Skip to main content

เม.ย. 67

Submitted by krishrong on

30 เม.ย.

  • วันนี้ตื่น 7 โมง นอน 8ชม. วันนี้วันอดข้ามวัน หลังจากไม่ได้อดมานาน
  • แม่บอกว่าการมัวหาความรู้ของเราเป็นวิธีที่ผิด เราควรรจะรีบไปหาเงินได้แล้ว
    • แม่อยากจะให้เรากลับไปทำงานที่เราทำไม่ได้ โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เนื่องจากเรามี "ปัญหาบางอย่าง" ทำให้เราไม่สามารถทำงานในสิ่งที่เรียนมาได้ จึงลาออก
    • แม่เราต้องการให้เราหาเงินมาให้ได้ แม้จะต้องไปคุกเข่าอ้อนวอนเหมือนขอทาน อย่างน้อยแม่จะได้มีอะไรไปโม้กับคนอื่น ไปเข้าสังคม(กากๆ)ของเขา แม่มักจะแคร์สายตาคนรอบข้าง(ชาวบ้านรอบๆ ที่การศึกษาไม่สูง)ที่มองมา จนถึงขนาดต้องการปรับเปลี่ยนชีวิตเรา ในแบบที่แม่ต้องการ(โดยไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งนั้น) ทั้งๆที่สายตา(อันว่าเปล่าและโง่เขลา)ของชาวบ้านเหล่านั้น มันไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นอะไรเลย
    • เราลาออกจากงานเดิม กลับมาหาความรู้ อ่านตำราต่างประเทศ ทั้งการเงิน ภาษา programming รวมถึงการพยายามพัฒนาตนเอง(อดข้ามวัน) ซึ่งเราคิดว่าการได้ทำสิ่งเหล่านี้มันดีมากๆ อยากให้ทุกคนบนโลกได้มีโอกาสทำแบบนี้บ้าง(เก็บเงิน พักจากงานที่ไม่ชอบ แล้วมาศึกษาสิ่งที่ชอบ ให้สุดทาง) และเราได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากกับหนทางนี้ที่เราเลือก
    • สิ่งสำคัญกับการอยู่กับแม่ ที่มีความรู้น้อย ฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ คิดหรือรับฟังอะไรซับซ้อนไม่ได้ เราคิดว่าจะต้องทำ Alternate day Fasting(อดข้ามวัน) ให้เกิด neuroplasticity มากๆ เพื่อให้สมาธิดี ใช้เหตุผลได้ดีขึ้น ไม่ใช้อารมณ์เวลาถูกยั่วยุ สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่มีแต่คำพูดเชิงลบ ล่องลอยมาตลอดได้
    • อีกวิธีหนึ่งคือการนึกถึงบุญคุณที่เขาเคยทำให้เรา ถ้านึกถึงบุญคุณของการให้กำเนิดไม่ได้ อย่างน้อยก็นึกว่า เขาเป็นเจ้าของหอที่ให้ที่อยู่อาศัยอันสุขสบายกับเรา ถ้าเขาด่าว่าอะไรเรามา ก็เงียบๆไว้ก็ได้ ถ้าเราไม่ได้จริงจังอะไร การไปเถียงตอบมันจะยิ่งเพิ่มกิเลสของเรา ทำให้เรายิ่งจริงจังกับเรื่องไร้สาระมากขึ้น
  • บางที การรุก ก็คือหนึ่งในวิธีตั้งรับ ที่ดีมากวิธีหนึ่ง
    • เราอาจจะต้อง manipulate ผู้อื่น แทนที่จะให้ผู้อื่น manipulate เรา
  • อ่านหนังสือที่บ้าน เริ่มอ่านจากหน้า 58
  • พึงระลึกไว้ว่า ตอนนี้เราหาความรู้ ก็เพื่อตัวเราเอง ไม่ได้มาจากการชี้นำของคนอื่น เช่น แม่ เป็นต้น

29 เม.ย.

  • วันนี้ตื่น 6 โมง นอน 8 ชม วันนี้ ไม่ได้อด
    • วันนี้ไม่มีปัญหาตาแห้งแล้ว ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ อ่านหนังสือไม่ต้องหยีตา
  • เมื่อวานอ่าน Financial market and institution ถึงหน้า 56(อ่านได้ 8 หน้า)
  • ความทุกข์ จะทำให้เราไม่ลืมคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่รอบตัว ความสุขมักทำให้เราหลงลืม
    • วันนี้จะกลับบ้านแล้ว(กลับไปดูแลคนที่บ้าน) หวังว่าประสบการณ์การออกมาใช้ชีวิตลำบากคนเดียวนี้ จะไม่ทำให้เราลืมสิ่งมีค่าที่เรามีรอบตัว และจะไม่กลับไปทำตัวเหลวไหลอีก(เอาแต่ดูการ์ตูนเหลวไหล ไม่อ่านหนังสือ หาความรู้) ที่สำคัญคือ เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
    • แต่ทั้งนี้แม้จะเป็นคนที่บ้าน แต่ก็เชื่อหรือไว้ใจไม่ได้ทั้งหมด เพราะ บางคนจะเป็นคนแม้จะบริสุทธิ์ใจกับเรา แต่มักจะถูกชักจูงได้เช่นกัน จากการไม่มีความรู้ของเขา หรือ คนรอบข้าง มันเลยกลายเป็นการถูกหลอกให้ "ทำผิดโดยบริสุทธื์ใจ" คือ การตั้งใจว่าจะช่วยเหลือ แต่จริงๆคือการสร้างปัญหาให้
  • เคยอ่านพระไตรปิฏก ในหมวดชาดก ความลับบางเรื่องก็ควรเก็บไว้กับตัว ทั้งชีวิต ไม่ควรบอกกับใคร ไม่ว่าจะเพื่อนสนิท ภรรยา หรือ พ่อแม่
    • เพื่อนสนิท ก็อาจเผลอหลุดความลับของเราให้กับศัตรู ที่แฝงมาเป็นมิตร
    • ภรรยา มักจะเปิดเผยความลับเมื่ออยู่ในหมู่ญาติหรือเพื่อน(ฝ่ายภรรยา)
    • พ่อแม่ มักจะไม่มีความรู้ทันยุคสมัย ก็ถูกคนเข้ามาตีสนิทให้หลงเชื่อ และ เผยความลับโดยง่าย
  • วันนี้กลับมาบ้านแล้ว

28 เม.ย.

  • วันนี้ตื่น 6.00น เมื่อคืนนอน 8 ชม.วันนี้กินอาหาร 2 มื้อ + มีเนื้อสัตว์ ในช่วง 6-10.00น (IF20/4)
    • รู้สึกอ่านหนังสือได้ไม่ดีเท่าไหร่ นะ? หรือเนื้อสัตว์ มี Allergen/antigen บางอย่าง ที่ทำให้เราเกิดภูมิแพ้ ผื่นขึ้นหน้าและตาแห้ง(Sjogren syndrome) ซึ่งอาการตาแห้ง ส่งผลโดยตรงต่อการอ่านหนังสือ(แต่กินไข่ได้นะ)
      • วิธีแก้เบื้องต้นคือ หยีตาอ่านหนังสือ
      • วิธีแก้จริงๆคือ อาจจะเป็นการพยายามหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์
      • หลังมื้ออาหารสุดท้าย 8 ชั่วโมง จะเริ่มกลับมาอ่านหนังสือได้ปกติ โดยไม่ต้องหรี่ตา(ตาไม่แห้ง)
      • สรุปว่า วันนี้สมองกลวง focus, อ่านอะไรไม่ได้เลย เหมือนทำกิจกรรมที่ใช้ตาไม่ได้เลย แต่ใช้หูฟังยังได้อยู่
    • ช่วงนี้ไม่ได้อดข้ามวัน สมองตื้อจริงๆแฮะ
  • ว่าจะกลับไปพักที่บ้าน เช่าหอที่บ้านอยู่แทน เนื่องจากหอที่พักอยู่ในปัจจุบัน คุณภาพชีวิตไม่ดี ไม่ถูกสุขอนามัย ราคาแพงเมื่อเทียบกับคุณภาพชีวิต(ไม่ดี)ที่ได้รับ
    • สาเหตุที่ต้อง "เช่า" หอที่บ้าน เพราะ ยังคงต้องการความเป็นส่วนตัวในฐานผู้เช่า ไม่ต้องการให้ วิสัยทัศน์อันไม่ประกอบด้วยความรู้ของคนที่บ้าน บางคน พยายามเข้าควบคุมชีวิตเรา ทั้งๆที่เรามีความรู้มากกว่า มองอะไร ก็มองได้ไกลกว่า แต่กลับถูกชี้นำ ครอบงำ ปกครอง โดยคนพูดมาก แต่ไม่มีความรู้ อันนี้ก็แย่(แม้จะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม)
      • อีกอย่างคือ เราจำเป้นที่จะต้องมีห้องส่วนตัว เพื่อไม่ให้เจอกัน 24 ชม ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นอันทำอะไรเลย
    • เราน่าจะต้องใช้วิธีการเชิงรุกแล้วล่ะ แทนที่เราจะใช้วิธีการเชิงรับ ที่คอยป้องกันการควบคุมจากเขา(คนที่บ้าน) แต่ทำไมเราไม่พยายามครอบงำเขาเสียเองล่ะ "ต้องหาวิธีการ manage โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่าถูก manipulate อยู่"
    • อีกความรู้สึกหนึ่งคือ เราก็ควรจะกลับไปดูแลคนที่บ้าน ที่เคยดูแลเรามาก่อน อยากจะทำให้มันดี แทนที่เราจะอยู่ด้วยกัน เพื่อเกิดประโยชน์ร่วมกัน มันดูไร้เหตุผลมากๆเลย ที่เราจะต้องมาถกเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระ บ้าบอ ทั้งหลาย ในเมื่อทุกคนต้องการทำให้มันดี ทำไมเราจะต้องมาเถียงกันด้วยความไร้เหตุผลด้วย
  • ความน่ารำคาญของคน แยกตามเพศ
    • ผู้หญิง ส่วนใหญ่จะ ความจุกจิก น่ารำคาญ คิดเล็กคิดน้อย(มองแต่ปัญหาเล็กๆ จนเสียการใหญ่) บางทีอาจเป็นอะไรที่เราต้องระวัง พยายาม "หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้หญิง"
    • ผู้ชาย ก็มีความน่ารำคาญเหมือนกัน ตรงที่ จะมีปัญหาเรื่องความคิดว่า ตัวเองเก่ง จูนิเบียว อีโก้ ตัวเองมีความสำคัญต่อโลกใบนี้(และสำคัญกว่าคนอื่นๆ) อันนี้วิธีแก้ก็คือ "เมินมัน(คนๆนั้น)ไปซะ"
    • แต่ทั้งสองเคสมักเกิดในพวก รู้ไม่จริง แล้วคิดว่าตัวเองมีความสำคัญ และไม่พยายามพัฒนาตนเอง เลยทำให้ต้องพยายามด้อยค่าผู้อื่น เพื่อให้ตัวเองดูมีคุณค่ามากขึ้น ต้องพยายามมองด้วยความรู้สึกที่เป็นกลางและคอยดูตัวเองด้วย ว่ากำลังเป็นหนึ่งในนั้นอยู่หรือไม่ (แทนที่จะดูเป็นแบบอย่าง ที่เราสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นแบบเขาได้ แต่กลับอิจฉาคนอื่น และไม่พัฒนาตนเอง ซึ่งถ้าคอยพัฒนาตนเอง มันก็ไม่ต้องไปอิจฉาใครหรอก เราจะรู้ว่ายังไงคนเราก็พัฒนาได้)
  • วันนี้อ่าน Financial markets and institutions เริ่มจากหน้า 48
    • เรื่องความรู้ในการเทรด ตอนนี้เหมือนเราได้เรียนอะไรที่เหมาะเจาะ กับเวลามากๆ เริ่มจากตำราเทรดบอกให้ศึกษา Fundamental ไม่ใช่การเชื่อใน Technical analysis(เพราะ กราฟจะมองอย่างไรก็ได้) เราก็ได้ตำรา Fundamental ที่ดีเล่มหนึ่ง มาอ่านต่อทันที
  • เทคนิค ถ้าอ่านหนังสือจากหน้าจอไม่ได้ ให้พยายามหยีตาเวลาอ่านหรือใช้งานหน้าจอ จะทำให้ตาไม่แห้งง่าย และอ่านได้สบายขึ้น

27 เม.ย.

