(*****แนะนำให้ข้ามไปอ่าน สรุปที่ย่อหน้าสุดท้าย ของหน้านี้เลย!!!!*****)
ขอบันทึกวิเคราะห์ตัวเอง เกี่ยวกับการไม่กลับบ้าน แต่กลับเช่าหออยู่แทน โดยคร่าวๆคือ
- มีหลักความคิดที่ขัดแย้งกับที่บ้าน โดย ที่บ้านเข้าใจว่าเงิน คือความมั่นคง แต่เรามีความเห็นว่า ความรู้ ความสามารถที่เรามี รวมถึงความรู้ด้านการเงิน คือความมั่นคงที่แท้จริง เพราะ ถึงแม้มีเงิน แต่ไม่มีความรู้หรือรู้ไม่จริง เงินก็หมดอยู่ดี
- ด้วยหลักความคิดที่ขัดแย้งกัน ทำให้เกิดความพยายามในการครอบงำความคิดอีกฝ่าย และ ทำให้เราเองเสียเวลา เสียแรง เกิดความล่าช้าในการพัฒนาตนเองไปมาก เช่น
- เวลาที่เราพยายามพูด อธิบาย ให้คนอื่นฟัง ไม่กลับมีการรับฟัง ไม่มีการตอบกลับอย่างสมเหตุผล
- แต่กลับเอา แต่พยายามป้อนความคิดของตนเอง เอาประโยชน์มาหลอกล่อ เพื่อชักจูงเราอยู่เรื่อยๆ
- ตนเองก็ยังถูกกิเลสชักจูง เพียงแค่การการพัฒนาตนเองพื้นฐาน ยังทำไม่ได้ กลับจะมาชี้นำเรา
- ความคิดผิดๆ ในข้างต้นก็นำมาสู่ การตัดสินใจผิดๆ จนเกิดปัญหาทั้งหลายแหล่ แบบที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในชีวิต ก่อให้เกิดความเสียเวลาอันมีค่าในชีวิต เปลืองเรี่ยวแรง เปลืองสติปัญญา ไปเปล่าๆกับปัญหาไร้สาระ ทั้งๆที่เราคอยเตือนอยู่หลายครั้งก็ไม่สนใจฟัง ยังคงคิดว่าตัวเองถูกอยู่เสมอ เช่นว่า ซื้อบ้านไม่ดูคนรอบข้าง หวังจะมีกำไรมากๆในอนาคต แต่ตอนนี้สุขภาพจิตในปัจจุบันก็ย่ำแย่ไปแล้ว เพราะ รอบบ้านแวดล้อมไปด้วย คนที่นึกถึงแต่ประโยชน์ตนเองและคอยเอาเปรียบผู้อื่น ควรจะหาที่สิ่งแวดล้อมดี สังคมที่มีสติปัญญามากกว่านี้ แม้จะต้องจ่ายแพงกว่านิดหน่อยก็ตาม
- นอกจากนี้ เรายังต้องกลับมาช่วยเหลือ ปัญหาที่เราไม่ได้ก่อ เหล่านี้ ที่เกิดขึ้นด้วย แทนที่เราจะได้เอาเวลาและเรี่ยวแรงอันมีค่า ไปพัฒนาตนเอง ซึ่งจะเกิดประโยชน์มากกว่าแบบร้อยเท่า พันเท่า ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
- การลงทุนที่บางคน คิดว่าคุ้มค่า แต่คิดไม่รอบคอบ และ หารู้ไม่ว่า ขวางการพัฒนาชีวิตตนเองไปอีกหลายปี ต่อให้ในอนาคตได้กำไรจากการลงทุนดังกล่าว ก็อาจไม่เพียงพอกับที่เสียโอกาสชีวิตในปัจจุบันไปมากมาย
- ถ้าเพียงแค่การตัดสินใจผิดๆ ของคนอื่น กลับสามารถก่อให้เกิดความลำบากในชีวิตของเราได้ เราควรหลีกเลี่ยงออกจากจุดนั้น
- นอกจากนี้ เรายังต้องกลับมาช่วยเหลือ ปัญหาที่เราไม่ได้ก่อ เหล่านี้ ที่เกิดขึ้นด้วย แทนที่เราจะได้เอาเวลาและเรี่ยวแรงอันมีค่า ไปพัฒนาตนเอง ซึ่งจะเกิดประโยชน์มากกว่าแบบร้อยเท่า พันเท่า ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
- ด้วยหลักความคิดที่ขัดแย้งกัน ทำให้เกิดความพยายามในการครอบงำความคิดอีกฝ่าย และ ทำให้เราเองเสียเวลา เสียแรง เกิดความล่าช้าในการพัฒนาตนเองไปมาก เช่น
