Skip to main content

Technical analysis ไม่ใช่เครื่องมือหลักในการเทรด

Submitted by krishrong on
  • บางคน เข้าใจผิดว่า Technical analysis เป็นเครื่องมือในการทำนายอนาคต ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราก็สามารถเป็นหมอดู ทำนายดวงชะตาได้ เพียงแค่วาดกราฟชีวิตของเราออกมา แล้วใช้ Technical analysis ทำนาย ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่เลย
  • Technical analysis เป็นเพียงเครื่องมือในการใช้หาจุดเข้าเทรดที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถ leverage ได้มากที่สุด ตามแผนการเทรดที่วางไว้
  • แต่แผนการเทรด ต้องมาจากการพิจารณาข้อมูลต่างๆ ซึ่งมาจาก ข่าว การวิเคราะห์เศรษฐกิจ การวิเคราะห์ หรือ ความคิดเชื่อมโยง การคิดนอกกรอบ เป็นต้น
    • สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมีคือ ข้อมูลของสิ่งที่เราอยากจะเทรด สำคัญที่สุดคือ ข่าว, บทวิเคราะห์ต่างๆ เพื่อให้เราวิเคราะห์ได้ว่าตลาดจะไปในทิศทางใด
  • ต้องมีข้อมูล ข่าว ทำการวิเคราะห์ และ เกิดเป็นแผนการเทรดก่อน แล้วจึงใช้ technical analysis หาจุดเข้าที่เหมาะสม
  • ถ้าถามว่าใช้ technical analysis อย่างเดียวได้ไหม
    • กราฟหนึ่งๆ สามารถมองได้หลายมุมมอง แม้Technical มุมมองหนึ่งจะบอกว่า น่าจะลง แต่มองอีกมุม มันก็ขึ้นได้ ประโยชน์จริงๆเพียงอย่างเดียวของมัน คือ บอกว่า จุดเข้าใดที่น่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุดในความเสี่ยงต่ำสุด
    • บางคนเลยใช้โอกาสนี้ในการเข้าเทรด ในจุดที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากแต่ความเสี่ยงต่ำ โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนราคา(pure technical) ซึ่งถึงแม้จะผิดและขาดทุนหลายครั้ง แต่ถูกและกำไรเพียงครั้งเดียว ก็สามารถ Cover ต้นทุนที่เสียไปทั้งหมดได้ พอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็เลยสามารถสะสมกำไรได้มากขึ้นๆ
      • แต่บางที pure technical แล้วเลือกกราฟผิด จากการเทรดสิ่งที่ยังไม่มีปัจจัยพื้นฐานในการขับเคลื่อนราคา กราฟก็ไม่ขยับ และ ผิดซ้ำๆ โดยที่ผลตอบแทนไม่ได้ดีพอที่จะ cover การขาดทุน ก็จะเจ๊งได้
    • มันจะกลายเป็นในลักษณะของการพนัน ซึ่งมันอาจจะทำได้ในบางคน แต่ผู้เขียนหนังสือ บอกว่า ยังไม่เคยเห็นนักเทรดที่มีชื่อเสียง หรือ ประสบความสำเร็จมากๆ ใช้แค่ Technical analysis เลย อย่างไรก็จะต้องใช้ Fundamental analysis ก่อนเสมอ
  • ย้ำ!! ว่าต้องมี Fundamental analysis เสมอ ต้องวิเคราะห์ปัจจัยหรือมีข้อมูลในโลกความเป็นจริงเสมอ ส่วน Technical เป็นเพียงเครื่องมือหาจุดเข้าที่ได้เปรียบเท่านั้น เพราะ การมองผ่านกราฟ มันจะมองมุมไหนก็ได้ ตาม bias ของเรา
  • ถ้าถามว่าไม่ใช้ Technical analysis เลย ได้ไหม
    • ก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะ ถ้าไม่มีจุดเข้าที่เหมาะสม การเทรดจะเป็นอะไรที่เครียด และ ยากต่อจิตใจอย่างมาก อีกทั้งเพิ่มความเสี่ยงและการขาดทุนจากจุดเข้าที่ไม่เหมาะสม
  • Technical analysis ที่เรียบง่าย และใช้ได้ดี มี 4 กลุ่ม คือ
    • Support and Resistance zone คือ ตัวที่เป็นพื้นฐาน และ Simple ที่สุด
      • เกิดจาก
        • large limit order ทำให้ราคาไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมีกำลังซื้อหรือขาย อย่างมหาศาลที่ราคาใดราคาหนึ่ง
        • Self-fulfilling prophecy เมื่อทุกคนเชื่อว่ามีแนวรับแนวต้าน ก็จะมีการวาง large limit order หรือมีการรอซื้อ ที่ราคาดังกล่าว ทำให้เกิดเป็นแนวรับแนวต้านขึ้น
