17 ธ.ค.
- ถ้าเราจะเอาเวลาไปเล่นเกมส์ หรือ ไปดู youtube หรือดู Social media เรื่อยเปื่อย ให้ลองเอามาอ่าน programming เป็นการพักผ่อนจากการอ่านเลขดีไหมนะ เพราะ สนุกเหมือนกัน
- ช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่เปลี่ยนสายมาฝึกสมาธิ และเดินวันละ 1 ชม แทนการออกกำลังกาย (ยังกินมื้อเดียว โดยลดปริมาณอาหารลงเหลือไม่เกิน 1000-1200 kcal) ก็พบว่า อยู่กับตัวเองได้ดีขึ้น และ อาการหลงๆลืมๆแบบสมาธิสั้นก็ลดลงเช่นกัน แสดงว่าวิธีนี้ก็พอใช้ได้เหมือนกัน
- เหมือนจะเป็นสติ สมาธิที่ละเอียดปราณีตกว่า ความกระฉับกระเฉงจากการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวด้วยนะ
- ไปวิ่งมาหลังจากไม่ได้วิ่ง 2 สัปดาห์ ก็ยังวิ่งได้ 3 กิโลนะ pace สูงขึ้น เป็น 5.45 min/km ช่วงที่ผ่านมากิน 1 มื้อ IF 23/1 มาตลอด ก็ยังมีแรงดี แต่ energy reserve คงไม่พอให้วิ่งติดต่อกัน หลายวัน อย่างมากอาจได้สัก 1-2 สัปดาห์/ครั้ง
16 ธ.ค.
- เราคิดว่า จริงๆ เรื่องที่เรามีปัญหากับคนที่บ้าน มี 2 เหตุผล ที่เราควรอยู่ต่อ
- เขาไม่ได้ปราถนาไม่ดีต่อเราเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ด้วยความไม่รู้ หรือ รู้น้อย ทำให้มีความคิด ความเชื่อ แบบผิดๆ
- สาเหตุที่มีความคิด ความเชื่อผิดๆ เพราะ ไม่มีใครดูแลเขาต่างหาก ไม่มีใครคอยบอกเขาว่าความรู้อะไรถูก อะไรผิด และเขาไม่ได้เรียนมาเยอะ ทำให้หาความรู้ต่อด้วยตนเองได้ยาก
ดังนั้น เราควรจะอยู่ดูแลเขาให้ดี ไปตลอด พยายามทำให้เขาเกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ ในทางที่ดีขึ้น พยายามใช้ความสนุก ความแปลกใหม่ เข้าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ อย่าด่าว่า หรือ ใช้คำพูดไม่ดี เพราะ ไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เลย แถมจะเป็นบาปกรรมกับเราเอง เพราะ เขาเป็นผู้มีพระคุณกับเราอย่างมาก อย่างหาประมาณมิได้(ที่ผ่านมานับว่าเราอกตัญญูจริงๆนะ)
- ในที่สุดก็ย้าย Web server จากเครื่อง Desktop PC มาลงใน orange pi สำเร็จ ซึ่งประหยัดพลังงานมากๆ จาก 45w/ชม เหลือแค่ 3w/ชม ก็ตกค่าไฟเดือนละ ประมาณ 8 บาท ปีละ 100 บาท!!! ถือว่าเป็น server ที่ประหยัดไฟมากๆ อีกทั้งประสิทธิภาพก็ใช้ได้เลย
- แต่จริงๆ เดิมค่าไฟของ Desktop PC ปีละ 1500 บาท ถ้าเปิดตลอด 3ปี ก็ตก 4,500 บาท แอบลองคำนวณ orange pi 5 plus ราคาประมาณ 5000 บาท ซึ่งพอๆกัน หมายความว่า อีก 3 ปี จึงจะคุ้มทุนค่าไฟนะ ดังนั้น ภายใน 3 ปีนี้ ถือว่าไม่ได้ช่วยประหยัดเงินจริงๆเท่าไหร่ เพราะ ต้นทุนที่ต้องจ่าย ก็รวมในราคาเครื่องอยู่แล้ว
- อาจจะคุ้มจริงๆในปีที่ 4 ซึ่งค่าไฟของ desktop ก็จะเริ่มแซง ต้นทุนรวมของ orange pi ไป (6,000 บาท เทียบกับ 5,400 บาท) และคุ้มสุดๆในปีที่ 5 ซึ่งจะประหยัดไปได้ 1,500 บาท ซึ่งเงินเท่านี้ กินข้าวครึ่งเดือนก็บางทีก็ยังไม่พอเลย อีกทั้งยังต้องฝาก server ไว้กับเจ้าตัวจิ๋ว ประสิทธิภาพจำกัดอีกหลายปี(6-7 ปี จะคุ้มที่สุด) ซึ่งในอนาคตคอม ก็อาจจะมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า มันคุ้มจริงๆหรือเปล่านะเนี่ย 555