  • วันนี้ ตื่น 6.00น เมื่อคืนนอน 7 ชม เมื่อวานกินมื้อดึก และ วันนี้ก็กินมื้อเช้าต่อ
    • สรุปว่า กินมื้อดึก อย่างไรก็ไม่โอเค เพราะ จะนอนอยู่แล้ว ง่วงไปกินไป แถมกินเยอะ ก็นอนหลับยาก ตื่นมาก็ผื่นขึ้นหน้า
      • กินมื้อเช้า แบบพระ เป็นวิธีที่ดีที่สุด กินวันละมื้อ จะอดข้ามวันบ้างก็ได้ ในทุก 2 วัน
    • สาเหตุที่ท้องเสียบ่อยอาจเป็นเพราะดื่มกาแฟนั่นแหละ มันทำให้ลำไส้ทำงานเร็วกว่าปกติ และ อาหารเคลื่อนผ่านไปถึงลำไส้ใหญ่อย่างรวดเร็ว โดยที่ยังไม่ได้ดูดซึมน้ำและเกลือแร่ออกมากนัก
  • เหมือนตอนนี้สายตาเราจะชินกับการ อ่านหนังสือผ่านหน้าจอ (Macbook pro) มากกว่าอ่านผ่าน หนังสือจริง หรือ e-reader แล้ว อ่านผ่านหน้าจอความละเอียดสูง สามารถขยายข้อความได้ด้วย ทำให้โดยรวมอ่านง่ายกว่า
  • มีตำราสอนเทคนิคการเรียนภาษา โดยมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ https://www.reddit.com/r/languagelearning/comments/vpzv3f/recommendations_of_books_about_the_language/
  • Thank god! it is Monday - ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับงานของคุณ อยู่เสมอๆ แนะนำให้เปลี่ยนงานเถอะ
    • ข้อความนี้ได้มาจาก The Art of currency trading หน้า 377
  • ใกล้จะอ่านตำรา the art of currency trading จบแล้ว คำถามต่อไปคือ จะ balance ระหว่าง programming กับ finance อย่างไรดีนะ
    • finance ยังคงต้องหาความรู้ต่อ(financial system และ ตำราเทรดอื่นๆ) และ อ่านข่าวทุกวัน มันดีตรงที่สนุกพอที่จะทำได้ และนำไปสู่อิสระภาพทางการเงินในระยะยาว
    • programming ยังไม่ได้เริ่มอ่านจริงๆจังๆสักเล่ม ไม่ได้เริ่มทำ "ระบบที่ทำให้คนชีวิตดีขึ้น" สักที
  • อ่าน the art of currency จบแล้ว ใช้เวลา 1 เดือนครึ่ง กับ 380 หน้า ต่อไปจะอ่านอะไรดี
    • อ่านตำราเทรดเล่มต่อไป
    • อ่านเล่มเดิมซ้ำ
    • อ่าน เกี่ยวกับ financial fundamental
    • อ่าน programming
  • ในแง่ความจำเป็น คิดว่าน่าจะต้อง
    • อ่าน financial system  และ ฝึกอ่านข่าว reuter ต่อ
    • อ่าน programming อีกส่วนหนึ่ง
    • อ่าน Mathematics
  • แรกๆที่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ช้า แต่พออ่านหลายๆเล่มในหมวดเดียวกัน ก็ค่อยๆอ่านได้เร็วขึ้น เพราะ เริ่มมีคลังศัพท์ในหัวมากขึ้นในหมวดนั้นๆ รวมถึงได้รู้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันมาก่อนแล้วด้วย ทำให้เล่มต่อๆมาอ่านได้เร็วขึ้นและเข้าใจง่ายกว่าเริ่มอ่านครั้งแรก
  • ต่อไปจะลอง กลับไป กินวันละมื้อ 2 วัน แล้วอดข้ามวัน 1 วัน(IF แบบ 22/2 สลับกับ 46/2)
  • แผนตอนนี้คือ เรียนเรื่องการเทรดจบแล้ว ที่เหลือคือการเก็บเกี่ยวความรู้ที่เกี่ยวข้อง(เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจ, ภูมิศาสตร์, ทรัพยากรของแต่ละประเทศ) ส่วนเรื่อง programming, การเรียนภาษา ก็อ่านต่อได้แล้ว
    • สรุปว่า สิ่งที่จะอ่านต่อมีดังนี้
      • อ่านตำราเกี่ยวกับ financial system ต่อ
        • ชื่อ Financial Markets & Institutions เขียนโดย Frederic S. Mishkin and Stanley G. Eakins
        • ถือว่าตัดสินใจถูกประมาณนึง เพราะ หนังสืออธิบายเรื่องพื้นฐานทางการเงิน ที่เรากำลังสงสัยพอดี แค่เริ่มอ่านก็ตอบข้อสงสัยเบื้องต้นในหลายอย่าง เวลาที่อ่านข่าว reuter เหมือนกับว่า ความรู้พื้นฐานจากหนังสือเล่มนี้ จะเอาไปใช้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ได้
      • อ่าน ข่าว reuter วันละ 3 ข่าว
      • อ่าน Javascript วันละ 5 หน้า
      • อ่านเลข วันละ 1 บท
      • อ่าน Algorithm วันละ 5 หน้า
      • อ่าน language learning วันละ 10 หน้า

26 เม.ย.

  • วันนี้ตื่น 6:00น เมื่อคืนนอน 7 ชม. วันนี้รู้สึกไม่มีสมาธิเท่าไหร่ เหมือนมีความคิดแทรกตลอดเวลา และไม่ค่อยกลับมาอยู่กับตัวเอง
    • เมื่อวานกิน 3 มื้อ น่าจะทำให้เกิดการอักเสบได้มากขึ้น ทำให้วันนี้สมาธิแย่ลง
  • วันนี้มาอ่านหนังสือที่มหาลัย
  • สาเหตุที่เราต้องพึ่งพาการ์ตูน เกมส์ เพราะ เราไม่มีสมาธิ ซึ่งมักจะเกิดมากในวันที่ต้องกินอาหาร ส่วนวันอด จะไม่ต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ เพราะ ร่างกายไม่ลำบากจากการ จัดการกับอาหารที่กินเข้าไป และ เมื่อร่างกายไม่ลำบาก สมาธิก็ดี
    • ปัจจุบันเลยกลายเป็น มีสมาธิวันเว้นวัน เพราะ อดวันเว้นวัน
    • วิธีการอดที่เคยทำ มีดังนี้
      • IF 42/6 อันนี้ทำให้สมาธิดีมากในวันอด
      • IF 36/12 ในวันอดจะยังมีรู้สึกหงุดหงิดง่าย สมาธิไม่ดีนักในช่วงแรก ต้องรอหลังจาก 16-18 ชมไปแล้ว จะดีขึ้น
    • จะมีวิธีอื่นอีกไหมที่จะทำให้เรามีสมาธิดีและร่างกายไม่ลำบาก ในทุกๆวัน เพื่อให้ทำงาน/อ่านหนังสือได้ต่อเนื่อง?
      • หลักๆคือ หลังอดอย่างน้อย 16-18 ชม(เกิดภาวะ ketosis มากพอ) จึงจะเริ่มมีสมาธิ
        • กินวันละมื้อ IF 23/1 โดยกินอาหารในช่วงเย็น จะเกิด ketosis ในช่วงสายๆของวันถัดไป ซึ่งพอดีกับเวลาที่ทำงาน/อ่านหนังสือ
        • ส่วนวิธีแบบอดข้ามวัน IF42/6 ข้อดีคือ พัฒนาตัวเองได้เร็วกว่าแบบก้าวกระโดด(สมาธิเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน) แต่บางทีต้องกินมากในคราวเดียวมันก็จะอึดอัด ใช้ชีวิตได้ไม่ปกติเท่าไหร่ วันที่กินอาหารอาจต้องเก็บตัว วันอดถึงจะออกสู่โลกภายนอกได้ แต่ก็ถือว่าคุ้มสำหรับความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
          • อาจต้องเปลี่ยนอาหารเป็น dense nutrition เช่น ถั่ว, ธัญพืช เพื่อให้ปริมาตรอาหารลดลง แต่ยังได้สารอาหารมากเท่าเดิม
          • ปัจจัยกวนในปัจจุบัน(ปัญหาส่วนตัว) คือ  ความสะอาดของอาหาร เพราะ ที่หอพักมักจะมีแมลงสาบ ซึ่งเป็นตัวนำพาเชื้อโรค แม้จะกินเยอะ แต่ก็ไม่ดูดซึมและท้องเสียบ่อย ทำให้เข้าใจว่ากินไม่พอ และพยายามกินให้มากขึ้นจนอึดอัด ทั้งๆที่จริงๆ ถ้ากินธัญพืช อาจจะไม่ต้องกินเยอะมากก็เพียงพอแล้ว แต่ปัญหาคือเรื่องการดูดซึมมากกว่า
  • Alternate day fasting แม้จะดี แต่ความไม่คงที่ในแต่ละวันก็เป็นปัญหาเหมือนกัน(มีสมาธิวันเว้นวัน) เกิดจากการที่ต้องกินมากขึ้นในคราวเดียว ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจาก ความไม่สะอาดของอาหารที่ทำให้ไม่ดูดซึม และต้องพยายามเพิ่มปริมาณมากกว่าปกติ หรือ มันไม่เพียงพอจริงๆ อาจจะต้องสังเกตตัวเองต่อไป
  • สมาธิเริ่มดีขึ้น ตอน 10.00น(อด ชั่วโมงที่ 15)
  • สาเหตุที่เราอ่านเรื่องการเงินได้ส่วนหนึ่งคือ เราไม่ได้จริงจังมากนัก ไม่คิดจะเรียนสมการคำนวณค่าเศรษฐกิจอะไรมากมาย แค่รู้หลักการและเอาความรู้ไว้ใช้วิเคราะห์เศรษฐกิจ เป็นประโยชน์กับชีวิตได้ก็พอ ต่างจากด้านคอมฯ คือ เราต้องการรู้พื้นฐานด้วย เช่น algorithm เป็นต้น ต้องการเริ่มตามลำดับทั้งหมด ทำให้การเรียนมีเงื่อนไขมากกว่า และ เริ่มได้ยากกว่า
  • วันนี้อยู่ๆก็นึกอุตตริ อยากลองกินมื้อดึกเผื่อว่าพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องกิน และไปมหาลัยได้เลย เลยหยุดการอดไว้ที่ 24 ชม แล้วทำมื้อดึก แต่ก็กินไม่หมด ก็ต้องกินต่อพรุ่งนี้อยู่ดี
    • สรุปคือ การอดข้ามวันที่ตั้งใจไว้ก็พัง แถมยังลำบากนอนดึกอีก
      • จริงๆ ที่ทำอยู่ก็รู้สึกไม่ practical เท่าไหร่ เพราะไม่สามารถใช้ชีวิตได้แบบปกติ คือ วันที่กินอาหารจะต้องกินเยอะมาก จนอึดอัด ออกไปไหนหรือทำกิจกรรมอื่นๆไม่ค่อยได้
        • อาจจะเปลี่ยนมากินวันละมื้อ(เช้า) 2 วัน แล้วอดข้ามวัน 1 วัน แบบที่เคยคำนวณไว้
        • การข้องเกี่ยวกับเรื่องอาหาร เยอะ ทำให้ชีวิตไม่เป็นอิสระ ถ้าจะให้เหมือนธรรมชาติจริงๆ ก็คือกินแบบพระป่า คือ กินวันละมื้อ(เช้า) เท่านั้น และ บางวันก็อด ไม่น่าจะใช่การพยายามกินกักตุนแบบที่ทำอยู่
  • วันนี้อ่านหนังสือได้ ถึงหน้า 373(18หน้า)
    • ที่อ่านได้เยอะส่วนหนึ่งเป็นเพราะเนื้อหาไม่ยากแล้ว เลยไม่ต้องสรุป ใช้ความตั้งใจ หรือทำความเข้าใจเยอะ

25 เม.ย.

