาย
    • เปิดพัดลมเป่าจ่อขณะหลับ ทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนและทำงานมากเกินไป
  • เหมือนที่เรายังไม่รู้สีกว่าได้ push myself to the limit เพราะ เราไม่ได้อ่านตำราสายวิทย์ อย่างตอนที่เราอ่านตำราเคมี หรือ ตำราสุขภาพเกี่ยวกับร่างกาย รู้สึกว่า เราได้ใช้ความคิดอย่างเต็มศักยภาพ ส่วนตำราการเงิน เหมือนอ่านเรื่อยๆชิลๆ
  • วันนี้น้ำหนัก 48.55kg น้ำหนักเพิ่ม ทั้งๆที่กินวันละมื้อ และอดข้ามวันมา เหมือนการฝึกกล้ามเนื้อช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวได้
  • เหมือนการใช้จอแบบ non-pwm dimming ทำให้อ่านได้ดีขึ้นนะ ถึงแม้เราจะไม่ sensitive มากนัก
    • แต่สุดท้ายก็หมดแรงอ่านบนหน้าจอ แต่พอสลับไปอ่านบน e-reader พบว่ายังอ่านต่อได้แบบสบายๆแฮะ หรือว่าจริงๆที่หมดแรงอ่านหนังสือ เกิดจากสายตาล้าจากการจ้องหน้าจอ ไม่ได้หมดแรงจริงๆกันนะ?!!!
  • สรุปว่าลองอ่านหนังสือจาก e-reader พบว่า อ่านได้ทั้งวันโดยไม่มีปัญหาตาแห้ง แดง รวมถึง แม้จะหมดแรงทางร่างกาย กลับยังอ่านต่อได้เรื่อยๆ
    • อ่านโดยใช้หน้าจอ ทำให้กล้ามเนื้อตาล้า และตาแห้ง ทำให้อ่านได้ในเวลาจำกัด และ ไม่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
      • ข้อจำกัดจากอาการเมื่อยล้าทางตา น่าจะเป็นสาเหตุหลัก ที่เราไม่สามารถ เพียรพยายามอ่านถึงที่สุด (push myself to the limit) ได้
    • อ่านโดยใช้ e-reader หรือ หนังสือจริง ทำให้ ตาไม่ล้า และอ่านได้ทั้งวัน แบบไม่มีล้าใดๆเลย!!
    • ต่อให้ Fasting จนแรงทางร่างกายหมด แต่พลังงานที่เหลือ จะยังคงไปเลี้ยงสมอง ดังนั้น เราจะยังคงอ่านหนังสือไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรงจริงๆ!!!
  • keyboard ของ Macbook น่าจะดีที่สุด เพราะ ว่ามัน low key traveling ทำให้เวลาพิมพ์ ไม่ต้องกดลงไปลึก ทำให้พิมพ์ได้เร็วกว่า และไม่เปลืองแรงกดให้เมื่อยนิ้ว แถมยังพิมพ์ได้เร็วขึ้น
  • ช่วงนี้คิดบ่อยๆ ถึงภาพอนาคตที่ต้องแก่หงำเหงือก ร่างกายเสื่อมสภาพ เจ็บป่วย และตายในที่สุด สุดท้ายร่างกายที่เราใช้งานอยู่ทุกวันๆก็เสื่อมสภาพ และ ตายในที่สุด อย่าประมาทในชีวิต
  • เพลงสไตล์ที่เราชอบ คือ แนว country '90
  • หลังเพิ่มธัญพืชที่มีสัดส่วนที่ให้พลังงานจากไขมันมากขึ้น คือ ถั่วเหลือง และ ถั่วลิสง ก็มีแรงมากขึ้น สามารถทำตามแผน กินวันละมื้อ2 วัน แล้ว อดข้ามวัน อีก 1 วันได้
  • ตั้งแต่ที่รักษาศีล 8 ไม่กินอาหารเย็น ความต้องการดู-ฟังสิ่งบันเทิงก็ลดลงด้วย เหมือนชีวิตเรียบง่ายไม่มีลำบากทางกายเท่าไหร่ ก็ไม่ต้องไปเสพอะไรให้ลืมทุกข์จากการกินอยู่
    • ที่ว่าการถือศีล5 หรือ ศีล 8 เป็นบุญมาก กว่าการให้ทาน น่าจะเป็นเพราะ เปลี่ยนชีวิตในปัจจุบัน ให้พัฒนาขึ้นได้ทันที ศีล 5 ก็พัฒนาในระดับของความเป็นมนุษย์อยู่กันอย่างสงบสุข ศีล 8 ก็เป็นการพัฒนาจิตใจ ที่ยิ่งขึ้นไป
  • สรุปว่าวันนี้ อ่านหนังสือ The Art of currency trading 4 ชม ได้ 5 หน้า

24 มี.ค.

00:30 น ขอบ่นเพราะกินมื้อดึกเยอะ แล้วนอนไม่หลับ ตั้งแต่ 4 ทุ่ม และ เล่นเกมส์ก่อนนอนด้วย แสงสีฟ้าอาจมีส่วน

  • สรุปว่า เมื่อวานกินมื้อเย็น แม้จะไม่ดึก แต่ก็ทำให้นอนหลับยาก การพักผ่อนที่ไม่ดีแบบเรื้อรัง น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ
  • ปัญหาในตอนนี้ คือ หอพักที่อยู่ เหมือนเต็มไปด้วยกับดักรายล้อมรอบตัว ถ้าพลาดไปโดนกับดัก จะเสียโอกาส เป็นลูกโซ่ และ เสียอายุไขไป 1 วันฟรีๆ โดยที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรในวันนั้น
    • กลางคืน ถ้าเปิดหน้าต่าง ยุงจะเข้ามาเป็นสิบตัว จนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ถ้าปิดหน้าต่าง ก็ร้อนชื้น ก็ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน เพราะ มีหน้าต่างบานเดียว ไม่มีอีกบานสำหรับลมเข้า-ออก
    • กลางวัน ถ้าอยากเปลี่ยนเวลากินอาหารเป็นตอนเช้า ก็ไม่สะดวกจะออกไปอ่านหนังสือที่มหาลัยด้วยความยุ่งยากหลายๆอย่าง แต่จะอยู่ที่หอก็อ่านได้ไม่ดี แต่พอเปลี่ยนมากินตอนเย็น - มื้อดึก ซึ่งเสี่ยงกรดไหลย้อน อึดอัด ก็นอนไม่หลับ พอไปอ่านที่มหาลัย ก็ไม่มีสมาธิอ่านอีก
      มันคือ loop นรก ที่ไม่จบสิ้น
    • หอพักที่สภาพไม่เหมาะกับการอยู่ และก็แทบไม่อยากใช้เวลาอยู่ที่หอมากนัก ก็กลับเป็นภาระให้ต้องคอยดูแลทำความสะอาด รวมไปถึงแก้ปัญหาจุกจิกความไม่สะดวกต่างๆ นู่นนี่นั่น เสียเงิน เสียเวลา ทั้งๆที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้เลย
    • เจ้าของหอพัก ก็ดูจะภูมิใจกับหอพักตัวเองเสียเหลือเกิน ทั้งๆที่แทบไม่ได้มาดูแล พัฒนาอะไรเท่าไหร่ เหมือนลงทุนไว้นานแล้ว เพื่อ passive income อย่างแท้จริง แต่ไม่ active แม้แต่น้อย ไม่มีการปรับปรุงใดๆ (อนาคต ทำธุรกิจ หรือ อะไรก็ตาม เราเองอย่าทำแบบนี้นะ ต้องคอยถามปัญหาลูกค้า ว่ามีจุดขัดข้องอะไรไหม และปรับปรุงอยู่เสมอ)
    • สรุป ทั้งๆที่ช่วงนี้ชีวิตต้องการศึกษาหาความรู้ให้ได้เร็วที่สุด มากที่สุด แต่กลับเจอกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมที่สุด ปัญหาจะแก้ได้ง่าย ถ้ามีเงิน แต่ทีนี้ก็ต้องมีความรู้ไปหาเงิน แต่สิ่งแวดล้อมทางกายภาพต่างๆ ก็เต็มไปด้วยอุปสรรค และ กับดัก ที่พลาดเมื่อไหร่ ก็อาจเสียโอกาสอ่านหนังสือไปทั้งวัน ก็ทำให้หาความรู้ได้ไม่เต็มที่ โดยที่เงินทุนก็ต้องสูญเปล่าไปเรื่อยๆ กับหอพักนี้ ที่ไม่อำนวยประโยชน์ใดๆในเรื่อง productivity
  • ประเด็นคือ เหมือนจ่ายเงิน เช่าหอ ทุกเดือน เพื่อทำให้ productivity ของตัวเองเกิดน้อยลง เสียอย่างนั้น จะจ่ายไปเพื่ออะไรกันวะเนี่ย? "ที่ซุกหัวนอน แต่ไว้ซุกหัวนอนไม่ได้? มันคือกับดักในชีวิตหรืออย่างไร?"
    • มันคือกับดักแหละ ถ้าเราไปเจอกับคนที่หวังแต่ผลประโยชน์
  • เท่าที่คำนวณ productivity จะเกิดได้ สูงสุด ประมาณวันเว้นวัน (วันหนึ่งแย่ ส่วนอีกวันจะดี สลับกันไป) เหมือนขณะอยู่ที่นี่ เราไม่ได้จ่ายเงินอย่างเดียว แต่เราต้องจ่ายเวลาชีวิตครึ่งหนึ่งไปเสียเปล่าๆด้วย อย่างในแต่ละเดือน มี 30 วัน แต่เหมือนได้มีชีวิต สำหรับศึกษาหาความรู้ของตัวเองได้จริงๆ 15 วัน และเสียไปฟรีๆกับปัญหาหอพัก 15 วัน คุณพระช่วย! เหมือนกำลังทำสนธิสัญญากับปีศาจเลย 555
  • จ่ายเงิน และจ่ายเวลาในชีวิตไปเปล่าๆ มันดูไม่คุ้มแฮะ
    • มันคือกับดักแหละ กับดักของคนไม่มีเงิน ก็เป็นแบบนี้ คือ ไม่มีทางเลือก และวนอยู่กับ loop นรก โอกาสจะยกระดับชีวิต ก็ทำได้ยากเย็น อย่าว่าแต่จะมีเวลาหาความรู้ได้แบบสะดวกๆเลย เวลาในชีวิตตัวเอง ยังแทบไม่สามารถเลือกได้ ถ้าเวลาในชีวิตถูกเอาไปครึ่งหนึ่ง ก็ต้องพยายามเป็น2-3 เท่า เมื่อมีโอกาส ซึ่งก็ลำบากกว่าคนทั่วไปแน่นอน
  • 8.00น
  • สรุปว่าปัญหาหลักคือ การกินมื้อดึก จะปรับมากินมื้อเช้าวันละมื้อ 2วัน แล้วอดข้ามวัน 1วัน
    • เหมือนถ้าเราต้องการ neuroplasticity จริงๆมันเกิดตอนนอนมากที่สุดนะ ถ้าเราทำอะไรตอนกลางวันเยอะ ตอนนอน สมองก็จะเตรียมการเชื่อมโยงระบบประสาทส่วนนั้นให้
    • แปลกใจมากที่บางคนFasting แล้วกินมื้อดึก ซึ่งมันขัดกับ circadian rhythm โดยส่วนตัวลองแล้วผลไม่โอเคเลย inflammation มากันครบ
    • ในเมื่อเรากินมื้อเช้า ก็ถือโอกาสนี้ รักษาศีล 8 ไปด้วยเลย เป็นการ Fasting อย่างอื่นอีกหลายอย่างด้วย เช่น งดสิ่งบันเทิง เป็นต้น ซึ่งจัดว่าเป็นการทำ dopamine fasting ไปด้วย
    • Fasting ช่วยให้เราสามารถรับมือกับสภาวะ unhealthy ทั้งทางกายและจิตใจ คือ
      • ร่างกายมีความทนทานต่อ stress ต่างๆ ซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ ลดการอักเสบ เซลล์แก่ช้าลง, ภูมิคุ้มกันดีขึ้น ทนต่อเชื้อโรคและการเจ็บป่วย 
      • ทางด้านจิตใจ เซลล์ประสาท ทนทานต่อสภาวะ อารมณ์กดดัน ความเครียดได้ดีขึ้น มีneuroplasticityสูง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้เร็วขึ้น
  • สรุปว่าวันนี้กินมื้อเช้า ตอน 10.00น ถึง 12.00น แล้วจะอดข้ามวันพรุ่งนี้ไปอีกวัน
    • กินมื้อเช้าแล้วพลังเยอะมากๆ มันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะเอาพลังมาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ พอตกเย็น พลังงานที่กินเข้าไปก็ใช้หมดพอดี ตอนเข้านอนก็สลับเป็นโหมด ketosis และร่างกายสามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างเต็มที่ รวมถึงเกิด neuroplaticity ได้ดีขึ้นด้วย
  • ใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัว 4.30 ชม ต่อวัน
  • ยังคงอ่านนิยายใน E-reader ตอนนั่งรถสองแถวไปมหาลัยอยู่นะ David Ives : A Story of St เป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจในช่วงนี้
  • วันนี้มาอ่านหนังสือต่อที่มหาลัย ตอน 14.30น อ่าน Art of currency trading ต่อ
    • เมื่อวานอ่านไปได้ 14 หน้า บนหน้าจอ laptop เครื่องเก่า ที่เป็นหน้าจอแบบ non-pwm dimming
    • วันนี้ใช้ Macbook pro ที่หน้าจอเป็น pwm dimming ดูว่าจะอ่านแล้วสายตาล้ากว่าปกติไหม
      • ดูเหมือนจะอ่านไม่ค่อยได้แฮะ แต่พอเอาไปอ่านใน E-ink e-reader ก็อ่านได้สบายตาแบบปกติเลย
      • วันนี้อ่านไปได้ 5 หน้า แต่เมื่อคืนนอนหลับไม่สนิทด้วย คงต้องติดตามต่อไป
  • มันน่าสังเวชใจนะ ตรงที่เราอุตส่าห์ลาออกมาเพื่อทำตามความฝัน แต่เราก็ยังคงติดกับดักทางการเงินอยู่ดี และเอาเวลามาหาความรู้เกี่ยวกับการเงิน แทนที่จะมาหาความรู้ด้าน programming โดยตรง
    • ความฝันที่จะมีเวลาว่าง เพื่อมาศึกษา programming กลับกลายเป็นต้องมาข้องเกี่ยวกับการเงิน และก็ไม่ได้อ่าน programming สักที
    • แปลกตรงที่เราให้โอกาสตัวเอง อ่านตำราเทรดเล่มแล้วเล่มเล่า ทั้งๆที่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่กับ programming ที่เป็นความฝันหลักของเรา และเรามั่นใจถึงผลลัพธ์ที่แน่นอน กลับยังไม่ได้เริ่มสักที
      • มีปัจจัยที่ drive เราอยู่เบื้องหลัง คือ เราอยากหาเงินเยอะๆ เพื่อจะได้ตอบแทนผู้ที่ให้ทุนเราเรียน จนเราได้เข้าถึงความรู้ได้มากมาย
        • ถ้าลองสมมติว่า เงินเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้อยู่ได้โดยที่คุณภาพชีวิตดี เราก็คงจะอ่านแต่ programming และเริ่มทำงานแล้ว
      • อีกปัจจัยที่ต้องอ่านตำรานอกเหนือจาก programming คือ ชีวิตคนเราไม่สามารถรู้เพียงแง่มุมเดียวได้ การจะเป็น ปราชญ์(wise man) ต้องรู้รอบด้าน ทั้งสุขภาพ วิทยาศาสตร์ การเงิน ภาษา เป็นต้น เหมือนกับการที่คนเราต้องกินอาหารที่หลากหลาย จะรู้วิธีทำแต่อาหารที่เราชอบและกินแต่อย่างนั้นอย่างเดียวก็ไม่ได้
        • แต่ programming ก็ยังคงเป็นงานหลัก ที่เราอยากอยู่กับมันในสัดส่วน 80% ของชีวิต นอกนั้นก็เป็นความรู้สาขาอื่นๆ
      • เหมือนความรู้ทุกศาสตร์ ดีหมด เรียนให้เข้าใจ มีคุณค่าทุกอย่าง (แต่สิ่งที่แย่ในไทย คือ ไม่สอนการนำไปใช้ เอาแต่สอนเพื่อไปทำข้อสอบ)
        • อย่างเราเรียนมาทางด้านสุขภาพ (แม้จะไม่ชอบและสุดท้ายก็ลาออกมาทำตามความฝัน) ก็ได้หลักคิด การต่อยอดในการหาความรู้ในการดูแลสุขภาพ และเอาการดูแลสุขภาพ มาเป็นหนึ่งในวิธีการพัฒนาตนเอง(Intermittent fasting) ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างก้าวกระโดด
        • หรืออย่างความรู้ทางด้านเคมี ก็ทำให้เราอ่านองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เข้าใจ พอรู้ว่าเขาใส่อะไรมาบ้าง
        • ความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ ก็ไม่เพียงแต่เอาไว้คุยกับคนต่างชาติ
          • แต่เราสามารถใช้อ่าน เว็บบอร์ด(reddit) ดูว่าวัยรุ่นต่างประเทศเขาฮิตอะไรกันอยู่ มีปัญหาชีวิตเหมือนเราหรือไม่ มุมมองเกี่ยวกับการทำตามความฝันเหมือนเราหรือไม่(แม้อายุมากแล้วยังเรียนต่อตามความฝัน)
          • รวมไปถึง เข้าถึงความรู้ได้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น เพราะ ปรมาจารย์ในด้านต่างๆ มักจะเขียนหนังสือโดยใช้ภาษาอังกฤษ การอ่านตำราของปรมาจารย์เหล่านี้ เหมือนกับเรากำลังได้รับการถ่ายทอดสุดยอดวิชาจากคนเก่งๆโดยตรง
          • หรือ แม้แต่มีช่องทางการสั่งของราคาถูกจากต่างประเทศ เป็นต้น
  • หลังจากที่ลองเปลี่ยนมากินมื้อเช้า ทุกอย่างมันลงตัวและสมบูรณ์แบบเลยแฮะ กิจกรรมทุกอย่างที่วุ่นวาย หรือใช้แรงทางกาย เช่น งานบ้าน ซักผ้า กวาดบ้าน ทำอาหาร กินอาหาร ฯลฯ​ ทำให้มันเสร็จในช่วงเช้าทีเดียว ตอนสายๆ ก็ไปอ่านหนังสือที่หอสมุดมหาลัย และ เดินทางกลับหอพักตอน 2 ทุ่ม ถึง ก็ 3 ทุ่ม อาบน้ำ แล้วก็ทำกิจกรรมเบาๆ เช่น ทบทวนตัวเอง อ่านหนังสือต่อ เป็นต้น แล้วก็เข้านอน 4 ทุ่มพอดี
    • รูปแบบชีวิต คือ ศีล8 ตามที่พระพุทธเจ้าสอน มันเป็นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายและสมบูรณ์แบบจริงๆ ทั้งในแง่ สุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมไปถึง productivity และ สามารถต่อยอดไปทำสมาธิและเอื้อต่อการเจริญสติปัฏฐานที่ละเอียดขึ้นได้ด้วย
    • แต่ก่อน อดตอนเช้า แล้วกินตอนเย็น เข้าใจว่าเรียบง่ายแล้ว แต่จริงๆไม่ใช่ ร่างกายต้องรับภาระหนักทำงานทั้งวัน ตอนกำลังจะนอนเพื่อพักผ่อน กลับต้องมาวุ่นวายกับการเตรียมอาหาร กินอาหาร ย่อยอาหารมื้อใหญ่ ซึ่งก็เป็นภาระหนักกับร่างกายอีก แถมอาหารมื้อใหญ่ ก็ทำให้อึดอัดนอนไม่หลับ ซึ่งร่างกายไม่มีปากที่จะบอกเราว่าตัวเองลำบากแค่ไหน อนุมูลอิสระเยอะแค่ไหน จึงได้แสดงออกมาเป็นการอักเสบรูปแบบต่างๆ ถึงจุดหนึ่งถ้ามันสะสมมากๆ ก็อาจทำให้ระบบอวัยวะไม่สามารถทำงานได้ดังปกติ
  • ทุกวันนี้ ยังไม่รู้สึกว่าได้ทุ่มเทและพยายามอย่างเต็มที่แต่อย่างใดเลยแฮะ (push yourself over your limit) 
    • อ่านหนังสือ ก็อ่านเท่าที่อ่านได้ในแต่ละวัน โดยจะอ่านได้มากขึ้นไหม ก็ให้มันขึ้นอยู่กับ neuroplasticity ที่พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เคยพยายามฝืนให้อ่านได้มากขึ้น
      • อันนี้คิดว่าไม่ผิด เพราะ ต่อให้ฝืน ก็จับความรู้ยัดเข้าสมองไม่ได้หรอก หรือต่อให้ยัดเข้าไปได้ มันจะเป็นความรู้ที่ไม่มีคุณภาพ
    • ยังมีความรู้สึกชิลๆ บางทีก็แอบไปดูการ์ตูน ซึ่งเกิดจากวิถีชีวิตที่เหนื่อยล้าเกินไป(กินมื้อเย็น)
      • ถ้าเปลี่ยนมากินมื้อเช้า แล้วรักษาศีล8 คิดว่าร่างกายน่าจะมีความสุขขึ้น พักผ่อนได้เต็มที่ขึ้น สุดท้ายก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งการ์ตูน หรือสิ่งบันเทิงเพื่อหนีจากทุกข์

23 มี.ค.

