ตัดมาจากวันที่ 14,16 เม.ย.
- สรุป การเทรด Crypto ขาดทุนไป 20$ ใน TF 1h => not work!
- แล้วลองคิดดู หากเทรดใน TF ใหญ่ เช่น TF day/week ก็ขาดทุนเท่าๆกัน ในระยะเวลาเท่ากัน แต่Time horizon มันเหมาะสมกว่า ยังมีโอกาสได้กำไรมากกว่านะ เพราะ ฉะนั้น เทรดใน TF ใหญ่ ดีกว่า
- ยอมเทรดใน TF ใหญ่ แล้วขาดทุนก้อนนึง ครั้งเดียว แต่มีโอกาสได้กำไร ยังดีกว่า เทรด TF เล็กๆ ขาดทุนเล็กๆไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้อะไรกลับมา
- ถ้าคำนวณ risk เหมาะสม แล้วเข้า position แล้ว ห้ามปิด จนกว่าจะโดน cut loss หรือ Take profit(คำนวณแล้วว่าหากขาดทุนส่วนนั้นไป ยังยอมรับได้ ไม่เป็นอะไร)
- หลังจากที่เปลี่ยนมาเทรด Crypto ใน TF ที่ใหญ่ขึ้น แบบเช่น 1d 1w และ ตอนนี้เริ่มพลิกกลับมากำไรตามแผนแล้ว จากตอนแรกขาดทุน(unrealized PNL) อยู่หลายวัน
- เทรดยากเพราะ กราฟดูกระชาก ในTF ใหญ่ ในTF เล็กก็จับจังหวะไม่ได้ เพราะ ฉะนั้น ก็เทรดในTF ใหญ่ดีกว่า
- นอกจากนี้ เนื่องจากเราเทรดใน TF ใหญ่ เป็นการถือ position ยาวๆ ซึ่งการถือ position นี้ ไม่ควรเปลี่ยนแผน เพราะ เราคำนวณ risk ที่เสียได้ อย่างเหมาะสมแล้ว อีกทั้งระหว่างถือ position ความสามารถในการวิเคราะห์ของเราจะลดลง และจะทำตามอารมณ์มากกว่า การทำตามอารมณ์ จะทำให้เสียแผนที่เคยคิดไว้ดีแล้ว
- (19 เม.ย.)Trade BTC ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว แล้วเข้าแล้วเทรดโดยใช้ TF ใหญ่ คือ TF 1d ค่อนข้าง work แฮะ
- จะต่างจาก Forex ตรงที่ Forex จะมีตำราที่สอนว่าปัจจัยที่ ส่งผลโดยตรงในระยะสั้นมีอะไรบ้าง เช่น money policy, commodity, interested rate จนเราสามารถจับจังหวะใน TF ระยะสั้นได้ แต่เราไม่สามารถจับปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงในระยะสั้น ของ BTC ได้ ทำให้ต้องเทรดในภาพรวมระยะยาวแทน
- ส่งผลมายังการควบคุมความเสี่ยง ที่อาจต้องมีจุด stop loss ไกลๆ เพราะไม่รู้ว่ากราฟระยะสั้น จะเป็นแบบไหน
- รวมถึงการเพิ่มไม้เทรดระยะสั้นก็ยาก เพราะ ส่งผลโดยตรงกับการคุมความเสี่ยง(ความเสี่ยงเพิ่ม ยิ่งใช้ stop loss กว้างๆด้วยอยู่ก่อน) และ ปัจจัยพื้นฐาน ที่ drive ราคาในระยะสั้น(เพื่อดีดราคาให้ห่างจาก stop loss)
แต่ทั้งนี้ จะเข้าเทรดต้องมีการวิเคราะห์ปัจจัยที่ drive ราคาในเชิง fundamental ก่อนนะ ว่ามันจะมีแนวโน้มขึ้นหรือลง แล้วค่อยเข้าเทรดในเชิง Technical ถ้าไม่มีข้อมูล ไม่มี clue จะไม่เทรด
Add new comment