        • Option related ซึ่งoption จะมีการขายในราคาต่างๆ โดยหากเป็น option ขนาดใหญ่ จะทำให้เกิดความสนใจที่ราคานั้นๆได้มาก
        • Round number bias นักเทรดนิยมวาง order ที่ตัวเลขกลมๆ ซึ่งมันเป็น Fact ไม่ใช่ speculation เช่น ราคาปิดในวัน เป็นตัวเลขกลมๆ คือ 50 ไม่ใช่ 51 หรือ 49 เป็นต้น
          • ซึ่งตรงนี้ผู้เขียน บอกถึงวิธีการวาง order ด้วย คือ ให้อยู่ก่อนตัวเลขกลมๆเล็กน้อย เช่น ถ้า buy ก็ 1.3001 แทนที่จะเป็น 1.3000 หรือ sell ก็วางที่ 1.2999 เป็นต้น จะทำให้เราได้ order ก่อน คนส่วนใหญ่ที่มักจะวาง order ตัวเลขกลมๆ
      • ตัวอย่างการหา support and resistant zone
        • ผู้เขียนใช้ TF 10min, 1h, 1 day
        • มองหา Major bottom, top (เช่น ตั้งแต่ bottom, double bottom, triple bottom เป็นต้น)
      • การวาง Stoploss
        • Zone ที่เราเห็น คนส่วนใหญ่ก็เห็น อย่าคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ พยายามคิดนอกกรอบ
          • วาง order ของเรา ให้ห่างจากคนส่วนใหญ่อีกนิด
          • ตัวอย่าง สมมติ เราดูข่าวแล้ว คิดว่าวิเคราะห์แล้วกราฟน่าจะขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1.3177, support zone อยู่ที่ 1.3150(สังเกตว่ามันเป็นเลขกลมๆ) เราจะไม่วาง stoploss ต่ำกว่าเลขกลมๆ แบบเฉียดๆ เช่น 1.3149 แต่เราจะวางให้มีระยะห่างออกไปอีก เพราะ มันจะมีกรณี noise ที่รายใหญ่ แกล้งทุบลงมา แล้วโดน stoploss ของรายย่อย แล้วกราฟไหลลงมาต่ำกว่า 1.3150 จากการถูกบังคับขาย ซึ่งระยะที่ผู้เขียนแนะนำคือ ให้ห่างออกมาอีก 20 pip จึงกลายเป็น เปิด order ที่ 1.3177 วาง SL ที่ 1.3129
    • Trend-following indicator ที่แนะนำคือ การใช้เส้น Simple moving average 20, 50, 100, 200 เป็นแนวรับแนวต้าน
      • เหมาะกับการหาจุดเข้าในช่วงที่ ตลาดที่เป็น trend แต่จะฉิบหายในช่วง sideway(ไม่ใช่แค่ใช้งานไม่ได้ แต่จะทำให้ขาดทุน)
      • ไม่จำเป็นต้องมาหาว่า แต่ละกราฟ เหมาะกับค่าSMA เท่าไหร่บ้าง เพราะ มันเป็นการ backtest ในอดีต แต่กราฟในปัจจุบันและอนาคต จะมีการเปลี่ยนแปลงเสมอในแต่ละช่วงเวลา จึงใช้ไม่ได้ผลเสมอไปอยู่ดี
        • เพียงแค่ดูความสัมพันธ์ในปัจจุบันกับ Time frame ที่จะเทรดก็พอ
      • แต่ถ้าจะปรับค่า SMA ให้เหมาะกับแต่ละกราฟก็ไม่ว่า เหมือนการตีเส้นเทรนด์ไลน์ ให้สัมพันธ์กับกราฟนั่นแหละ
      • เทคนิคการใช้ trend following(มีแผนการเข้าเทรด จากการวิเคราะห์ข้อมูล-ข่าวสารก่อนนะ)
        • เมื่อ Fast SMA 55 ตัดกับ Slow SMA 100 ไม่ว่าจะตัดขึ้น หรือลง > รอการ pullback กลับเข้าหาเส้น แล้วเข้า order > วาง SL ที่ด้านล่างของเส้น Slow SMA(ใช้เส้น SMA เป็นแนวรับ-ต้าน) > runtrend โดยขยับ trailing stop ตาม เส้น Slow SMA
          • วิธีนี้แนะนำให้ใช้กับ TF day รันเทรนด์ทีนึง หลายๆสัปดาห์​ (ถ้าเป็น TF เล็กกว่านี้ จะมีช่วง sideway ที่คืนกำไรให้ตลาดเยอะ อาจจะไม่เหมาะ)
      • การถือ position ยาว - เราจะไม่ดูว่า Technical analysis เหมาะกับการถือยาวหรือไม่ แต่เหตุผลที่เราจะถือยาว ก็ต่อเมื่อเราเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานยังคงมีผลอยู่ อย่าเชื่อ Technical ต่อให้กราฟดูดีแค่ไหนก็ตาม(อย่างที่บอกไปคือ มุมมองจากกราฟ มันจะขึ้นหรือลงก็ได้ทั้งหมด)
    • Momentum indicator ที่แนะนำคือ RSI
      • ไว้หาจุดเข้าเทรด
      • วิธิใช้ คือ