  • วันนี้รู้สึกดีขึ้นมากหลังจากเมื่อวานอดข้ามวัน
    • ความหงุดหงิดง่ายหายไปแล้ว กลับมาอารมณ์คงที่เหมือนเดิม เหมือนกับว่า พอกินมากเกินไป ได้รับCalories 2-3 เท่า(3000-4000kcal) ของที่ควรได้รับต่อวันในคราวเดียว ก็ทำให้ร่างกายเกิด inflammation ได้ ซึ่งนำมาสู่อาการอักเสบของอวัยวะต่างๆในร่างกาย และ อาการบาดเจ็บจากการอักเสบที่ไม่อาจเห็นจากภายนอก แต่แสดงออกเป็นความรู้สึกไม่สบายตัว และ เกิดความหงุดหงิดทั้งวัน ดังนั้น การกินมากในคราวเดียว ก็ไม่ดีเหมือนกัน
    • รู้สึกประสาทสัมผัส การรับรู้ กลับมาดีขึ้น
    • sodium ก็สำคัญ ไม่อย่างนั้นจะอ่อนเพลียไม่มีแรงได้ สำหรับคนที่อดข้ามวันจะไม่ได้รับจากอาหาร โดยเราควรได้รับเกลือวันละ 1 ช้อนชา จะพอดี
  • วันนี้จะลองใช้ จอถนอมสายตา แบบ non pwm dimming ในการอ่านหนังสือ เทียบกับ จอ Macbook pro ที่เป็น pwm dimming
    • เหมือนความคมชัดของตัวอักษรก็มีผลต่อการรับรู้ของสมอง https://www.youtube.com/watch?v=9HcjlZrroAs 
      • ถ้าเป็นจอที่ไม่ใช่ high resolution เวลาอ่าน pdf ให้ปรับขนาดตามสัดส่วนที่มีให้เลือกอยู่แล้ว เช่น 100%, 125% เป็นต้น เพราะ เขาคำนวณมาแล้วว่าจะเบลอน้อยที่สุด ถ้าเป็นzoom ที่เรากำหนดขนาดเอง บางทีตัวอักษรจะเบลอกว่าเดิม และอ่านยาก
    • ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง จอด้าน, resolution ต่ำกว่า (1080p), contrast ต่ำกว่า(srgb99%)
      • resolution ที่ต่ำ ตัวอักษรอาจจะเบลอเล็กน้อย แต่พอใช้ไปเรื่อยๆ ตามันจะชินนะ มันจะโฟกัสทั้งตัวอักษรแทนที่จะโฟกัสทุกอณูแบบตอนแรกๆ อ่านรับข้อมูลได้เหมือนปกติ
      • สรุปว่า เรื่องหน้าจอ คุณภาพกลางๆ (ไม่ใช่จอ high end) ไม่ได้มีปัญหาในการอ่านหนังสือ
    • วันนี้อ่านหนังสือทั้งวัน โดยใช้จอ non pwm dimming ก็ยังมีอาการตาแห้ง-แดงอยู่นะ พรุ่งนี้จะลองเปลี่ยนกลับไปใช้ จอ macbook pro ซึ่งเป็น pwm dimming(ไม่ถนอมสายตา กับบางคนที่ sensitive) ดูว่าจะต่างกันไหม
  • ลองค้นข้อมูลดู เหมือนถั่วที่ให้พลังงานสูงจะมีแค่ ถั่วเหลือง และ ถั่วลิสง แฮะ คือ 100g ให้ พลังงาน 400-500 kcal ส่วนถั่วอย่างอื่น ให้พลังงานราวๆ 100kcal ถ้าอยากกินน้อยอิ่มนาน ก็ต้องเน้นธัญพืชที่ให้ dense nutrition อาจต้องเน้นถั่วเหลือง ส่วนถั่วลิสง อาจต้องระวัง Aflatoxin กินได้แต่อย่ากินบ่อย
  • เรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่งคือ ตอนนี้น้ำหนัก 48.1kg อดมาจะ 40 ชม แต่วันนี้กลับอ่านหนังสือได้ แสดงว่าเมื่อวานที่รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรงอ่านหนังสือ ไม่ได้เกิดจากการกินไม่พอ แต่เกิดจากปัจจัยอื่น เช่น นอนไม่พอ, ขาด sodium เป็นต้น
    • วันนี้นอนเพียงพอ และ กินเกลือไป 1 ช้อนชา ก็กลับมาอ่านหนังสือได้ปกติ
      • แต่หลักๆคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนเพียงพอมากกว่า เพราะ อาการหงุดหงิดจากการอักเสบในร่างกายส่งผลต่อสมาธิโดยตรง มากกว่าอาการอ่อนเพลียจากการขาดเกลือ
      • หรือไม่ อาการขาดเกลือ อาจเป็นสาเหตุให้พักผ่อนได้ไม่เต็มที่ ขาดสมาธิ(restlessness) หงุดหงิดง่าย(bad temper) https://www.google.com/search?client=firefox-b-e&q=sign+of+salt+deficiency เพราะ เมื่อคืน จริงๆกินเกลือไป 1 ช้อนชา แล้วก็นอน แล้วตื่นมาก็ดีขึ้น
    • อย่างน้อยๆ ก็รู้ว่า อาการขาดสมาธิ ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำหนักที่ลด(วันนี้น้ำหนักลด ยังอ่านได้ดีกว่าเมื่อวานและเมื่อวานซืน ที่เพิ่งกินอาหารมา)
  • สรุปว่า วันนี้อ่านหนังสือไปได้ 14 หน้าแล้ว แม้จะอ่านหนังสือท่ามกลางผู้คน แต่ก็ยังมีสมาธิดี สามารถโฟกัสกับหนังสือได้ โดยที่โลกภายนอกคนรอบข้างไม่ค่อยมีผลแฮะ
  • ต้องหาเวลามา rewrite บทความเกี่ยวกับการ IF ใหม่ เพิ่มเนื้อหาการคำนวณ การอดที่คุ้มค่าที่สุด และ การกินเกลือ/electrolite ด้วย
  • วันนี้กลับหอพักตอน 17.00น ทำตามแผนการ IF ใหม่ คือ กินวันละมื้อ 2 วัน แล้วอดข้ามวัน 1 วัน
    • วันนี้กินไปประมาณ 2000kcal ใน 1 มื้อ เน้นdense nutrition คือ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และ ธัญพืชอื่นๆ 5-6 ชนิด หลังกินยังพอคุมสติได้อยู่ สามารถทำกิจกรรมที่ใช้ความคิดต่อได้ ต่างจากวิธีก่อนที่กินทั้งวัน จะคุมสติในมื้อถัดไปไม่ได้เลย
      • ปัญหาหนึ่ง คือ ยังคงกินขนมในปริมาณมาก ซึ่งอาจเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ต่อไปจะเลิกตุนขนมแล้ว กินแต่ธัญพืชนี่แหละ
    • ช่วงเวลา 17-21.00 น เป็น 4 ชั่วโมงที่ unproductive ที่เสียไปกับการเตรียมอาหาร กินอาหาร และ เก็บกวาด ทำงานบ้านจุกจิก รวมไปถึงพยายามทำกิจกรรมที่เป็นการปล่อยสมองเรื่อยเปื่อย ไม่คิดอะไร(ซึ่งไม่ดีเท่าไหร่ เป็นเหมือนกำลังป้อนอาหารขยะให้สมอง) เช่น การเล่น social network, ดู youtube เป้นต้น
      • ปัญหานี้ น่าจะเกิดจาก เรายังมองการอ่านหนังสือ การเรียนรู้ ไม่ใช่การพักผ่อน เลยต้องแสวงหากิจกรรมพักผ่อนแยกอีกที
      • เล่นเกมส์เพื่อฝึกสมอง ยังจะดีกว่าเลยไหมนะ?
    • วิธีการประหยัดเวลามากขึ้นคือ กินอาหารข้างนอก แต่จะไม่ประหยัดเงิน และ ควบคุมโภชนาการไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่า เราจะได้สัดส่วนอาหารอะไรในแต่ละวัน และ ประมาณพลังงานเท่าไหร่ เพียงพอหรือไม่
      • สาเหตุหนึ่งที่ การทำอาหารเองของเรา ไม่ประหยัดเวลา คือ สถานที่ไม่ค่อยเหมาะสม หอพักไม่มีพื้นที่ทำครัว การประยุกต์เลยลำบากและใช้เวลามากขึ้น ซึ่งถ้าสถานที่สะดวก อาจเสียเวลาเทียบเท่าการเดินออกไปซื้ออาหารเองเลย
      • ถ้าเทรดทำเงินได้มากขึ้น ก็จะย้ายออกไปอยู่ในหอพักที่คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้
  • เรื่องการอ่านหนังสือไม่ได้ทั้งวัน ไม่แน่ใจว่า ถ้าใช้เป็นจอ non-pwm dimming จะดีขึ้นไหม เหมือนมีความเป็นไปได้อยู่นะ

22 มี.ค.

  • ยังคงทำ alternate day fasting วันนี้วันอด
    • วันนี้ผื่นขึ้นหน้าเยอะแฮะ แม้นอนดึกจะมีส่วน แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเกี่ยวกับกินเนื้อสัตว์เมื่อวาน เพราะ ผื่นขึ้นเยอะกว่าวันที่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์แต่นอนดึก? อาจจะเป็นเพราะ เนื้อสัตว์มีไขมัน หรือ ฮอร์โมนอะไรไหมนะ
  • พิมพ์สัมผัสคล่องขึ้นทีละนิดๆ
  • วันนี้น่าจะอ่านตำราการเทรดต่อเป็นหลัก เมื่อวานอ่านได้ 4 หน้า
  • หยุดเสพสื่อที่ทำให้เปลี่ยนแปลงอารมณ์ น่าจะดี เพราะ ทำให้อารมณ์คงที่ ไม่เหวี่ยงสุข-ทุกข์ ไปมา น่าจะดีต่อสุขภาพจิตและสารเคมีในสมองมากกว่า?!
    • ฟังเพลง ทำให้มีความสุขในขณะที่ฟัง แต่พอฟังไปสักพัก ก็เริ่มเบื่อ ก็ต้องหาเพลงอื่นฟังต่อ แถมตอนที่ไม่ได้ฟัง อารมณ์อาจจะเหวี่ยงกลับไปเป็นทุกข์แทน
    • การดู youtube เพื่อหาความเพลิดเพลิน แต่พอดูสักพักก็เริ่มเบื่อ ก็ต้องหาคลิปอื่นต่อไปเรื่อยๆ แถมตอนไม่ได้ดูก็จะเบื่อ ไม่รู้จะทำอะไร เป็นกลไกไม่ต่างจากการฟังเพลง
    • การเล่น social media ก็ไม่ต่างกัน ไล่อ่าน post ไปเรื่อยๆ มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง ทำให้ได้รับความเพลิดเพลิน ก็อยากจะไล่อ่านไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น จนเสียเวลาชีวิต
    • การอ่านหนังสือ ก็เช่นกัน อ่านเล่มหนึ่งจบ ก็หาเล่มอื่นมาอ่าน ต่อไปเรื่อยๆ แต่อันนี้มีประโยชน์มากกว่าโทษ ช่วยฝึกความคิด ความรู้อย่างเป็นระบบ เสพข้อมูลจากวิธีนี้ดีที่สุด
  • ช่วงนี้รู้สึกล้าสุดๆ ทั้งๆที่ก็ดูเหมือนจะมีแรงปกติ แต่ไม่มีสมาธิอ่านตำราเทรดได้เหมือนเก่า เพราะ อะไรกันนะ? เท่าที่สังเกตคือ
    • น้ำหนักลดลงมากกว่าปกติ เหลือ 48.3kg
    • หรือเป็นเพราะช่วงนี้นอนหลับไม่ค่อยสนิท หรือ นอนไม่เป็นเวลา หลับยากขึ้น ไม่ค่อยทำสมาธิ
    • หรือเป็นเพราะปัญหาสายตา ตาแห้ง ตาล้า ปัญหากล้ามเนื้อตาที่ยังคงไม่หาย อาจจะลองถอดแว่นอ่านหนังสือดูว่าอ่านง่ายขึ้นไหม
  • สรุป วันนี้เพลีย และ ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้ นอนน้อยและไม่เป็นเวลา วันนี้เลยเพลียและง่วงทั้งวัน แต่ฟังเพลงแล้วพอช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นนะ แล้วช่วยลดความอ่อนเพลียได้นะ
  • เราควรจะลดการทำ alternate day fasting ลงดีไหมนะ รู้สึกว่าวันที่กิน จะต้องกินเยอะมาก สามารถทำให้เสียสุขภาพได้เหมือนกัน inflammation ทั้งหลาย มากันครบ
    • ปัญหาคือ พยายามกินมื้อเย็นมื้อเดียว ให้เพียงพอกับ 2 วัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ทำได้อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว
    • ทางแก้คือ
      • เปลี่ยนมากินทั้งวัน 12 ชม แล้วอดข้ามวัน เหมือนเดิม
        • ประโยชน์ที่จะได้จาก ketosis คือ เวลาอดต่อเนื่อง 36 ชม - 18 ชม(เวลาในการ burn carbohydrate ก่อนที่เข้า ketosis อย่างเข้มข้นจริงๆ)= 18 ชม
        • ประโยชน์ที่จะได้จาก autophagy แบบเข้มข้น คือ เวลาอดต่อเนื่อง 36 ชม - 24ชม(เวลาก่อนที่จะเข้า autophagy) = 12 ชม
        • สรุป กระบวนการใช้เวลา 2 วันต่อรอบ เฉลี่ยต่อวันได้ประโยชน์ จาก ketosis 9 ชม จาก autophagy 6 ชม 
      • เปลี่ยนมากิน วันละมื้อ 2 วัน แล้ว อดข้ามวัน 1 วัน
        • ในวันที่กินวันละ 1 มื้อ 2 วัน(IF 22/2)
          • ประโยชน์ที่จะได้จาก ketosis คือ เวลาอดต่อเนื่อง 22 ชม - 18 ชม = 4 ชม
          • ประโยชน์ ที่จะได้จาก autophagy คือ 0 ชม
        • ในวันที่อดข้ามวัน
          • ประโยชน์ที่จะได้จาก ketosis คือ เวลาอดต่อเนื่อง 46 - 18 = 28 ชม
          • ประโยชน์ที่จะได้จาก autophagy คือ 46-24=22 ชม
        • รวมเวลาที่ได้ประโยชน์ จาก 3 วัน คือ ketosis 36 ชม autophagy 22 ชม
          เฉลี่ยต่อวันได้ประโยชน์ จาก ketosis 12 ชม จาก autophagy 7:20 ชม
        • ข้อดี คือ
          • สะดวกในการใช้ชีวิต เพราะ กินมื้อเย็น โดยไม่ต้องหยุดงาน มากินทั้งวัน
          • แบ่งหลายวัน มีโอกาสที่จะได้อาหารหลากหลายกว่า
          • ไม่ต้องกินเยอะมากในวันเดียวจนเสียสุขภาพ
          • เวลาในการอดเฉลี่ยมีมากกว่า
        • ข้อสังเกต คือ
          • ปกติกินวันละมื้อ มักจะไม่มีแรงเหลือในวันถัดไป อาจต้องเป็นมื้อที่ใหญ่ขึ้นนิดนึง เผื่อวันที่จะอดด้วย
          • ต้องชั่งน้ำหนักตัวเองเสมอๆ ถ้าน้ำหนักลด ก็กินวันมื้อต่อโดยไม่ต้องอดข้ามวัน
    • สรุปว่า จะเปลี่ยนมาทำ IF 22/2 แล้วอดข้ามวัน 1 วัน(IF 46/2) หรือ ก็คือ กินวันละมื้อ 2 วัน แล้วอดข้ามวัน 1 วัน(คำนวณแล้วว่าได้ประโยชน์มากกว่า แถมใช้ชีวิตง่ายกว่า รู้อย่างนี้ทำไปตั้งนานแล้ว)
  • รู้สึกว่า มีความจำเป็นที่จะต้องหาวิธีการอ่านตำราเทรดให้ได้ทั้งวัน และอ่านจบให้ได้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม
    • พรุ่งนี้จะลองกลับมาใช้laptop เครื่องเก่า ที่หน้าจอเป็น non-pwn dimming ซึ่งทำให้สายตาล้าน้อยกว่า
  • สรุปว่า วันนี้อ่านตำรา Art of currency trading ได้ 4 หน้า เนื่องจากเมื่อวานนอนไม่พอ

21 มี.ค.

  • วันนี้วันอดต่อเนื่อง วันที่ 2 น้ำหนัก 48.3 กก(ลดลงอีกแล้ว) มีผื่นขึ้นหน้า(Seborrhaic dermatitis)
    • เรื่องผื่นที่หน้า(Seborrhaic dermatitis) คิดว่ามีหลายปัจจัยร่วมกัน แต่สาเหตุหลักๆเกิดจาก ภูมิคุ้มกันของบางคน ที่มีปฏิกิริยาต่อ yeast บางชนิดบนผิวหน้า (ซึ่งจริงๆมันเป็น normal flora) วิธีแก้ คือ ใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid
    • วันนี้รู้สึกสดชื่น เป็นภาวะที่พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ(อยู่ในภาวะ ketosis) อ่านหนังสือได้มีสมาธิมากขึ้น
  • รู้สึกเหมือน เวลาอ่านตำราจาก หน้าจอ จะอ่านยาก ทำให้ มักจะไม่ง่ายที่จะสังเกต grammar แต่ถ้า อ่านจากหนังสือหรือE-reader(e-ink) จะสังเกต grammar และ คำศัพท์ ได้ดีกว่า และพัฒนาภาษาได้ดีกว่า
  • รู้สึกเหมือนตอนนี้แทบไม่ได้พัฒนาอะไร อ่านหนังสือวันละนิดๆไปเรื่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ แบบนี้ในระยะเวลา 1 ปี จะได้พัฒนาตัวเอง เพื่อความฝันของเราได้ทันไหมนะ
    • เป้าหมาย คือพัฒนาตนเองให้อยู่ในระดับที่เก่งขึ้น เทียบเท่า genius ภายใน 1 ปี จะเป็นไปได้ไหมนะ คงจะยากเหมือนกัน หากจะพัฒนาในช่วงวัยนี้(แก่แล้ว)
      • มันน่าจะต้องค่อยๆพัฒนาไปมากกว่า ทั้งกระบวนการคิด แก้ปัญหา และความสามารถทางคณิตศาสตร์ โดยใช้การ Fasting เป็นตัวช่วยเพิ่ม neuroplasticity
      • ถ้าคิดบนพื้นฐานของความเป็นจริง ทุกอย่างต้องมาจากการฝึกฝน ฝึกอย่างไรก็ได้อย่างนั้น อยากเขียนโปรแกรมเก่ง ต้องฝึกเขียนโปรแกรม
    • อย่างไรก็ยังคงต้องอ่านหนังสือต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ก่อน อย่าเพิ่งเบื่อ และ เวลาว่างก็เอามาพัฒนาตนเองต่อ อย่าไปเถลไถล
  • สิ่งที่พัฒนาขึ้นในช่วงนี้
    • พิมพ์สัมผัส คล่องขึ้น
    • อ่านภาษาอังกฤษคล่องขึ้น
  • รู้สึกว่า การกินมากเกินไปในคราวเดียว(กินวันเดียว เผื่ออดอีก 2 วัน) ก็ทำให้สุขภาพย่ำแย่ได้ แม้จะตามมาด้วยการอดหลายวัน ก็เหมือนเป็นการซ่อมแซมร่างกายจากการกินที่มากเกินไปในคราวก่อนมากกว่า
    • จะลองเปลี่ยนมากินวันละมื้อในตอนเย็น 2 วัน แล้วอดข้ามวัน 1 วัน
  • เหมือน ไปคุยเล่นใน social media มากไป ทำให้ฟุ้งซ่านพอสมควร
  • ไม่แน่ใจว่าทำไมเวลาอ่านหนังสือจากหน้าจอคอมเยอะ แต่การคิดวิเคราะห์ ต่อยอด ตั้งคำถาม กลับลดลงนะ? ไม่เหมือนเวลาอ่านจากกระดาษ หนังสือ e-ink
  • เหมือนน้ำหนักลดลง(เหลือ 48.3kg) การคิด การอ่านหนังสือ ก็ช้าลงด้วยไหมนะ?
  • สรุปเนื่องจากน้ำหนักลดมากเกินไป วันนี้เลยหยุดการอดต่อเนื่อง ในวันที่2 และกินมื้อเย็น กลับมาอดวันเว้นวันเหมือนเดิม
  • เหมือนการฝึกกล้ามเนื้อก็เป็นสิ่งจำเป็น สำหรับสุขภาพ อาจจะต้องฝึกวิดพื้น และsit up สลับกันวันละอย่าง
  • พอไม่ได้เขียนโปรแกรม เหมือนความสุข ความสนุก ความปีติ ในชีวิตมันขาดหายไปแฮะ มันจะเกิดขึ้นตอนเขียนโปรแกรมแล้วมันสามารถทำงานได้อย่างที่เราต้องการ ช่วงนี้อ่านแต่ตำราการเทรด รู้สึกชีวิตผ่านไปวันๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่เลย
  • ตำราเทรด เนื้อหาไม่ได้ยาก แต่อ่านช้าเพราะ กำแพงภาษา และ ต้องใช้การทำความเข้าใจ
  • เหมือนการเรียนหลายๆอย่างไปพร้อมๆกัน จะทำให้ยังคงจำได้ดีกว่า เรียนทีละอย่าง เพราะ จะช่วยกระตุ้นความจำอย่างสม่ำเสมอในทุกๆด้านอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าเรียนทีละอย่าง วิชาที่เรียนไปก่อนหน้ามักจะไม่ได้รับการกระตุ้นความจำ และจะลืมไปได้ เมื่อเรียนจบทุกวิชา สุดท้ายการเรียนหลายๆอย่าง จะจำได้ดีกว่า
    • วันนี้เริ่มอ่าน programming ต่อละในตอนเย็น เนื่องจากอ่านแต่ตำราเทรด เหมือนชีวิตไร้จุดหมายไปหน่อย(อุตส่าห์ลาออกมาทำตามความฝัน ดันมาติดกับดักการหาเงินอีกเสียได้ ถ้าไม่ได้ทำตามความฝันคงเสียดายแย่)

20 มี.ค.