- ทั้งนี้ มันก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ ไม่ต้องใช้พัดลมสำหรับระบายความร้อน ทำให้ดูแลง่ายนี่แหละ
- แต่จริงๆ เดิมค่าไฟของ Desktop PC ปีละ 1500 บาท ถ้าเปิดตลอด 3ปี ก็ตก 4,500 บาท แอบลองคำนวณ orange pi 5 plus ราคาประมาณ 5000 บาท ซึ่งพอๆกัน หมายความว่า อีก 3 ปี จึงจะคุ้มทุนค่าไฟนะ ดังนั้น ภายใน 3 ปีนี้ ถือว่าไม่ได้ช่วยประหยัดเงินจริงๆเท่าไหร่ เพราะ ต้นทุนที่ต้องจ่าย ก็รวมในราคาเครื่องอยู่แล้ว
14 ธ.ค.
- เท่าที่สังเกตตัวเองมา คือ ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน ไม่มีสมาธิพอที่จะคิดไอเดียดีๆใดๆได้ ไม่มีสมาธิพอจะอ่านหนังสือได้อย่างคงที่ ในแต่ละวันมีแต่ความเปลี่ยนแปลงตลอด แทนที่จะได้ทำงาน/อ่านหนังสือไปเรื่อยๆตามแผนปกติ แต่กลับคนบางคนพยายามแทรกแซงแผนการณ์ชีวิตทุกอย่างของเรา เหมือนต้องมาเล่นเกมวิ่งไล่จับตลอดเวลา ไม่ได้เอาสติสมาธิไปทำงานเลย พอเราบอกว่าเราจะขอลองแยกไปอยู่คนเดียวเพื่อให้มีสมาธิมากขึ้น(มีเงินเก็บประมาณนึง พอที่จะอยู่หอและเลือกสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับตนเองได้) เพื่อให้มีโอกาสสำเร็จตามเป้าหมายมากขึ้น ก็ถูกประชดประชัน เช่นว่า แล้วแต่เลย ฯลฯ
- เขาไ่ม่คิดที่จะปรับตัวใดๆ เขาไม่คิดว่า ตัวเขาเองมีความรู้ ความเชื่อ การใช้ชีวิตมีอะไรที่ยังไม่ถูกต้องและต้องปรับปรุง หรืออะไรที่ไม่มีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ เขาคิดว่าตัวเองถูกต้องที่สุด สาเหตุที่เป็นแบบนั้น เพราะ แม้แต่จะคิดหลายแง่มุม เพื่อตรวจสอบตัวเองก็ยังไม่เคยคิด(งานวิจัยว่าคนไอคิวต่ำ มักจะชอบเชื่ออะไรแปลกๆ แบบไม่มีเหตุผล เพราะ โดยนิสัยไม่เคยคิดอยากจะหาเหตุผล หาความจริงอะไรอยู่แล้ว ซึ่งจะรวมไปถึง ความคิดว่าตัวเองถูกทุกอย่าง ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด เพราะ แม้แต่การจะคิดย้อนมาตรวจสอบตนเองก็ยังไม่มี และพยายามครอบงำความคิดคนอื่น)
- ตอนนี้ หอพักที่ติดต่อไว้ยังต้องรออีก 1 เดือน ถ้ามีโอกาสน่าจะไปให้ได้
- เราเองก็ต้องคอยมองย้อนตรวจสอบตนเองเช่นกัน โดยส่วนตัวก็เป็นคนยึดในความคิดเยอะอยู่ บางทีเถียงกับคนอื่นแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรก็ยังอดไม่ได้ ทั้งนี้อย่างไรก็ไม่คบคนพาลนะ(คือคนโง่ ที่ชอบทำในสิ่งที่ทำให้ชีวิตไม่พัฒนาทั้งหลายนั่นแหละ เพราะ ถ้าเราคบเขา เขาก็จะชักชวนแต่ในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตพัฒนาขึ้น และ พยายามห้ามหรือกีดกันเรา จากสิ่งที่จะทำให้ชีวิตพัฒนาขึ้น)
- วันนี้ยังไม่ได้อ่าน หนังสือ 10 ชม แบบที่คิดไว้ เพราะ กำลังพยายาม setting home ARM server คือ Orange pi 5 plus ที่เพิ่งได้มา แต่ก็ไม่สำเร็จ ว่าจะเลิกพยายามตรงนี้ก่อน(ลดเวลาทำเหลือ 1 ชม/วัน)
- น่าจะลดการเขียนบันทึกไปก่อน เลิกโม้สักพัก แล้วไปอ่านหนังสือก่อน
- จริงๆเลข ถึงว่าเป็นวิชาที่เหมาะกับเรานะ ถึงแม้เราจะไม่ได้ชอบมันมาตั้งแต่เด็ก เพราะ การคิดเลข สามารถดึงสมาธิเราให้อยู่ได้นานกว่าการอ่านหนังสืออื่นๆ
13 ธ.ค.