  • วันนี้ตื่น 2:30 น นอน 4:30 ชม ตื่นเช้า/พักผ่อนน้อย เป็นปกติของวันอดข้ามวัน(เมื่อวาน) แต่ไม่ได้อ่อนเพลียแต่อย่างใด ยังสดชื่นเหมือนวันนอนเยอะ
  • วันนี้วันกินอาหาร ไม่ได้ไปมหาลัย ต้มธัญพืชนิ่มกว่าปกติ วิธีคือ ใส่น้ำเยอะๆ ต้มเดือดครั้งแรกแล้วทิ้งไว้ 1 ชม. แล้วต้มต่อ 40 นาที
    • กิน 3 มื้อ ใน 12 ชม
  • อ่านข่าว reuter จะลองอ่านให้สนุก เหมือนอ่านเรื่องราวต่างๆ อย่าไปจริงจังว่าจะต้องได้ข้อมูลเอาไปเทรด เพราะ ถ้าเราอ่านเยอะๆ และมีข้อมูลที่เหมาะสมจริงๆ มันน่าจะตกผลึกและได้คำตอบเอง ว่าควรเทรดอะไร
    • เริ่มอ่านบ้างแล้ว แต่แรกๆ จะอ่านช้า เพราะ เรายังไม่คุ้นศัพท์ แล้วจะค่อยๆคล่องขึ้นๆเรื่อยๆ
  • ช่วงนี้สมาธิดีขึ้นแล้ว เริ่มสามารถอ่านหนังสือแม้จะอยู่ห้องคนเดียวได้แล้ว หลักๆน่าจะเกี่ยวกับ การอดอาหารข้ามวัน เว้นวัน(Alternate day fasting) ทำให้สมองสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดีขึ้น(เพิ่มการเชื่อมโยงของเครือข่ายใยประสาทได้ไวขึ้น - neuroplasticity) ทำตามเหตุผล ควบคุมตนเองได้ดีขึ้น
    • แต่เหมือนอีกปัจจัยหนึ่งคือไปมหาลัย ก็ทำให้ต้องฝึกใช้ชีวิตแบบอ่านหนังสือทั้งวัน จนเริ่มกลายเป็นความเคยชิน พอกลับมาวันที่อยู่หอพักก็เริ่มเคยชินที่จะอ่านหนังสือต่อ ไม่ไปทำอย่างอื่น
    • อีกปัจจัยคือ ดูการ์ตูน เล่นเกมส์ พอดู/เล่นไปมากๆก็เบื่อ เหมือนกินอาหาร Fast food อาจจะอร่อย แต่ไม่นานก็เบื่อ และไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเท่าไหร่ กลับกัน การอ่านหนังสือ มีความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ เหมือนกินอาหารสุขภาพ ที่อาจจะไม่ได้อร่อยมากเท่า แต่ก็กินได้ตลอด เพราะมันประโยชน์กับร่างกาย
  • เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 355(13 หน้า)
  • วิทยาศาสตร์ ช่องนี้ดี ฟังง่าย เข้าใจง่าย มีหัวข้อน่าสนใจ บางทีไม่ต้องเปิด caption ก็ยังพอฟังได้ https://www.youtube.com/@besmart 
  • เหมือนถ้าอากาศร้อน แล้วดื่มน้ำไม่พอ ร่างกายขาดน้ำ(dehydration) ก็จะทำให้ตาแห้งได้เหมือนกัน ส่งผลต่อการอ่านหนังสือ https://www.healthline.com/health/dry-eye/ask-the-expert-dry-eye-dehydration#sunken-eyes ในขณะเดียวกัน อากาศแห้งและเย็นก็ทำให้ตาแห้งได้เหมือนกัน รวมถึงภูมิแพ้ต่างๆ
  • สาเหตุหนึ่งที่เรากินเกลือแล้วท้องเสียทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะเปิดฝาเกลือทิ้งไว้ แล้วมีแมลงสาบไต่ผ่านตอนกลางคืนก็ได้(เพิ่งจ้ะเอ๋กันเมื่อเช้า) ประเด็นนี้ อาจตอบคำถามที่ว่า ทำไมทำอาหารกินเองที่หอ ในปริมาณเยอะมาก แล้วน้ำหนักไม่เพิ่ม แต่กินอาหารข้างนอก แม้ปริมาณปกติ แต่น้ำหนักกลับเพิ่ม
    • เพราะ เมื่อเราทำอาหารกินเอง และใช้เกลือที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เสี่ยงทำให้อาหารสกปรก ทำให้สารอาหารไม่ถูกดูดซึมและถ่ายออกมา
  • วันนี้กิน 3 มื้อ ค่อนข้างยุ่งยากทั้งวัน ไม่โอเคเท่าไหร่ กลับไป IF 42/6 เหมือนเดิม(กินก่อนเที่ยงแล้วอดข้ามอีกวัน)

24 เม.ย.

  • วันนี้ตื่น 6.30น เมื่อวานกินเยอะ เลยนอนเยอะด้วย วันนี้วันอด
  • น้ำหนักตัวอยู่ที่ 48.4 กก.
    • น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ ช่วงก่อนหน้า ทำ alternate day fasting 36/12 โดยกินอาหารปกติ ไม่ได้กินธัญพืช แต่น้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้น แต่ช่วงนี้กินธัญพืช โดยคิดว่าคำนวณ calories เพียงพอ แต่น้ำหนักตัวก็ไม่เพิ่ม แถมลดลงอีก
    • อาจลองกินสลับ ธัญพืชวันนึง อาหารปกติวันนึง และเพิ่มเวลากิน เป็น 12 ชม จาก 6 ชม แต่ยังอดข้ามอีกวันเหมือนเดิมนะ
  • รู้สึกสมาธิดีขึ้น จนพอที่จะ เขียนโปรแกรมไม่ซับซ้อนในใจได้ ตอนกำลังเดินไประหว่างตึกของมหาลัย เป็นโปรแกรมสั้นๆ เช่น โปรแกรมหา power, factorial โดยใช้การ recursion
  • เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 342(3หน้า) มีอ่านข่าวreuterบ้าง ที่เหลือก็ดูการ์ตูน 6 ชม
    • อ่านหนังสือให้จบยังคงเป็น first priority ส่วนการอ่านข่าว ยังคงต้องการความรู้ด้าน fundamental เพิ่มเติมด้วย
  • ชีวิตที่อยากให้เป็น(ideal)และต้องทำให้ได้ คือ ตื่นมา อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ทั้งวัน ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งบันเทิงจากการ์ตูน เกมส์​ social media
  • จากความรู้สึกของเรา ระหว่างเพื่อนร่วมงานเป็น programmer กับ เพื่อนร่วมงาน เป็น fund manager(การเงิน) เราอยากทำงานในหมู่ programmer มากกว่า ไม่ใช่การเงิน
  • จัดอันดับความชอบ จริงๆทุกศาสตร์สนุกหมดนะ แต่จะมีบางศาสตร์ที่เรารู้สึกถนัดมากกว่าอย่างอื่น
    1. Developing program รู้สึกว่าเรามี sense ทางด้านนี้ เรียนรู้ได้เร็ว เห็นปัญหาได้เร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ พลิกแพลงสิ่งใหม่ได้เอง สามารถสร้างโปรแกรม ที่คนต้องการใช้งานจริงๆได้
    2. Trading & Financial ความรู้เรื่องการเงิน/การเทรด เป็นอะไรที่สนุกอันดับ 2 รองจาก programming เลย สนุกตรงหาเงินนี่แหละ ฮาๆๆ
    3. Health หลักการทางการแพทย์ เทคนิคการรักษาที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และการพลิกแพลงต่างๆ อ่านแล้วสนุกเหมือนกัน เหมือนได้ใช้สมองทั้งสองซีกอย่างเต็มศักยภาพ
    4. Science: Chemistry, physis, biology ได้เรียนรู้ธรรมชาติ เพื่อนำมาอธิบาย หรือไขข้อสงสัยของสิ่งรอบตัว แล้วยังใช้ต่อยอดในการสร้างแนวคิด สิ่งใหม่ได้
    5. Language เป็นอะไรที่เราไม่ถนัด พยายามทำความเข้าใจหลายรอบ ก็ไม่พัฒนาขึ้นเท่าไหร่ แม้จะฝึกตนเองจนอ่าน Textbook ได้ อ่านข่าว eng ได้ แต่ก็ไม่สามารถคิดเป็นภาษาอังกฤษ​ ไม่สามารถใช้ในการโต้ตอบอย่างรวดเร็วได้ แม้จะฝึกมาหลายปีแล้ว
  • สิ่งที่ได้เรียนรู้จากตำรา The Art of currency trading อย่างหนึ่งคือ เรื่องของprocess สำคัญกว่า outcome
    • outcome เป็นเรื่องของ luck ซึ่งมักให้ผลในระยะสั้น แต่ process ที่ดี จะให้ผลลัพธ์ในระยะยาว
      • เช่น good luck อาจทำให้คนเล่น poker ไม่เป็น แต่ได้ไพ่ดี ชนะ pro-poker ได้ในตาแรก แต่หากว่าเล่นกัน ต่อไปสัก 10 ครั้ง โอกาสชนะของ pro poker จะเรียกได้ว่าอยู่ที่ 100% เลย
    • Good decision, but bad outcome ในชีวิต บางทีเราพยายามทำอย่างดีที่สุด ตัดสินใจอย่างดีที่สุด พยายามหาความรู้ไม่หยุดหย่อน เหนื่อยมามากมาย(Good decision) แต่ผลลัพธ์ กลับออกมาไม่ดี(Bad outcome) นั้นเป็นเรื่องของ Bad luck ที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ความแน่นอนที่จะสำเร็จ จาก Good decision, Good process อาจจะอยู่ที่ 100 % เลยก็ได้
      • Poor decision, poor outcome จะทำให้เราได้เรียนรู้ในความผิดพลาด
      • ที่น่ากลัวที่สุด คือ Poor decision, but good outcome อาจนำหายนะมาสู่เราในอนาคตได้ เพราะ จะทำให้เราเคยชิน เรียนรู้ในสิ่งผิดๆ และไม่เกิดการเปลี่ยนนิสัย ไม่พัฒนาตนเอง หรือ ไม่ปรับปรุงกระบวนการ นำมาสู่ความผิดพลาดที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต หรือ หายนะในชีวิต(นักเทรดที่ดี ก็จะไม่ปฏิเสธ good luck นะ แต่จะรู้ว่ามันไม่ใช่แนวทางที่ถูก)
      • แต่ทั้งนี้ ศัตรูตัวจริง ของเรา ก็ไม่ใช่ Bad luck แต่ที่สุดแล้ว คือ ตัวเราเอง ที่จะเลือกตัดสินในทำสิ่งต่างๆ เลือกที่จะพัฒนาหรือไม่พัฒนา เลือกที่จะหาความรู้เพิ่มเติมหรืออยู่กับที่(หรือถดถอยกับความรู้ที่ล้าหลัง) เลือกที่จะปรับปรุงตนเองหรือโทษความโชคร้ายในอดีตที่ผ่านไปแล้ว
  • อดข้ามวัน(>=36ชม) ทำให้สมาธิดีขึ้นจริงๆนะ แม้อยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ แต่ก็ยังโฟกัสกับการอ่านได้ นอกจากนี้ก็รู้สึกว่า อ่านหนังสือได้สนุกขึ้น อ่านได้คล่องขึ้น เพราะ เข้าใจความหมายของประโยคภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น
    • แต่เนื่องจาก ทำIFแบบ 42/6(กิน 2 มื้อแล้วอดข้ามอีกวัน) แล้วน้ำหนักลด อาจจะปรับมาเป็น IFแบบ 36/12(กิน 3 มื้อ แล้วอดข้ามอีกวัน) ในบางวันที่ต้องเดินทางไปมหาลัย

23 เม.ย.

  • วันนี้อยู่หอพัก ตื่น 5.00น กินอาหาร6-12.00น
  • ยังไม่อยากเลิกดูการ์ตูน แต่ลึกๆก็รู้สึกว่าน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน ขณะเดียวกันก็รู้สึกลึกๆว่า ความรู้ในหนังสือ มีมากมาย ให้อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ แต่ก็ยังไม่ได้อยากอ่านจริงจัง แต่ถ้าเปิดหนังสืออยู่ตรงหน้า ตามันก็จะเหลือบไปอ่านได้
    • แล้วจะเสียใจแน่เลยในอนาคต ถ้าปัจจุบันยังคงมัวทำตัวหลงมัวเมา ลืมกาลเวลาแบบนี้ สุดท้ายก็ได้แต่เสียใจ ที่เราปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป
    • แต่เอาจริงๆ ถ้ารู้คุณค่าของเวลาตั้งแต่แรก แล้วเลิกดูการ์ตูนและเล่นเกมส์ไป น่าจะดีนะ
    • ถ้าเราไม่รู้สึกว่าชีวิตเรามีปัญหา ไม่ต้องพยายามทำอะไรให้ดีขึ้น อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆก็ได้ อันนี้คือชีวิตเรามีปัญหาแล้วนะ
      เพราะ ชีวิตจริงๆ มันมีแต่จะต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น ถ้าเราแก่ โดยที่ยังคงได้ทำงานใช้สมอง ยังคงต้องอ่านหนังสือใช้ความคิด พัฒนาตนเอง อันนี้อาจจะเรียกว่าเป็นคนมีบุญได้ไหมนะ ดีกว่าแก่แล้วนั่งเหม่อลอยไปวันๆ และตายแบบคนหลง
  • เวลาอดยาวๆ ในวันที่กินอาหาร จะกะปริมาณอาหารยากเหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะกินมากในคราวเดียว และมักจะกินมากเกินไป มีงานวิจัยเหมือนกันว่า การทำ IF มักจะทำให้ รูปแบบการกินผิดปกติไป โดยจะทำให้เกิดการ binge eating(กินมื้อใหญ่ในคราวเดียว) โดยส่วนตัว คงต้องพยายามกะปริมาณและแบ่งมื้อดีๆ ให้เหมาะสม
  • เริ่มอ่านข่าว reuter ได้ดีขึ้น รู้สึกว่า พอเปิดเว็บขึ้นมา เห็นหัวข้อข่าวเตะตามากขึ้น รับรู้เนื้อหาที่นำเสนอได้ดีขึ้น เริ่มซึมซับคำศัพท์ในเว็บได้บ้างละ
    • แต่ยังคงต้องใช้การโฟกัสเพื่อให้อ่านเข้าใจความหมาย ไม่เหมือนอ่านภาษาไทย ที่เห็นข้อความปุ๊บก็เข้าใจปั๊บ ไม่ต้องใช้การโฟกัสเพื่อเข้าใจความหมาย
  • อย่าอ่านหนังสือเพราะถูกบังคับ ไม่ว่าจะบังคับตัวเองหรือจากคนอื่น หนังสือไม่ใช่สิ่งที่จะจำกัดอิสรภาพในชีวิตของเรา แต่ให้อ่านหนังสือ เพื่อให้เรามีความรู้ และ ทุกความรู้ในสิ่งใหม่ๆ จะทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆมากขึ้น และนำเราสู่การมีอิสรภาพมากขึ้นๆ