  • วันนี้วันอด เดินเร็วและมีแรงขึ้นมาก หลังจากเมื่อวานกินธัญพืช โดยเพิ่มสัดส่วนของธัญพืชบางชนิดที่ให้สัดส่วนไขมันเป็นพลังงานสูง เช่น ถั่วเหลือง และก็กินในปริมาณมากขึ้น 3 เวลา เพื่อให้เพียงพอต่อการอด 2 วัน
    • แต่ไม่มีผื่น seborrhaic dermatitis ขึ้นหน้าแฮะ ทั้งๆที่นอนดึกพอสมควร หรือเป็นเพราะ ไม่ได้กินเนื้อสัตว์เลย กินแต่ไข่ ไม่แน่ใจว่าเนื้อสัตว์มีฮอร์โมน หรือ ไขมันบางชนิดที่เป็นปัจจัยหรือเปล่า
  • มันไม่น่าแปลกที่เวลาอยู่คนเดียวแล้วจะไม่ค่อยอ่านหนังสือ อย่างเด็กนักเรียน ถ้าไม่มีครูหรือพ่อแม่คอยควบคุม ก็ยากที่จะควบคุมตัวเองให้ตั้งใจอยู่กับการเรียนได้ หรืออย่างลูกน้องเวลาที่เจ้านายไม่อยู่ก็จะผ่อนคลายมากขึ้น และทำงานน้อยลง
    • เราอาจจำเป็นต้องใช้สิ่งแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ เพื่อให้ตัวเองอ่านหนังสือและทำงานมากขึ้น
  • ความกดดันบางอย่างส่งผลในเชิงลบทำให้ productivity ลดลง เช่น การเอาเปรียบกันในที่ทำงาน การใช้อำนาจในที่ทำงานในทางมิชอบ เป็นต้น แต่ความกดดันอีกรูปแบบ ส่งผลในเชิงบวกทำให้ productivity สูงขึ้น เช่น การแข่งขันกันในที่ทำงาน อย่างสร้างสรรค์ เป็นต้น
    • ความผ่อนคลายบางรูปแบบ ส่งผลในเชิงลบต่อ productivity ความผ่อนคลายบางรูปแบบส่งผลในเชิงบวกทำให้ productivity สูงขึ้น
  • สิ่งที่เราทำ อาจเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ สำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แต่อาจเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ก็ได้
  • ความรู้คือเพื่อนแท้ ที่จะอยู่รายล้อมเราไปจนวันตาย
  • หลังจากที่เมื่อวานอยู่ในหอพัก วันนี้รู้สึกความกระฉับกระเฉงลดลง ความติดใจในสิ่งบันเทิงมากขึ้น ความเร็วในการละสายตาจากสิ่งบันเทิงช้าลง
  • วันนี้มาอ่านหนังสือที่หอสมุดของมหาลัย จะอ่าน Art of currency trading ต่อ
    • วันนี้อ่านหนังสือได้ช้าแฮะ สงสัยเข้าโหมด ketosis ช้า เพราะเมื่อวานกินเยอะ แต่พอถึงช่วงบ่าย ร่างกายจัดการอาหารที่กินไปเมื่อวานเสร็จแล้ว ก็เริ่มกลับมามีสมาธิอ่านหนังสือแล้ว
    • วันนี้อารมณ์ค่อนข้างตก แต่ฟังเพลงช่วยให้ความรู้สึกดีขึ้นมาได้ แต่ปกติไม่ค่อยฟังเท่าไหร่นะ เพราะ "โดยส่วนตัว" สมาธิสั้น การฟังเพลงชอบทำให้อารมณ์เหวี่ยงได้ จากสุขมาก พอหยุดฟังก็กลายเป็นซึมแทน
  • โดยส่วนตัวเชื่อว่า มนุษย์สามารถพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด ขอเพียงพยายามอย่างไม่ลดละ
  • การอ่านนี่มันช่วยเปิดโลก ทั้งกระบวนการคิด และ กรอบความคิดของเราจริงๆนะ หลังอ่านหนังสือแต่ละเล่ม แต่ละบท แต่ละหน้า รูปแบบ มุมมอง วิธีการคิดของเราเปลี่ยนไป พัฒนาไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่อ่าน!!!
    • แม้เราไม่ได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ แต่โลกเรากว้างขึ้นเยอะเลย
  • สรุปว่าวันนี้ไปมหาลัย อ่านตำรา The Art of currency trading ได้ 9 หน้าเหมือนเดิม น่าจะเป็นเพราะ ยังไม่เข้า ketosis เต็มที่ เพราะ เมื่อวานกินเยอะ ส่วนพรุ่งนี้ก็อดเป็นวันที่ 2 ต่อเนื่อง

19 มี.ค.

  • วันนี้อยู่หอ ไม่ไปมหาลัย ปกติเวลาอยู่คนเดียว สติมักจะเลือนราง และ เผลอไปทำอะไรตามใจตัวเอง เช่น ดูการ์ตูน เป็นต้น อยากลองดูว่าจะทำอย่างไรให้สามารถควบคุมตนเองให้อ่านหนังสือได้
  • สาเหตุที่อยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วอ่านหนังสือได้
    • positive reinforcement คือ ปัจจัยผลักดันเชิงบวก เช่นว่า อ่านหนังสือแล้วดูขยันในสายตาคนอื่น, อ่าน Textbook ภาษาอังกฤษ​ ทำให้ดูเก่ง เป้นต้น
    • negative reinforcement คือ ปัจจัยผลักดันเชิงลบ เช่นว่า พอไม่อ่านหนังสือ แล้วไปดูการ์ตูน ก็ดูเป็นคนเหลวไหลในสายตาคนอื่น เป็นต้น
    • สังเกตได้ว่า ปัจจัยผลักดันให้อ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเชิงบวกหรือเชิงลบ ของเราจะมาจากภายนอกทั้งนั้น ถ้าถามว่ามันดีไหม จริงๆมันคือกิเลสอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามันไม่ได้ส่งผลเสียกับเราในตอนนี้ ก็สามารถใช้กิเลสทำงานได้ ไม่มีปัญหาอะไร
  • สาเหตุที่อ่านหนังสือในที่ส่วนตัวไม่ได้
    • ขาดปัจจัยกระตุ้นภายนอกดังกล่าว ที่มีในการอ่านท่ามกลางผู้คน
    • สร้างปัจจัยภายในที่ทำให้อ่านหนังสือได้ไหม เพื่อที่จะได้อ่านได้เหมือนกันทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องอ้างอิงจากปัจจัยภายนอกเสมอๆ
      • ปัจจัยผลักดันเชิงบวก
        • ความสนุกจากการอ่าน
        • ทำตัวเสมือนว่าเรากำลังทำงานอยู่ เพียงแต่ทำงานที่บ้าน ดังนั้น ก็อาบน้ำแต่งตัว เหมือนกำลังทำงานอยู่ และทำงานตามกำหนดเวลา
        • ฝึกสติอยู่กับลมหายใจ ทำให้รู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไร
      • ปัจจัยผลักดันเชิงลบ
        • ไม่อ่านหนังสือหาความรู้ จะเอาอะไรไปหาเงิน เงินเก็บก็ใกล้จะหมดอยู่แล้ว
      • ปัจจัยฉุดรั้ง
        • เชิงบวก ดูการ์ตูนสนุก
        • เชิงลบ อ่านหนังสือไม่สนุก
        • ถ้าทำให้การดูการ์ตูนไม่สนุก และ การอ่านหนังสือสนุกขึ้น จะได้ไหมนะ
  • วันนี้จะลองกินอาหาร แล้วอด 2 วันต่อเนื่อง
  • เรื่องการอ่านหนังสือเวลาอยู่คนเดียว สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดคือ นั่งลงและอ่าน ไม่ไปทำอย่างอื่น ถ้าหนังสืออ่านไม่ยาก มันก็จะอ่านเพลินๆไปเรื่อยๆได้เอง ไม่ต้องคิดวิเคราะห์อะไรเยอะ
    • ถ้ามันเกิดอยากเถลไถล ก็มีสติรู้ทัน แล้วกลับมาอ่าน
    • แต่การฝึกควบคุมตัวเอง ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากสมองส่วนที่ทำหน้าที่ยับยั้งชั่งใจ และคิดเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งสามารถพัฒนาได้ผ่านการอดอาหาร โดยเฉพาะ การอดเป็นเวลานานๆ อย่างเช่น alternate day fasting ซึ่งจะทำให้มี neuroplasticity สูงขึ้น และสมองพัฒนาได้เร็ว เรียนรู้นิสัยใหม่ ยับยั้งชั่งใจ และคิดเป็นเหตุเป็นผลได้เร็วขึ้น
  • ทดลอง ใส่แว่นอ่านหนังสือ การกวาดสายตาทำได้ดีกว่า อ่านได้เร็วกว่า เพ่งน้อยกว่า ตาล้าน้อยกว่าการอ่านหนังสือโดยไม่ใส่แว่น(ปัญหาสายตาเอียง)
  • สรุปว่าวันนี้ อยู่หอพัก อ่านหนังสือได้ 9 หน้า จากเมื่อวานไปอ่านที่มหาลัย อ่านได้ 16 หน้า

18 มี.ค.

  • วันนี้วันอด รู้สึกไม่ค่อยมีแรงแบบเต็มร้อย แต่ก็ไม่ได้อ่อนเพลีย แต่ก็กินโปรตีนเพียงพอนะ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะสัดส่วนไขมันน้อยหรือเปล่า หรือว่าเป็นเพราะเมื่อวานอยู่หอแล้วไม่ได้ขยับตัวเท่าไหร่เลย(นั่งที่เดิมทั้งวัน) ผิวหน้ามี inflamation มีผื่นเล็กน้อย แต่ไม่มีหน้าลอกเหมือนวันที่นอนดึก
  • วันนี้อ่านตำรา Art of currency trading ต่อ
    • ตำราให้รายละเอียดดีมาก การอ่านทำให้เรารู้ว่า เรายังไม่รู้พื้นฐานของตลาด forex เลย เราริอาจจะไปเทรดเสียแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่การเทรด แต่มันไม่ต่างจากนักพนันโง่ๆ ไม่รู้อะไรสักอย่าง ที่เข้าไปในบ่อน แล้วเชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถทำเงินจากมันได้ สุดท้ายก็หมดตัวจากความไม่รู้
    • ใครบอกว่าการเทรดไม่ต้องใช้ความรู้พื้นฐาน แม้แต่รายละเอียดที่มาที่ไปเบื้องต้น เรายังไม่รู้เลย เราจะไปเข้าใจตลาดได้อย่างไร
    • เหมือนเวลาที่เราอยากจะเรียนรู้ในเรื่องที่เราชอบ เราก็จะพยายามศึกษาทุกซอกทุกมุม ทุกรายละเอียดของมัน ที่มาที่ไปทุกอย่าง สุดท้ายจึงจะได้เป็น Geek ในด้านนั้น และเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การศึกษาด้านการเทรดก็เหมือนกัน ถ้าอยากเชี่ยวชาญก็ต้องศึกษาเยอะๆทุกซอกทุกมุม
      • มันไร้สาระมากที่จะอ่านตำราไม่กี่เล่ม แล้วจะชำนาญในเรื่องการเทรด มันเป็นความคิดฉาบฉวยและเป็นไปไม่ได้ ต้องศึกษาเยอะๆต่างหาก
  • รู้สึกเหมือนตำราเทรดไม่ได้เข้าใจยาก ไม่ได้อ่านยากเท่าตำราเรียน ดังนั้น 1000 หน้า ของตำราเทรด มักจะอ่านได้เร็วกว่าตำราเรียนหลายเท่า
    • วันนี้อ่านไปได้ 16 หน้า
  • ก็ยังคงพิมพ์สัมผัสได้คล่องขึ้นๆ แต่ก็ยังคงมีการติดขัดอยู่บ่อยๆ
  • พรุ่งนี้น่าจะไม่ไปมหาลัย เพราะรู้สึกว่าใช้เวลาในการเดินทางเยอะ ไปกลับรวม 2 ชม จะไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ในวันที่ต้องกินอาหาร เพราะ จะไปได้แป๊บเดียวก็ต้องกลับแล้ว
  • จะลองกินอาหาร 1 วัน แล้วอด 2 วันติดดู จะดีไหมนะ ข้อดีคือไม่ต้องเสียเวลากินบ่อย ข้อเสียคือน่าจะทำได้ยาก

17 มี.ค.

  • แป๊บเดียวก็ผ่านมาครึ่งเดือนละ การที่เรารู้สึกแบบนี้แสดงว่า เรากำลังใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ปล่อยผ่านไปทีละวันๆ ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือเปล่านะ
  • พยายามศึกษาให้ถึงที่สุดก่อน แล้วค่อยคิดนวัตกรรมหรือไอเดียใหม่ๆ เพราะ ถ้าเรายังมีความรู้เล็กน้อย แล้วอยากจะสร้างนวัตกรรม หรือคิดค้นสิ่งต่างๆขึ้นเอง มันก็ทำได้เพียงการคิดวนเวียนในความรู้เล็กน้อยที่เรามีเท่านั้น พอได้ศึกษาต่อจะรู้เลยว่าความคิด ที่เกิดจากความรู้เล็กน้อยของเรานั้นตื้นเขินมาก
    • อย่างการเรียนสายวิทยาศาสตร์ เราก็ต้องเรียนให้จบหลักสูตรก่อน จึงจะทำวิจัยได้
    • อย่างการเรียนเทรด ถ้าเราคิดจะหาวิธีเทรดเอง โอกาสสำเร็จมันน้อยมาก แต่พอมาศึกษามากขึ้นๆ ก็จะเห็นภาพรวมที่เป็นไปได้ทั้งหมด
    • อย่างการพ้นทุกข์ คนที่ไม่รู้ก็หาวิธีการต่างๆนานาๆที่ไม่ถูกต้อง เช่น นักบวชอินเดียนอนบนตะปู กราบไหว้สิ่งงมงาย เป็นต้น หรือ แม้แต่การทำสมาธินิ่งๆ ที่แม้จะมีประโยชน์แต่ไม่เกิดปัญญา ซึ่งแนวทางพ้นทุกข์ที่ถูกต้องก็ต้องมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเรื่องของการเรียนรู้กายใจตนเองตามความเป็นจริง ตามหลักสติปัฏฐาน 4
  • ไม่แน่ใจว่าในตอนนี้เรายังอยู่บนเส้นทางการทำตามความฝันอยู่หรือเปล่านะ พอมีเรื่องเงินและความสบายเข้ามาล่อใจ เราก็พักการเรียนเขียนโปรแกรมไปเลย
    • แต่จริงๆก็ศึกษาไปด้วยกันได้นี่นะ คนเราทำไมจะเก่งหลายอย่างไม่ได้กันล่ะ ขีดจำกัดของมนุษย์มันพัฒนาขึ้นไปได้เรื่อยๆ ของแค่มีความเพียรพยายาม
      • การอ่านตำราลงทุน รวมกว่า 1000 หน้า ในตอนนี้ ยังถือว่าเล็กน้อยถ้าเทียบกับความรู้ที่เราต้องเรียนรู้ต่อไปในอนาคต อาจจะเทียบเท่ากับตำราหลายหมื่นหน้าเลย ดังนั้น จะอ่านอะไรก็อ่านไปเถอะ อย่าซีเรียส
      • การที่เราจำเป็นต้องศึกษาด้านการลงทุนและการเทรด เพราะ ตอนนี้เรื่องการเงินที่ไม่ยั่งยืน เป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตเรา และปัญหาส่วนหนึ่งก็เกิดจากการอยากลองเทรดด้วย จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมันให้ถ่องแท้ ถ้ามันดีจริง มันจะทำเงินให้เราได้ แต่ถ้าศึกษาแล้วมันไม่น่าเป็นไปได้จริง เราก็จะได้เลิก และ ไม่ถูกกิเลสตัวเองหลอกอีก นอกจากนี้การศึกษาก็ไม่ยาก​ มีตำราที่ดีๆ ที่ต้องอ่านเพียงแค่ประมาณ 1000 หน้าเท่านั้น ก็จะรู้ผล ถือว่าเป็นการเสียเวลาในชีวิตเล็กน้อย แต่คุ้มค่า
    • แต่เป้าหมายก็จะยังคงเป็นเรื่องการเขียนโปรแกรมอยู่นะ ลึกๆคือ เราจะรู้สึกภูมิใจมากที่เขียนโปรแกรมได้ มากกว่าการเทรดหรือลงทุนแล้วได้กำไร
  • วันนี้ไม่ไปอ่านหนังสือที่มหาลัย แต่อยู่คนเดียวในห้องที่หอพัก มีแอบไปดูหนังด้วย https://www.youtube.com/watch?v=xfFCckNY4vg แต่หลังจากหนังจบ ก็เริ่มนึกถึงอนาคตตัวเอง และพยายามมาอ่านหนังสือต่อ
    • อ่านตำรา The Art of Currency trading
  • จริงๆการดูหนังภาษาต่างประเทศก็มีประโยชน์นะ ทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรม สำเนียง ภาษา แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้ควรจะหาเงิน เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นก่อน แล้วการเรียนรู้ทุกอย่างจะสะดวกขึ้น
    • แม้เราจะทำสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ไม่ถูกตามลำดับเวลา ก็จะเป็นผลเสีย ทำให้อย่างอื่นถูกหยุดชะงักได้เหมือนกัน
  • ADA ที่ลงทุนไว้ ยังคงลงต่อ แต่ก็ยังถือยาวนะ ยังไม่มีแผนอื่น
  • ข้อเสียของการอยู่หอ คือ อากาศร้อน แค่นั่งเฉยๆ เหงื่อก็ออกแล้ว เป็นเพราะไม่ได้เปิดหน้าต่างนี่เอง
  • สักวันเราจะได้ไปทำงานในทีม iohk ได้ไหมนะ https://apply.workable.com/io-global/ 

16 มี.ค.

