ปัญหาชีวิตในตอนนี้ (คำเตือน บันทึกไว้ใช้ทบทวนความเข้าใจของตนเอง ผู้ที่มาอ่านอาจจะงงได้ ไม่จำเป็นต้องอ่านเท่าไหร่ เป็นเพียงปัญหาส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะทำให้ผู้อ่านเสียสุขภาพจิตได้)
1. เราลาออกจากงานประจำเดิม ที่รายได้ดีพอควร มีเกียรติ มีความมั่นคง ในสายตาของคนอื่น แต่เป็นงานที่เราไม่ถนัด
สาเหตุ ที่ลาออกคือ เราไม่รู้สึกมั่นคงเลย เพราะ มันเป็นงานที่เราไม่ถนัด ซึ่งถ้าทำพลาดอาจเป็นปัญหาใหญ่ และด้วยความที่เรามีภาวะสมาธิไม่ปกติ(สมาธิสั้น) และ ลักษณะงานจะต้องใช้สมาธิทำอย่างต่อเนื่องเป็นหลัก ก็ยิ่งมีโอกาสก่อให้เกิดปัญหาได้อีกมากมายในอนาคต และส่งผลต่อหน้าที่การงานด้วยอย่างแน่นอน อย่างเบาสุดก็คงไล่ออก หรือ ทำงานอยู่ที่เดิมไปจนตาย ไปไหนคงไม่มีใครรับ ถ้ายิ่งไปลาออกตอนอายุมาก ก็คงทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ไปกันใหญ่ ลาออกตอนนี้ไปเรียนใหม่ และ ทำสิ่งที่เราถนัด อาศัยความชอบ และความสามารถเดิม คงยังช่วยส่งเรา ให้ก้าวหน้าไปได้ไกล แม้จะเริ่มต้นช้า
เพิ่มเติม ทำงานที่ไม่ถนัด เหมือนเอาปลามาฝึกปีนต้นไม้ เอานกมาหัดดำน้ำ ถ้าทำแบบนั้น มันคงรู้สึกว่าตัวมันเองไร้ความสามารถ แต่ถ้ามันได้ทำในสิ่งที่ถนัด มันก็ก้าวหน้าได้และ ประโยชน์จากสิ่งที่มันทำได้ มากกว่าไปบังคับให้มันทำในสิ่งที่ไม่ถนัดอีกมาก
2. บุคคลที่เราอยากให้สนับสนุนการตัดสินใจของเรา กลับไม่เห็นด้วย ทั้งๆที่เขาไม่เคยเห็นตอนเราทำงานจริง
เราทำได้ หรือไม่ได้ เรารู้จักตัวเองดี ถ้าเราทำได้ เราก็คงไม่อยากลาออกให้เสียเวลาหรอก ก็คงจะทำงาน เก็บเงิน ใช้ชีวิต ฮ่าๆๆ แต่งานมันมีบางอย่างที่เราไม่ถนัดอย่างมาก เพราะ ลักษณะงานต้องอาศัยสมาธิอย่างต่อเนื่องกับงานที่ทำ แต่การมีสมาธิอย่างต่อเนื่อง สำหรับเราเป็นอะไรที่ยากมาก และดูเหมือนกับว่าเราจะมีความบกพร่องในส่วนนี้ คือเราเป็นสมาธิสั้น(เป็นรูปแบบความผิดปกติของสมองส่วนหน้า ทำให้ไม่สามารถควบคุมสมาธิ ให้อยู่กับสิ่งที่ไม่ได้ชอบนานๆได้ หากแสกนการทำงานของสมอง จะมีรูปแบบที่ต่างจากคนปกติ) โดยเราได้ พยายามทุ่มเท หาวิธีทำงานให้ดีขึ้นมาตลอด ทำงานอย่างสุดความสามารถ แต่ผลลัพธ์ คือ แม้บางอย่างจะดีขึ้นบ้าง แต่ความผิดพลาด จากสมาธิที่ไม่เหมือนคนปกติ ก็ยังเหมือนเดิม สรุปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย
แต่บุคคลนั้นไม่สนใจ เอาแต่บอกอย่างไม่สนใจเหตุผลตามความเป็นจริง ว่า "เราทำได้" ซึ่งไม่รู้ว่าเขาเอาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธเรา เขาไม่เคยเห็นเราทำงานจริง ทุกอย่างมาจากความคิดไปเองของเขาล้วนๆ อย่างไม่มีเหตุผลมารองรับ เขาพยายามแปะป้ายว่าเราทำได้ และยังพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อควบคุมและชักนำเรา ให้เป็นไปตามที่เขาอยากให้เป็น ยัดเยียดให้เราไปทำงานที่เราไม่ถนัด ซึ่งมันเป็นการกีดกันเราจากสิ่งที่เราถนัดและมั่นใจ และ ถีบเราลงไปในนรก ของสิ่งที่เราไม่ถนัดและไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย ซึ่งมันเป็นการทำลายอนาคตของเราชัดๆ