- การอ่านเลขตอนนี้มี 2 ทางเลือก
- อ่านหนังสือสรุป มี 2 เล่มใหญ่ อ่านบทละ 2 วัน
- อ่านหนังสืออธิบายละเอียด มี 6 เล่มใหญ่ อ่านสัปดาห์ละ 1 เล่ม
- คิดว่าจะเลือกแบบที่ 2 ก่อน ดูว่าพอทำได้ไหม คือ ต้องอ่านให้ได้วันละ 100 หน้า?
- ตกอ่านวันละ 10 ชั่วโมง ชั่วโมงละ 10หน้า โดยไม่พัก
- ได้ orange pi 5 plus มาแล้ว วิธีการประกอบตามนี้ https://www.youtube.com/watch?v=CQxBNdffQgY
เป็นเหมือนที่คิดไว้เลย คือ ตั้งแต่ที่เรากลับบ้าน เราเริ่มถูกเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ ตามความต้องการของคนๆนึงที่เป็นเจ้าของบ้าน ข้อเสียที่เกิดขึ้นมีดังนี้กินยากขึ้น ไม่เรียบง่ายในการกิน ใช้เวลาทำอาหารมากขึ้น จากปกติที่เรากินธัญพืชใส่ไข่และผักผลไม้ ก็ยังพออยู่ได้ ก็ต้องกินอะไรหลากหลาย แต่เสียเวลาทำมากขึ้น(ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่เราต้องการทำเป็นการชั่วคราวเพื่อประหยัดเวลาให้ได้มากที่สุด เพื่อเอาชีวิตที่เรียบง่ายมาอ่านหนังสือเตรียมสอบ)เลือกเวลานอนไม่ได้ ถูกจำกัด ปรับเปลี่ยนเวลานอน โดยเราไม่สามารถนอนน้อยลงได้ โดยถูกตรวจสอบ บังคับ ควบคุมอยู่เสมอจากเจ้าของบ้านไม่ได้ออกกำลังกายจนเหนื่อย สิ่งแวดล้อมไ่ม่เอื้ออำนวยอนาคตอาจถูกเปลี่ยนให้กินจำนวนมื้อมากขึ้นกว่าที่กิน 1 มื้อ ไม่สามารถทำ Intermittent fasting ได้สิ่งเหล่านี้ อย่าหลอกตัวเองว่าเรายังคงควบคุมมันได้ เพราะ ทุกอย่างในตอนนี้ในชีวิตเรา ไม่ใช้เราเป็นคนควบคุมเลย ถ้าอยากอยู่แบบนี้ตต่อไปก็ไม่ว่า เพียงแต่ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย กับการที่เราดำเนินชีวิตตามแบบคนที่ไม่รู้ ปล่อยชีวิตไปวันๆ ไม่ต้องทำตามความฝัน ไม่ต้องเพียรพยายาม ไม่ต้องทำอะไรที่มันลำบากแตกต่างจากคนทั่วไป เป็นคนธรรมดาๆทั่วไปเรารับมันได้ไหมนะ กับชีวิตในอนาคตแบบนั้น กับชีวิตที่เลือกเองไม่ได้ และ ไม่มีสิทธิ์จะเลือกเอง ทั้งๆที่เราวางแผนมาทุกอย่างแล้ว กลับล้มเหลว เสียเวลาอันมีค่าในชีวิตเราไปมาก ด้วยคนๆนึงที่พยายามปรับเปลี่ยนชีวิตเรา ด้วยความรู้อันน้อยนิดที่เขาคิดว่าถูกต้อง เสียดายความรู้ที่เรียนมา เสียดายโอกาสที่เราจะสามารถทำประโยชน์ให้กับโลก กลับทำไม่ได้ และต้องมาใช้ชีวิตตามแบบที่คนไม่มีความรู้เป็นผู้กำหนด!!