22 เม.ย.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน มาอ่านหนังสือที่มหาลัย กลับมาสู่โลกปกติ เจอแสงแดด ผู้คน = > ประหยัดค่าไฟและน้ำดื่ม หากอยู่หอพัก(แต่ที่มหาลัยฟรี แถมแอร์ มีแค่ค่ารถนิดหน่อย)
    • เหมือน การรับรู้โลกของเราละเอียดขึ้น สมาธิอยู่กับตัวเองดีขึ้น ความคิดละเอียดขึ้น แบบไม่ได้จงใจจะทำ
    • เป็นผลจากการซุ่มทำ Alternate day fasting(กินครึ่งวัน 6 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน 42 ชม.) แต่ต้องรอการทดสอบว่ามันดีขึ้นจริงๆไหม
  • วันนี้ตื่น 6.30น นอน 8:30ชม เมื่อวานกินเยอะไปหน่อย ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องกินเยอะขนาดนั้นก็อยู่ได้ แต่เนื่องจากซื้อผลไม้มาไว้เยอะ แล้วสุกจนเก็บไว้ไม่ได้ ทีหลังต้องควบคุมปริมาณแล้ว
  • เทคนิคการทำอาหารคือ ใส่อะไรลงไปต้มรวมกันก็ได้ อย่างน้อย 30 นาที จะทำให้กลิ่นและรส ออกมารวมกันในอาหาร และทำให้อาหารอร่อยขึ้น แต่อาหารบางชนิด กินแบบสดๆ ไม่ผ่านความร้อนเยอะจะดีกว่า เช่น พริก กระเทียม เป็นต้น
    • ลองใส่กล้วยน้ำว้าลงในอาหาร ถ้าต้มนานพอจนเปื่อย กล้วยน้ำว้าจะทำให้รสชาติการกินดีขึ้น ฮาๆ มันคือกล้วยบวชชีนี่เอง
  • รู้สึกว่าสิ่งพอทดแทนไอศกรีมได้ คือ ผลไม้ กินแล้วรู้สึกสดชื่นพอๆกัน และ อาจดีกว่าตรงที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า เพราะ มี micronutrient, phytoneutrient, vitamin
  • การเป็นคนธรรมดา เหมือน NPC ในเกมส์ ที่ไม่ได้เป็นที่รู้จัก(หรือพยายามเป็นที่รู้จัก) อาจจะทำให้ใช้ชีวิตได้ง่ายกว่า และมีความสุขกว่า การเป็นคนมีชื่อเสียง(หรือพยายามเป็นคนมีชื่อเสียง) แม้คุณค่าของคนจะไม่ต่างกัน เช่น อ่านหนังสือเยอะเหมือนกัน ความรู้พอๆกัน เป็นต้น
    • การไม่คิดว่าตัวเองเก่ง แต่คิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา(ซึ่งความจริงก็เป็นแบบนั้น) แพ้ได้เหมือนกัน ไม่ได้ชนะตลอด เลือดก็สีแดงเหมือนกัน ไม่ได้โดดเด่น หรือดีกว่าคนอื่น จะทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น
    • ตัวอย่าง แบบตัวเอกใน anime นี้
  • เหมือนการอ่านหนังสือจาก "หนังสือจริง" ดีกว่า e-reader 50%(1.5เท่า) ดีกว่าอ่านจากหน้าจอ 100%(2เท่า)
    • แต่ถ้าหนังสือจริง หรือ e-reader ตัวอักษรเล็ก การอ่านจากหน้าจอ/tablet จะดีกว่า 50% เพราะขยายตัวอักษรได้
    • แต่เอาจริงๆ ขนาดตัวอักษรใน Textbook นับว่าเป็นขนาดมาตรฐาน ที่ผู้ใหญ่ปกติ และ เด็ก อ่านกันได้ เพียงแต่เราอาจจะไม่ชิน
    • เหมือนการอ่านหนังสือจริง ทำให้ grammar พัฒนาได้ดีกว่า การอ่านจากหน้าจอนะ
  • หลังจากที่ทำ IF 42/6 ช่วงสงกรานต์ มา 1 สัปดาห์
    • สิ่งที่สังเกตได้ คือ
      • เหมือนความสามารถในการวางแผนดีขึ้น สามารถวางแผนการทำสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันได้เป็นระบบขึ้น แบบไม่เคยเป็นมาก่อน และไม่ต้องพยายามบีบเค้นตัวเองให้คิดแต่อย่างใด น่าจะเป็นเรื่องของ IQ ด้วยนะ
      • สมาธิดีขึ้น ไม่ลนลานง่าย มีสมาธิอยู่กับตัวเองได้ดีขึ้น
      • ไม่ได้ออกกำลังกาย แทบไม่ได้ขยับตัวเลย แต่สมาธิกลับดีขึ้น สามารถใช้สมอง ใช้ความคิด ได้อย่างที่ต้องการมากขึ้น(แต่ก่อนจะลนลานง่าย ควบคุมตัวเองได้ไม่ดี ใช้ความคิดไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ)
    • สรุปคือ พัฒนาขึ้นเยอะ พยายามทำIF 42/6 อย่างนี้ต่อไปเยอะๆ
  • มาห้องสมุด ได้หนังสือมาอ่าน(ช้อปปิ้งหนังสือ) เกี่ยวกับสงครามสกุลเงิน currency war น่าจะทำให้เราเข้าใจระบบการเงินในปัจจุบันมากขึ้น
  • เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 326(6 หน้า)
    • วันนี้อ่านถึงหน้า 339(13หน้า) 
  • โดยส่วนตัวคิดว่า ตอนนี้สมาธิดีพอที่จะควบคุมตนเองให้อ่านหนังสือคนเดียวในห้อง ได้ดีพอๆกับไปอ่านท่ามกลางผู้คน(อ่านที่ห้องสมุดมหาลัย)แล้ว (เทียบจากจำนวนหน้าหนังสือที่อ่านได้ เมื่ออ่าน ที่ห้อง และ อ่านที่มหาลัย) อาจจะไปมหาลัยวันเว้นวัน ก็ได้
    • อ่านที่มหาลัย เวลาอ่านจะน้อย แต่อ่านได้อย่างต่อเนื่อง เพราะ จะเล่นเกมส์ไม่ได้ ดูการ์ตูนไม่ได้ สถานการณ์บีบบังคับให้อ่านหนังสือ
    • อ่านที่หอพัก  เวลาเยอะ แต่มักจะเอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ สุดท้ายก็อ่านได้พอๆกับที่ไปอ่านที่มหาลัย
    • แต่อาจต้องดูยาวๆ ช่วงนี้ไปวันเว้นวันไปก่อน

21 เม.ย.

  • วันนี้ตื่นตี 3 นอน 5 ชม เมื่อวานวันอด(42 ชม) ตื่นมาไม่รู้สึกอ่อนเพลีย มีแรงปกติ วันนี้วันกินอาหาร
  • รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปทีละวันๆ หมายความว่าตอนนี้เรากำลังผลาญเวลาชีวิตไปอยู่หรือเปล่านะ เราไม่ได้ทำตามความฝันและใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า มัวแต่ไปศึกษาด้านการเงิน ไม่ได้เริ่ม programming สักที
    • หรืออีกนัยหนึ่งคือ เรากลัวและไม่มั่นใจว่าถ้าเราเลือกเส้นทาง programming แล้วไปได้ไม่สุด(พื้นฐานไม่ดี ตั้งบริษัทก็เจ๊ง ล้มเหลว) ก็จะต้องทำงานเพื่อเงินต่อไปจนแก่ และไม่ก้าวหน้าในสายอาชีพ เพราะ พื้นฐานไม่ดี รายได้ก็ไม่เยอะ ไม่มีความมั่นคง
    • เราเลยมาศึกษาด้านการเงินก่อน เพื่อให้มีความรู้ในการหาเงินที่หลากหลายเป็นประกันชีวิต เผื่อถ้าเราไปด้านคอมฯที่เราชอบแล้ว มันเจ๊ง เรายังมีโอกาสอยู่รอดได้บ้าง
    • เรื่องการเงิน ก็ศึกษาเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่หลังจากเริ่มได้พื้นฐาน ก็จะเปลี่ยนด้าน programming มาเป็น Major, ส่วนการเงินเป็น Minor แทน
      • เหมือนก่อนจะออกวิ่ง ก็ต้องเตรียมตัว ผูกเชือกรองเท้าให้กระชับดี ฝึกจังหวะการหายใจ ลงน้ำหนักเท้า ท่าทางการวิ่งเพื่อให้ได้แรงจากสปริงที่เท้า ซึ่งหากเรามุ่งแต่จะใช้พละกำลังและแรงฮึดวิ่งอย่างเดียว ก็จะวิ่งไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ ลำบาก และ อาจไม่ถึงเป้าหมาย การที่เรารู้อะไรหลายๆอย่างเตรียมเผื่อไว้ ก็น่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย
  • เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 323(12 หน้า)
  • วันนี้เขียนสรุปเรียบเรียงความคิดจากสิ่งที่อ่านไป แต่อ่านเพิ่มไม่เยอะ
  • พองดกาแฟ ท้องจะผูกแทน พอดื่มกาแฟจะเหมือนท้องเสียนิดๆ เพราะ ลำไส้ทำงานเร็วกว่าปกติ
  • วันนี้ดูการ์ตูน 4 ชม.ต่อเนื่อง ช่วงที่กินข้าว ซึ่งเป็นช่วงที่สติ สมาธิ มีกำลังอ่อนที่สุด
    • เผลอกินเยอะมากไป จนอึดอัด ทั้งๆที่ไม่ได้ใช้แรงเยอะ และที่กินอยู่ก็พอดีอยู่แล้ว
  • ลำดับการพักผ่อนที่เคยทำตามประโยชน์ที่ได้รับ
    • อ่านนิยายeng(ได้ฝึกภาษา) > ดูหนัง eng(ฝึกภาษา) > เล่นเกมส์(ฝึกทักษะ) > ดูการ์ตูน(ได้แนวคิดรูปแบบต่างๆ)
    • ส่วนใหญ่ที่ได้ทำจริงๆ คือ 2 อย่างสุดท้าย ฮาๆๆ