เราพยายามจะคุยกับเขาด้วยเหตุผลแบบ "ปกติที่สุด" แต่ทุกครั้ง กลับกลายเป็นว่า เขาไม่เคยที่จะยอมคุยอย่างตรงไปตรงมาเลย ย้ำอยู่แต่คำพูดเดิมๆ จากความเชื่ออย่างไร้เหตุผลของเขา หารู้ไม่ว่าความเชื่อมั่นของเขาในตัวเรา แบบผิดๆ มันได้ทำเราเกือบตายมาแล้ว ฮ่าๆๆ หรือเวลาคุยกันทางโทรศัพท์ พอเราเริ่มคุยเข้าประเด็น แล้วเขาเริ่มจะไม่มีเหตุผลมาอ้าง เขาก็จะตัดสายทิ้งไปดื้อๆ พอเราโมโห เขาก็อ้างเหตุผลที่เราโมโห และไม่คุยกับเราอีก ไม่รู้ว่าเขามีอะไรในใจ หรือ มีความจริงอะไร ที่เขากลัวและไม่อยากยอมรับมันรึเปล่า
นอกจากนี้ หากมันเป็นเพียงการคิดผิดไปเองของเรา แบบหลงผิดไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เราเชื่อว่าไม่นาน เราก็จะกลับไปทำงานที่เราอุตส่าห์เรียนมาอย่างยากลำบาก จนสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานมาได้ อยู่แล้ว ไม่น่าจะมีอะไรต้องกังวล อะไรที่เป็นของเรา มันก็จะคงอยู่กับเรา แม้จะผ่านไปนานแค่ไหน ส่วนอะไรที่ไม่เป็นของเรา ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ฝืนยื้อมันไว้ไม่ได้หรอก
หากเขากลัวว่า ถ้าเราลาออกมาแล้ว เราจะลืมความรู้ที่เรียนมา ซึ่งเราว่าไม่น่ากลัว ถ้ามันจะลืมได้ง่ายขนาดนั้น แสดงว่ามันไม่ใช่ของเรา ถ้าจะลืมก็ลืมไปเลย กลับกัน เราเองก็มีความรู้บางอย่าง ที่เราชอบและศึกษาด้วยตนเอง แม้จะผ่านมา 10 ปี แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่มันยังคงอยู่กับเราไม่ลืมเลือนไปไหน ไม่เคยได้ทบทวนความรู้ด้วยนะ แถมยังเอามาต่อยอดได้ในปัจจุบันอีก อันนี้คงจะสรุปด้วยตัวเองได้นะว่า นี่มันเป็นของเราจริงๆ ไม่ต้องให้คนอื่นมายืนยันหรอก!!
3. ความมั่นคงที่แท้จริง ไม่ใช่ตำแหน่ง หรือ ฐานเงินเดือน แต่คือความสามารถของเรา
ถ้าเราไม่มีความสามารถจริง ทำงานไปก็อาจเกิดปัญหา หรือ แก้ปัญหาไม่ได้ และถูกไล่ออกได้อยู่ดี จะตำแหน่งสูง หรือเงินเดือนดีก็ไม่ได้ช่วยอะไร จะหาความมั่นคงได้จากไหน? แต่หากเป็นสิ่งที่เรามีความสามารถจริง ต่อให้เราไม่มีทรัพยากรอะไร เราก็สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ขึ้นมาจากไอเดียของเราเองเลยก็ยังได้ ไม่ต้องรอใครมาจ้างหรือให้โอกาสเรา
ความมั่นคงพื้นฐานในชีวิต คือ ความรู้ ความสามารถของเราที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เรารู้ได้ด้วยตัวเองว่าเราพัฒนาจริงหรือเปล่า
4. หากสามารถเลือกสิ่งแวดล้อมเองได้ ทำไมจะต้องไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีล่ะ?