  • เหมือนช่วงนี้พิมพ์โดยใช้การจดจำของกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น เริ่มพิมพ์โดยที่ไม่มองได้แล้ว เน้นหลักการคือ วางนิ้วในตำแหน่งมาตรฐานตลอด แล้วเลื่อนนิ้วไปกดทีละนิ้ว และเลื่อนกลับมาที่ตำแหน่งมาตรฐาน ก่อนที่จะพิมพ์ตัวถัดไป ฝึกแบบนี้กับการพิมพ์ในชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ
  • อ่านหนังสือ How to day trade for a living ต่อ เจอเนื้อหาดักทางอีกแล้ว 555 เขาว่าการอ่านหนังสือ1-2 เล่ม ไม่ช่วยให้เทรดได้ดีขึ้น แต่ต้องฝึกเทรดจริงเท่านั้น(แต่ก็ไม่เชิงว่าจะไม่อ่านเพิ่มอีกนะ เพราะ การอ่านเล่มที่สองนี้ ทำให้เข้าใจการเทรดหลายรูปแบบมากขึ้น คิดว่าก็ควรค่าที่จะอ่านอีกหลายๆเล่ม ควบคู่ไปกับการฝึกเทรด)
    • น่าจะปรับมาฝึกเทรดทุกวัน วันละครั้งก็ได้ ไม่ต้องเทรดทีนึงเยอะๆ แต่อาศัยเวลาวันละเล็กน้อย แต่ฝึกทุกวัน
  • อ่านได้ค่อนข้างเร็ว เพราะ เป็นเนื้อหาแนวเดียวกับเล่มก่อน และศัพท์ไม่ได้ยากมาก ทำให้รู้ว่าถ้าเราเคยอ่านเนื้อหาแนวนี้มาก่อน จะทำให้เราอ่านได้เร็วขึ้น เรียนรู้ได้เร็วขึ้น เคล็ดลับการอ่านเร็ว เรียนรู้เร็ว คือ อ่านหนังสือเยอะๆ พอเจอเนื้อหาที่ซ้ำกับที่เราเคยอ่าน มันจะอ่านผ่านไปได้อย่างรวดเร็วโดยอัตโนมัติ
    • ช่วงนี้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ไหลลื่นขึ้นมาก โดยเฉพาะหนังสือที่เขียนโดยใช้ศัพท์ทั่วไป เป็นผลจากการอ่านแต่ภาษาอังกฤษ และนิยาย
  • ตอนนี้เปลี่ยนมาอ่าน The art of currency trading เพราะ เล่มก่อนหน้าจะเน้นเทรดหุ้นรายวัน ซึ่งไม่เหมาะกับเราเท่าไหร่ ส่วนเล่มนี้เป็นตำราที่ reddit แนะนำ เกี่ยวกับการเทรด forex
    • คิดว่ายิ่งอ่านหนังสือเยอะ ยิ่งดีนะ หนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า มีกฏที่ใช้ใด้เสมอในตลาดการเงิน แต่อีกเล่มบอกว่า เทคนิคที่เคยใช้ได้ สุดท้ายจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรที่ใช้ได้ตลอดในตลาดการเงิน
  • ในการลงทุน ความรู้ในสิ่งที่เราจะลงทุนสำคัญที่สุด สมมติว่า มีกูรูบอกให้เราลงทุนในหุ้นจีน แต่เราไม่มีความรู้ว่าเศรษฐกิจจีนเป็นอย่างไร ไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เราก็อาจไม่รู้สึกสะดุดใจ และปล่อยผ่านโอกาสนี้ไป หรือ กระทั่งเราไปลงทุนตามเขาจริงๆ แต่ปรากฏว่าหุ้นไม่ขึ้นตามที่เขาบอก แต่กลับลงต่อ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มองไม่ออกว่าจะลงต่ออีกนานไหม ควรรจะถือต่อหรือจะขายขาดทุนดี ซึ่งถ้าเรามีความรู้ในด้านนั้นๆจริงๆ ก็จะมองออกว่าเราควรจะเชื่อเขาไหม เช่นว่า มันดีจริง จนควรค่าแก่การถือระยะยาวไหม หรือ มันอาจจะแค่ดีขึ้นในระยะสั้นๆ หรือ มันจะไม่ดีขึ้นแล้วน่าจะลงต่อ เป็นต้น
    • ลงทุนในสิ่งที่เราถนัด หรือ รู้จักมันดี จะดีที่สุด เช่น โดยส่วนตัวรู้จักเรื่อง technology ก็พอจะมองออกว่านวัตกรรมไหน ที่จะมี impact ต่อโลก และลงทุนในสิ่งนั้นๆ เป็นต้น  แต่ถ้าจะให้ไปลงทุนในเรื่องที่เราไม่ถนัด เช่น น้ำมัน แหล่งพลังงาน ก็คงต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอีกมาก สิ่งที่ต้องระวัง คือ โลกการลงทุน แค่เราจะเอาเงินไปลงมันก็ลงได้ แต่มันดีจริงๆหรือเปล่า ไม่มีใครมาบอกเราหรอกว่าต้องหาความรู้ตรงไหน หรือ แค่ไหน เราต้องพยายามหาความรู้รอบด้านอยู่เสมอๆ
    • ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ด้วย
  • ปรับรูปแบบการเรียน เป็น Major กับ Minor เหมือนเดิมละ เพราะ รู้สึกว่า ศึกษาวันละอย่าง ทำให้ลืมความสำคัญของอีกอย่างไปเลย เลยเปลี่ยนกลับมาศึกษาวันละ 2 อย่าง คู่กันไปแบบตัวหลักกับตัวรอง
    • โดยจะสลับกันระหว่าง programming กับ trading วันหนึ่งเป็น Major อีกวันเป็น Minor
  • วันนี้ซ่อมเปลี่ยนอะไหล่มือถือด้วยตัวเอง ฝีมือดีขึ้นมาก ความคิด ความรอบคอบ และ การแก้ปัญหาดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ถือว่า Level up หลังจากที่พยายามทำ Alternate day fasting มาเรื่อยๆ
  • สุดท้ายวันนี้ก็เล่นเกมส์ เสียดายเวลาเหมือนกันนะ ถ้ายังมีแรงเล่นเกมส์ได้ แล้วเอาเวลาและแรงไปอ่านหนังสือต่อ คงได้ความรู้อีกเยอะเลย!
    • ต่อให้เราฝึกเล่นเกมส์จนชนะ แต่เวลาที่เสียไป อาจทำให้เราแพ้ในเกมชีวิตจริง
    • ต่อให้เกมส์จะดีแค่ไหน ก็นับว่าแย่ที่สุด หากเทียบกับเกมชีวิต

15 มี.ค.

  • วันนี้วันอด ผื่นที่หน้าหายไปแล้ว ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะวันที่กินมื้อดึก ทำให้นอนดึก ส่งผลให้เกิด inflamation
  • น้ำหนัก 48.6 kg แต่วันนี้ก็ยังกระฉับกระเฉงดีนะ น่าจะเป็นเพราะ ภาวะ ketosis จากการ fasting ข้ามวัน แต่ถ้าอดมากกว่านี้ก็แรงไม่พออยู่ดีแหละ
  • วิธีการ foolproof มีแค่อย่างเดียว คือ อ่านหนังสือๆๆๆ ค่อยๆอ่านไปเรื่อยๆ ทีละเล่มๆๆ
  • เรื่องการพิมพ์สัมผัส เหมือนบางทีมันพิมพ์สัมผัสได้ โดยที่ไม่ได้จำว่าปุ่มอยู่ตรงไหน แต่มันพิมพ์ได้เอง
  • สาเหตุหนึ่งที่อดทนไม่ได้ กับการลงทุน ไม่มีวินัยกับการเทรด ก็เพราะว่าความรู้ยังไม่พอ หรือ ไม่เข้าใจมันจริงๆ วิธีแก้ก็คือ อ่านหนังสือเพิ่มความรู้ไปเรื่อยๆ ต่อให้อดทนได้ แต่การอดทนแบบไม่รู้ ไม่เข้าใจ มันก็อาจเป็นการอดทนเปล่าประโยชน์ หรือ แม้แต่อดทนในทางที่ผิดได้
    • อย่างการลงทุนในสิ่งที่เรารู้ว่ามันดีจริงๆ ที่ผ่านการศึกษามาด้วยตัวเราเองแล้ว เราก็ยินยอมที่จะถือระยะยาวได้
    • อย่างการเทรด ถ้าเราอ่านเยอะๆ เราก็จะรู้ว่ารูปแบบไหน ไม่ควรเทรด รูปแบบไหนควรเทรด มากขึ้น โอกาสการลงมั่ว ก็จะลดลง
    • ตัวอย่าง เช่น เราจะอุ้มแมวตัวหนึ่ง แต่แมวตัวนั้น ไม่คุ้นชินกับคน เลยพยายามดิ้นหนี เพราะ ไม่รู้ว่าเราจะทำอะไร ทั้งๆที่เรากำลังจะเล่นกับมัน สาเหตุที่แมวไม่สามารถอดทนได้ก็ เพราะ ความไม่รู้ ถ้าแมวรู้จักคนมากขึ้น รู้ว่าคนจะช่วยเหลือมันให้ดีขึ้นได้ ก็จะไม่ดิ้นหนี ดังนั้น การหาความรู้เสมอๆ จึงสำคัญมาก เพื่อที่จะรู้ว่า เมื่อใดเราควรอดทน แล้วอดทนไปเพื่ออะไร หรือเมื่อใดควรหนี ไม่ควรทนอยู่ต่อไป
  • หรือจริงๆ การเทรดไม่ได้มีหลักการที่แน่นอน? เพราะ ไม่มีใครรู้ว่าตลาดจะขึ้นหรือลงจริงๆ กลยุทธ์ไหนก็ได้ ที่ทำให้มองลักษณะของตลาดนั้นๆออก รวมถึงการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้
    • technical analysis เป็นชุดความรู้ ที่ทำให้เราอ่านกราฟง่ายขึ้น แต่ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการกลยุทธ์, การตัดสินใจของเรา และ การบริหารความเสี่ยง
      • บางกราฟอ่านง่ายมองด้วยตาก็ดูออก ก็อาจไม่ต้องใช้ technical analysis ยากๆ
      • บางกราฟ อ่านยาก ก็ต้องใช้ความรู้ technical analysis ช่วยเยอะ
      • แต่จะทำกำไรได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของเรา รวมทั้งจะคงต้นทุนของเราไว้ได้ไหม ขึ้นอยู่กับการบริหารความเสี่ยง
  • เทรดมือใหม่ ให้ โฟกัสที่ตลาดแค่ไม่กี่ตัว แต่เฝ้าติดตามมันเสมอๆ เช่น เทรดเฉพาะ ADA/USDT, USD/JPY เป็นต้น เพื่อให้สามารถฝังตัวกับกราฟนั้นๆ และมองกราฟออกได้ง่ายขึ้นเพราะ เรายังวิเคราะห์กราฟได้ไม่เก่งพอ อย่างUSD/JPY ก็สวมบทบาท ว่าเราเป็น Japanese guy กำลังเทรดสกุลเงินไปเสียเลย และพยายามปรับหา TF และ กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตลาดนั้นๆที่เราโฟกัสอยู่
    • อย่าโฟกัสทีนึงหลายตัว เพราะ แต่ละตลาด จะมี charactor ของตัวเอง ถ้าเราไม่เข้าใจ character ของมัน เราจะพลาดได้ง่ายๆ
  • เทรด TF ใหญ่ จะชัวร์กว่าในทางสถิติ เทรด TF เล็ก ความชัวร์จะน้อยลง แต่จะมีโอกาสเทรดหลายครั้ง?
    • รู้ graph pattern เยอะ, การอ่านแท่งเทียน โอกาสถูกจะมากขึ้น
  • จากมุมมองของ programmer มือสมัครเล่น ความเจ๋งของ ระบบ Cardano มีค่ามากกว่าการเก็งกำไร
    • ลงทุนใน cardano แล้วก็เลิกยุ่งเรื่องเงินๆทองๆ แล้วเอาเวลาไปพัฒนาตัวเองด้าน programming ต่อ
  • สาเหตุที่ตอนนี้ดูการ์ตูนแล้วเบื่อ น่าจะเป็นเพราะว่า เริ่มรู้สึกอยู่แก่ใจลึกๆว่า มีสิ่งสำคัญมากกว่าที่ต้องทำ คือ ต้องทำตามความฝันต่อไป เราอุตส่าห์ทิ้งอนาคตมาเพื่อตามความฝัน เราจะมาเสียเวลาเปล่าประโยชน์แบบนี้ไม่ได้
    • อย่างน้อยๆเราควรจะรักตัวเอง ทำอะไรก็ตามที่เกิดประโยชน์ อย่าเสียเวลาไปเปล่าๆ
  • ทำไมตอนกลับมาที่หอจึงรู้สึกว่าทำอะไรไม่ค่อยได้นะ ต่างจากตอนไปมหาลัย
    • อาจจะเป็นเพราะ สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ครบ เช่น แสงไฟไม่ทั่วถึง อากาศร้อนชื้น ไม่ค่อยถ่ายเท ทำให้รู้สึกอึดอัดและ ความรู้สึกไม่เหมือนตอนอยู่มหาลัย ที่สิ่งแวดล้อมเหมาะสมทุกอย่าง
      • แต่ถ้าจะทำงานหรืออ่านหนังสือต่อจริงๆก็ทำได้นะ ความรู้สึกอึดอัดเป็นเพียงเล็กน้อย จริงๆ ถ้ามีสมาธิทำงาน ไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ก็พอจะยังมีสมาธิได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ถ้าทั้งวันก็ไม่ไหว

14 มี.ค.

  • วันนี้รู้สึกสดชื่น มีแรงและกระฉับกระเฉงมากขึ้น หลังจากที่เมื่อวานหยุดกินธัญพืชเก่าเก็บ โดยกินไข่เป็ด 4 ฟอง + ธัญพืช 5-6 =ชนิด ชุดใหม่
    • แต่ผื่นก็ยังขึ้นเนื่องจากกินดึก ทำให้นอนดึก
    • แต่ก็หลีกเลี่ยงการกินดึกไม่ได้ เพราะ เราจะกินมื้อใหญ่มื้อเดียวแล้วอดข้ามอีกวัน มันใช้พลังในการย่อยเยอะทำให้เราใช้ความคิดได้ไม่ดี ก็กินตอนที่จะไม่ใช้ความคิดเสียเลย คือ กินตอนเย็น เพราะเดี๋ยวก็นอนแล้ว ก็ไปย่อยอาหารตอนนอน แทนที่จะไปรบกวนการทำงาน
  • ซื้อหูฟัง แบบ air conduction เอามาฟัง bbc radio ทั้งวัน(ฝึกฟังภาษาอังกฤษ) โดยที่ไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น (แบบหูฟัง in ear) ถือว่าคุ้มนะ
  • วันนี้อ่าน 10 essentital forex trading จบแล้ว ประมาณ​200 กว่าหน้า เป็นหนังสือสอน basic ที่อ่านไม่ยาก สนุก จะอ่านซ้ำ หรืออ่านเล่มอื่นต่อที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันดีนะ?
    • ลองอ่านเล่มเดิมแล้วค่อนข้างจืดจางกับเนื้อหา อาจจะไปอ่านเล่มอื่นก่อน เพื่อให้ได้ประเด็นความรู้กว้างขึ้น ถ้ามีเวลาค่อยกลับมาอ่านเก็บรายละเอียด
    • เล่มต่อไปที่จะอ่าน คือ The intelligent investor เพื่อให้ได้มุมมองแบบการลงทุนที่ถูกต้อง และ ถัดไปอีก น่าจะเป็น How to Day Trade for a Living
  • น่าแปลก ที่ว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ทำสรุปหนังสือที่อ่าน หลังจากที่เปลี่ยนมาอ่านผ่านหน้าจอคอม มันมีอะไรเกี่ยวกันไหมนะ
    • หรือ อีกสมมติฐานคือ ถ้าจะ Highlight ไปด้วย ก็ไม่ต้องทำสรุป เพราะ การ Highlight มันเป็นเหมือนการให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ในหนังสือ เพื่อจะกลับมาอ่านซ้ำได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ความสำคัญของการทำสรุปลดลง
      • แต่โดยส่วนตัวคิดว่าการทำสรุป ดีกว่าการ Highlight เพราะ ได้ผ่านการคิดสรุปผลด้วยตัวเองด้วย จะทำให้จำได้ดีกว่า
      • สรุปของสรุป คือ ไม่ต้องทำ Highlight ให้ทำสรุปดีกว่า
    • แต่จริงๆก็ขี้เกียจทำสรุปแฮะ แนะนำให้อ่านเยอะๆ คิดเยอะๆจะดีกว่า มีตำราอีกหลายร้อยเล่มรอเราอยู่ การสรุปเหมือนเป็นการใช้เวลาเยอะ อีกทั้งเหมือนเป็นการจำกัดกรอบความรู้ ว่าเราจะฝากชีวิตไว้กับหนังสือเล่มนี้ ด้วยการยอมเสียเวลาอ่านหนังสือเล่มอื่น มาทำสรุปเล่มนี้โดยเฉพาะ ซึ่ง โดยส่วนตัวคิดว่า เอาเวลาที่มีจำกัด มาใช้อ่านหนังสือหลายๆเล่ม ดีกว่าการมานั่งทำสรุปหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม
      • บางทีความรู้ที่เราได้เจอ แลัวพยายามสรุปเพราะคิดว่าสำคัญ แต่หากอ่านและศึกษาไปมากๆ จะรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นใจความสำคัญก็ได้ หรือ รู้สึกว่ามันกลายเป็นเนื้อหาทั่วไป ดังนั้น การอ่านมากๆ คิดมากๆ ฝึกใช้งานมากๆ จะดีกว่า การมานั่งทำสรุป หรืออ่านซ้ำๆหลายรอบ ในเนื้อหาเดิม หรือ หนังสือเล่มเดิมอยู่กับที่
      • สิ่งที่จะทำให้จำได้ดี คือ คิดตามเยอะๆ ลองทำตามเยอะๆ ไม่ใช่การสรุป
  • เราไม่สามารถรับข้อมูล หลายทางพร้อมกันได้ เช่น อ่านหนังสือ กับ ฟังpodcast ไปพร้อมๆกันไม่ได้
    แต่เราสามารถรับข้อมูล ควบคู่ไปกับการส่งออกข้อมูลได้ เช่น ฟัง podcast ไปพร้อมๆกับ ดูกราฟเทรด, แต่ถ้ากิจกรรมที่ใช้ความคิดเยอะๆ เช่น เขียนโปรแกรม อันนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจนะ ว่าจะฟัง podcast ด้วยได้ไหม
  • วันนี้อ่านหนังสือ Eloquent javascript เหมือนเราเริ่มห่างหายไปนานกับการเขียนโปรแกรมเลยแฮะ
    • วันนี้อ่านแบบ เนือยๆ ไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่
    • ในช่วงที่ไม่active ฟังเพลง ช่วงให้อ่านได้ต่อเนื่องขึ้นหน่อยนะ
  • ฟังคลิปสัมภาษณ์ของ Charles Hoskinson https://www.youtube.com/watch?v=A3nN3jry4Qg
    • มีประเด็นหนึ่งคือเรื่องของ technical analysis ใช้ไม่ได้เสมอไป อย่างกรณีหุ้น tesla, google เคยมีคนพยายาม short เพราะ technical analysis ได้ผลลัพธ์เป็นแบบเดียวกัน แต่สุดท้ายหุ้นก็ขึ้นแบบ exponential เพราะ ทุกคนประเมินมูลค่าบริษัทต่ำเกินไป มีปัจจัยพื้นฐานหลายอย่างอยู่เบื้องหลัง ที่วิสัยทัศน์ของคนส่วนใหญ่ประเมินค่าไม่ถูก
    • อาจหมายถึง technical analysis ใช้ได้ แต่ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป
    • มีวิธีอื่นอีกหรือไม่สำหรับทำให้เงินงอกเงยอย่างรวดเร็วที่สุด
      • ลงทุนกับการพัฒนาความรู้ของตัวเอง คุ้มค่าสุด ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
  • ลองถอดแว่นอ่านหนังสือแล้วอ่านได้ดีขึ้นแฮะ แต่พอจะกลับบ้าน รู้สึกตาล้ากว่าปกติแฮะ

13 มี.ค.