20 เม.ย.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน นอน 7 ชม
  • เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 311(12 หน้า)
  • เหมือนวันที่อด ทำให้ทำความเข้าใจกับหนังสือง่ายขึ้น พอรู้สึกง่ายขึ้น สมาธิก็ดีขึ้น เถลไถลน้อยลง
  • เหมือนกับว่า ไม่ใช่แค่สมาธิที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่ต้องมีการรวมกันของกำลัง 5 อย่าง(พละ 5 - พระไตรปิฎก) สติ ปัญญา ความเพียรยายาม ศรัทธา(แรงปราถนา) และ สมาธิ คอยหมั่นตรวจสอบว่าส่วนใดน้อยลง และพยายามเติมให้เต็ม หรือ พัฒนาให้มากขึ้นอยู่เสมอ เช่น
    • เผลอไปเล่นเกมส์นานๆ เกิดจากไม่มีสติ แต่พอจะอ่านหนังสือ ก็อ่านได้ไม่นาน เกิดจากไม่มีสมาธิ ในแต่ละวันเริ่มย่อหย่อน เริ่มไม่ได้นึกถึงเป้าหมาย ใช้ชีวิตไปวันๆ เกิดจากขาดศรัทธา(แรงบันดาลใจ) และ ความเพียร และใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่คิดอะไร ไม่เกิดการตั้งคำถามใหม่ๆ ขาดการพิจารณา ทบทวนตัวเอง วิเคราะห์ตนเอง คือ ขาดปัญญา คิดพิจารณาโดยแยบคาย
  • ปัญหาที่ว่า ทำไมแม้เราจะพยายามอยากจะออกมาเพื่อทำตามความฝัน ทำในสิ่งที่ชอบ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ทำตามความฝันจริงๆจังๆเสียที 
    • สาเหตุก็คือ ความกลัวความไม่มั่นคง กลัวการไม่มีเงิน ถ้าเป็นเด็ก ก็คงจะศึกษาในสิ่งที่ชอบแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่สนใจลำดับขั้นตอนหรือเวลา อยากอ่านก็อ่าน ชอบอะไรก็ทำอย่างนั้น ทำได้เลยทันที ไม่ต้องมีข้อแม้หรือเหตุผลอื่นๆ เช่นว่า ต้องหาเงินให้ได้ก่อน ทำนู่นนี่นั่นก่อน คอยให้ชีวิตมีอิสระทางการเงินก่อนแล้วค่อยมาทำสิ่งที่ชอบ เป็นต้น
    • เราควรจะเลียนแบบเด็กดีไหมนะ? น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ก็ยังยึดติดกับสิ่งรอบข้างอยู่? เช่น ยึดติดกับความสำเร็จ การมองจากคนรอบข้าง คำชื่นชม คำวิจารณ์ ชื่อเสียง เงินทอง ความมั่นคง เป็นต้น ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนภาพลวงตา ที่หากเราทำในสิ่งที่ชอบจริงๆต่างหากจึงจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การตามแนวทางของคนส่วนใหญ่
    • สรุปตอนนี้ ยังอ่านเรื่องการเงิน ยังไม่ได้อ่านเรื่องคอมพิวเตอร์ ตามที่ต้องการจริงๆ
  • รู้สึกว่าการพยายามอดข้ามวันให้ได้ วันเว้นวัน แม้วันที่กินอาหาร จะกิน 3 มื้อ ก็ยังพัฒนาตนเองได้เร็วกว่า มีสมาธิจดจ่อกับการทำงาน ได้ดีกว่ากินวันละมื้อทุกวันนะ
    • โดยส่วนตัวตอนนี้ กิน 2 มื้อ แล้วอดข้ามอีกวัน(IF 42/6)
  • เหมือนต่อให้อ่านจากหน้าจอ ก็ต้องเปิดโคมไฟ ให้สิ่งแวดล้อมสว่างพอๆกันนะ(อ่านหนังสือจากจอคอมได้ดีขึ้น) พอปิดโคมไฟ เหมือนสายตาจะโฟกัสที่หน้าจอยากขึ้น เพราะ แสงจากหน้าจอ ต่างจากสิ่งแวดล้อมมากไป
  • Performance ในการอ่านหนังสือ IF 42/6 > IF 36/12 > IF 22/2 > IF 16/8
    • มีสมาธิดีกว่า โฟกัสได้ดีกว่า ควบคุมตัวเองได้ดีกว่า ความคิดแล่นกว่า อารมณ์นิ่งกว่า
    • เหมือนวันนี้ไม่ค่อยต้องพึ่งพาสิ่งบันเทิง เพราะสามารถโฟกัสกับการอ่านหนังสือได้ดี
  • ถึงจุดหนึ่งเราอาจต้องตัดจบการลงทุนของตัวเอง แล้วกลับมาศึกษาด้าน programming ต่อ
  • ดูหนัง eng ฟรี ทาง youtube - > ช่วยให้เห็นวัฒนธรรมของตะวันตกมากขึ้น https://www.youtube.com/watch?v=Hztlds7wF80 

19 เม.ย.

  • วันนี้ตื่น 4.00น นอน 6 ชม เมื่อวานอดข้ามวัน วันนี้จะลอง IF 42/6 กินในช่วง 6 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน
  • กินกาแฟ 1 shot ก็พอดีๆ มีสมาธิอ่านหนังสือ ไม่มีปัญหาอะไร
  • ช่วงนี้เป็นตะคริวบ่อยขึ้น เพราะ อาจเพราะ กินเกลือไม่พอ แต่นอนหลับปกติ แสดงว่าขาดเกลือ ไม่ได้มีผลกับการนอน
  • วันนี้กินเนื้อสัตว์ ผื่นขึ้นหน้าอีกแล้ว และตามมาด้วยความรู้สึกกระสับกระส่ายแปลกๆ
  • เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 299(9 หน้า)
  • เรื่องอาหารการกิน จริงๆคิดว่าไม่จำเป็นต้องแสวงหาอะไรมากมาย ความรู้สึกอร่อยหรือไม่อร่อยก็เป็นเพียงชั่วคราว พอกลืนลงไปก็ไม่รู้สึกอีกแล้ว และสุดท้ายก็ลงไปรวมในกระเพาะ ซึ่งสภาพของมันหลังกลืนลงไปก็ไม่ได้หน้าดูแต่อย่างใด
    • พยายามทำให้อาหารการกินเรียบง่าย ท่าจะดี ไม่ต้องยุ่งยากหรือใช้เวลาชีวิตเยอะ แต่อย่างไรเราก็ยังมีกิเลส ถ้าอยากกินตามใจก็ยังกินได้บ้าง นานๆที แต่พยายามฝึกตนเอง ให้อย่าเสียเวลากับมันมากนัก
    • การกินอาหารที่ถูกทำอย่างปราณีต ก็ไม่ได้ผิดอะไร การทำอาหารอาจจัดได้ว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ต้องไม่ติดใจในรส อย่างน้อยต้องรู้ความจริงว่า หลังผ่านลงไปในกระเพาะ ก็ไม่ได้มีอะไรน่าพิศมัย
  • สิ่งแวดล้อมอย่างไรก็มีผลกับความคิดของเรา อย่างที่เราไม่สามารถบังคับมันได้ อย่างเช่น ถ้าเราเจอคนที่เรารำคาญ แค่เห็นหน้าก็หงุดหงิดทันทีแล้ว แต่ตอนไม่เห็นหน้าความรู้สึกก็เป็นปกติ ซึ่งในหลายๆครั้งเราไม่สามารถเลือกแต่สิ่งแวดล้อมที่ดี เหมาะสมได้ตลอด
    • สิ่งที่เราพอจะทำได้ คือ มีสติคอยระวังจิตใจของเรา เวลากิเลสเกิดให้คอยรู้ทันเสมอๆ กิเลสเกิดขึ้นเองในใจเรา ตามเหตุที่สั่งสมมา เราก็คอยฝึกสติรู้ทัน ยิ่งรู้ทันมากเท่าไหร่ เราก็เข้าใจตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
  • แปลกดีแฮะ หลังจากที่ทำ alternate day fasting เมื่อวาน แม้วันนี้จะกินอาหาร แต่ก็อ่านหนังสือได้มีสมาธิดีขึ้น ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ช่วงก่อนหน้าที่แม้จะกินวันละมื้อ แต่งดการอดข้ามวันไปนาน ก็ควบคุมตัวเองได้ไม่ดี และไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ หมายความว่าน่าจะต้องอดข้ามวันบ่อยๆแล้ว
    • บางทีการพยายามหา เหตุผล หรือ คำคม หรือ หลักการใดๆมาควบคุมตัวเอง ให้อ่านหนังสือ หรือ ตั้งใจทำงาน อาจจะใช้ไม่ได้จริง เป็นเพียงการพยายามควบคุมตัวเองแบบหยาบๆ ปลายเหตุ และยังจะเป็นการกดดันตัวเองเปล่าๆ ให้พยายามหาสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นต้นเหตุจริงๆเช่น
      • ถ้าสมาธิไม่ดี ไม่สามารถโฟกัสกับการอ่าน ก็ลองทำ Fasting อดข้ามวัน(อด 36 ชม) เพื่อให้สมาธิดีขึ้น โฟกัสกับเนื้อหาได้ดีขึ้น
      • สถานที่มีสิ่งยั่วยุมาก เช่น เปิดดูการ์ตูน, เล่นเกมส์ได้ง่าย โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาจปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เช่น ลองเปลี่ยนที่อ่านหนังสือ ไปอ่านในที่ที่มีอากาศ อุณหภูมิ แสงสว่าง ความเงียบ หรือ อาจรวมถึงธรรมชาติที่เหมาะสม
  • ตกเย็นเริ่มอ่านหนังสือจากหน้าจอไม่ได้แล้ว เหมือนตาเริ่มล้า? เป็นขีดจำกัดของแต่ละวัน หรือ เกิดจากการเนื้อสัตว์ทำให้เกิดอาการแพ้ ตาแห้ง ผื่นขึ้นกันนะแล้วอ่านหนังสือได้น้อยลงกันนะ

18 เม.ย.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน นอน 7 ชม ลดกาแฟเหลือ 1 shot
  • เมื่อวานอ่าน The Art of currency trading ถึงหน้า 290(5 หน้า)
  • หลังจากเมื่อวาน งดเนื้อสัตว์​ อาการตาแห้ง ผื่นที่หน้า ก็ดีขึ้น
  • อยากจะลองดูว่า เราสามารถควบคุมตัวเองแม้จะอยู่คนเดียวได้หรือไม่ ทดลองใช้ หลักการแลกเวลาชีวิต กับกิจกรรมที่ทำ + ทักษะการรับรู้เวลา คือ
    • ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมเป็นแบบไหน ในแต่ละวันเราจะได้รับโอกาส คือ เวลาจำนวนหนึ่ง ที่มีจำกัด สำหรับเอาไปแลกในการทำกิจกรรมต่างๆ
    • มันอยู่ที่เราจะเลือกว่าจะเอาเวลาไปแลกทำกิจกรรมไหน เพื่อประโยชน์ หรือ เหตุผลอื่นใด ขึ้นอยู่กับเราจะบริหาร
    • ทักษะการรับรู้เวลาก็มีความสำคัญ มันเป็นการคอยรู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และ เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว
    • ต่อให้สิ่งรอบข้าง เต็มไปด้วยสิ่งบันเทิงล่อใจ แต่ถ้าเวลาในแต่ละวันเรามีจำกัด เรายินดีที่จะจ่ายไปกับสิ่งเหล่านั้นไหม?
  • ทำ IF22/2 มา2 วัน แล้วต่อด้วย อดข้ามวัน(46 ชม) อีก 1 วัน ในวันอดข้ามวัน หลังผ่านมา 24 ชมจากมื้ออาหารสุดท้าย รู้สึกว่ามีสมาธิอ่านหนังสือดีขึ้น แบบไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษใดๆ แต่ต้องกินอาหารให้เพียงพอด้วยในวันปกติ
    • ที่ทำอยู่ รวมเวลากินอย่างมากก็ 6 ชม สำหรับ 3 วัน ก็ตกวันละ 2 ชม ดูเหมือนจะเพียงพอกับชีวิตในปัจจุบัน ที่ไม่ค่อยขยับตัวไปไหน อ่านหนังสือในห้องอย่างเดียว
    • หรือว่า จะเปลี่ยนมากินอาหาร 4-6 ชม(ถ้ากินในช่วง 4 hr ไม่ไหว ก็แบ่ง 2 มื้อ แล้วกินในช่วง 6 hr) แล้ว อด 42 ชม ดีไหมนะ(กินครึ่งวัน ที่เหลืออดข้ามอีกวัน) จะมีเวลาสำหรับ autophagy เฉลี่ยวันละ 9 ชม เทียบกับแบบที่ทำอยู่ จะได้ autophagy เฉลี่ยวันละ7 ชม
  • จะลองเปลี่ยนมาทำ IF 42/6 หรือ IF 44/4 (ถ้าทำได้)

17 เม.ย.