สิ่งแวดล้อมมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของการพัฒนาตนเอง หากสามารถเลือกสิ่งแวดล้อมเองได้ ทำไมจะต้องไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีล่ะ? ถ้าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตเรา เช่น สอบเข้าเรียนต่อ เป็นต้น ก็ควรทุ่มเทกับมันให้ดีที่สุด
ถ้ามีเงินจะจ่าย ก็ควรจ่ายเพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองให้เก่งขึ้น การลงทุนในการพัฒนาตนเอง เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด และ ให้ผลตอบแทนที่แน่นอนที่สุด เพราะ เราจะเป็นผู้รับประกันความเสี่ยงของตัวเราเอง (เหมือนซื้อหุ้นเพื่อลงทุนในบริษัท ที่เราเป็นผู้ดำเนินการเอง บริษัทจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็อยู่ที่เราว่าพัฒนาตนเองได้แค่ไหน)
สิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ได้เน้นในแง่ความสะดวกสบายทางกายภาพ(แม้จะมีส่วนในการพิจารณา) แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดจาก "คน" มากกว่า เช่น คนพาลที่พยายามจะทำลายประโยชน์ของเรา, คนไม่มีสติปัญญา สร้างปัญหาไร้สาระ ให้เกิดกับตนเอง แล้วเราต้องไปช่วยแก้ไข จนเสียเวลาอันมีค่าในชีวิต ไปกับปัญหาไร้สาระจากคนอื่น(ปัญหานึง เสียเวลาไป 10 วัน เราก็นำไปใช้ ทำอะไรได้เป็น 10 อย่างแล้วนะ) เป็นต้น
แต่ในกรณีที่เลือกสิ่งแวดล้อมเองไม่ได้ เช่น ยังหาเงินเองไม่ได้ เป็นต้น ก็อาจจะหาวิธีหลีกเลี่ยงชั่วคราว เช่น ออกไปอ่านหนังสือที่อื่นที่เหมาะสมกว่านี้ เป็นต้น
อย่าไปคิดว่าจะต้องช่วยคนอื่น ปัญหาจากความไม่เข้าใจชีวิตของคน เกิดขึ้นอยู่เสมอๆในโลก เราต้องทุ่มเทกับการช่วยตัวเองให้ดีขึ้นก่อน แล้วจึงจะไปช่วยคนอื่นได้ และต่อให้เราไปช่วยเขาครั้งหนึ่ง หากเขายังไม่เข้าใจชีวิต และ ไม่เรียนรู้ ปัญหาก็จะเกิดกับชีวิตเขาอีกไม่จบสิ้นอยู่ดี จะมีอีกวิธีคือ เราต้องพัฒนาชีวิตตนเองก่อน จนมั่นคง จึงจะเป็นที่พึ่งพาให้กับคนอื่นไปได้ตลอด
5. ถ้ายังอยู่ในระหว่างพัฒนาตนเอง ยังไม่มีรายได้ประจำ อย่าไปลงทุนใดๆ ให้โฟกัสที่การพัฒนาตนเอง
ถ้าเอาเงินเก็บอันน้อยนิด ไปลงทุนตอนนี้แล้วดันเจ๊ง ความหวังในการพัฒนาตนเองก็จะล้มละลายไปด้วย
อดใจรอ จนกว่าเราจะมีอาชีพและสร้างรายได้เองได้แล้ว ค่อยแบ่งเงินบางส่วน เอาไปลงทุน
หรือถ้าจะลงทุน ก็ลงในจุดที่เสี่ยงน้อยที่สุดของกราฟ และ ลงทุนในจำนวนเงิน เท่าที่จะยังไม่มีผลกับชีวิต หากเกิดการขาดทุน
Add new comment