  • ข้อผิดพลาดในการเทรดที่เกิดขึ้น คือ ทำตามอารมณ์ ไม่จำกัดการสูญเสีย โลภหวังกำไร ไม่ดูขาดทุน
  • Algorithm การเทรด
    • เลือกตลาดที่จะเทรด
    • ค่อยๆไล่ ดูกราฟจาก TF ใหญ่สุด ตีเส้น แนวรับแนวต้าน, Trendline ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึง TF ที่เล็กสุดที่ยังไม่มี noise
    • ปรับTF เล็กสุดที่ยังไม่มีnoise คือ เห็นแท่งเทียง smooth ไม่มีแท่งเทียน false หรือ sidewayแบบดูทิศทางไม่ออก เยอะ 
      • จะทำให้เราไม่เทรดมากเกินไป เพราะ การเทรดใน TF ที่เหมาะสม จะทำให้เราเทรดไปตามจังหวะที่เหมาะสมของตลาดนั้นๆ ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป
    • เมื่อได้จังหวะเข้าซื้อจาก TF หลัก ก็เข้าไปใน TF 1 min แล้วหาจังหวะซื้อ
  • วันนี้เริ่มพิมพ์สัมผัสได้บ้างแล้ว คล่องมากขึ้น เพียงแค่ฝึกวางมือให้ถูกที่ตำแหน่งมาตรฐาน แล้วพิมพ์แบบนี้ไปสัก 2 สัปดาห์ ความเร็วก็จะเริ่มกลับมาเกือบเท่าเดิม และหลังจากนี้ก็จะค่อยๆพัฒนาในรูปแบบที่คงที่และถูกต้อง มือก็จะไม่วิ่งมั่วไปทั่วคีย์บอร์ดแบบเมื่อก่อนแล้ว
    • เหมือนเวลาเราเล่นเกมส์console หากเราเล่นจนชิน เราก็จะสามารถกดปุ่มได้โดยไม่ต้องมอง
  • การเทรด พอปรับมา TF ที่ถูกต้อง ก็วิเคราะห์กราฟ และเทรดได้ถูกต้องมากขึ้นแฮะ
    • แต่ก่อนใช้ TF เล็กเกินไป ทำให้ stop loss แคบ และ ขาดทุนจากการโดนกิน stop lossบ่อยๆ จากการที่ TF เล็ก มีnoise เยอะ
  • วันนี้ก็พอจะมีแรงนะ แต่มันก็ยังไม่ได้มาก เท่าครั้งแรกที่เคยกินธัญพืช
    • วันนี้จะลองกินอาหารอีกวัน แต่จะไม่กินธัญพืชเก่าเก็บ ดูว่าจะมีแรงมากกว่าเดิมไหม
  • วันนี้มาที่มหาลัย สมาธิกลับมาแล้ว สิ่งที่ทำวันนี้
    • ดูไล่ดูกราฟเทรด ตาม algorithm ที่วางไว้ ใช้เวลาเป็น2-3ชั่วโมงเลยนะ, ฟัง BBC radio ไปด้วย ช่วยให้รู้สึกเสียเวลาน้อยลง
    • ฟังคลิปของ Charles Hoskinson https://www.youtube.com/watch?v=GD9s1ljKHsg 
    • กลับมาอ่านตำราเทรดต่อ ช่วงนี้เริ่มประสบวิกฤติทางการเงิน เพราะ ขาดทุนจากการเทรดด้วยการไม่คำนึงถึงโอกาสเกิดการขาดทุน
      • อ่านไปสักพักก็ตาปรือ เหมือนใช้สายตาไปกับการวิเคราะห์กราฟ จนตาล้า เลยขอตัวเดินทางกลับหอพักก่อนตอน 15:30น
  • เรื่องความฝันในด้าน programming อย่าไปโฟกัสที่ตัว project(life development and management system) ให้โฟกัสที่การเรียนเขียนโปรแกรมเป็นหลัก ถ้าไปโฟกัสที่ตัวผลงาน คือ โปรเจค จะจ้างโปรแกรมเมอร์ทำเอาก็ไม่ต่างกันหรอก ซึ่งมันก็คงไม่สนุก หรือน่าประทับใจแต่อย่างใด แต่ถ้าเราโฟกัสและสนุกกับการเรียนรู้ด้าน programming ความรู้เราจะเปิดกว้าง และเอามาทำอะไรได้อีกมากมาย จะสร้างผลงานอีกกี่ชิ้นก็ได้ และ  จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ไม่สำคัญด้วย
  • วันนี้กินมื้อดึก ก็ทำให้นอนดึก มาดูกันว่าพรุ่งนี้จะมีแรงมากขึ้นไหม, มีผื่นขึ้นหน้าไหมด้วย(จากการนอนดึก) หลังจากที่วันนี้กินธัญพืชที่ผลิตใหม่ ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มี Aflatoxin
  • ดูเหมือนจะเริ่มเทรดได้แล้ว แต่ต้องดูผลลัพธ์ยาวๆนะ
  • ตอนเรียนเคยคิดว่าถ้าชีวิตมีเวลาว่างก็คงจะดี จะได้มีเวลาปฏิบัติธรรมมากขึ้น ตอนนี้ก็มีเวลาแล้วนะ (แต่จริงๆไม่เกี่ยวหรอก ว่าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม เพราะ การปฏิบัติธรรม ทำได้ทุกเวลา เพียงแต่ พวกสมถะกรรมฐาน การทำความสงบจะทำได้ง่ายขึ้น เพราะ ชีวิตไม่วุ่นวายกับใครเท่าไหร่)

12 มี.ค.

  • สรุปว่าเมื่อวานที่กลับมาซื้อ ADA วันนี้ราคาก็ขึ้นละ รอดตัวไป หวังว่าน่าจะวิ่งขึ้นอีกยาวๆเลย อยากเห็นแท่งเทียนพระเจ้าจัง เอาให้ทะลุไปถึงจักรวาลเลย (ผิดหลักการเทรด ทำตามอารมณ์ ไม่ประเมินความเสี่ยงของตนเอง)
    • ถ้าเป็นเรา จะสามารถทำระบบที่ดีแบบ Cardano ได้ไหมนะ เราคงต้องพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆอีกมากเลย
    • ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถเก่งได้เหมือน Charles Hoskinson ที่เป็น polymath คือ เก่งและมีความรู้ และเชี่ยวชาญในหลายๆด้าน
      • ต้องอ่านเยอะๆ คิดเยอะๆ ทำเยอะๆ อยู่ในสังคมที่เป็นนักวิชาการเยอะๆด้วย
      • ความสามารถที่เราอยากมีอีกอย่างหนึ่งคือ ความถ่อมตน ความไม่หลงตัวเอง มันแสดงถึงว่า เราเข้าใจความจริงข้อหนึ่งว่า โลกใบนี้ ยังเต็มไปด้วยอะไรที่เราไม่รู้อีกมาก สิ่งที่เรารู้ ถ้าเทียบกับความรู้ที่มีอยู่ในธรรมชาติ มันเปรียบได้กับเศษละอองฝุ่นผงในทะเลทรายเท่านั้น แทบไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ถ้าเราหลงคิดว่าตัวเองเก่งนักหนา มันก็เป็นเพียงความเข้าใจผิด หลงอยู่ในกะลาของกรอบความคิด ความรู้อันน้อยนิดที่ตัวเองมีเท่านั้น
        • ขออย่าให้เราหลงผิดคิดว่าตัวเองเก่งเลย วิธีแก้คือ อ่านหนังสือเยอะๆ จะเกิดความรู้สึก ทึ่งกับความรู้ในโลกที่มีอย่างมากมาย และ ทึ่งกับความไม่รู้ของตนเอง เมื่อนั้นเราก็เข้าใจความที่เราเป็นเพียงส่วนหนึ่งเล็กๆของธรรมชาติ
        • ซึ่งคนที่คิดว่าตัวเองเก่ง มักจะเป็นคนที่มีความรู้น้อย และคิดวนเวียนอยู่กับสังคมของตัวเอง หรือวนเวียนในความรู้เท่าที่ตัวเองมี เลยคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด ชำนาญที่สุด และไม่เปิดรับความรู้ ความคิดอะไรใหม่ๆ
  • วันนี้อยู่หอ ไม่ได้ไปมหาลัย กะจะลองกินอาหารในวันนี้ แล้วอดยาวๆ 2 วัน
  • ช่วงนี้ เหมือนไม่ค่อยมีสมาธิแฮะ มันเกิดหลังจากได้ธัญพืชเก่าเก็บมาจากคนรู้จัก อาจมีโอกาสเสี่ยงต่อ aflatoxin toxicity หรือเปล่านะ ซึ่งทำให้มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิได้ อาจจะลองงดกินธัญพืชชุดนั้น กลับมากินจากชุดใหม่ที่ซื้อเองจากร้านที่ไว้ใจได้ แล้วดูว่าพลังจะกลับมาเป็นปกติไหม
  • แปลกดีแฮะ วันนี้ไม่ค่อยมีสมาธิจะทำอะไรเลย ไม่อยากอ่านหนังสือ แม้แต่การ์ตูน หรือ หนังก็ไม่อยากดู เพราะรู้สึกไม่มีสาระ แต่กลับดูแบตได้อย่างมีสมาธิ https://www.youtube.com/watch?v=yCAis3trYCE 
    • ทำไมช่วงนี้เราถึงไม่ค่อยมีสมาธินะ มีอะไรที่จะเป็นสาเหตุได้บ้าง
      • วันนี้ กินมื้อเช้า-บ่ายเยอะ เพราะ จะอดอีก 2 วัน อันนี้อาจเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ ว่าการกินอาหารมื้อใหญ่ จะทำให้อึดอัด และ ต้องใช้พลังงานในการย่อยเยอะ เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง แล้วก็อ่านหนังสือได้ไม่ดี
      • ธัญพืชมี Aflatoxin toxicity
      • เป็นห่วงเงินที่ลงในการเทรด เพราะขาดวินัยเลยลงเงินไปเยอะ และทำให้กังวลถึงเงินที่มีอยู่ ไม่ทำตามหลักการ
      • อยู่หอ ไม่เกี่ยวนะ ถ้าจะไม่มีสมาธิ ต่อให้อยู่มหาลัยก็เป็น
      • โคมไฟ อ่านหนังสือที่หอ ยังไม่ดีพอ
    • น่าจะเกิดจาก Aflatoxin toxicity เพราะ สาเหตุอื่นๆ เคยเกิดขึ้นแต่ก็ยังมีสมาธิอยู่นะ แต่เรื่องนี้ เคยมีข้อสังเกตกับมันอยู่ ถ้าเป็นจริงก็แย่อยู่นะ
  • คำถามต่อมาคือ ทำไมการดูแบดมินตัน ถึงดึงสมาธิของเราได้นะ ทั้งๆที่อย่างอื่นก็สนุกไม่แพ้กัน(อาจจะสนุกกว่าด้วย) อาจเป็นเพราะว่า เรายังสามารถเรียนรู้อะไรได้หลายอย่างจากการดูกีฬา ไม่เหมือนการดูการ์ตูน ดูหนัง ที่สาระอาจจะไม่มากเท่า แค่เพลิดเพลินผ่อนคลาย ปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ
    • ดูคลิปเก่าของ นักแบดเก่งๆที่เป็นตำนาน เช่น lin dan, lee chong wei, ฯลฯ ตอนเล่นจะมีสมาธิดีมาก คะแนนที่พลิกผันไม่ได้ทำให้สมาธิเสียไปเลย ต่างฝ่ายต่างก็มีสมาธิอยู่กับการเล่นของตัวเอง ไม่เหมือนกับนักกีฬาในยุคปัจจุบัน ที่พอใกล้ชนะ บางทีก็ดีใจจนสมาธิหลุดและเสียแต้มรัวๆแทน หรือบางทีคะแนนถูกนำห่างเยอะ ก็ถอดใจไปแล้ว
  • ไม่มีสมาธิจริงๆแฮะ ลองพยายามฝืนอ่านหนังสือ แต่ก็อ่านได้ไม่เท่าไหร่ ก็สมาธิหลุดละ ช่วงที่สมาธิเป็นปกติ จะไม่ต้องฝืนอ่าน แต่ก็มีสมาธิอ่านแบบสบายๆ ต่อเนื่อง ไม่รู้สึกว่าต้องทำอะไรลำบากเป็นพิเศษ
  • การออกมาอยู่หอคนเดียว ทำให้ได้เรียนรู้อะไรในชีวิตเยอะ แต่ก่อนอยู่บ้าน อะไรแม่ก็ชอบทำให้หมด จนเราเองก็ไม่ได้ทำอะไร สิ่งที่ได้เรียนรู้ เช่น
    • วินัยเล็กๆน้อยๆก็สำคัญ เช่น ซักผ้า, ทำกิจวัตรประจำวัน เป็นต้น ที่หากไม่ทำ ชีวิตในการทำตามเป้าหมายใหญ่ๆของเราก็รวน
  • สรุปว่า วันนี้อยู่หอ ก็ไม่ได้อ่านหนังสือเลย productivity ไม่ดี ควบคุมตัวเองไม่ได้ สาเหตุเกิดจากไม่มีสมาธิในการอ่าน ทั้งดูการ์ตูน เล่นเกมส์ ผลาญเวลาไปเปล่าๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
    • คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุจากอาหาร(ธัญพืชเก่าเก็บมานาน) และเกิดสารพิษสะสม(Aflatoxin) เพราะ มีอาการตั้งแต่ 2-3 วันที่ผ่านมา ไม่ได้เพิ่งจะไม่มีสมาธิวันนี้
  • แต่วันนี้อ่านตำราเทรดพอได้นิดหน่อยนะ แต่ตำรา programming ไม่ได้เลย
  • สรุปแนวทางการปฏิบัติเพื่อ productivity ได้ดังนี้
    • 8.00น ไปมหาลัยทุกวัน เพราะ วันที่อยู่หอก็ไม่ได้ช่วยให้ productivity เพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่ง เทียบกับวันที่ไปมหาลัย ที่เกิด productivity ต่ำสุด ก็ยังดีกว่า วันที่อยู่หอ แล้วพยายามฝืนให้ได้ productivity สูงสุด!!
    • 15.00น กลับมากิน มื้อดึก อย่างน้อย วันเว้นวัน ถ้าวันไหนไม่ไหวจริงๆ ก็กิน 2 วันติดกันได้บ้าง(วันไหนไม่กินอาหาร จะกลับ 18-19.00น)
      • อาหารที่กิน คือ ธัญพืช(ใหม่) + ไข่ต้ม + ผัก,ผลไม้ อื่นๆ , เคยทดลองแล้วว่า ธัญพืช ให้พลังงานเกือบเพียงพอกับ 2 วันได้เลย แต่ก็กินเยอะอยู่นะ
  • คิดว่าจะไม่เทรดแล้วดีไหมนะ อ่านตำราเทรดให้จบพอเป็นพิธี แต่เน้นการลงทุนดีกว่า (อ่าน the intelligent invester ต่อ) เพราะ ทุกครั้งที่เราเทรดแบบไม่มีข้อมูลพื้นฐานในชีวิตจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เราเทรด เราไม่เคยชนะเลย แต่ถ้าเอาข้อมูลพื้นฐานมาช่วยวิเคราะห์ และลงทุนในระยะยาว จะชนะอยู่บ่อยๆ
    • technical analysis เป็นเพียงศาสตร์หนึ่งๆ ไม่ใช่สิ่งที่จะป้องกันการขาดทุนได้ แม้เราจะเก่งกราฟแค่ไหน แต่ถ้าเราไปเทรดในตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานไม่ดี กราฟก็ไม่วิ่งอยู่ดี
  • เทรด ควรปรับกราฟให้ไม่มี noise ของแท่งเทียน(แท่งเทียนไม่สมเหตุสมผล) คือ ปรับ TF ใหญ่ขึ้น จนกว่า แท่งเทียนจะดู smooth ไม่ดูมั่วซั่ว หรือวุ่นวาย ดูเทรนด์ไม่ออก จะเทรดได้ดีขึ้น ไม่โดนกิน stop loss เปล่าๆ
  • แต่ตอนนี้กลับมาอ่านหนังสือได้แล้วแฮะ(อ่าน Javascript) เหมือนอาหารจากตอนเช้าย่อยเสร็จ สมาธิก็กลับมาแล้ว แสดงว่าสาเหตุหลักเกิดจากการกินมากไปในคราวเดียว?
  • เทรดเสียอีกแล้ว จากการไม่มีวินัย เทรดตามอารมณ์ ไม่เชื่อตำรา

11 มี.ค.

  • รู้สึกเหมือนชีวิตเราจะพัฒนาไปในทิศทางไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเลือกทิศทางชีวิต ด้วยความชอบ การวางแผน หรือ ด้วยหลักเหตุผลในการตัดสินใจอื่นใด ขอเพียงมีความพยายาม มีวินัย และ ไม่ล้มเลิก ก็จะทำได้สำเร็จ แต่มันก็จะมีความแตกต่างบ้างเล็กน้อย คือ โดยส่วนตัว เคยเลือกไปในทิศทางที่เราไม่ชอบ มันทำให้เราไม่สามารถคงสภาพความพยายาม แรงใจ ความมีวินัย ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง และ ผลลัพธ์จากความเพียรพยายามจะเกิดน้อยกว่า การเรียนรู้ก็เกิดได้ช้ากว่า การทำในสิ่งที่เราชอบ แม้จะใช้ความพยายามและความตั้งใจเท่ากัน
    • ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ต้องใช้ความเพียรพยายามมาก แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีน้อย
    • ทำในสิ่งที่ชอบ ใช้ความเพียรพยายามปกติ(ไม่ได้มีอะไรง่าย ต่อให้ชอบ ก็ต้องเพียรพยายาม อดทน เช่นกัน) แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างเต็มที่ และความชอบทำให้อยากพยายามต่อไปเรื่อยๆ
  • เหมือนตอนนี้ command linux ที่เรียนมาจะเริ่มลืมเลือนแล้วแฮะ อาจจะต้องทบทวน หรือ ใช้บ่อยๆ จะได้ไม่ลืม
  • การเทรดในตอนนี้ ก็ยังคงต้องอ่านหนังสืออีกเยอะ เหมือนอ่านเล่มเดียวยังไม่พอนะ
    • การที่บอกว่าในตลาด ราคา เกิดจากแรงซื้อ และ แรงขาย กำลังวัดกันว่าใครมีแรงมากกว่า รวมถึงปัจจัยอื่นๆอีกมากมายทางเศรษฐศาสตร์ แต่การเราจะบอกว่า เราไม่สามารถจะเทรดอะไรได้ เพราะ อนาคตเอาแน่นอนไม่ได้ จริงๆไม่ถูกเสียทีเดียวนะ เพราะ เหมือนเราได้เรียนรู้หลักการวิทยาศาสตร์เกี่ยวธรรมชาติต่างๆ แต่จะเอามาใช้ประโยชน์ได้ ก็จะยังต้องมีอีกศาสตร์อีกหลายแขนง เช่น วิศวกรรม ทั้งไฟฟ้า เครื่องกล ฯลฯ อีกมากมาย หรือง่ายๆเช่น รู้ว่าอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสูงและไอน้ำมีแรงดัน ก็เอามาใช้ประโยชน์ในการทำเป็นเครื่องจักรไอน้ำ เป็นต้น การเทรดก็เช่นกัน เหมือนเราเรียนรู้ตลาดแล้ว เราก็ต้องเรียนรู้วิธีการทำประโยชน์จากมันได้ด้วยเช่นกัน
  • การแก้ tongue thrust เวลาจะกลืนอะไร ลองเปิดริมฝีปากกลืนดู (กลืนแบบเปิดปาก) วิธีนี้จะเป็นการบังคับให้ ลิ้นต้องแตะเพดานปากเพื่อทำหน้าที่seal ช่องปากขณะกลืน แทนการsealโดยริมฝีปาก(ความเคยชินเก่าที่) ฝึกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชินใหม่ แม้แต่การกลืนน้ำลาย ลิ้นก็จะไม่ไปดันฟันหน้าอีก
    • สรุปคือ ฝึกกลืนเปิดปาก
  • เหมือนการพิมพ์สัมผัส จะฝึกเองตามมีตามเกิดในชีวิตประจำวันไม่ได้ ยังไงก็ต้องทำแบบฝึกหัดโดยเฉพาะแบบซ้ำๆนะ
    • สาเหตุไม่ใช่เพราะ ไม่ถูกต้อง แต่เป็นเพราะ มันจะทำให้ฝืนชีวิตประจำวันมาก แลละทำให้ล้มเลิกความตั้งใจได้ง่าย จึงแนะนำให้มีการฝึกแยกออกมา จะมีโอกาสสำเร็จง่ายกว่า
    • แต่ก็ไม่เสมอไปอีก จะฝึกผ่านการพิมพ์ในชีวิตประจำวันก็ได้ ถ้าสามารถฝืนทนกับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นได้ และจะพัฒนาได้เร็วกว่า เพราะ ฝึกเยอะกว่า -- > โดยส่วนตัวทำแบบนี้ ช่วงแรกจะไม่สะดวกสุดๆ ดูเหมือนเป็นคนเพิ่งหัดใช้คอมฯไปเลย ซึ่งแน่นอนว่าการทำงานก็ช้าลงด้วย แต่พอฝืนสักระยะหนึ่ง ชีวิตก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ และ พิมพ์คล่องกว่าเดิม
  • เหมือนการไม่ได้อดข้ามวัน(เมื่อวานกินอาหาร ติดต่อกัน 2 วัน) อาจทำให้ควบคุมตัวเองยากขึ้นนะ? เหมือนอ่านหนังสือมีสมาธิลดลงนิดนึงด้วย
  • วันนี้อ่าน หนังสือ javascript
  • โยกเงินกลับเข้าเก็บเป็น ADA แล้ว หลังจากที่ได้รู้เรื่อง Edinburgh Decentralization Index ที่มีการแสดงว่า cardano เป็น blockchain ที่มีความ decentralized มากที่สุด ซึ่งมันตรงกับที่เคย research ด้วยตัวเองไว้ มันแสดงว่า Charles Hoskinson พูดความจริงตลอดมา ไม่ได้โกหกเหมือน crypto blockchain อื่นๆ แม้แต่ Ethereum ก็โกหกนะ(เจ้าของมีสัดส่วนถือครองกว่า 50% แหนะ)
    • นอกจากนี้ทรงกราฟดูดีขึ้น เลยกล้ากลับเข้ามาซื้อเก็บไว้มากขึ้น
    • แต่เนื่องจากว่าความที่มัน decentralized สูง ความผันผวนน่าจะน้อยกว่าเหรียญ crypto อื่นๆนะ ราคาน่าจะไม่หวือหวา ไม่ขึ้นเยอะ(ในตอนนี้?) แต่ก็จะไม่ลงเยอะด้วย? มั้ง
    • อันนี้เป็นบันทึกส่วนตัว ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนแต่อย่างใด
      • โดยส่วนตัวเป็นนักลงทุนที่ไม่มีวินัยมากๆ เมื่อวานเพิ่งขาย เพราะ ราคาตก วันนี้ก็ซื้อใหม่ เพราะ ราคาขึ้น ซึ่งจริงๆควรจะซื้อเพราะราคาตก ขาย เพราะ ราคาขึ้น น่าจะดีกว่า
      • แต่ถือว่าซื้อด้วยเหตุผลของ programmer มือสมัครเล่นคนหนึ่ง
  • https://techsauce.co/culture-transformation/satya-nadella-microsoft การพัฒนาบริษัทของ microsoft ด้วยการทำให้พนักงานมีความสุข
  • เท่าที่คำนวณดีๆ วันที่เรากินอาหาร เราสามารถกินเทียบเท่า 9 มื้อได้เลย (ธัญพืชสารอาหารเยอะ+ ขนม ฯลฯ) อย่างนี้อาจลองอด 2 วัน ไปเลยดีไหมนะ?? แต่ต้องระวังเรื่องการขาดวิตามิน และเกลือแร่

10 มี.ค.