- เราไม่อยากให้ การที่เราพยายามพัฒนาตนเองมานั้น สูญเปล่า เพราะ เราได้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ทุกย่างก้าว จากการพัฒนาตนเองที่ทำมาเรื่อยๆ แสดงว่ามันมีประโยชน์จริงๆ แต่ถ้าต้องอยู่กับคนที่ไม่เห็นความสำคัญของการพัฒนาตนเอง เราก็กลัวว่าจะได้รับผลกระทบ จนแบบแผนชีวิต ที่เราพยายามสร้าง ให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างสูงสุด จะเสียไปไม่มากก็น้อย แต่อย่างน้อยชีวิตน่าจะลำบากขึ้น
- วิธีแก้หนึ่ง คือ ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เห็นความสำคัญและรู้จักพัฒนาตนเอง หรือ อย่างน้อยรักษา ดูแลตัวเองไม่ให้เสื่อมถอย
- แต่หากเราพยายามทำทุกวิถีทางแล้ว ก็ไม่มีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ก็ถอยออกมาเถอะ
- นอกจากนี้หากบางคนบอกจะเปลี่ยนแปลง ก็ไม่ควรไว้ใจคำพูดหรือการกระทำในระยะสั้นๆของใครทั้งนั้น จะดูคนต้องดูยาวๆ การเปลี่ยนในระยะสั้นๆ ก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่จะอยู่ร่วมกันได้อยู่ดี เพราะคนเรากว่าจะพัฒนาเป็นคนใหม่จริงๆ ต้องผ่านอะไรอีกมากมาย
- ถ้าเราไปช่วยคนอื่น ทั้งๆที่ตัวเราเองก็ยังเอาตัวไม่รอด เราอาจจะถูกเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงแทน เรื่องประโยชน์ในอนาคตก็คงไม่สามารถหวังอะไรได้ อีกทั้งคนที่เราไปช่วย ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองมีปัญหาอะไร แถมยังไม่รับความช่วยเหลือเราอีก แล้วถ้าเราเองถูกเขาดึงไปในทางแย่ลง สุดท้ายเขา ก็จะด่าเราแทน ฉิบหายกันหมด มองกลับกัน ถ้าการเก็บตัวของเราเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี แล้วกลับมาทำประโยชน์ให้อีกยาวนาน หากมันสำเร็จเขาก็คงจะชมด้วยซ้ำ(ถ้าด่าเราคงแปลก) อีกทั้ง เราไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะทำร้ายเขาแม้แต่น้อย
- เหมือนเราจะช่วยสัตว์ป่า ถ้าเราบุ่มบ่ามเข้าไปแบบไม่คิด มันคงไม่เข้าใจว่าเราจะช่วยและอาจทำร้ายเรา แต่ถ้าเราเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์ แผนการณ์ ก่อนไปช่วย ก็จะสำเร็จได้ง่ายขึ้น โดยไม่มีใครบาดเจ็บ
- หรือเวลาเห็น คนกำลังจมน้ำอยู่อย่างทรมาน ถ้าเราบุ่มบ่ามกระโดดลงไป ไม่สำรวจความพร้อม เราอาจดึงจมน้ำไปด้วยก็ได้ อย่างไรก็ต้องวางแผนเตรียมตัวก่อน ไม่งั้นคงถูกดึงจมน้ำไปด้วยกัน
- แต่จริงๆ กรณีของเรา ไม่ได้มีใครที่เราต้องช่วยจริงๆด้วยซ้ำ มีเพียงบางคนที่บ้านที่ยึดติดในความคิดหรือการตัดสินใจผิดๆของตนเอง ทั้งๆที่ทุกวันนี้ ตัวเขาเองสามารถเลือกชีวิตที่ดีได้ด้วยตนเองแล้ว แต่กลับเลือกจมปรักอยู่กับสิ่งแวดล้อมแย่ๆ ยึดติดกับทรัพย์สินเพื่อหวังกำไรในอนาคต โดยมองไม่ออกว่า ชีวิตตอนนี้ของเขาเอง กำลังขาดทุนในทุกๆด้าน ทั้งสุขภาพจิต สุขภาพกาย ประสบการณ์ดีๆที่ควรจะได้รับในชีวิต เป็นต้น โดยกำไรในอนาคตที่เขาหวังไว้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะคุ้มค่ากับเวลาในชีวิตที่เสียไปไหม และก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชาตินี้ จะได้ทันเห็นกำไร ดังที่ตนเองหวังไว้ไหม เรื่องการใช้กำไรก็คงไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งลูกหลานก็ไม่ได้ด้อยความสามารถ ถึงขนาดหาเลี้ยงชีพเองไม่ได้ และต้องรอรับมรดกจากบรรพบุรุษเพื่อเลี้ยงชีวิต