- พยายามไม่ด่าว่า หยุดใช้วาจาทำร้ายผู้อื่น(ผิดศีล และไม่เกิดประโยชน์ ทำให้เครียดเปล่าๆ)
- ทำข้อตกลง ขอพื้นที่ส่วนตัวสำหรับอ่านหนังสือสอบ 3 เดือน หลังจากนั้นจะเริ่มหาเงินและพัฒนาprogramming skill จริงจัง
- เขาไม่ได้มีวัตถุประสงค์ไม่ดีกับเราเลยนะ เพียงแค่เขาไม่รู้ เลยเข้าใจอะไรผิดไปเยอะหน่อย
12 ธ.ค.
- วันนี้นอนน้อยได้แฮะ 3-4 ชม หลังจากที่กินข้าววันละมื้อ ไม่น่าเกิน 1,200kcal/วัน มาสัก1สัปดาห์ และเดินเยอะๆ
- น่าจะต้องเลิกใช้มือถือ เพื่อให้ไม่เสียเวลาชีวิตไปกับ social media โดยเปล่าประโยชน์ ถ้ามีเวลาว่างจะมาใช้ E-reader แทน
- เจอ macbook pro m1 16 นิ้ว Ram 16 SSD 1TB มือสอง ใน ebay ราคา 35,000บาท มีปัญหาcoatหน้าจอลอก(เอาออกได้) ซึ่งถือว่าถูกมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพHardware ที่ได้(ถือว่าคุ้มกว่า Gaming laptop ที่มีอยู่ประมาณนึงเลยนะ) ทั้ง จอคุณภาพ, ลำโพง, magic trackpad, พอร์ตเชื่อมต่อความเร็วสูง(Thunderbolt) เลยตัดสินใจซื้อ โดยฝากซื้อกับ courier zapshiptothai ค่าขนส่ง และค่าบริการถูกมาก ทำให้รวมสุทธิ (ขนส่งและภาษี)จ่ายไม่เกิน 42,000 บาท ถ้าสั่งจาก ebay โดยตรง จะถูกเก็บค่าขนส่ง และค่าภาษีที่แพงมาก รวมประมาณ 55,000บาท
ซื้อเก็บไว้ก่อนแล้วกัน เพราะ แบตอยู่ได้นาน จะสะดวกเวลาที่ต้องออกนอกสถานที่, หน้าจอสีตรง ความละเอียดสูง ใช้ทำงานที่มีปัจจัยด้านความเที่ยงตรงของสีมาเกี่ยวข้องได้ - แต่ช่วงนี้สมาธิเสื่อมถอยลง อาการสมาธิสั้นเริ่มกลับมาแล้วแฮะ หลังจากที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อาการที่เกิดขึ้นคือ คิดๆอะไรอยู่ ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเข้ามาแทรก ก็ลืมความคิดของตัวเองไปเสียอย่างนั้น ถึงขนาดต้องยืนนึกสักพักว่าเมื่อครู่คิดอะไรอยู่
- ทางแก้น่าจะ กำหนดเวลานั่งสมาธิในรูปแบบ ทุกวัน หลังตื่น และ ก่อนนอน ครั้งละ 30 นาที โดยรวมก็วันละ 1 ชั่วโมง ให้เท่ากับช่วงเวลาที่เคยไปวิ่งออกกำลังกาย
- เวลาที่ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรกับชีวิต คิดฟุ้งซ่านเท่าไหร่ก็ไม่ตก ก็ได้ลองไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุ(ไปมาที่วัดปทุมวนาราม) พอไหว้เสร็จ ไม่ได้ขออะไรนะ แต่จิตใจก็สงบขึ้น(จากที่เครียดฟุ้งซ่านมาทั้งวันก็หาย) ก็นึกคำตอบหาวิธีแก้ปัญหาได้แล้ว มันผุดขึ้นมาในใจ การไหว้พระสวดมนต์ เป็นวิธีง่ายๆให้เกิดสมาธิได้เหมือนกัน
11ธ.ค.