  • วันนี้อ่านเลขพลางๆ precalculus 9ed - sullivan
    • อ่านไปสักพักเริ่มเบื่อ เพราะ โจทย์ค่อนข้างง่ายถ้าเทียบกับของไทย เลยเปลี่ยนมาอ่านตำราเทรด Forex ต่อ รู้สึกว่าอ่านได้เร็วขึ้น และง่ายขึ้นไปอีกแฮะ หลังจากไม่ได้อ่านมาพักนึง
  • เมื่อวานกินอาหาร เป็นอกไก่ 500 g กับ มันเทศ และ มะเขือเทศ วันนี้ไม่ได้มีแรงมากเท่ากับวันที่กินเป็นธัญพืชแฮะ
    • คิดว่าน่าจะปรับเป็น ในวันที่กินอาหาร จะ กินมื้อเช้าถึงเที่ยง การกินแค่ช่วงเย็นเพื่อให้เพียงพอกับอีกวันจะเป็นการลำบากท้องเกินไป โดยทำกินเอง เพื่อให้ได้โภชนาการครบถ้วน และวันนั้นจะไม่ไปมหาลัย
    • ต่อให้เป็นอกไก่ 500 g ก็ยังไม่ทำให้มีแรงได้เท่าการกินธัญพืชกับไข่ไก่/เป็ด 2-4 ฟอง
  • แผนการลงทุน คือ แบ่งไว้เทรด 1 ใน 3 ซื้อถูกขายแพง อีก 2 ใน 3 ลงทุนไว้ จะขึ้นหรือลงไม่สน
  • การลงทุนดีกว่าการเทรด เพราะ ไม่ต้องเฝ้ากราฟ หรือ ไม่ต้องใช้เวลาดูกราฟวันละเป็นชั่วโมง เอาเวลาไปอ่านหนังสือ หาความรู้ เพิ่มมูลค่าให้ตัวเองได้ ซึ่งอาจจะคุ้มกว่าการนั่งจ้องแต่กราฟ แล้วไม่มีความรู้อะไรเลยก็ได้(แถมเทรดพลาดก็เสียเงินอีก)
  • ตอนนี้งดเทรดและการลงทุนทั้งหมดก่อน รู้สึกเหมือนยิ่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเทรดและการลงทุน ยิ่งมีอะไรที่น่าสนใจและเรายังไม่รู้อีกเยอะ น่าจะต้องหาความรู้ให้ได้เยอะๆก่อน และฝึกเทรดให้ดีๆก่อน ค่อยกลับเข้าสู่การเทรดอีกครั้ง
    • ถอนกำไรจากการลงทุนใน ADA ทั้งหมดออกมาแล้ว เราไม่แน่ใจกราฟ ADA ในช่วงนี้ ทุกข์จากการเสียดายที่พลาดโอกาสกำไร ยังดีกว่า ทุกข์จากการเสียใจที่ขาดทุนและได้แต่สวดภาวนาให้มันกลับขึ้นไป
      • เราอาจจะโง่ที่พลาดโอกาสการลงทุนครั้งใหญ่ไปก็ได้ แต่กราฟยังมีอีกไกล ยังมีอีกหลายด่านสำหรับทดสอบ ตราบใดที่เรายังไม่มีความรู้ แม้จะได้กำไรก้อนใหญ่ ในด่านถัดๆไป เราอาจจะสูญเสียเงินทั้งหมดให้กับความไม่รู้ได้อยู่ดี
        • การไม่มีความรู้นั่นแหละ ที่ทำให้เราได้แต่ต้องคอยพยายามรอโอกาสทำ "กำไรก้อนใหญ่" ที่ตลาดหยิบยื่นให้ ที่จะมีนานๆครั้ง
          แทนที่จริงๆ ถ้าเรามีความรู้ก็จะมองโอกาสออก ซึ่งในความเป็นจริงมีอยู่นับไม่ถ้วน ไม่ต้องรอให้ตลาดหยิบยื่นให้(ตลาดให้เราได้ ก็เอาคืนได้เช่นกัน เพราะ ความไม่รู้ของเราเอง)
        • แต่ถ้าเราหาความรู้ให้ดีก่อน อย่างไรอนาคตเราก็จะต้องทำเงินได้แน่นอน และอยู่รอดจากความรู้ที่เรามี
        • ช่วงนี้ก็พยายามอยู่อย่างประหยัด เพื่อรักษาเงินทุนไว้ให้อยู่ได้นานๆ และหาความรู้ แข่งกับเงินที่ค่อยๆร่อยหรอไปทีละนิดๆก่อนนะ
    • ตอนนี้อ่านตำราเทรด 10 essential Forex เกือบจบแล้ว ก็ได้มุมมองของนักเทรด(คร่าวๆ อาจต้องหาความรู้เพิ่มอีก) เหลือตำรา the intelligent investor เพื่อให้ได้มุมมองนักลงทุน
      • เอาจริงๆ เรายังไม่รู้เลยว่าการลงทุนจริงๆมันเป็นอย่างไร เหมือนเรายังเรียนไม่จบหลักสูตร แล้วจะไปทำจริงๆมันก็มีแต่จะเจ๊ง(ในหนังสือบอกว่า เหมือนเรียนขับเครื่องบิน ซึ่งมันต้องใช้เวลา และค่อยๆเรียนตามลำดับ ถ้ายังมีประสบการณ์และความรู้ไม่พอ จะไปขึ้นบินเลยก็ได้ตายชัวร์)
      • รวมถึงมีอีกทางเลือกหนึ่ง คือ เลิกเรียนเทรด แล้วไปมุ่งทางด้าน programming อย่างเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเต็มใจ และพร้อมที่จะเรียนรู้ที่สุด แต่อันนี้ก็แล้วแต่เราอีกทีนะ เพราะ ตอนนี้ก็พยายามศึกษาหลายๆอย่างไปด้วยกัน ก็พอไปได้อยู่ แต่ไม่รู้ว่าอนาคตหากจริงจังแล้ว จะยังเรียนไปด้วยกันแบบนี้ได้ไหม
  • วันนี้กินมื้อเย็นอีกวัน พรุ่งนี้ค่อยอด แต่ตอนกินรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้แฮะ เหมือนอาการไม่มีสมาธิอยู่กับปัจจุบันเกิดขึ้น เหมือนเกิดจากการกินมากเกินไปหรือเปล่านะ
  • ได้ดู youtube ของคุณ กรุณา บัวคำศรี https://www.youtube.com/watch?v=pEgdsE838T0 นำเสนอเรื่องราวที่มีสาระ และ น่าสนใจมาก(ปกติจะดูแต่การ์ตูน)

9 มี.ค.

  • เมื่อวานทะเลาะกับแม่ เรื่องแนวทางชีวิต เลยทำให้วันนี้ไม่ค่อยมีสติ สมาธิเท่าไหร่ น่าจะเป็นบาปกรรมติดจรวด(ไม่ใช่บาปที่เราไม่เห็นด้วยกับแม่นะ แต่เป็นบาปที่เราพูดจาไม่ดีกับแม่)
  • ลองอ่าน textbook เลข ของต่างประเทศ ดูเหมือนจะสนุกกว่าตำราของไทย มีการอธิบาย ที่มาที่ไปของทฤษฎีต่างๆ และการนำไปใช้ ได้อย่างเห็นภาพชัดเจน ทำให้รู้สึกอยากเรียนรู้มากขึ้น แต่โจทย์อาจไม่ได้ยากเท่าของไทย ทึ่งเหมือนกันว่าเด็กไทยเรียนกันมาได้อย่างไรกับหลักสูตรที่เน้นแต่การแก้โจทย์ โดยไม่ค่อยได้รู้ประโยชน์ของสิ่งที่ตนเองเรียนอยู่เท่าไหร่ ต้องใช้ความอดทนจริงๆ กับการเรียนสิ่งที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร(ถ้าบอกว่ามีประโยชน์อะไร คงจะเรียนได้สนุกกว่านี้)
  • วันนี้กลับบ้านประมาณ 15.00น มีเวลาเตรียมอาหารเร็วขึ้น กินเสร็จตอน 21.00น อดต่อในวันพรุ่งนี้
  • แผนการเทรดจะเอาอย่างไรดีนะ
    • ตอนนี้ขายADAทำกำไรออกมาก่อนแล้ว แต่โดยส่วนตัวก็คิดว่ามันก็จะขึ้นต่อภายในเดือนนี้แหละ แต่ใจหนึ่งที่ขาย เพราะ รู้สึกไม่แน่ใจลักษณะกราฟ เลยคิดว่าอยากจะทยอยเข้าใหม่ ในจุดที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด
      • เท่าที่สังเกต จุดที่มีความเสี่ยงต่ำ คือ ใน TF d วันไหนที่กราฟลงเป็นแท่งเทียนสีแดง ให้แบ่งซื้อ จะมีโอกาสทำกำไร ในวันที่กราฟเป็นแท่งเขียว

8 มี.ค.

  • เมื่อวานนอน ตี 0:30 น เพราะ กินมื้อดึกมากๆ วันนี้ตื่นมาก็มีผื่นขึ้นหน้า(seborrheic dermatitis)
    • วันนี้อ่านหนังสือไปง่วงไป
  • ตารางเวลาในชีวิต
    • วันอด ออกจากหอพักเร็วสุดคือ 8.00น ถึงมหาลัย 9.00น วันนี้จะลองกลับ 2 ทุ่มดู รวมเวลาทำงานก็ 11 ชม
    • ส่วนวันกิน ออกจากหอพักเร็วสุดคือ 7.00น ถึงมหาลัย 8.00น น่าจะกลับ 15.00น รวมเวลาทำงานก็ 7 ชม
      • เวลาทำงานเฉลี่ยในแต่ละวันคือ 9 ชม
  • รายการที่ศึกษาในตอนนี้ จะจัดตารางเรียนอย่างไรดีนะ?
    • dev javascript, nodejs
    • วิชาพื้นฐาน math, physic, chemistry
    • english language
    • trade, investment
  • Warren buffett https://www.facebook.com/reel/899010888198299 
    • But when I was 11, I picked stocks. I had the whole wrong idea. I thought stocks were things that went up and down and I charted them. I read books on technical analysis. I read everything. And I thought the important thing was to predict what a stock would do and predict the stock market. And then I read Ben Graham and I realized that I was doing it exactly the wrong way when I read the book, The intelligent investor. And from that point I never bought another stock I bought businesses that happen to be publicly traded. But I became an owner of a business. And I did not care whether a stock went up or down the next day or the next week or the next month or the next year. And I didn't have any idea what it would do. I didn't know what the stock market would do, but I knew businesses.
  • วันนี้อ่านตำรา forex
  • เวลาที่เราจะลงทุนอะไรสักอย่าง เราพยายามคิดทุกกรณีที่อาจเป็นไปได้ คิดและหาข้อมูลอย่างรอบคอบ จนมั่นใจแล้วจึงลงทุน
    • เราจะทำแบบนี้กับการเทรดได้ไหมนะ?
      • เหรียญ ADA ที่ลงทุนอยู่ พอเปลี่ยนอยากมาลองtradeแทน ก็สูญเสียมุมมองของคุณค่าของเหรียญในการลงทุนไป กลับเป็นการโฟกัสที่มุมมองกราฟเป็นหลักแทน ซึ่งรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
  • พอจะสรุปวิธีการทำให้เห็นคุณค่าของเงิน ได้ คือ
    • ต้องรู้จักความลำบากตอนไม่มีเงิน หรือ เคยมีช่วงชีวิตหนึ่งที่ต้องกังวลเรื่องเงิน หรือ อย่างน้อยต้องเคยประหยัดเพื่อความอยู่รอด จะทำให้เห็นคุณค่าของเงิน และ เข้าใจความลำบากของผู้อื่นที่ขาดแคลนมากขึ้น
  • ช่วงนี้โรคชอบวิตกกังวล ชอบคิดในแง่ลบ ของเราดีขึ้นนะ เหมือนการอดอาหารวันเว้นวัน(alternate day fasting) ช่วยให้สุขภาพจิต และ สมองดีขึ้น(improve brain health) สมาธิดีขึ้น ไม่ค่อยหงุดหงิด โมโหง่าย (ทั้งชีวิตเป็นโรคนี้มาตลอด กังวลกับทุกเรื่องแบบไม่เข้าเรื่อง แก้วิธีไหนๆก็ไม่หาย แต่อดอาหารวันเว้นวันแล้วดีขึ้นเรื่อยๆ)
    • แต่พอเจอคนบางคน ที่คิดลบจัดๆ ก็กลับรู้สึกเหมือนชีวิตไม่มีทางออกอยู่นะ ทั้งๆที่ถ้าเพียรพยายาม ไม่ยอมแพ้ ทางออกจากปัญหา ก็มีอย่างนับไม่ถ้วน ต้องหลีกเลี่ยงคนคิดลบ แต่ถ้าเจอก็ปล่อยใจสบายๆ อโหสิกรรม อย่าไปจริงจังอะไรกับเขา หรือคำพูดของเขา สงสารเขา รวมถึงวางเฉย หากเขาไม่รับความช่วยเหลือจากเรา ก็สุดแท้แต่เราจะช่วยอะไรได้

7 มี.ค.

  • วันนี้อดต่อถึง 17.00น จะรวมเวลาอด 42 ชม ไม่รู้จะรอดไหม
    • ตั้งแต่ที่เปลี่ยนมาทำ Alternate day fasting(อดวันเว้นวัน) ก็พัฒนาตนเองได้เร็วขึ้นมาก อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งการคิดวิเคราะห์ การเรียนรู้ การปรับเปลี่ยนนิสัยหรือความเคยชินที่ไม่ดีทั้งหลาย สมาธิ การเข้าใจตัวเอง ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คิดว่าน่าจะทำอะไรดีๆได้มากขึ้น
    • วันนี้เอาจริงๆหลังการอด ชั่วโมงที่ 31 (6โมงเช้า) รู้สึกไม่มีสมาธิเท่าเมื่อวาน รู้สึกอารมณ์แปรปรวนง่าย น่าจะเพราะหิวและพลังงานสะสมเริ่มหมดมั้ง ไม่ค่อยมีแรงจะเดิน
    • หลังการอดชั่วโมงที่ 37 (13.00น) เริ่มรู้สึกไม่มีแรงใช้ความคิดแล้ว แต่พอฝืนสู้กับความรู้สึกหิว ก็ยังเหลือแรงอ่านต่อได้อีกนะ
    • สรุปว่า การทำ alternate day fasting โดยมีระยะเวลากินอาหารอยู่ที่ 6 ชม แล้วอด ข้ามไปอีกวันเป็นเวลา 42 ชม. เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ โดยที่ยังคงมีแรงเหลือเฟือสำหรับทำงาน/อ่านหนังสือ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องดูแลโภชนาการอย่างดี อาหารที่กินต้องอัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์(dense nutrition) เช่น ธัญพืช เนื้อสัตว์ ไข่ ผัก ผลไม้ หลากหลายสี เป็นต้น ไม่แนะนำแป้งขัดสี ข้าวขาว หรือ น้ำตาลทั้งหลาย แนะนำให้ทำอาหารกินเอง แต่ทั้งนี้ก็อย่ากินอาหารเดิมซ้ำๆ ให้เปลี่ยนอย่างไปเรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นอาจได้รับสารพิษจากอาหารชนิดเดิมที่กินซ้ำๆสะสม
  • กฏเหล็กของนักลงทุนที่ดีคือ ประหยัด และ ทุกอย่างในชีวิตคือการลงทุน ทุกอย่างต้องคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป
    • ตอนนี้พยายามประหยัดทุกอย่าง เช่น อาหารก็เปลี่ยนมาทำกินเอง เน้นธัญพืช ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมาก
    • การประหยัดในทุกๆอย่าง ทำให้เห็นคุณค่าของเงินมากขึ้น
    • การเห็นคุณค่าของเงิน จะเป็นพื้นฐานของการเป็นนักลงทุนที่ดี
  • พอได้ลองเรียนรู้เรื่องการลงทุน การบริหารเงินตัวเองที่มีจำกัด ทำให้เห็นคุณค่าของเงิน รวมถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆรอบตัวขึ้นมาได้แฮะ และเป็นคนประหยัด มัธยัสถ์ รู้จักอดใจ และอดออมมากขึ้น
  • หลังจากที่เปลี่ยนมากินธัญพืช แทนการซื้ออาหารกินอาหารข้างนอก สุขภาพลำไส้ดีขึ้นนะ ไม่ค่อยท้องเสียแบบแต่ก่อน แสดงถึงการอักเสบในลำไส้ที่ลดลง แล้วก็มีแรงมากขึ้น จากการที่อุดมไปด้วยสารอาหาร(rich and dense nutrition) ทั้งพลังกาย เดินเร็วขึ้นแบบไม่เหนื่อย รวมถึงพลังความคิด ทำให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น และ productivity ดีขึ้นมาก
  • วันนี้ จะเริ่มการฝึก dev ควบคู่กับ ศึกษาวิชาพื้นฐาน
    • หลังจากที่ลองพยายามเรียนรู้ ก็ได้หัวข้อที่ควรรู้ในเบื้องต้นดังนี้
      • javascript
      • node.js เอาไว้ run js code แบบ server-side environment
        • express.js เอาไว้ run http protocol
      • react.js แต่เอาจริงๆ เคยได้ยินว่าถ้าเพิ่งเริ่มต้น อย่าเพิ่งใช้ framework ให้ build everything from scratch คือ เริ่มเขียน js ทุกอย่างเองก่อน จะได้เรียนรู้มากที่สุด
      • linux/unix command eg. grep
    • อ่านตำรา eloquent javascript https://eloquentjavascript.net/ แจกฟรีด้วย แถมเนื้อหาดีมาก สอนตั้งแต่แนวคิดเบื้องต้นของการ programming สอนไปถึงวิธีการเรียนเขียนโปรแกรมด้วย ว่าต้องฝึกฝนอย่างไรถึงจะเก่งขึ้น เป็นหนังสือแรกเริ่มที่ดีเล่มหนึ่ง ก่อนจะต่อยอดไปภาษาprogrammingอื่นๆ
  • มีเรื่องแปลกในช่วงนี้คือ เริ่มรู้สึกว่า social media ทั้ง youtube และ facebook เป็นอะไรที่หน้าเบื่อมาก แม้แต่ตอนกินข้าวที่แต่ก่อนจะหาดูอะไรเรื่อยเปื่อย แต่ ตอนนี้รู้สึกเบื่อ แม้จะเปิดดูก็ไม่ได้สนใจ และกลับกลายเป็นว่า มาอ่านนิยายภาษาอังกฤษตอนกินข้าวแทน ที่เราเข้าใจว่าสมาธิเริ่มถดถอยเลยจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เสียอีก(social media) แต่กลับเป็นว่ามีสมาธิกับสิ่งที่น่าจะจดจ่อได้ยากกว่าแทน(อ่านนิยายอังกฤษ-แต่มันก็สนุกแหละ)
    • เหมือนกับว่า กระบวนการพัฒนาตนเองของเรามาถึงจุดหนึ่งที่ สมองและความคิดมีพลังขึ้น ก็ไม่อยากจะไปทำอะไรไร้สาระ เหม่อลอย ไม่เกิดประโยชน์ ที่เป็นนิสัยที่ไม่ดีอีก กลับกลายเป็นว่าอยากจะใช้ความคิด พัฒนาตนเองตลอดเวลา ใช้เวลาได้เกิดประโยชน์มากขึ้นๆ
  • วันนี้กินอาหารตอน17.30-22.00 น รวม 4.30ชม พบว่า จุกแน่นท้อง เกือบอาเจียน รู้สึกว่าวิธีนี้คงไม่เหมาะนะ เป็นแบบนี้เรื่อยๆคงจะท้องแตกตายแน่ๆ เหมือนพยายามยัดอาหารทั้งหม้อลงในท้อง ภายใน 4 ชม ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!!! น่าจะต้องกลับหอพักเร็วขึ้น เพื่อให้มีเวลากินอาหารมากขึ้น อย่างน้อย 6-8 ชม. จากเดิมกลับ 16.00 น่าจะเปลี่ยนเป็น  15.00 น

6 มี.ค.