- สิ่งที่ควรทำ คือ ไม่จำเป็นต้องกลับไปอาศัยเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาจะยิ่งเข้าใจ ว่าตนเองตัดสินใจถูกมากขึ้นไปอีก แต่ควรบอกเขาว่าให้แสวงหาประโยชน์ในชีวิตกับเวลาที่เหลืออยู่เถอะ อย่าเอาเวลามาเฝ้าทรัพย์สิน และทำให้ตนเองลำบากเลย ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุข เป็นกำไรชีวิตจะดีกว่า
- แผนต่อไปคือ อย่างน้อยเราต้องมีที่อยู่ ที่เรามีอำนาจสูงสุดในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับตัวเราเอง และหลีกหนีจากคนที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง อย่างน้อยๆ ขอให้ในขณะนั้นมีที่ ซึ่งเป็นขอบเขตของเราจริงๆอยู่ ซึ่งจะทำโดยการเช่าหอถูกๆ ในกทม.อยู่ ไม่อยู่บ้าน โดยอาจกลับบ้าน ไม่เกินวันเว้นวัน (ไปดูแลคนที่บ้านได้ แต่ไม่อยู่ร่วมกัน 24 ชั่วโมง ให้เกิดความขัดแย้ง เสียเวลาของเราเอง)
- ในเรื่องความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปกับหอพัก โดยส่วนตัวมองว่าคุ้ม ถ้าหากทำให้ เราพัฒนาตนเองได้ดีขึ้นนะ ถ้าอนาคตเราเก่งขึ้นแล้วจริงๆ เงินเพียงเท่านี้ไม่นานก็หาคืนมาได้ แถมยังหามาได้มากกว่านี้หลายเท่า สักสิบ ร้อย พันเท่า เป็นต้น
- เทคนิคการเช่าหอพักให้ประหยัด และดี
- ค่าหอถูก ไม่ได้ ถูกเสมอไป ต้องคำนวณปัจจัยในการเดินทางด้วย เช่น
- ค่าหอ 2,300 บาท ค่าเดินทาง อย่างน้อย BTS ประมาณ 1,200 บาท (60 บาท/วัน) รวม 3,600 บาท ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก และ แค่เดินทางก็แทบหมดเวลาชีวิตแล้ว
- ค่าหอ 3,500 บาท แต่อยู่ใกล้มหาลัย/ที่ทำงาน แทบจะเดินได้เลย อาจไม่ต้องจ่ายค่าเดินทาง(หรือ ไม่ก็ซื้อจักรยานมือสองเพิ่มอีกคันนึง ขี่ชิวๆ), ดูแลดี, ยังแถม WiFi ฟรี, อยู่ใกล้ศูนย์การค้า ฯลฯ ชีวิตไม่ต้องลำบาก มีเวลาไปพัฒนาตนเอง หรือหางานพิเศษทำได้อีก
- ถ้าหอพักอยู่ไกลมาก จากมหาลัย/ที่ทำงาน จนเดินทางลำบาก อาจปิดโอกาสการพัฒนาตนเองหรือทำงานพิเศษ เพราะ ใช้เวลาในแต่ละวันกับการเดินทางไปหมด
- งบประมาณที่ต้องเตรียมอย่างอื่น ก็เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำ เดือนละ 1,000 บาท, ค่าอาหาร ประหยัดสุดๆเดือนละ 1,000บาท(เคยเขียนบทความวิธีประหยัดอยู่นะ) ค่า WiFi แล้วแต่หอพักว่าให้ฟรีไหม
- งบประมาณโดยรวมทั้งหมด อยู่ที่เดือนละ 6,500 บาท 4 ปี ก็ประมาณ 312,000 บาท
- ค่าหอถูก ไม่ได้ ถูกเสมอไป ต้องคำนวณปัจจัยในการเดินทางด้วย เช่น