- คนอื่นจะทำร้ายเราอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้เราเสื่อมถอยจากคุณลักษณะที่ดีได้ ถ้าเรารักษาศีล (อย่างน้อยศีล 5) ตัวเราจะเสื่อมลง ก็ต่อเมื่อเราทำผิดศีลด้วยตัวเราเอง เช่น ด่าว่าผู้อื่น เป็นต้น
- แต่ก่อนเข้าใจว่า ถ้ามีคนมาทำไม่ดีกับเรา ไม่ควรอดกลั้น ควรระบายออกด้วยการด่า เพื่อไม่ให้เก็บกด แต่ความเป็นจริงนั้น กลับกันเลย การด่าผู้อื่น เป็นการทำให้ตัวเราเองผิดศีลข้อ 4 ทำให้เกิดการสะสมสิ่งไม่ดีเข้าสู่จิตใจของเราเอง และยิ่งทำให้ตัวเราเองเครียดมากขึ้นไปอีก!! แต่พออดกลั้นไม่ทำร้ายผู้อื่น แทนที่จะเก็บกด กลับทำให้เรารู้สึกเบาสบายขึ้นในจิตใจ และ ควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ไม่ได้เสื่อมถอยไปตามสิ่งแวดล้อม
10 ธ.ค.
- วันนี้สอบแล้ว ทำได้ไม่ค่อยดีเลยแฮะ คะแนน 50% แรกน่าจะได้สัก 25%(ครึ่งเดียว!!!)
- part TGAT 20%
- ภาษาอังกฤษ30% และปัญหาเชาว์30% ทำได้ดี มั่นใจว่าเต็ม
- แต่ปัญหาใหญ่คือ กะเวลาทำข้อสอบผิด ทำให้ทำข้อสอบไม่ทัน ในส่วน30%สุดท้าย!! ซึ่งจัดว่าเป็นคะแนนที่เยอะมาก โดยสนามสอบก็ไม่มีนาฬิกาในห้อง หรือไม่ได้ประกาศเวลาใดๆเลย
- เราประมาทเกินไป ไม่ควรเชื่อใจสิ่งแวดล้อม ที่อาจไม่ครบถ้วน ควรเตรียมนาฬิกาข้อมือไปเองด้วย
- part TPAT3 30%
- ปัญหาเชาวน์ จะค่อนข้างยากกว่า TGAT ก็ทำเท่าที่ได้ นาที
- ฟิสิกส์ จริงๆไม่ได้อ่านมาเลย เสียคะแนนไปเต็มๆ ก็พยายามเท่าที่ได้ เอาเวลาไปอ่านอังกฤษหมด(ซึ่งเป็นเพียงสัดส่วนคะแนนเล็กๆ ถือว่าไม่คุ้ม)
- ถ้าได้ถึงครึ่งก็บุญละ
- ปัญหาที่พบ คือ
- ไม่ได้วางแผนเวลาไว้ให้ดี
- ข้อยากกับข้อง่าย คะแนนเท่ากัน แต่ข้อยากจะใช้เวลาคิดนานมาก จึงควรทำข้อง่ายก่อน แล้วเวลาเหลือค่อยกลับไปทำข้อยาก
- กลางวัน ไปกินข้าว กลับทำให้ง่วง และคิดอะไรไม่ออก ซึ่งจริงๆ กินแค่มื้อเช้ามื้อเดียวจนร่างกายชินแล้ว พอทำแบบนี้ระบบร่างกายกลับรวนแทน น่าจะจำฝังใจไปตลอดเลยแหละ
- คะแนนเท่านี้ โอกาสติดจะยากขึ้นมากแล้วล่ะ เพราะ ต้องทำคะแนนในครึ่งหลังให้เต็ม หรือ 90% จะติดแบบคาบเส้น!!
- ไม่ค่อยได้ฝึกจำลองทำข้อสอบก่อน ทำให้ไม่รู้สัดส่วนเนื้อหาที่ควรอ่าน!!