  • วันนี้ผื่นขึ้นหน้า เมื่อวานกินเนื้อสัตว์ อาจมีส่วนที่ทำให้ กระตุ้นอาการแพ้ได้ไหมนะ ทั้งตาแห้ง ปากแห้ง หน้ามีผื่นขึ้น(Sjogren's syndrome)
    • Sjogren's syndrome จะเป็นหรือไม่เป็นไม่รู้ แต่ที่รู้คือ อาการตาแห้ง(ทำให้เป็นคนกระพริบตาถี่ และ ลำบากในกิจกรรมที่ใช้สายตา) และปากแห้ง(หมอฟันทัก) มีมานานแล้ว
    • มีความเป็นไปได้ ว่าการงดเนื้อสัตว์และนม(vegetarian แต่ยังกินไข่ได้)​ จะช่วยให้ดีขึ้น
      • หลังจากที่ลองทำวันนี้ คือ กลับไปกินธัญพืช และ ไข่ ไม่กินเนื้อสัตว์และนม ปัญหาตาแห้ง และ ผื่นที่หน้าก็หายแล้วนะ
  • ลองติดเกมส์ดูทำให้รู้สึกเห็นใจสิ่งที่คนติดเกมส์ต้องเผชิญ มันเป็นอะไรที่หนีออกมายากเหมือนกัน มันไม่ใช่ความผิดของเขา เพราะ ความรู้สึกเสพติดมันออกได้ยากมาก และ เราคุ้นชินกับมันอย่างง่ายดายและรวดเร็ว ต้องอาศัยการทำให้เกิด productivity ในชีวิตจริง เพื่อแทนที่ productivity ในโลกเกมส์ เช่น เริ่มจากการอ่านนิยาย, อ่านหนังสือที่ชอบ เป็นต้น จะช่วยดึงให้เราออกมาจากการเสพติด และกลับสู่โลกความเป็นจริงได้
  • วันนี้ยังคงท้องเสีย ทั้งๆที่เมื่อวานไม่ได้กินธัญพืช(กินอกไก่ และ มันฝรั่ง หอมใหญ่ แครอท) จะลองงดกาแฟดู เพราะ อาจทำให้ลำไส้ทำงานเร็วกว่าปกติ นำมาสู่อาการท้องเสีย
  • วันนี้กลับมาเริ่มอ่านหนังสือต่อ The Art of currency trading หลังจากที่เมื่อวาน ไม่ค่อยได้อ่าน เพราะมัวติดเกมส์
    • เริ่มอ่าน 10.00น หน้า 285
  • สิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ก็มีผลเหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราทำให้มันง่ายสำหรับอะไร เช่น
    • เอาเงินไว้ในบัญชีเยอะๆเผลอแปล๊บเดียว ก็เผลอโอนเงินก้อนใหญ่ออกไปแล้ว
      • ถ้าทำให้โอนออกยาก สำหรับเงินก้อนใหญ่ ต้องโอนเงินกลับมาจากหลายบัญชี หรือ มีหลายขั้นตอน ก็จะทำให้ต้องยั้งคิดมากขึ้นในการใช้จ่าย
      • พอร์ตการลงทุนก็เหมือนกัน ควรแบ่งเป็นพอร์ตเล็กๆ
    • เอาเครื่องเล่นเกมส์ไว้ใกล้ตัว เผลอแป๊บเดียวก็ไปกดปุ่มเปิด แล้วเล่นทั้งวันแล้ว
      • คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งแวดล้อมหนึ่ง ที่รวมอุปกรณ์ที่ดี และไม่ดี เข้าไว้ด้วยกัน แต่เผลอแป๊บเดียว แค่ปลายนิ้วสัมผัส ก็มักจะไปเปิดใช้งานโปรแกรมที่ไม่ดีเข้าเสียแล้ว เช่น เกมส์ เป็นต้น
  • วันนี้ลองไม่กินกาแฟ เหมือนสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น แม้จะง่วง แต่กลับสามารถเจริญสติได้ดีกว่า และใช้สติควบคุมตัวเองให้อ่านหนังสือได้ดีกว่า
    • หรือที่ผ่านมาเราดื่มกาแฟมากไป(Double shot)
  • เคยฟังเทศน์ เหมือนกับว่าถ้าเราอยู่คนเดียว ไม่ได้เจอใครเลย โมหะ จะครอบงำจิตได้ง่าย หมายความว่าความ active และ วินัยของเรามีโอกาสย่อหย่อนลง หรือมันจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าอยู่คนเดียว แล้วอยากจะพัฒนาตัวเอง?
  • สรุปว่า วันนี้อยู่ห้องคนเดียว ไม่ไปมหาลัย ดูการ์ตูน และ เล่นเกมส์ พอสมควรเลย ทำอย่างไรให้เราสามารถควบคุมตัวเองได้ทุกที่ แม้จะอยู่ในที่ส่วนตัว?
    • เหมือนกับว่า ในแต่ละวันเรามีทรัพยากรเวลาจำกัด เราจะเอาเวลาของเราไปแลกกับอะไร อยู่ที่เราจะเลือก(เหมือนกับเรามีเงินจำนวนหนึ่ง เราจะเอาไปแลกกับอะไร ให้คุ้มค่า หรือ ให้มีความสุข ก็อยู่ที่เรา) เช่น
      • ถ้าเลือกเอาเวลาของเรา จ่ายไปกับกิจกรรม อ่านหนังสือ ก็จะไม่ได้ เล่นเกมส์ ดูการ์ตูน
    • ไม่จำกัดว่าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมไหน เวลาจะเป็นสิ่งเดียวที่มีเท่ากัน จะเอาเวลาไปแลกเป็นกิจกรรมใด ก็ขึ้นอยู่กับเรา
    • พยายามฝึกทักษะการรับรู้เวลาให้ดี จะได้รู้ตัวอยู่เสมอว่า เวลาที่ผ่านไปแต่ละชั่วโมงๆ เรากำลังใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง
  • ใช้วิธีข้างต้น(หลักการแลกเวลาชีวิตที่มีจำกัดกับสิ่งที่จะทำ + ทักษะการรับรู้เวลา) ช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นนะ แม้จะอยู่ในห้องคนเดียว
  • รู้สึกว่าถ้าอ่านจากหน้าจอ จะไม่ได้พัฒนา Grammar เท่าไหร่ และ ช่วงนี้ไม่ได้อ่านนิยายด้วย เขียนตอบ comment ใน youtube กับช่องตปท. ไม่ค่อยลืนไหลเท่าไหร่

16 เม.ย.

  • ช่วงนี้ติดเกมส์ ไม่ได้วิเคราะห์ตัวเองแบบเมื่อก่อน จะแก้ไขอย่างไรดีนะ?
    • ปัญหาหนึ่งเกิดจาก ทำ Alternate day fasting แล้วกินอาหารไม่พอ น้ำหนักตัวน้อยเกินไป ทำให้ไม่มีแรงอ่านหนังสือ พอไม่มีแรงอ่านก็ไม่รู้จทำอะไร ก็เลยไปเล่นเกมส์ จนติดเกมส์
      • วิธีแก้คือ ทำให้มีแรงพอจะอ่านหนังสือทั้งวัน ด้วยการ เปลี่ยนมากิน 3 มื้อปกติ ในช่วง 12 ชม แล้วอดวันเว้นวัน(IF 36/12) ไม่ต้องเพิ่มการอดไปมากกว่านี้ หรือไม่ก็กลับไปกินวันละมื้อ 2 วัน แล้วอดข้ามวันอีก 1 วัน(น่าจะลองวิธีนี้แหละ)
  • รู้สึกว่าเล่นเกมส์ไปเรื่อยๆ ชักน่าเบื่อแล้ว ระบบการเล่นซ้ำเดิม ทำภารกิจไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรใหม่ เวลาชีวิตก็ถูกผลาญไปโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับคืนมาเท่าไหร่ ไปหาความรู้ในโลกความเป็นจริง แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจเท่าในเกมส์(แต่อนาคตไม่แน่) แต่มีอะไรใหม่ๆที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ตลอด ไม่น่าเบื่อเลย
    • ต่อให้เราเก่งในเกมส์ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นในชีวิตจริง มันก็สูญเปล่า 
    • การพัฒนาทักษะในเกมส์ ส่วนใหญ่มันก็เป็นทักษะซ้ำเดิม พอพัฒนาไปแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็จะถึงทางตัน ต่างจากการหาความรู้ ที่ขยายวงกว้าง หรือ ลงลึกไปได้เรื่อยๆ หรือ เอาไปต่อยอดสร้างสิ่งใหม่ได้ ตามที่เราต้องการอย่างไม่สิ้นสุด
    • ถ้าเล่นเกมส์เก่ง แล้วเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ เรายินดีเล่นทั้งวันเลย แต่ในความเป็นจริงมันเอาไปใช้ได้น้อยมาก อย่างมากก็เป็นการฝึกทักษะเดิมซ้ำๆ ต่อให้เล่นเกมส์เก่งแค่ไหน ชีวิตก็ยังอยู่ที่เดิม
    • ไม่เคยเห็นคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ จากการเล่นเกมส์ทั้งวันเลย เคยเห็นแต่อ่านหนังสือทั้งวัน แล้วประสบความสำเร็จ
  • เหมือนตัวเองจะมีปัญหาภูมิแพ้อย่างหนึ่ง คือ ทำให้ตาแห้ง(ตกเย็น ตาจะแดงอย่างเห็นได้ชัด) และปากแห้ง รวมถึงมีผื่นที่หน้าบ่อยๆ(Sjogren's syndrome?) แต่ไม่ได้เป็นเยอะ จนเป็นอาการเจ็บป่วย หรือ มีอาการปวดข้อ แต่อย่างใด
    • มีคนที่เป็นและบรรเทาด้วยการปรับเปลี่ยนอาหาร เป็น vegan
    • เท่าที่สังเกต ช่วงที่ผ่านมา ปรับเปลี่ยนอาหารเป็น plant-based diet เน้นธัญพืช และ ไข่ ไม่กินเนื้อสัตว์ อาการตาแห้ง ผื่นที่หน้า ก็ดีขึ้นนะ(ปากแห้งไม่ได้สังเกต) อ่านหนังสือได้ดีขึ้น(ตาไม่แห้ง)
      • แต่วันนี้กินเนื้อสัตว์​ และ อาการตาแห้ง ผื่นที่หน้า ก็กลับมาแล้ว เลยไม่แน่ใจว่า อาจเป็นเพราะ เนื้อสัตว์มีสารที่ทำให้เกิด allergy เยอะ
      • อาจจะลองงดเนื้อสัตว์แบบจริงจังดู ไข่ ก็กินวันละไม่เกิน 1 ฟอง
  • สรุปว่า วันนี้ ไม่ได้ไปมหาลัย อ่านหนังสือได้นิดหน่อย ที่เหลือ เล่นเกมส์ ดูการ์ตูน ช่วงนี้หมกตัวอยู่ในห้อง คิดว่าจะอ่านหนังสือ แต่ก็ไม่ได้อ่าน เป็นช่วงแห่งความเสื่อม
    • เหมือนว่า ถ้าขี้เกียจอ่านหนังสือ อยากจะไปเล่นเกมส์​ ดูการ์ตูน ให้มาอ่านนิยาย ภาษาอังกฤษแทน พอสนุกทดแทนกันได้อยู่นะ และยังคงได้ประโยชน์ด้วย
  • แต่แปลกดี เราเข้าใจว่าปัญหาสายตาทำให้เราอ่านหนังสือไม่ได้ในตอนเย็น แต่พอเราไปอ่านนิยายภาษาอังกฤษ​(อ่านในคอม) กลับยังอ่านได้แฮะ หมายความว่า จริงๆเป็นเพราะ เราอ่านเรื่องเดิมมาทั้งวัน จนเริ่มเบื่อ(เรื่องการลงทุน)
    • แต่ถ้าเป็นเรื่องการเขียนโปรแกรม น่าจะยังพออ่านได้ทั้งวันอยู่
    • ทั้งหมดน่าจะเป้นเรื่องของความรู้สึก ที่บังคับให้ชอบหรือไม่ชอบ ไม่ได้(ถ้าบังคับได้ คงไม่ใช่มนุษย์ละ ขนาดแค่เจ็บป่วยทางร่างกาย ก็ยังส่งผลต่อความรู้สึกได้)

15 เม.ย.

  • วันนี้วันอด เมื่อคืนนอน 8hr วันนี้ตั้งใจว่าจะถือศีล 8 ให้สำเร็จสักวัน งดสิ่งบันเทิงทุกชนิด
  • เมื่อวานอ่าน the art of currency trading ได้ 1 หน้า เพราะ เล่นเกมส์ ไม่ค่อยได้อ่าน
  • อ่าน programming 10.00-13.00 น
  • เหมือนจะไม่ได้ติดเกมส์ขนาดนั้น ใช้วิธีการถือศีล 8 วันเว้นวัน ช่วยได้
  • วันนี้เผลอไปดูการ์ตูนอีกแล้ว เท่าที่สังเกต อย่างตอนไปอ่านหนังสือที่มหาลัย อ่านหนังสือเช้าถึงเย็น ไม่ได้ดูการ์ตูนก็ไม่เป็นอะไรนะ ดังนั้น ขณะอยู่ห้องคนเดียว จะไม่ดูการ์ตูนก็ไม่ตายหรอก
    • เวลาทำงาน ก็คือเวลาทำงาน อย่าเอามาดูการ์ตูน
  • เหมือนเรากำลังทิ้งความฝัน ด้าน programming ไป trade เลยแฮะ ตอนนี้จะต้องกลับมาศึกษาprogrammingแล้ว เหมือนการเขียนโปรแกรมสนุกกว่า investment นะ
  • หลักๆเรื่องของภาษาอังกฤษ คือ เราต้องรู้ Grammar ที่จำเป็น แล้วจะใช้โครงสร้างGrammar สร้างประโยคอย่างไรก็ได้
    • เหมือนผลจากการทำ Alternate day Fasting ทำให้ logic ดีขึ้นนะ เข้าใจสิ่งต่างๆง่ายขึ้น
  • (ความชอบส่วนตัว)เหมือนพอมาอ่าน programming มันไม่ได้รู้สึกน่าเบื่อเหมือนอ่าน investment นะ มันรู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างที่เราอ่าน เรากำลังเพิ่ม skill, technique หรือ tool ให้กับตัวเอง เพื่อจะเอาไปสร้าง program ตามที่เราต้องการ ซึ่งมันสนุก รู้สึกว่าถ้าเทียบระหว่าง investment กับ programming และเวลาในชีวิตมีจำกัดให้เรียนได้แค่อย่างเดียว จะเสียดายมากหากไม่ได้เรียน programming
    • ส่วน investment นั้น จำใจอ่าน เพราะ ปัญหาด้านการเงิน(แต่ก็ได้ความรู้อะไรเยอะนะ ดีกว่าไม่รู้ แล้วเกิดความฉิบหายทางการเงินแทน)
    • รู้สึกเหมือนเราสามารถ handling ในเรื่องการเขียนโปรแกรมได้ดีกว่าเรื่องอื่นๆ เป็น feeling และ touching ที่คุ้นเคย
  • Alternate day fasting แบบกิน 2 มื้อ น่าจะไม่ไหว ตกเย็นเริ่มไม่มีแรง

14 เม.ย.