  • เมื่อวานกินอาหาร 18-22.00น ไม่รู้จะรอดข้ามวันไปถึงพรุ่งนี้ตอนเย็นได้ไหม ปัญหาของการกินดึก คือ นอนดึก(เที่ยงคืน) สุขภาพเสื่อมถอย
    • อาจจะปรับเปลี่ยนเป็นในวันที่กินอาหาร อาจจะกลับเร็วขึ้น สัก 16.00น ส่วนวันที่อด ก็กลับ1 ทุ่มก็ได้
  • เมื่อวานได้ไปฟังบรรยายเกี่ยวกับ AI กับการเกษตร ทำให้ได้เห็นคนเก่งๆเยอะ ได้เปิดโลกพอสมควรเลย ได้แรงบันดาลใจว่าเราเองก็ควรต้องเริ่มทำอะไรของเราเองได้แล้ว
  • จะเริ่มการ Dev project ของตัวเองแล้ว คือ diary การพัฒนาตนเอง ในนั้นจะมีเครื่องมือหลายๆอย่าง ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาตนเอง เช่น
    • บันทึก progression ของการพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ
    • ตารางเวลา ในแต่ละวัน หรือ สัปดาห์ ว่าจะทำอะไรบ้าง แบ่งน้ำหนัก สัดส่วนการพัฒนาตนเองในแต่ละอย่าง อย่างไร
    • บันทึกการพัฒนาตนเอง(diary) มีทั้งแยกเป็น
      • ตามวันเวลา(มีการ tag เวลาแยกในแต่ละวัน)
      • ตามหัวข้อที่อยากจะเขียน เหมือนบทความปกติ
      • Hightlight เนื้อหาที่มีการแก้ไขใหม่ ให้ผู้อ่านสังเกตได้ง่ายขึ้น
    • ทำเล่นๆ ลองทำเองใช้เอง คงไม่ได้เทพ หรือเจ๋งอะไรขนาดนั้น
  • การ dev สามารถเรียนควบคู่ไปกับการเรียนอย่างอื่น
    • แต่ทั้งนี้โดยส่วนตัวคิดว่า การ dev ไม่ยากเท่าการเรียนรู้ สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้พื้นฐานหลายๆอย่างก่อน ถ้ามีความรู้เยอะๆแล้ว การ dev ก็จะง่ายขึ้นแน่นอน
  • ช่วงนี้ก็ยังอ่านนิยายภาษาอังกฤษ ขณะเดินทางไปมหาลัยอยู่นะ เป็นการเดินทางที่สนุกและ enjoy ขึ้นมาก
  • วันนี้อ่านตำรา forex เรียนให้รู้ไว้ คิดว่าเราน่าจะไม่เหมาะกับการเทรดเท่าไหร่ เพราะ เราไม่ค่อยชอบเฝ้ากราฟ ชอบวิเคราะห์แล้ว action เลย?
  • ความรู้ภาษาอังกฤษของเรา จริงๆก็ยังไม่แม่นนะ แกรมม่าที่เคยอ่าน(ยังไม่จบ) ก็ลืมไปง่ายๆเลย การเรียนรู้ภาษาให้ได้แบบ native เป็นภาระหนักอย่างหนึ่งของคนที่ไม่ได้เกิดในประเทศที่ใช้ภาษานั้นๆตั้งแต่แรกเริ่ม
    • รู้สึกช่วงนี้ทักษะการฟังลดลงแฮะ ไม่ค่อยได้ฟังภาษาอังกฤษหรืออย่างไรกันนะ
    • สิ่งสำคัญในการเรียนรู้ภาษาคือการอ่านเยอะๆ เพราะ การจะใช้ภาษานั้นได้คล่อง ต้องมี2 อย่าง คือ คลังคำศัพท์ และ ไวยากรณ์ ซึ่งการเรียนรู้ที่ดี ก็ไม่ได้จากการท่องจำ หรือ อ่านตำรา ที่เอาไปทำข้อสอบ แต่มาจากการเรียนรู้ผ่านการได้สัมผัสมันในชีวิตจริงๆ ซึ่งการอ่านเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่ทำให้เราสามารถค่อยๆ ซึมซับ ทั้ง 2 อย่างดังกล่าวได้
    • อ่านตำราเรียนภาษาอังกฤษ ชื่อ Modern English in Action: Henry I. Christ
  • บางทีเวลาทำแบบฝึกหัดอะไรที่ไม่จริงจัง ก็ไม่ได้อยากรู้เฉลยเท่าไหร่ เพราะ ไม่ใช่คำถามซับซ้อน น่าจะตอบถูกอยู่แล้ว และการดูเฉลยจะทำให้เราโฟกัสที่การทำคะแนน มากกว่าการสนุกไปกับการเรียนรู้
    • หรือไม่ก็ค่อยไปดูเฉลยคร่าวๆทีหลังเพื่อเก็บรายละเอียด
  • เหมือนคณิตศาสตร์จะจำเป็นมาก สำหรับการเรียนทางวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ รวมถึงวิศวกรรมอื่นๆ หลังจากที่ลองรีวิวตำราวิศวะคอมในหอสมุดดู
  • ดูเหมือนการอ่านจากหน้าจอ จะทำให้ตาล้าง่ายนะ เพราะ พออ่านจากหน้าจอไม่ได้ แล้วลองมาอ่านจากหนังสือดู ปรากฏว่ายังอ่านต่อได้
    • ถ้าจะอ่านหนังสือ คงหวังพึ่งหน้าจอ Macbook อย่างเดียวไม่ได้แล้ว
  • หลังจากที่ได้ลองเดินทัวร์ห้องสมุด ก็ได้ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ รูปแบบการหาความรู้ในห้องสมุด ช่วยให้เรารู้ว่าเรายังไม่รู้อะไรได้ เพราะ เราจะได้เห็นทุกอย่างที่ควรรู้อยู่ตรงหน้า ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าโลกนี้มีความรู้มากมาย ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมาก แต่อินเทอร์เน็ตเราต้องรู้ก่อนว่าเราจะรู้อะไร แล้วจึงค่อยค้นหาสิ่งที่อยากจะรู้ ซึ่งลักษณะของการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ต ก็มักจะทำให้เรารู้ได้เฉพาะเรื่องที่เรารู้เท่านั้น บางทีเรามีเรื่องที่เราไม่รู้ เราก็ไม่รู้ว่าเราควรรู้เรื่องนั้นๆ การจะปิดจุดอ่อนตรงนี้ได้การลองเข้าห้องสมุดก็เป็นวิธีแก้ที่ดีอย่างหนึ่ง
    • ในช่วงเวลาที่ว่างงาน น่าจะต้องปิดหน้าจอ แล้วอ่านหนังสือเยอะๆแทน
    • บางที ความรู้มากมายในโลกนี้หรือในจักรวาลนี้ เราจะศึกษาให้หมดตามใจเราอาจจะเป็นไปไม่ได้ เหมือนเด็กประถม แต่อยากอ่านหนังสือระดับปริญญาเอก ซึ่งมันต้องใช้ความพยายามและเวลาในการทำความเข้าใจ อย่าลืมพิจารณาข้อจำกัดนี้ด้วย และก็อย่าลืมศึกษาจิตใจตัวเองด้วย เพราะ ถ้าเข้าใจตัวเราเอง เราจะเข้าใจทุกอย่างที่เกิดในชีวิตเรา(ศึกษาธรรมะ)
  • ตกเย็น อดชั่วโมงที่ 22 ก็เริ่มไม่มีสมาธิอ่าน ปัญหาเกิดจาก?
    • กล้ามเนื้อตาล้า? ถ้าถอดแว่นอ่านหนังสือ ปัญหากล้ามเนื้อตาทำงานมากกว่าปกติจะหายไป แล้วจะกลับมาอ่านได้ทั้งวัน เหมือนคนปกติ
      • ลองถอดแว่น ก็สบายตาขึ้นแต่ก็ไม่ช่วยเท่าไหร่นะ
    • ความชอบ? เหมือนกับว่าเราไม่สามารถอ่านหนังสือได้ทุกหมวดนะ? บางหมวดจะมีสมาธิดี เช่น programming, หรือถ้า Developing หรือ problem solving เลย จะยิ่งมีสมาธิดีมาก แต่ถ้าเป็นหนังสือหมวดอื่นที่เราไม่ชอบ เช่น Trade, ภาษา เป็นต้น จะมีสมาธิอ่านได้แค่พักนึง แล้วก็จะหมดโควต้าในวันนั้น
      • ลองถอดแว่นแล้วอ่านหนังสือหมวดอื่น ก็ไม่มีสมาธิอยู่ดี แต่พออ่านคอม ก็อ่านต่อได้นะ
  • ลองถาม gemini AI ให้ จัดคอร์ส com sci สำหรับเรียนด้วยตนเองใน 1 ปี และ แนะนำ textbook ให้ด้วย ก็ถือว่าสามารถใช้เป็น Guide คร่าวๆได้ แต่หลักๆ คือ เรียนเลขก่อนก็จะดีนะ
    https://g.co/gemini/share/79c3ba38bddd 
  • อ่าน textbook Algorithm unlocked ตำรา algorithm ย่อให้ง่ายขึ้นมาจาก Introduction to Algorithm
  • หรือระหว่างรอเรียนเลขจบ เพื่อให้เข้าใจ algorithm เราจะ dev ไปพลางๆก่อนดีไหมนะ
  • หลังจากนี้จะอ่านวิชาพื้นฐาน เลข ฟิสิกส์ เคมี ควบคู่กับการ Dev

5 มี.ค.

  • เมื่อวานไม่มีสมาธิที่จะทำอะไรเลย รวมถึงแทบไม่ได้อ่านหนังสือ เป็นเพราะ อยู่หอพักแล้วร้อนมากรึเปล่านะ?
    • ปัญหาของเมื่อวานคือ พยายามจะกลับไปอ่านเลขด้วย เพื่อให้เข้าใจ algortithm มากขึ้น แต่พอกลับไปเริ่มต้นใหม่ก็ต่อติดยากมาก ต้องรื้อฟื้นความทรงจำเยอะเลย หมายความว่าถ้าเราเรียนอะไร ให้เรียนให้จบเป็นเรื่องๆ จะดีกว่าเรียนหลายๆอย่างเรื่อยเปื่อยไม่จบสักทีนะ 
  • ตอนนี้จะปรับเปลี่ยนเป็นไปอ่านหนังสือที่มหาลัยทุกวัน ออกจากหอพัก 7.00-7.30 น ถึงมหาลัย 8.00-8.30 น กลับจากมหาลัย 16.00 น ถึงหอพัก 17.00น ถ้าวันไหนกินอาหาร(วันเว้นวัน) ก็จะกินหลังจากกลับจากหอพักแล้ว
  • เทรดโดยใช้เทคนิค การbreak แนวรับแนวต้านในปัจจุบัน มาในการวิเคราะห์​ เหมาะกับการ scalping win rate สูงขึ้นมาก แบบ 50-50 แล้ว แต่มีข้อจำกัดการใช้คือ จะมีช่วงที่ตลาด clean คือ หลังจากกราฟมีการวิ่งเยอะๆ ทำ trend ใหม่ๆ จะสังเกตแนวรับแนวต้านได้ง่าย และ เทรดได้ตามไปด้วย แต่หลังจากที่กราฟวิ่ง sideway ไปเยอะๆ กราฟจะเริ่มไม่ clean เริ่มมีแนวรับ-ต้าน เกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้คาดเดาพฤติกรรมยากขึ้น ให้หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงนั้น หรือเลี่ยงไปเทรดแนวรับ-ต้านสำคัญ ใน TF ที่ใหญ่ขึ้น
    • ทำซ้ำได้ repeatable
    • เงื่อนไข(Foolproof)?
      • ตีเส้น ทั้งแนวรับและแนวต้าน (1)สำคัญ และ (2)ที่กราฟทำอยู่ในปัจจุบัน
        • ลักษณะของแนวรับ คือ แนวราคา ที่ส่ง ราคาที่กำลังลง ให้กลับสูงขึ้น(แนวที่ทำให้ trend เปลี่ยนกลับเป็นขาขึ้น)
        • ลักษณะของแนวต้าน คือ แนวราคา ที่ส่ง ราคาที่กำลังขึ้น ให้กลับลงมา(แนวที่ทำให้ trend เปลี่ยนกลับเป็นขาลง)
      • หาก break แนวที่เราตีเส้นไว้ ให้เข้าเทรด แต่หากไม่ break ก็รอ
        • เหมือนกับการอ่านพฤติกรรมแท่งเทียน แต่ชัวร์กว่า เพราะ รอเบรค และ ไม่ต้องรู้พฤติกรรมแท่งเทียนมากมายก็ได้ หากไม่เบรคตามเงื่อนไข ก็ไม่เทรดอยู่ดี
        • หากเบรคขึ้น ก็long หากเบรคลงก็short
        • หากเริ่มเกิดการ sideway นานๆ ทำให้แนวรับแนวต้านซ้อนทับกันจำนวนมาก ให้เทรดเฉพาะในแนวที่ชัดเจน เท่านั้น ซึ่งมักเป็นแนวที่ราคาวิ่งในกรอบที่กว้าง หรือเป็นแนวสำคัญ ให้เทรดแบบ sideway ภาพกว้าง หรือ เทรดตอนกราฟ break แนวสำคัญๆ
          • ส่วนเทคนิคการเบรคกรอบราคาแคบๆ ที่กราฟวิ่งในปัจจุบันจะใช้ไม่ได้
          • กรณีนี้ ถ้าอ่านพฤติกรรมแท่งเทียนได้ จะช่วยในการหาจุดเข้าเทรดได้ดีขึ้น
    • ลองเอาย่อหน้าที่เขียน โยนเข้า Gemini AI https://g.co/gemini/share/b0158910afeb สรุปเนื้อหาได้ดี และ ครบถ้วนกว่าที่เราเขียนเสียอีก
  • หลังจากที่เมื่อวาน กินอาหารเป็นธัญพืช เพียงในระยะเวลา 7ชม วันนี้รู้สึกมีพลังเยอะมาก เดินเร็วขึ้นมาก ดีดสุดๆ รอดูต่อว่าจะมีแรงอ่านหนังสือได้ทั้งวันไหม
  • โฟกัสที่ productivity อย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องดูเป้าหมายด้วย แม้เราจะมี productivity ที่ดีทุกวัน แต่ไม่ได้เป็นไปเพื่อเป้าหมาย ก็เหมือนกำลังวิ่งวนไปวนมา ไม่ได้วิ่งตรงไปยังเป้าหมาย สุดท้ายอาจเป็นเพียงรู้จักหนทางหลากหลาย แต่ไปไม่ถึงเป้าหมายที่เราอยากจะไปถึง
  • บางทีเรามัวไปมองสิ่งไม่ดีที่พบเจอในแต่ละวัน แต่เราลืมมองสิ่งดีๆรอบตัวที่เกิดขึ้นเช่นกัน ดังนั้น อย่าไปให้ความสำคัญกับสิ่งไม่ดี แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นรอบตัว แต่ถ้าไม่มีสิ่งดีๆเลย ก็ให้ความสำคัญกับการรักษาจิตใจของเราเอง อย่าไปคิดไม่ดีตามสิ่งที่ไม่ดีมาพยายามกระทบเรา รวมถึงบางทีเราอาจจะคิดไปเองก็ได้ ว่าสิ่งนี้ดี หรือ ไม่ดี ทั้งๆที่จริงๆไม่ได้มีอะไร
  • วันนี้มาอ่านที่มหาลัย ก็กลับมาอ่านหนังสือได้แล้ว พอมีหวังมากขึ้น ไม่รู้สึ้นหวังแบบตอนอยู่หอพักที่อากาศร้อนจนทำอะไรไม่ได้เลย
    • วันนี้อ่านตำรา Forex มีสมาธิดีอยู่ ใช้ inverted color mode ขณะอ่าน กลับขาวเป็นดำ-ดำเป็นขาว ก็อ่านได้ดีอยู่นะ
    • นั่งอ่านในที่หันหลังให้คนอื่น และ ไม่เห็นใคร เป็นเหมือนตัวประกอบ(NPC)ในสิ่งแวดล้อม
  • ปัจจัยที่ทำให้เข้าลงทุนในสิ่งๆหนึ่ง : เห็นว่ามูลค่าปัจจุบันของสิ่งๆนั้น อยู่ต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง เห็นคุณค่าในสิ่งนั้น
    ปัจจัยที่ทำให้ขาย หรือเลิกลงทุนในสิ่งๆหนึ่ง : มูลค่าปัจจุบันของสิ่งๆนั้น อยู่สูงกว่ามูลค่าแท้จริง เห็นการสิ้นสุดของกำไร
  • วันนี้ อ่าน หาข้อมูลไปเรื่อย
  • สรุปเมื่อวานถึงวันนี้ อด 29 ชม แล้วเริ่มหมดแรง
  • วันนี้ลองกินมื้อเย็นต่อ แล้วพรุ่งนี้อดข้ามวันไปเลย แล้วจะลองกินแต่มื้อเย็นดู
  • บรรดาคนใกล้ตัวของเรา มีบางคนพยายามปั่นหัวเรา จากที่เราสังเกต คือ เวลาที่ชีวิตเราลำบาก เขาก็จะอยู่เฉยๆ ไม่มายุ่งกับเรา แต่พอเราเริ่มอยู่ตัวแล้ว เริ่มมีแนวทางของตัวเองแล้ว ก็จะเข้ามาหาทางรบกวนเรา ทำให้เราเสียสมาธิต่างๆนานา จนเราหันเหและเจ๊ง เราจะทำอย่างไรกับกลุ่มคนเหล่านี้ดีนะ?
    • สิ่งที่เขาพยายามทำกับเรา มันจะเป็นการทำให้ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของเราสูญเปล่าไปหมด เหมือนอากาศธาตุ ด้วยความเข้าใจอันน้อยนิดของเขา หารู้ไม่ว่าถ้าเขาทำกับเราแบบนี้ ตัวเขาที่กำลังพึ่งพาเราอยู่ก็จะพังพินาศตามกันไปด้วย

4 มี.ค.