- ไม่ได้วางแผนเวลาไว้ให้ดี
- สิ่งที่ต้องทำต่อไป
- อ่านเลขอย่างจริงจัง 3 เดือนที่เหลือ ซึ่งเนื้อหาก็เยอะมาก ยิ่งถ้าจะต้องทำคะแนนให้เต็ม ต้องยิ่งทำโจทย์เยอะมาก เลิกเล่นคอม เลิกเอาเวลาไปผลาญเปล่าๆ
- อังกฤษ หรือ วิชาอื่นๆที่อยากอ่าน รวมถึงprogramming น่าจะเอาไว้หลังสอบเสร็จ ตอนนี้หายใจเข้าออก เป็นการทำเลขก่อน
- แผนการอ่าน คือ อ่านเนื้อหาให้จบ วันละบท แล้วเวลาที่เหลือ คือ ฝึกโจทย์
- กินวันละมื้อ, นอน 4 ชม ใช้การตั้งนาฬิกาปลุกด้วยการเปิดโคมไฟ แทนการใช้เสียง, อาจไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่ใช้การฝึกสมาธิ พยายามฝึกรู้ลมหายใจตลอดเวลาเท่าที่นึกได้แทน
- อย่าคุยหรือทะเลาะ กับใครที่บ้าน ให้ตัวเองประสาทเสีย เสียสมาธิ และ อย่าไปด่าใครให้ตัวเองผิดศีล ถ้ามีโอกาสอาจเปลี่ยนสถานที่อ่าน ไปอยู่หอ หรือ ไปอ่านที่ห้องสมุดมหาลัย เพื่อพักจิตใจให้ไม่ต้องเจอกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปกติ ที่คอยจ้องทำร้ายเรา
- อ่านเลขอย่างจริงจัง 3 เดือนที่เหลือ ซึ่งเนื้อหาก็เยอะมาก ยิ่งถ้าจะต้องทำคะแนนให้เต็ม ต้องยิ่งทำโจทย์เยอะมาก เลิกเล่นคอม เลิกเอาเวลาไปผลาญเปล่าๆ
- part TGAT 20%
9 ธ.ค.
- เดินวันละ 30 นาที - 1 ชม หลังตื่นนอน ก็ง่ายดี เพราะ ในระหว่างวันถ้าจะให้เดิน 5นาที ทุกชั่วโมง จะลืมเดิน จึงเดินไปเลยทีเดียวให้ครบไปเลย ถ้าอยากเดินอีกก็เดินได้นะ เพราะ การเดินก็ช่วยให้สมาธิดีขึ้นได้ ทั้งนี้ หากเป็นกรดไหลย้อน แนะนำให้ลองเปลี่ยนมาเดินหลังอาหาร ก็จะเป็นการช่วยย่อยไปในตัว และกระฉับกระเฉงขึ้น
- ชีวิตที่ productivity ไม่จำเป็นต้องมีวัตถุ(gadget/accessories)เยอะแยะ หลังจากที่ทดลองมี โต๊ะ มีเก้าอี้ ergonomic ก็พบว่าไม่ได้ช่วยเพิ่ม productivity แต่อย่างใด เผลอๆยังไม่ดีเท่า มีเพียงโต๊ะเตี้ยวางพื้น และนั่งขัดสมาธิกับพื้น ยังจะมีสมาธิดีกว่า
- เราจะกลับไปลองเปลี่ยนเป็นสาย ฝึกสมาธิ ดีไหมนะ อาจจะออกกำลังกายน้อยลง แต่เปลี่ยนมาเดินวันละ 1 ชม. แทน กินวันละมื้อ IF 23/1 และ เน้นฝึกรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน ด้วยการพยายามฝึกรู้ลมหายใจให้ได้ตลอดเวลา
- เหมือนพอลองฝึกรู้ลหายใจให้ได้ตลอดเวลาแล้ว ก็อ่านหนังสือ หรือ โฟกัสได้มากขึ้นเยอะเลยนะ
- วิธีการคือ ฝึกรู้ลมหายใจไปด้วยกับทุกกิจกรรม หรือ รู้ทุกขณะเท่าที่นึกได้ ไม่ว่าจะ ยืน, เดิน, นั่ง, นอน, กิน, ดื่ม, ทำ, พูด, คิด ฯลฯ รู้แบบปกติอย่างที่มันเป็น
- จริงๆ อาจไม่ได้ทำได้ทันทีหรอกนะ บางคนอาจต้องฝึกกันนาน ทั้งการนั่งสมาธิในรูปแบบปกติ และ การพยายามรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน โดยส่วนตัวก็ฝึกบ้างเลิกบ้าง มาหลายปี ซึ่งมันก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ หากเทียบกับวันแรกๆ
- การรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน คือ การกลับมารับรู้ ความรู้สึกของร่างกายที่กำลังหายใจเข้า-ออก โดยรู้อย่างที่มันเป็น ไม่ต้องบังคับลมหายใจให้เข้า-ออก หรือ ใช้ความพยายามอะไรเลยนะ แค่รู้เฉยๆ ถ้าทำถูก จะไม่อึดอัด แม้อาจจะไม่ได้สงบในทันที รวมถึงอาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่ก็อาจจะรู้สึก เย็นๆ สบายๆนิดๆ ร่วมด้วย แต่ไม่เย็นแบบเซื่องซึม ไม่เอ๋อ ยังคงดำเนินชีวิตทำกิจกรรมได้ปกติ แต่ถ้าเผลอไปบังคับ จะเกิดความอึดอัด เร่าร้อนในใจ ไม่สงบแทน