  • สรุปว่า เมื่อวานก็รักษาศีล 8 ไม่สำเร็จ เพราะไม่มีแรงอ่านหนังสือ เลยไปหาอะไรทำด้วยการเล่นเกมส์ O_o
    • ต้องฝึกตั้งใจใหม่ต่อไป และกินอาหารให้พอ จะได้ไม่ต้องหมดแรงกลางทาง
  • วันนี้ ตื่นตี 2 (นอน 5 ทุ่ม) เริ่มกินอาหารตอน ตี3
  • หาข้อมูลเกี่ยวกับอาการท้องเสีย อึ ไม่จับตัวเป็นก้อน สาเหตุหนึ่งคือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เพราะ มันจะกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนไหว และ ผลักอาหารไปยังลำไส้ใหญ่เร็วกว่าปกติ ทำให้ไม่ทันได้ดูดซึมน้ำและเกลือแร่ และ อึไม่เป็นก้อน จะต่างจากท้องเสียจากการอักเสบหรือติดเชื้อ คือ จะไม่ได้มีอาการปวดท้อง หรือ มีเลือดออกแต่อย่างใด
    • หาจากแหล่งข้อมูลต่างประเทศดีกว่าไทยเยอะ ข้อมูลครบถ้วน รอบด้าน
  • เริ่มจะติดเกมแล้วสิ แต่ทักษะการเล่น การควบคุมตัวละคร การวางแผน สมาธิ ทำได้ดีขึ้นเยอะกว่าแต่ก่อนมากเลยนะ ทั้งๆที่หยุดเล่นไปนาน(น่าจะเป็นผลหลังจากที่เปลี่ยนมาอดวันเว้นวัน - alternate day fasting)
    • ความรู้สึกของการเล่นเกมส์ มันจะเหมือนกับว่า โอกาสที่จะทำอะไรได้สำเร็จ มันง่ายกว่าและสนุกกว่า โลกความเป็นจริง เลยทำให้อยากลองทำนู่นนี่นั่น ทำสิ่งต่างๆในเกมส์ ไปเรื่อยๆ สำเร็จไปทีละ Achievement/Quest ไม่สิ้นสุด แต่อย่างในโลกความเป็นจริง จะทำอะไรให้สำเร็จ ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน ไม่ได้มีอะไรที่สนุกตลอด (ถ้าเป็นเกมที่เล่นไม่ชนะสักที หรือไม่เข้าใจวิธีเล่น ได้แต่วนอยู่กับที่ ก็คงจะไม่สนุกเท่าไหร่)
  • เมื่อวานอ่านหนังสือ The art of currency trading ได้ถึงหน้า 276 รวมประมาณ 11 หน้า
    • วันนี้เริ่มอ่าน 13:30น
  • เหมือนจะเกิดภาวะโลหิตจาง(anemia) สังเกตจาก สีเล็บ และริมฝีปากเริ่มซีดจาง และออกม่วงคล้ำ มีหลายสาเหตุที่เป็นไปได้(เลือกได้มากกว่า 1 ข้อ)
    • กินธัญพืชกับไข่เป็ด สารอาหารครบ แต่กินไม่พอ
    • กินธัญพืชกับไข่เป็ด สารอาหารไม่ครบ ต้องกินเนื้อสัตว์บ้าง
    • เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตั้งแต่เอาธัญพืชเก่ามากินได้ไม่นาน ก็เริ่มสังเกตเห็นอาการแสดง อาจมี Aflatoxin toxicity?

13 เม.ย.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน จะพยายามรักษาศีล8 หลังจากละเลยมาหลายวัน
  • ไม่ได้ไปมหาลัย อ่านหนังสือที่หอพัก หลังจากที่สั่งโต๊ะและเก้าอี้ ikea มา ก็อ่านหนังสือได้มากพอๆกับไปอ่านที่มหาลัยแล้ว
  • ปัจจัยผลักดันให้อ่านหนังสือ/พัฒนาตนเอง
    • เชิงบวก(positive reinforcement)
      • ทำในสิ่งที่ ชอบ หรือ มีความถนัด
        • ข้อจำกัด ทำได้เฉพาะสิ่งที่เราชอบ แต่ชีวิตบางทีก็ต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบและหลายๆครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้
        • ข้อดี ตราบใดที่เรายังชอบ สนุก จะทำได้เรื่อยๆ
      • ตั้งใจว่าจะช่วยเหลือผู้อื่น
        • ข้อดี ความต้องการช่วยเหลือผู้อื่น, มนุษยชาติ, คนหมู่มาก เป็นเป้าหมายที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ทำเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันสำเร็จ (แต่ยิ่งทำก็ยิ่งเกิดประโยชน์ อย่างไม่สิ้นสุดเช่นกัน) จะชักนำให้เราพัฒนาตนเองตลอดชีวิต
        • ข้อจำกัด ต้องตั้งใจจริงๆ อุทิศตน
      • ฝึกหักห้ามใจในสิ่งชวนเพลิดเพลิน แต่ไม่มีประโยชน์ เอาเวลามาทำประโยชน์
      • ถือศีล 8 งดเว้นสิ่งบันเทิง ก็จะกลับมาอ่านหนังสือได้เอง
    • เชิงลบ(negative reinforcement)
      • ใช้ความลำบากเป็นแรงผลักดัน
        • ข้อจำกัด พอสบายแล้ว จะค่อยๆลืมความลำบาก และ จะเริ่มขี้เกียจ
    • หรือจริงๆจะใช้วิธีการกำหนดเป้าหมาย เป็นขั้นๆ แบบตอนเล่นเกมส์ดีนะ?
      • เช่น เกมส์มีเป็นด่านๆ ที่มีภารกิจให้เราต้องทำให้สำเร็จ เราอาจต้องกำหนด Achievement เป็นช่วงๆในชีวิต เช่น
        • อ่านตำราเทรดให้จบ
        • ฝึกเขียนเว็บ ลองทำระบบ
        • อ่านเลข ฟิสิกส์​ เคมี ชีวะ
  • เหมือนกิน 2 มื้อ ก็ยังน่าจะไม่ไหวแฮะ ตกเย็นไม่มีแรงยกของ ไม่มีแรงอ่านหนังสือหรือใช้ความคิดจริงๆจังๆ น่าจะต้องเพิ่มเวลากินเป็น 12 ชม+อดวันเว้นวัน เหมือนเดิม แล้วถือศีล 8 นานๆที?
    • แต่จริงๆเหมือนยังอ่านหนังสือได้นะ แต่กล้ามเนื้อไม่มีแรง น่าจะเกิดจากช่วงที่เกิด autophagy ที่จะมีอาการอ่อนเพลีย?

12 เม.ย.

  • วันนี้ตื่นตี 4 น่าจะไม่อด(เลื่อนการอดข้ามวันมา2วันแล้ว) เพราะ เมื่อวานทำงานบ้านเยอะ และวันนี้รู้สึกไม่มีแรง วันนี้กิน 2 มื้อ
  • เมื่อวานอ่านได้ถึง หน้า 250 (7 หน้า) => ถือว่าน้อย เพราะ อ่านไปดูการ์ตูนไป แทนที่จะอ่านอย่างมีสมาธิ
  • โต๊ะที่สั่งจาก ikea มาถึงแล้ว
    • หลังจากที่มีโต๊ะทำงาน วันนี้อ่านได้ถึง หน้า 265 
  • สรุปว่ากินวันละมื้อ อาจจะอดข้ามวันไม่ไหว จะเปลี่ยนมา กิน 2 มื้อ ก่อนเที่ยง แล้วอดวันเว้นวัน
  • เกี่ยวกับการกินอาหารไหม้ ในมนุษย์ ยังไม่มีข้อสรุปว่าทำให้เกิดมะเร็ง https://www.eatingwell.com/article/8051177/is-it-safe-to-eat-burnt-food/ 
  • หนังสือเกี่ยวกับ Cardano https://bookauthority.org/books/best-cardano-books 
  • ส่วนใหญ่ในช่วงเวลาที่กินอาหาร จะเป็นช่วงที่ productivity ต่ำสุด เพราะ เป็นช่วงที่วุ่ยวายและไม่ค่อยใช้สมอง สติสัมปชัญญะอ่อนแอที่สุด ชอบทำเรื่องเหลวไหล ไม่เกิดประโยชน์ เช่น ดูการ์ตูน เป้นต้น พอทำมากๆ ก็ติดเป็นนิสัย ลามมาตอนเวลาทำงาน/อ่านหนังสือ
  • อยู่คนเดียว ก็ยังต้องพบเจอกับ procrastination จะทำอย่างไรดีนะ?
    • ปัจจัยที่ทำให้ขยันทำงาน/อ่านหนังสือ
      • ความตั้งใจ เช่นว่า จะทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
      • ความชอบ และสนุก จากการได้ทำสิ่งนั้นๆ
    • ปัจจัยที่ทำให้ไม่ขยัน
      • ขี้เกียจทำ
  • ต้องระวังบางคน เหมือนกลัวว่าเราจะประสบความสำเร็จ และพยายามสกัดเราด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ทำให้ดูเหมือนความรู้ของเรานั้นไร้ค่า หลอกให้เราเปลี่ยนเป้าหมาย เป็นต้น ซึ่งมันไม่ควรเลย การจะประสบความสำเร็จเป็นเรื่องของความรู้ รู้เรื่องไหนก็สำเร็จในเรื่องนั้น แต่ละคนก็มีเรื่องที่รู้แตกต่างกันไป การไปขัดขวางคนอื่นนั้นไม่ควรเลย ทุกคนมีแนวทางที่สร้างประโยชน์ได้ของตนเอง อย่าไปขัดขวางแนวทางของผู้อื่น
  • อยู่ในห้องคนเดียว ทั้งวัน productivity ต่ำลง
    • แต่สาเหตุไม่ใช่ เพราะ อยู่คนเดียว ต่อให้ไปอ่านหนังสือที่มหาลัยก็อ่านคนเดียวเหมือนกัน
    • แต่เป็นเพราะ มีโอกาสให้ทำตามใจตัวเอง ซึ่งวิธีแก้ไข คือ มีสติ รู้ตัวเสมอว่าเรากำลังทำอะไร และ ต้องทำอะไร

11เม.ย.

  • เมื่อวานอ่านหนังสือได้ 8 หน้า the art of currency trading
    • วันนี้เริ่มอ่านจากหน้า 243
  • ช่วงนี้อยู่หอ ดูไม่ค่อยมีไอเดียอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ?
  • อากาศร้อน อาบน้ำวันละ 3 เวลา
  • เวลาอยู่คนเดียว สิ่งที่จะต้องเจอคือ เพื่อนเก่า คือ กิเลสที่คอยล่อหลอก ให้อยากแสวงหาความ เพลิดเพลิน สนุกสนาน ลืมเวลา ลืมความรับผิดชอบ ลืมความฝัน ลืมภาระหน้าที่ สิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำ คือ อย่าไปฟัง อย่าไปหลงเชื่อ แรงกระตุ้นจาก เพื่อนเก่า มันคือภาพลวงตา ที่ครอบงำ ความคิด สติ-สัมปชัญญะของเรา และ คอยฟังเพื่อนใหม่ คือ สติสัมปชัญะ ซึ่งจะทำให้เราไม่หลงลืมตัวเอง ความรับผิดชอบ หน้าที่ ความฝัน
    • ช่วงก่อนที่อ่านหนังสือที่มหาลัย เราก็ไม่กล้าดูการ์ตูน หรือเล่นเกมส์ เพราะ สถานที่คือห้องสมุด อยู่ท่ามกลางผู้คนที่ต้องการความสงบเงียบ ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร อ่านหนังสือทั้งวันก็ไม่ตายนะ
    • แต่พอกลับมาอ่านหนังสือที่ห้อง แบบอยู่คนเดียวทั้งวัน กลับมีความอยากดูการ์ตูนผุดขึ้น อยากลองเล่นเกมส์ที่ไม่เคยเล่น ซึ่งแรกๆ ก็ยังพอควบคุมตัวเองให้อ่านหนังสือ ไม่ลืมความรับผิดชอบ ไม่ลืมความฝันได้ แต่พอไปเรื่อยๆ จะมีเผลอใจเริ่มไปลองทำตามความอยากดู แล้วหากเผลอไปทำแล้วติดใจ จะกลับค่อยๆ ลืมสติสัมปชัญญะ ลืมความฝัน ลืมความรับผิดชอบไป
    • สิ่งสำคัญคือ อย่าฟังเพื่อนเก่า คือ กิเลส ที่คอยหลอกให้เราเพลิดเพลินและ หลงลืมความรับผิดชอบ ลืมความฝัน ความเป็นตัวเองไป คอยฟังเพื่อนใหม่ คือ สติสัมปชัญญะ ที่คอยเตือนว่าเราเป็นใคร ต้องทำอะไร
  • ช่วง1-2วันนี้ ที่ลองอยู่หอ อ่านหนังสือคนเดียวทั้งวัน ไม่ไปมหาลัย ก็แอบเอาเวลาไปเล่นเกมส์ ดูการ์ตูน ซึ่งถ้าเราแอบเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้ นอกเหนือจากการอ่านตำราเทรด ทำไมเราจะเอาเวลาไปอ่าน programming ไม่ได้ล่ะ?
    • ต้องลอง introduce programming เข้าไปในชีวิต ทีละเล็กละน้อย
  • พยายามถือศีล 8 เพื่องดเว้นจากสิ่งบันเทิงที่คอยล่อลวง

10 เม.ย.