        • รอให้ RSI เข้าสู่ overbought หรือ oversold แล้วกลับตัวมา zone ปกติ เป็นจังหวะที่เหมาะกับการเข้าเทรด
          • รอให้หลุด zone ก่อนนะ เพราะ ถ้ายังอยู่ใน zone overbought หรือ oversold ก็ยังมีโอกาสที่ RSI จะยังไม่ออกจาก over zone แล้ว กราฟยังคงวิ่งต่อไปอีก 
        • ความสัมพันธ์ของ RSI กับกราฟมีลักษณะขัดแย้งกัน เช่น Bearlish divergence เป็นต้น
    • * ใน indicator กลุ่มเดียวกัน จะใช้สมการทางคณิตศาสตร์ที่คล้ายๆกัน ดังนั้น ใช้เพียง 1-2 ตัว จากแต่ละกลุ่มก็พอ
    • Candle stick chart
    • Fibinacchi ผู้เขียนไม่แนะนำ เพราะเราสามารถวัดจากจุดยอดได้หลากหลายรูปแบบ หลายหลายแนวรับแนวต้าน คือ จะมองยังไงก็ได้นั่นแหละ และส่วนใหญ่ จะเป็นการ "เก่งหลังกราฟเฉลย" เสียมากกว่า
    • Elliot wave ก็ไม่แนะนำ เหตุผลเดียวกับ Fibonacchi คือ มันเป็นได้ทุกรูปแบบ จะมองอย่างไรก็ได้ ตาม bias ของเรา และส่ว่นใหญ่จะเป็นการ "เก่งหลังกราฟเฉลย" เช่นกัน
  • ขอย้ำอีกครั้งว่า การเทรดต้องมาจาก การวิเคราะห์ข้อมูลของสิ่งที่กำลังจะเทรดก่อนเสมอ และ เกิดเป็นแผนการเทรด และ Technical analysis เป็นเพียงเครื่องมือหาจุดเข้าเทรดที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้ leverage สูงสุด ไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกว่ากราฟจะขึ้นหรือลง
  • ดังนั้น... เทรดเฉพาะ เมื่อเรามีข้อมูล หรือได้วิเคราะห์ข้อมูลแล้ว ถ้าไม่มีข้อมูล ไม่ต้องเทรด
  • สัญญาณการเข้าเทรด จะรอที่แท่งเทียนปิด เช่น closing day, closing hour เป็นต้น
  • สิ่งสำคัญคือ การรับ ข่าวสาร ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาผ่าน การเชื่อมโยง การคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ เพื่อประเมินสิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาข้างหน้า แล้วค่อยไปหาจุดเข้าเทรดโดยใช้ Technical แบบเรียบง่าย ก็เทรดได้แล้ว ไม่ต้องมานั่งวัดมุม วัดใจว่าจะขึ้นหรือลง สุดท้ายก็ผิดพลาด และ เสียเวลา
    • หลักการนี้ใช้กับการเทรดหุ้นก็ได้เช่นกัน เพราะเป็นหลักการเดียวกัน -- ที่เคยเจอกับการเทรด Pure Technical คือ ในหุ้นที่กิจการไม่ดี ต่อให้กราฟดูเหมือนจะเบรคเทรนด์ขาลง แต่มันก็จะ False แล้วลงต่อๆๆ แต่ถ้าเป็นหุ้นที่กิจการดี ซื้อทิ้งไว้แล้วลืมๆไป มันก็ขึ้นๆๆ แม้จะไม่ได้ดู technical
    • Don't take so much matters in the technical analysis; instead, take a very hard work in the fundamental analysis
  • นอกจากนี้ หลังจากเข้าเทรดแล้ว ห้ามออกเอง จนกว่า การเทรดนั้นจะเสร็จสิ้นด้วยตัวมันเอง เพราะ หลังจากการเข้า position แล้ว ความสามารถในการใช้เหตุผล จะไม่เท่ากับตอนที่เราทำการวิเคราะห์ก่อนเทรด ข้อมูลที่รวบรวม มาบางทีก็ลืมไปแล้ว และจะมีอารมณ์แทรกแซงด้วย ทำให้การตัดสินใจไม่น่าเชื่อถือ

ยังไม่ได้จัดหมวดหมู่

  • Most good traders are right 50% to 60% of the time. If you suffer emotionally every time you lose money or get stopped out, you are going to be exhausted as you lose on 40% to 50% of your ideas. Being wrong is a part of the business. The time to get upset and angry with yourself is when you fail to follow your plan or when you show bad discipline—not when you watch a great idea crash and burn. Focus on process, not outcomes.
  • เหมือนส่วนใหญ่ ตัวอย่างในหนังสือเขาใช้ TF 1 day เป็นส่วนมากนะ แต่เขาก็ย้ำว่า Technical analysis ใช้ใน TF ไหนก็ได้