- ผลลัพธ์หลัก ที่เราต้องการ คือ สติ ที่จะทำให้เรารู้สึกตัวได้ดีขึ้น ในระหว่างวัน เพื่อเห็นความจริงของร่างกายและ ความคิด ความรู้สึกของจิตใจ(ขันธ์ 5) ว่ามันเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง ทนอยู่ได้ไม่นาน ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของเรา
- ผลลัพธ์รอง คือ สามารถโฟกัสกับสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น ทำให้สมองสามารถโฟกัสได้ต่อเนื่อง โดยไม่ล้าได้ง่าย(ประโยชน์ในเรื่องพลังสมองที่มากขึ้น เพื่อให้ทำงาน/เรียนได้ดีขึ้น) คิดอะไรก็คิดได้อย่างมีพลัง ไม่หลงไม่ลืม นอกจากนี้ก็ยังเกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ เทียบเท่ากับการวิ่งออกกำลังกายเลยนะ อีกทั้งเรายังดีกว่าตรงที่สามารถฝึกสมาธิได้ตลอดเวลาด้วย ไม่มีข้อจำกัดด้านร่างกายที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้ตลอด
8 ธ.ค.
- ปัญหาหลังจากที่กลับบ้าน คือ
- แทนที่จะได้อ่านหนังสือ หรือ ทำกิจวัตรประจำวันปกติ ตื่นเช้ามากลับต้องมาเถียงเรื่องไร้สาระก่อน เช่น อาหารการกิน อาชีพที่เป็นไปไม่ได้ การดำเนินชีวิตที่ไม่มีประสิทธิภาพ ฯลฯ จนเกิดความเครียดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง และ ละเลยกิจวัตรประจำวันที่ดี เช่น นอนน้อยไม่ได้ เพราะ นาฬิกาปลุกรบกวนคนอื่น, เถียงจนเครียดไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ (ถ้าไม่เถียงก็จะถูกจับเข้าไปร่วมกิจกรรมแปลกๆโดยอัตโนมัติ จึงต้องเถียงทุกครั้งที่จะอ่านหนังสือ), ถูกรบกวนตลอดเวลาในเรื่องเล็กน้อยต่างๆ จนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ, ไม่ได้ออกกำลังกาย เป็นต้น จนสุดท้าย หมดกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ เพราะ รู้สึกว่า จะทำอะไรสักอย่าง เหมือนถูกถ่วงน้ำหนัก2-3 เท่า วิธีแก้อาจเป็นการอัดเสียงไว้ แล้วเปิดซ้ำๆๆๆ ก่อนจะทำอะไร มันจะแปลกไปไหมนะ?! 555 ชีวิตตอนนี้รู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ ตะเกียกตะกาย ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ได้แต่ค่อยๆจมลงอย่างช้าๆๆ จนสุดก้นเหว
- ถูกบ่อนทำลายชีวิตไปเรื่อยๆ ด้วยกลวิธีล่อหลอกต่างๆ เพียงแค่เราจะดำเนินชีวิตในแบบปกติของเราเองก็ทำไม่ได้ ค่อยๆถูกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปเรื่อยๆ
- เราพยายามหยิบยื่นสิ่งดีๆให้คนอื่น แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือมีดที่แทงจากข้างหลัง หรือการพยายามตัดมือ ตัดเท้า ให้เราไม่สามารถทำอะไรที่ดีๆได้
- การพยายามขัดแข้งขัดขากันเอง ทำลายประโยชน์กันเอง แทนที่จะส่งเสริมกัน หารู้ไม่ว่า สุดท้ายก็จะทำลายตัวเองไปด้วย
- ภาวนาขออย่าให้เรารู้สึกว่านี่คือชีวิตที่ปกติ "ใครๆก็ทำกัน" เลย ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เราตั้งใจไว้ ที่เราเพียงพยายามมาตลอดคงไม่มีความหมาย เพียงแค่เราอยู่ร่วมกับคนโง่ที่ไม่รู้จักรับฟังความคิดใหม่ๆ ชีวิตเราก็พังได้ถึงขนาดนี้!!