  • วันนี้วันกินอาหาร ลองกินในข่วงเวลา 8ชม อาหารที่กินคือ ธัญพืช ประมาณ 5 ถ้วย ไข่เป็ดต้ม 4 ฟอง แอ๊ปเปิ้ล ขนม แล้วลองอดข้ามวัน 40 ชม?
  • ฝึกพิมพ์สัมผัส: หลังจากที่ได้ฝึกวางมือบนแป้นเหย้า แรกๆมันจะรู้สึกเหมือนถูกจำกัดการเคลื่อนไหว แต่พอทำไปเรื่อยๆ ค่อยๆปรับเปลี่ยนนิ้วให้เหมาะสมกับการกดในแต่ละตำแหน่ง และฝึกแบบนั้นจนชิน กลับรู้สึกคล่องขึ้นเรื่อยๆ เป็นอิสระอีกรูปแบบใหม่ที่ดีกว่า
  • วิธีแก้เรื่องสิ่งแวดล้อมที่หอพักไม่เหมาะกับการอ่านหนังสือ ทั้งเรื่อง ฝุ่น อุณหภูมิ ความชื้น แสง ที่ไม่เหมาะสม ก็น่าจะเป็นการไปอ่านหนังสือที่มหาลัยเหมือนเดิม ส่วนเรื่องอาหารก็กินที่มหาลัย แต่ตอนเย็นก็กลับมาทำเพิ่มเองด้วยอีก 1 มื้อ
  • น่าจะยังคงต้องกลับไปอ่านวิขาพื้นฐาน ทั้งเลข ฟิสิกส์ เคมี ถ้าอยากจะเชี่ยวชาญ หรือเข้าใจทุกเรื่องในด้าน engineering จริงๆ ไม่ใช่แค่ Developer อย่างเดียว
    • สรุปว่า ก็ยังไม่ได้อ่านเกี่ยวกับคอมจริงจัง?
    • หรือศึกษาหลายอย่างพร้อมๆกันดีนะ?
  • สมดุลในตอนนี้ ถ้าปรับเป็น life 30% studying 70% จะทำได้ไหม?
  • ปัญหาตอนนี้(เรียงตามลำดับความสำคัญ)
    1. Productivity ต้องเรียนรู้ได้ดีที่สุดในทุกวัน เพราะ ทรัพยากรเวลาเอากลับคืนมาไม่ได้
    2. เงิน ประหยัดให้ถึงที่สุด เงินที่มี เอาไปลงทุนให้หมด เหลือไว้เพียงใช้จ่ายรายเดือน และเงินฉุกเฉิน อีกเล็กน้อย
      1. การลงทุน โฟกัสที่คุณค่า
      2. การเทรด โฟกัสที่การเรียนรู้ อย่าโฟกัสที่การเอาชนะ
      3. อาหารการกิน
        1. Fasting เป็นวิธีการพัฒนาตนเอง และ ประหยัดเงินได้ดีมากวิธีหนึ่ง
        2. ทำอาหารกินเอง เน้น ธัญพืช และไข่ เพราะ คุณค่าทางโภชนาการสูง ครบถ้วน และ ราคาไม่แพง(ใช้งบการกินน้อยมากๆๆ)
      4. แต่ถ้าการประหยัด ส่งผลต่อ Productivity อันนี้ถือว่าเป็นข้อยกเว้น เช่น ประหนัดเงิน และ กินน้อยจนไม่มีแรงอ่านหนังสือ อันนี้ก็ไม่ได้ เพราะ จะขาดทุนและเสียประโยชน์ มากกว่าได้ประหยัด
  • การลงทุนในตอนนี้ คิดว่าจะลงใน ADA ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ ADA ราคามาถึง 0.78 usd แล้ว น่าจะเข้าสู่ยุคใหม่ที่จะมีนักเทรดเก็งกำไรเข้ามามากขึ้น(เพราะ คนที่ลงทุนเพราะเห็นคุณค่าของเหรียญ จะซื้อไว้นานแล้วในราคาก่อนหน้า) ถ้าเกิดราคาขึ้น ให้ขายก่อน รอบนึง แล้วกลับมาซื้อที่ราวๆ 0.8 usd ใหม่ (เป็นบันทึก ความเสี่ยงส่วนตัว ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนแต่อย่างใด อย่าลอกเลียนแบบ)
  • การเทรด ตอนนี้ใช้แนวรับแนวต้านล่าสุด และ แนวสำคัญ ทำให้สามารถอ่านพฤติกรรมกราฟ ได้ดีมาก win rate สูงขึ้นเยอะมาก จนเริ่มมีโอกาสทำกำไรในแต่ละวันได้บ้างแล้ว แต่เสียอย่างเดียวคือ บางทีเทรดมากไปจนมึนและขาดทุนแทน
  • ถ้าการกินอาหาร ทำให้อ่านหนังสือได้ไม่ดี สมาธิไม่ดีนัก ก็กินตอนหลังเลิกงานไปเลย เช่น หลังกลับจากมหาลัย ตั้งแต่ 18-21.00น เป็นต้น
    • วันนี้ช่วงเช้าที่กินอาหาร จะไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ แต่พอตกเย็น งดอาหาร และอาหารเดิมก็ย่อยหมดแล้ว ก็กลับมามีสมาธิอ่านได้ แม้สิ่งแวดล้อมจะไม่เอื้ออำนวย แสดงว่าการกินอาหาร มีผลมากต่อสมาธิ และ อาจจะเกี่ยวกับอาหารที่กินด้วย เช่น แป้งแปรรูป ก็ทำให้ไม่มีสมาธิได้ แต่ถ้าเป็นแป้งเชิงซ้อน(มีกากใย) จะไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ก็จะยังมีสมาธิได้ เป็นต้น
  • ปัญหาจริงๆตอนนี้ คือเรื่องการเรียนรู้ของเรา วันนี้อยู่หอพักคนเดียว ก็ยังคงไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ ดูการ์ตูนเหลวไหลไปเปล่าๆ อาจเป็นเพราะ การกินอาหารมื้อใหญ่ทำให้ ไม่มีสมาธิอ่าน รวมถึงอากาศร้อนจนไม่มีสมาธิ ฝุ่น ภูมิแพ้ แสงไม่สว่างคงที่
    • ทางแก้คือ เปลี่ยนช่วงเวลากินอาหารเป็นตอนเย็น-ดึกแทน เพราะ ช่วงนั้นไม่ได้มีสมาธิอ่านหนังสือมากนักอยู่แล้ว
    • เปลี่ยนไปอ่านหนังสือที่มหาลัยทุกวันเหมือนเดิม

3 มี.ค.

  • สรุปว่าเมื่อวานก็ไม่ได้อ่านหนังสือเท่าไหร่ หลังกินอาหารมากไป ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ ในวันที่กินอาหารวันเว้นวัน คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่
    • วิธีป้องกันง่ายๆ คือ ถ้ามื้อก่อนหนัายังย่อยไม่เสร็จ อย่าเพิ่งกินมื้อถัดไป
  • ในการเทรด ถ้าไม่สามารถวิเคราะห์กราฟได้เก่งหรือเชี่ยวชาญ ให้พิจารณาแนวรับแนวต้านเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะ โดยเฉพาะ แนวรับแนวต้านในปัจจุบัน เพราะ กราฟจะขึ้น ก็ต้องทะลุผ่านแนวต้าน กราฟจะลง ก็ต้องทะลุผ่านแนวรับ หรือ หากไม่ทะลุสักแนว ก็ยังอยู่ในช่วง sideway
    • เรื่องเทรนด์ไลน์ในแนวเฉียง เป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ ที่ช่วยดูได้ง่ายขึ้น แต่ข้อเสียคือ ต่อให้ถูกbreak ก็ยังไม่สามารถบอกอะไรได้ว่า trend จะกลับตัว หรือ เป็น sideway ก่อน ทำให้ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ อีกทั้งการดูว่าตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือลง สามารถดูด้วยตา ก็พอจะประเมินคร่าวๆได้อยู่แล้ว
      • แต่หากนำมาใช้เป็นส่วนเสริมของแนวรับ-ต้าน ก็จะช่วยให้โอกาสเทรดถูกจังหวะสูงขึ้นมาก
  • เทคนิคหลักๆของการฝึกพิมพ์สัมผัสคือ
    • ทุกครั้งที่พิมพ์ 1 ตัวอักษร นิ้วจะต้องกลับมาที่ตำแหน่งเริ่มต้นก่อนเสมอ(แป้นเหย้า) ก่อนจะพิมพ์อักษรตัวต่อไป
      • ถ้าไม่ดึงนิ้วกลับมา "ทุกครั้งที่พิมพ์ตัวอักษรหนึ่ง" สุดท้ายจะกลับไปพิมพ์ตามกระบวนท่าที่เคยชิน(muscle memory เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ที่ตำแหน่งมาตรฐาน) และทำให้จดจำตำแหน่งมาตรฐานไม่ได้เสียที
    • ฝึกพิมพ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ สมองส่วน cerebellum ที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว จะจำตำแหน่งได้เอง และจะพิมพ์ได้คล่องขึ้น โดยไม่ต้องมอง เกิดเป็น muscle memory
  • วันนี้วันอด อ่านหนังสือได้ทั้งวัน ตั้งแต่เช้าถึงเย็นแล้ว หลังจากที่พยายามกินเยอะเมื่อวาน(อาจจะเยอะเกินไปด้วย) เพื่อให้ได้โภชนาการเพียงพอ
    • สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ทำอย่างไรในวันที่กินอาหาร จะสามารถมีสมาธิอ่านหนังสือได้ตลอดทั้งวัน ด้วยเหมือนกัน
      • รู้ประมาณในการกิน คือ รอจนมื้อก่อนหน้าย่อยเสร็จก่อน ค่อยกินอีกมื้อ ถ้ามื้อก่อนหน้ายังย่อยไม่เสร็จแล้วกินต่อ มันอาจขยายเวลาย่อยไปอีก เพราะ ของเก่ากับของใหม่มาผสมกัน ทำให้อาหารที่ปนกันก็ต้องถูกย่อยซ้ำอีกไม่เสร็จสักที มั้งนะ ซึ่งแต่ละมื้อควรห่างกัน 4 ชม
      • ถ้าอัตราเร็วในการอ่านมีเพียงเท่านี้ มีสมาธิวันเว้นวัน น่าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ยาก
      • หรืออีกวิธีหนึ่งคือ จำกัดเวลากินอาหารมากขึ้น อาจจะเหลือเพียง 8-9 ชม เพิ่มความ dense nutrition มากขึ้น เช่น โปรตีน เป็นต้น
    • วันนี้เป็นวันอด ไม่ร้อนเท่าเมื่อวานแล้ว ที่อุณหภูมิห้องเท่ากันคือ 32.9c เมื่อวานกินอาหารเยอะ การย่อยอาหารทำให้เกิดความร้อนมาก เหงื่อออกตลอด กินน้ำไป เกือบ 3 ลิตรมั้ง และไม่มีสมาธิ
  • วันนี้กลับมาอ่านนิยายอังกฤษแล้ว (David Ives: a story of st. timothy's) นั่งอ่านบนรถสองแถวขากลับ หลังจากที่อู้ไปหลายวัน เป็นเรื่องราวที่ดี อ่านแล้วรู้สึกชวนให้ประทับใจ ถ้าเราอ่านเรื่องราวดีๆที่ให้แง่คิด ก็เหมือนเราได้อยู่ใกล้เพื่อนที่ดี ก็จะชวนให้เราคิดในสิ่งที่ดีๆ แต่ถ้าเราอ่านเรื่องราวที่ไม่ดี คำพูดที่ไม่ดี การกระทำที่ไม่ดี ก็เหมือนเราได้เข้าใกล้เพื่อนที่ไม่ดี ก็จะชวนให้เราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี และนำความไม่ดีมาสู่ตนเองได้
    • ที่รู้สึกเหลือเชื่อคือ ความรู้สึกแบบตอนที่อ่านนี้ เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่พยายามฝึกอ่าน textbook ใหม่ๆเลย ค่อยๆอ่านไปทีละคำ ทีละประโยค ไม่เข้าใจศัพท์คำไหนก็กดหาดูทุกคำ ความรู้สึกนี้แหละเป็นความรู้สึกของการเรียนรู้ ที่ทำให้เราค่อยๆเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นๆ(แต่ตอนนั้นเป็นในเชิง formal english นะ ตอนนี้จะเป็นในเชิง english speaking)

2 มี.ค.

  • บางทีเราคนเดียว ไม่สามารถทำสำเร็จได้ทุกอย่าง ต้องมีทีม มีหลายๆความเห็น มีความรู้ที่หลากหลายจึงจะไปได้ไกล
  • แผนการเทรดต่อไป
    • Technical analysis เป็นเหมือนการตีเส้นบรรทัดเพื่อให้วิเคราะห์กราฟง่ายขึ้นและมีหลักการมากขึ้นเท่านั้น แต่มันไม่ใช่เครื่องมือตัดสินว่า่กราฟจะไปทิศทางไหน เราเองต้องดูกราฟโดยมีเส้นบรรทัดช่วยแล้ววิเคราะห์อีกที
    • วิเคราะห์กราฟforex วันเสาร์-อาทิตย์ ตีเส้นตั้งแต่ TF M ไปจนถึง 1 h แล้วเทรดในสัปดาห์
      • เส้น Trend line ไม่เพียงพอสำหรับวิเคราะห์กราฟ แนวรับ-แนวต้านอาจจะสำคัญมากกว่าอีก เพราะ กราฟจะขึ้นหรือลง ต้องผ่านแนวรับแนวต้านก่อนเสมอ เราจะทำกำไรได้ ต้องขึ้นอยู่กับการขึ้นลงของกราฟ ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับแนวรับแนวต้าน ไม่ใช่เส้นTrend line แนวเฉียงๆ
        • แนวรับแนวต้าน 50%
        • trend line 30%
        • risk management เสมอนะ
    • สิ่งที่น่าสังเกตคือ
      • เวลาที่ลงทุน มักจะได้ผลกำไรเสมอๆ แต่เวลาเทรด มักจะขาดทุนเสมอๆ
        • สาเหตุทึ่ลงทุนแล้วได้กำไร เพราะ หาข้อมูลรอบด้านก่อนการตัดสินใจ และ พิจารณาเป็นตัวๆไปอย่างรอบคอบ มีเหตุผลประกอบ และ ลงทุนในระยะยาว
        • สาเหตุที่เทรดแล้วขาดทุน เพราะ ทุกครั้งทำด้วยความโลภ วิเคราะห์กราฟไม่เท่าไหร่ ก็เทรดแล้ว จึงเป็นเหมือนการเทรดมั่ว ไม่เหมือนการลงทุนที่คิดแล้วคิดอีกด้วยสติปัญญา จึงค่อยลงทุนสักครั้ง
          • น่าจะต้องรอจังหวะ และ วิเคราะห์ให้เยอะๆ ดีๆ คอยระวังความโลภเข้าครอบงำ
      • เวลาเทรด รู้สึกเหมือนไม่ได้ใช้สติปัญญาให้เกิดประโยชน์เท่าไหร่ รู้สึกว่าสติปัญญาของเราสามารถนำไปใช้สร้างสิ่งที่ซับซ้อนเกิดประโยชน์ได้มากกว่านั้น เช่น อ่านตำรา programming
      • หากเทียบระหว่าง เอาเวลาไปเทรดที่ไม่รู้จะสำเร็จหรือไม่และเมื่อไหร่ กับ เอาเวลามาศึกษาสิ่งที่เราชอบ การศึกษาในสิ่งที่ชอบน่าจะเป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่ามากกว่านะ ส่วนเรื่องเงินก็ให้เป็นหน้าที่ของการงอกเงยจากการลงทุนไป
        • เวลาสำคัญกว่าเงิน เงินเสียไปหาใหม่ได้ เวลาเสียไปไม่มีวันเอาคืนมาได้
  • วันนี้อยู่ห้อง ไม่ได้ไปมหาลัย อยู่ห้อง ต้องมีการควบคุมตนเอง ต้องมีวินัย ต้องพยายามควบคุมตนเองไม่ให้เหลวไหล หย่อนยาน เหมือนการ Alternate day fasting ช่วยให้สามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้นนะ แม้จะยังมีเหลวไหล แต่ก็มีทักษะการควบคุมตนเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
  • วันนี้อ่าน algorithm ต่อ และลองเขียนภาษา C ดู ถ้าไม่อ่าน ไม่ลองลงมือทำในวันนี้ ยังมีอะไรที่เราต้องศึกษาเพิ่มอยู่ กว่าจะรู้ตัวว่าไม่รู้ คงจะอีกนาน เช่น วันนี้รู้ว่ายังมีอะไรในภาษา C ที่เราไม่รู้อยู่ ต้องอ่านเพิ่มถ้ามีเวลา
  • ช่วงบ่ายๆไม่มีสมาธิ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอากาศร้อนมาก หรือ กินเยอะไปแล้วอาหารไม่ย่อย เลยทำความสะอาดห้องเสียเลย
    • ถ้าอาหารไม่ย่อยให้ดื่มน้ำเยอะๆ
    • กินเยอะ หลังจากย่อยอาหาร พลังงานส่วนหนึ่งจะกลายเป็นความร้อน ทำให้รู้สึกร้อนง่ายมากขึ้น ส่วนวันที่อดไม่กินอาหาร จะขี้หนาว แม้อุณหภูมิเท่าเดิม แต่ไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใดเลย
    • ปัญหาจากการกินเยอะ
      • ขี้ร้อนง่าย
      • ไม่มีสมาธิ
      • อึดอัด ไม่อยากขยับตัว
  • พอเลิกเฝ้ากราฟเทรด ก็มีสมาธิอ่านหนังสือนะ

1 มี.ค.

  • ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ ไม่กระตุ้นให้เราactive ในการอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สงสัย ตั้งคำถาม แสดงว่าสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี
    เช่น
    - เก็บตัวอยู่ในห้องส่วนตัวดูหนัง การ์ตูน ซีรี่ย์ไปวันๆ
    - ไปห้องสมุดมหาลัย เจอคนอ่านหนังสือ ทำให้เราอยากอ่านและอยากเรียนรู้สิ่งต่างๆไปด้วย อันนี้เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมถึงจะมานั่งดูการ์ตูนท่ามกลางคนอื่นที่อ่านหนังสือมันก็จะไม่เหมาะสม
  • วันนี้มีแรงเดินเร็วขึ้น กระฉับกระเฉงขึ้น น่าจะเป็นเพราะได้โภชนาการที่ดีขึ้น(ทำอาหารกินเอง) ต้องดูต่อไปว่า จะอ่านหนังสือเลยบ่าย 2 ได้ไหม
    • เริ่มมาตอนเช้าก็อ่านหนังสือได้ดีอยู่นะ มีสมาธิดีมาก
    • สรุปว่าอ่านได้ถึงบ่ายสาม ก็เริ่มสมาธิหลุด แต่วันนี้อ่านได้อย่างเต็มที่มากๆ ที่หมดแรงเป็นเพราะเมื่อวานกินในช่วง 9 ชม ถ้าเพิ่มเวลากินอีกมื้อเป็น 12 ชม น่าจะมีแรงเต็มที่จริงๆ
      • อาหารที่เมื่อวานกิน มีดังนี้
        • เช้า ข้าวบาร์เล่ย์ + ไข่เป็ด 2 ฟอง แอปเปิ้ล 2 ผล กล้วยน้ำว้า 3 ผลเล็ก
        • สายๆ ขนมปังสลัดทูน่า + โอริโอ้  กล้วยน้ำว้า 4 ผลเล็ก
        • บ่ายๆ มันฝรั่ง แครอท อกไก่ ต้ม
  • วันนี้อ่าน algorithm สงสัยเรื่อง loop invariant เลยลองถาม Gemini https://g.co/gemini/share/1088fe883b15 ตอบเข้าใจง่ายมากกว่า textbook เยอะเลย
    • ฝึกแก้โจทย์ algorithm แบบไม่รู้หลักการที่ถูกต้อง บางทีก็ดีเหมือนกัน เพราะ ถ้าเรารู้หลักการที่ถูกก่อน อาจจำกัดกรอบความคิดสร้างสรรค์ของตัวเราเอง และอาจไม่เกิดวิธีการแก้ปัญหาใหม่ๆได้(อาจฝึกควบคู่กันไป)
    • ถ้า AI สามารถตอบคำถามเราได้ขนาดนี้ เราจะเรียนกับ AI ดีไหมนะ??
      • อย่าหยุดเรียนรู้เป็นอันขาด ถ้าเราไม่เรียน ก็คงไม่มีทางเกิดปัจจัยให้เรารู้หรอกว่า AI พัฒนาไปได้มากขนาดนี้ ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้ต่อไป
      • อย่าไปคิดว่า AI ทำได้ทุกอย่างแล้วเราก็ไม่ต้องทำอะไรเลย
  • บางอย่างในชีวิต ถ้าไม่เจอกับตัวเองอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกคนอื่น เช่น ความลำบาก ความทุกข์ เป็นต้น เพราะ นึกอย่างไรก็นึกภาพไม่ออก จนกว่าจะได้ประสบกับสถานการณ์แบบนั้นจริงๆ หากได้เข้าใจด้วยตนเองแล้ว ก็จงพยายามช่วยเหลือ และเข้าใจผู้อื่นด้วย
  • ทำอย่างไรให้อ่าน Textbook หรือ หนังสือจำนวนมากๆให้จบได้ ถ้าเราจะมีตำราหลายๆเล่มที่อยากจะศึกษา แต่ถ้าเล่มหนึ่งใช้เวลาอ่านเป็นปีๆ แบบนี้ทั้งชีวิตคงจะอ่านได้แค่ไม่กี่เล่มละมั้ง?
    • ยังไง ก็ยังคงมีขีดจำกัดอยู่นะ ถ้าเป็นไปได้แบบนั้น เราก็คงสามารถเรียนคณิตศาสตร์ หรือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ฯลฯ จบได้ภายใน 1 เดือนในแต่ละวิชาแล้วล่ะ
  • ชั่งน้ำหนักดู พบว่าน้ำหนักลงอีกแล้ว จาก 50 เหลือ 48.5 ภายใน 2 wk แสดงว่าช่วงที่ผ่านมา ไม่มีแรงอ่านหนังสือก็เกิดจาก กินอาหารไม่พอนี่แหละ
  • ใช้ Gemini Ai ช่วยแนะนำ Textbook เลข ที่เป็นระดับ High school แล้ว แต่ก่อนหาใน reddit เจอแต่ระดับ college แยกสาขาย่อยๆลงลึกไปอีก https://gemini.google.com/share/d5b13204ac29
  • Ai นี่มันใช้ทำประโยชน์ให้เราได้เยอะเลยนะ
  • ถ้าเขียนโปรแกรมสำหรับดึงข้อมูลหลายๆด้านที่จำเป็น มาวิเคราะห์ในแต่ละเรื่อง ก็ดีนะ อย่างเช่น Tradingview ก็มีข้อมูลทุกอย่างที่ควรรู้ของหุ้นมาให้ดูด้วย
  • พอหมดแรง หน้ามืด จะทำอะไรดีนะ เหมือนทำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่
    • อ่านหนังสือ ไม่ค่อยได้
    • เทรดไม่ค่อยได้
    • อ่านนิยาย ก็ไม่ค่อยได้
    • ฝึกพิมพ์สัมผัส ไม่ค่อยได้
    • อ่านพระไตรปิฎก พอได้บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยไหวอยู่ดี
    • ดูyoutube หรือ ฟัง content, BBC sound อันนี้พอได้บ้าง
    • ฟังเพลง ได้
Notes

** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags" ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.