ปล. เรื่องการไม่กลับบ้าน เราไม่ได้โกรธอะไรกับที่บ้านนะ เพียงแต่เราไม่ไว้ใจใคร ไม่ต้องการถูกรุกล้ำ พื้นที่ความคิด การตัดสินใจ และ กลัวการถูกคนอื่นครอบงำชีวิต แต่เวลามีปัญหาอะไรก็กลับไปดูแลกันได้ และไปเยี่ยมกันเป็นปกติ วิธีนี้น่าจะลงตัวที่สุด
แก้ไข**
ตอนนี้เปลี่ยนใจจะกลับบ้านแล้ว? เหตุผลคือ
- ตอบแทนบุญคุณ ผู้มีพระคุณ ด้วยการปรณนิบัติ ไม่ทอดทิ้ง
- หากเราไม่กลับไป ที่บ้านอาจแย่ลง เพราะ เขาก็ไม่เคยเห็นคนที่ฝึกฝนตนเอง ก็ไม่รู้ว่าคนที่พัฒนาขึ้นเป็นอย่างไร
- เราจะไม่แย่ลงในด้านการพัฒนาตนเอง ด้วยการมีข้อกำหนดในการใช้ชีวิตของเราเอง ไม่ให้คนอื่นมายุ่ง(แค่กลับบ้านเพื่อมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ให้เห็นหน้ากันและคุยกันง่ายๆ แต่อย่างอื่นที่เป็นเรื่องส่วนตัวทั้งหมด ห้ามยุ่ง ทำเสมือนว่าไม่มีตัวตน จะมีตัวตนเฉพาะตอนคุยกันเท่านั้น) ตัวอย่างข้อกำหนด ก็เช่น
- ช่วงเวลาการทำ Intermittent fasting เวลากินอาหาร เวลาอดอาหาร ปริมาณอาหาร จำนวนมื้ออาหาร
- การออกกำลังกายตอนเย็น
- ทำอาหารกินเอง ซื้อผลไม้เอง จะขอแบ่งกินก็ได้
- ซักผ้าเอง
- ฯลฯ
- เผื่อทางหนีไว้ด้วย เก็บเงินไว้เวลาฉุกเฉิน ถ้าเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเราเอง คือ การกลับบ้านทำให้ตัวเราถดถอยลง มีคนพยายามควบคุมชีวิตเรา เราก็พร้อมจากไปในทันที ข้าวของก็เอาไปเท่าที่จำเป็นต้องใช้ และแบกไปได้
หรือยังไงดีนะ?
- จริงๆ ก็ยังมีอีกเหตุผลที่เราไม่ควรกลับบ้าน คือ เราโตแล้ว ไม่ควรต้องพึ่งพาที่บ้านอีก ยังไงเราก็ต้องพึ่งพาตนเอง จนกว่าจะประสบความสำเร็จ มีชีวิตที่มั่นคง เราจะไม่พึ่งพาที่บ้านเป็นอันขาด ถ้าต้องพึ่งพาคนอื่น เราก็ต้องอยู่ใต้อำนาจการควบคุมของเขา ซึ่งมันไม่ดีกับเราเท่าไหร่
- แต่เรื่องการช่วยเหลือที่บ้านเวลามีปัญหา สามารถทำได้ เพราะ เป็นการตอบแทนบุญคุณ
สรุปว่า กลับบ้านนะ
- ถึงแม้พ่อแม่เราจะยังมีกิเลส(ทุกๆคนก็น่าจะยังมีกิเลสนะ แม้แต่ตัวเราเอง) ยังเข้าใจอะไรต่ออะไรผิดได้ แต่ก็เป็นคนที่บริสุทธิ์ใจต่อเราเสมอ ยังไงเราก็ต้องช่วยเหลือ ไม่ทอดทิ้ง หากทั้งชีวิตเราไม่เหลือใคร ก็จะมีคนที่ปรารถนาดีกับเราก็คือพ่อกับแม่ของเรานี่แหละ แต่ก่อนตอนที่เรายังเลี้ยงดูตัวเองไม่ได้ พ่อแม่ลำบากแค่ไหน ก็ยังพยายามเลี้ยงดูเราอย่างดีที่สุด เท่าที่เขาจะพยายามทำได้ แม้เราจะเป็นปัจจัยให้เขาต้องมีชีวิตที่ลำบากมากขึ้นก็ตาม ทั้งด้านทางกายภาพ และ ทางจิตใจ (อย่างสำหรับเรา มีเพียงแม่ ที่เลี้ยงดูเรามาโดยลำพังด้วยนะ!!!) พอเราโตขึ้นแค่กลับมาเลี้ยงดู ดูแล พวกเขา ยังสามารถทำได้หรือไม่?! ก็ยิ่งต้องเลี้ยงดูพวกท่านนะสิ!!
- ทั้งนี้อะไรที่ ไม่ถูกในความคิดเรา หรือ จากการที่เราเรียนรู้จากการศึกษาที่สูง(มั้ง) เราก็จะไม่ทำ อะไรที่ถูก จึงจะทำ ก็เท่านั้น เป็นเพียงเรื่องความไม่เข้าใจกันเล็กน้อยเอง
** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags"
ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ
Add new comment