- routine เสีย
- ก่อนอ่านหนังสือ ต้องเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องก่อน จนไม่มีสมาธิ ไม่มีกะจิตกะใจจะอ่าน
- สมองดีๆของเราจะพัง เพราะ ต้องคอยเถียงกับสมองขี้เลื่อย ที่ไม่เคยรับรู้อะไรใหม่ๆได้เลย
- ไม่สามารถนอน 4 ชม(ไม่มีโอกาสหรืออิสระในการทดลอง)
- ไม่ได้ทำกาแฟ
- ไม่ได้ออกกำลังกาย
- กินวันละมื้อ(ยังคงรักษาไว้ได้ แต่ถูกรบกวนด้วยวิธีต่างๆอยู่เสมอ ทั้งการด่า ทั้งการพยายามล่อหลอก)
- ก่อนอ่านหนังสือ ต้องเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องก่อน จนไม่มีสมาธิ ไม่มีกะจิตกะใจจะอ่าน
- ถ้าจะต้องดำเนินชีวิตแบบปกติ ที่"ใครๆก็ทำกัน"ก็คงจะเป้นรูปแบบชีวิตที่ ดำเนินไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องคิดที่จะพัฒนาอะไร อยู่ไปวันๆ แบบสมองขี้เลื่อยๆ พยายามเป็นคนธรรมดาๆ ที่อยู่ในกลุ่มมาตรฐาน เอ๋อๆ ห้ามมีความคิดสร้างสรรค์อะไรแปลกๆใหม่ๆ ห้ามตั้งคำถาม ต้องทำเหมือนคนอื่นๆ ไม่ต้องพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นๆไป
- routine เสีย
- ถ้าไม่ได้วิ่งออกกำลังกาย มีวิธีที่ทดแทนได้บ้าง คือ IF กินวันละมื้อ และเดินเยอะๆ วันละ 1 ชม สมองก็พอแล่นบ้าง ความจำดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่เท่ากับ IF ร่วมกับ ออกกำลังกายนะ
- ระยะยาว เล่นเกมส์ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เลิกได้จะดีที่สุด กลับมานึกย้อนกลับไป เวลาแค่ 2 วัน ที่เสียไปกับการติดเกมส์ ก็ยังเอามาอ่านหนังสือ ได้ความรู้ตรงจุดสำคัญๆ ได้เยอะเลย(จะรู้สึกเสียดายมาก โดยเฉพาะตอนใกล้จะสอบ หรือ หลังสอบเสร็จ)
- ระบบการดำเนินชีวิต ที่สมบูรณ์แบบที่สุด คือ การถือศีล 8 (Intermittent Fasting, งดกิจกรรมบันเทิง ที่ทำให้เกิดการเสพติด dopamine, ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายไม่ติดในวัตถุ)
- ถ้าถือศีล 8 ได้สมบูรณ์ แทนที่จะรู้สึกเครียด แต่ในความเป็นจริง กลับจะไม่รู้สึกว่า ต้องพึ่งพาสิ่งบันเทิงเลยนะ รู้สึกว่าเราสามารถสนุกกับงานได้ทุกเวลา ไม่ได้เครียดอะไรเลย
Notes
** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags"
ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ
Add new comment