  • วันนี้ตื่นตี3 นอน 4 ทุ่ม หลับปกติ ตื่นมาไม่อ่อนเพลียใดๆ(เมื่อวานวันอด พักผ่อนน้อยไม่มีปัญหา)
  • วันนี้วันอด วันที่ 2 (อดมาแล้ว 36 ชม) ไม่ได้ไปมหาลัย ประหยัดพลังงาน อยู่แต่ในห้องอ่านหนังสือ
  • เหมือนเมื่อวานพิมพ์ได้ช้าลง อาจเป็นเพราะ เมื่อวานซืน เป็นวันกินอาหาร แล้วกินทั้งวันตลอด 16 ชม ทำให้สมองประสิทธิภาพต่ำลง แต่พออดผ่านไป 24 ชม ก็กลับมาดีขึ้น
  • วันนี้เริ่มอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง แขนไม่มีแรง น่าจะกลับมากินอาหารต่อแล้วกัน ในช่วงบ่าย สรุปว่าอดไป 41 ชม.

9 เม.ย.

  • วันนี้วันอด เดินทางไปอ่านหนังสือที่มหาลัย
  • นั่งอ่านหนังสือในหอ
    • ข้อดี
      • ไม่ต้องเสียเวลาเดิน2ชม การออกกำลังกาย ก็ weight training, pranking(for cardiovascular health) ซึ่งเป็น HIIP ได้ประโยชน์เท่าการเดิน
        • ไม่ต้องเสียพลังงานเยอะโดยไม่จำเป็น วันละ 420 kcal (พลังงานจากการเดิน 2 ชม เอาไปใช้อ่านหนังสือได้ 6 ชม) ทำให้ไม่ต้องกินอาหารเยอะนัก
        • ไม่ต้องเสียเหงื่อโดยไม่จำเป็น
    • ข้อเสีย
      • ไม่ได้เจอสิ่งแวดล้อมที่ดี หรือผู้คนที่ดี ที่ช่วยกระตุ้นให้เราตื่นตัว
        • ซึ่งอาจไม่จำเป็น พยายามคิดว่าถ้าเราพัฒนาตัวเองจนไม่มีใครดีเท่าเราล่ะ เราจะไปอยู่ที่ไหน สุดท้ายก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดี
      • ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ ที่เหมาะกับสรีระ ทำให้ปวดคอ
      • ร้อน เหนียวตัวในตอนเย็น หลัง16:00น ก็อ่านหนังสือไม่ได้อยู่ดี(เวลาที่เสียไป ไม่ต่างกับการเสียเวลาเดินวันละ 2 ชม)??
    • ข้อสังเกต
      • ถ้าไม่ได้เห็นสิ่งแวดล้อมที่ดี อาจใช้การดูคลิปวีดีโอ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างประเทศ, หรือฟังข่าว BBC อาจจะพอช่วยได้
      • ช่วงเย็นที่ร้อนจนอ่านหนังสือไม่ได้ อาจจะนอนไปก่อน แล้วตื่นกลางดึกมาอ่านหนังสือต่อ
      • ไม่ได้เรียนรู้ทักษะทางสังคม
  • มาอ่านหนังสือที่มหาลัย
    • ข้อดี
      • อากาศเย็น สิ่งแวดล้อมเหมาะสม
      • เจอผู้คนที่ทำให้เราตื่นตัวขึ้น แต่ก็ไม่เสมอไป บางทีเราเองก็หงุดหงิดจากการเจอคนได้เหมือนกัน แต่น้อยกว่าที่หอ
    • ข้อเสีย
      • เดินทางไกล
        • เสียเวลา 2 ชม ต่อวัน
        • ต้องกินอาหารมากขึ้น เพื่อให้มีพลังงานเพียงพอ
  • สรุปว่า น่าจะไม่ไปมหาลัยแล้ว จะไปก็เฉพาะตอนจะยืมหนังสือกลับมาอ่านที่หอพัก
  • บางทีถ้าเราคุยกับใครแล้ว ไม่สามารถทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นไม่ว่ากับ ตัวเรา หรือ เขา เราควรเลิกคุยกัน เพราะ จะมีแต่เสียเวลาชีวิต
  • แต่เอาจริงๆ เหมือนการกินทั้งวันไม่ค่อย work? เพราะ ถ้าตกเย็นอากาศร้อน และ กินอาหารด้วย จะยิ่งทวีความร้อนทั้งในร่างกายและอากาศภายนอก
    •  กินมื้อเช้า แล้วอดวันเว้นวัน น่าจะดีกว่า เป็นรูปแบบชีวิตที่ดีกว่า
  • สั่งโต๊ะ ikea Sandberg เพราะราคาไม่แพงแค่พันต้นๆ แต่แข็งแรงมาก และใช้งานได้อเนกประสงค์ เพื่อให้อ่านหนังสือที่หอได้อย่างมีคุณภาพ
    • เคยซื้อราคาพอๆกัน แต่เป็นงานของจีน คุณภาพ ความแข็งแรง ความเสถียร การออกแบบไม่ได้เท่านี้เลย - ikea เจ๋งจริง!
  • สัญชาติญาณนักลงทุน คือ สามารถมองคน มองสิ่งของ มองบริษัท ว่ามีคุณภาพดีจริงไหม คุ้มค่าไหมกับการลงทุน
    • แต่สัญชาติญาณไม่มีจริงหรอก แต่เกิดการการสั่งสมความรู้ หาความรู้ ไม่หยุดเรียนรู้
    • เรียนรู้เกี่ยวกับจิตใจตัวเอง(ผ่านการเจริญสติ) ทำให้เข้าใจคนอื่น - แต่สุดท้ายจะรู้ว่าไม่มีอะไรที่มีตัวตน หรือถาวรจริงๆ
    • เรียนความรู้ในโลก ทำให้เข้าใจสิ่งรอบตัว - มีความรู้ในด้านไหน ก็จะมองสิ่งที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆออก
  • Poker face เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักพนัน แต่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นในชีวิตด้วย
  • กินกาแฟ 2 shot ในคราวเดียวตอนเช้า มีสมาธิดี ใจไม่สั่น แต่แอบมี hyperactivity นิดๆ
  • เหมือน ตั้งแต่ที่เราอ่านแต่หนังสือจากหน้าจอ ไม่ได้อ่านบน kindle มันทำให้ทักษะทางภาษาของเราลดลงนะ
    • เหมือนกับว่าเวลาอ่านจากหน้าจอ สายตาจะทำงานเยอะ จะอ่านได้ประสิทธิภาพลดลง ซึ่งส่งผลให้การรับรู้เนื้อหาได้ลดลง เช่น จากที่เคยอ่านจากหนังสือ หรือ kindle แล้วได้ทั้งศัพท์​ ไวยากรณ์​ เนื้อหา พอมาอ่านจากหน้าจอ อย่างมากอ่านเนื้อหาได้ก็เก่งแล้ว
  • จะปรับ programming เป็นวิชา Major แล้ว ส่วนการเทรด เป็น Minor รอก่อนแล้วกัน เหมือนยังไม่จบหลักสูตร programming ยังคงเป็น minor
  • จะหยุดไปมหาลัย ไปสัปดาห์ละครั้งพอ เพื่อยืม-คืนหนังสือ

8 เม.ย.

  • เมื่อคืนนอน 4 ชม (4ทุ่ม-ตี2) ตื่นขึ้นมาแบบไม่เพลียเลย อดข้ามวันมา
  • วันนี้อยู่หอ ไม่ได้ไปมหาลัย วางแผนว่าจะ กินอาหาร แล้วอดต่อเนื่อง 2 วัน
  • ถ้า AI ในอนาคต สามารถเรียนรู้ฟิสิกส์ แล้วสร้างโลกเสมือนสมจริงให้คนอยู่ได้ล่ะ มนุษย์เราจะอยู่ใน the Matrix ไหมนะ ประมาณนาทีที่ 30 เพราะ อย่างน้อยตอนนี้ AI สามารถแปลงสัญญาณสมองออกมาเป็นภาพได้แล้ว
  • เนื่องจากได้รู้ว่าการอ่านหนังสือ เป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานต่ำ(70kcal/hr) ก็ไม่กลัวที่จะอ่านละ ในทางทฤษฎีคงจะสามารถอ่านได้ทั้งวันทั้งคืนเลย
  • ปล่อยให้ตาตี่ตามธรรมชาติ ทำตาหยีๆ ไม่ต้องเบิ่งตากว้าง ทำให้ตาไม่แห้งง่าย อ่านหนังสือได้นานขึ้น กล้ามเนื้อตา และ หน้าผาก(frontalis m.)ไม่ล้า
  • รู้สึกว่าการศึกษาด้าน programming ตอนนี้จัดว่าเป็น red flag จะอู้ไม่ได้แล้ว ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ได้เริ่มทำตามความฝัน ไม่ได้เริ่มพัฒนาความสามารถด้านนี้แน่
  • ต้มธัญพืชให้นิ่ม, สัดส่วนหลักของ ธัญพืชที่กิน ข้าวไรซ์เบอร์รี่ 25%, ถั่วเหลือง 25%, ธัญพืชชนิดอื่นๆตามสะดวก 50%
    • ลองดูว่าถ้าต้มนิ่มๆจะหายท้องเสียไหม
  • อ่านข่าว reuter ยากอยู่นะ เพราะ มีศัพท์ทุกหมวด แรกๆน่าจะใช้เวลาอ่านนาน เพราะต้องเรียนรู้ศัพท์ใหม่ ศัพท์หรูๆ เยอะ แต่ถือว่านำเสนอข่าวได้ดีมีสาระอยู่
  • สรุปว่า น่าจะยังคงไปอ่านหนังสือที่มหาลัย ไม่อยู่ที่หอ เพราะ สิ่งแวดล้อมดีกว่า ส่วนการเดิน ก็นับเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง

7 เม.ย.

  • วันนี้วันอด กลับมาอ่านหนังสือที่มหาลัย เดินไป-กลับ กลับมาดื่มกาแฟแล้ว
  • เมื่อวานเล่นเกมส์ เข้าใจว่าช่วยฝึกทักษะ หรือฝึกสมองได้ แต่เราก็รู้สึกว่ามันเสียเวลาเหมือนกัน มันจะมีประโยชน์เทียบเท่าการอ่านหนังสือไหมนะ search "video games vs reading benefit for brain" แต่โดยส่วนตัวคิดว่าอ่านหนังสือมีประโยชน์ในระยะยาวมากกว่านะ เคยเห็นแต่คนประสบความสำเร็จมากๆ อ่านหนังสือเยอะ(จะเล่นเกมส์หรือไม่นั้นอีกเรื่อง แต่อ่านหนังสือแน่นอน) ไม่เคยเห็นใครเล่นเกมส์เยอะแล้วประสบความสำเร็จเลย
  • ช่วงนี้ยังท้องเสียประจำ สุขภาพยังไม่ดี ไม่รู้อะไรที่ทำให้ท้องเสีย อาจต้องลองงดธัญพืชดูก่อน บางทีอาจมี Gluten ทำให้ลำไส้อักเสบ? หรือยังไม่ได้ต้มธัญพืชนิ่มและนานพอ(ยังมี lectin หลงเหลือ ทำให้ท้องเสีย)
  • เริ่มวันใหม่ด้วยการอ่านข่าว reuter ฟังข่าว BBC ตอนเดินทางไปมหาลัย
  • วันนี้กลับมาดื่มกาแฟแล้ว กลับมา focus และ productive เหมือนเดิม
  • เหมือนเวลาอ่านหนังสือ จาก E-reader จะเรียนรู้ Grammar ได้ดีกว่า อ่านจากหน้าจอ แฮะ
  • แปลกใจว่าทำไมเราชอบทำหน้าผากย่น ตอนจ้องหน้าจอหรือใช้ตาเยอะๆ https://www.google.com/search?q=eye+problem+with+forehead+wrinkles 
    • สาเหตุหนึ่งเกิดจาก เปลือกตาบน(upper eyelid)ที่ไม่เปิดเต็มที่ หรือหย่อนยาน https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/20456101/ https://www.centerforfacialappearances.com/2019/04/01/3636/ 
      • ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราตาตี่ และเวลาพยายามทำให้ตาโตขึ้น(ตอนเด็กๆเพื่อบอกว่าทำไมตาเล็ก ให้ทำตาโตๆ เลยติดนิสัยตั้งแต่นั้นมา) ก็ต้องใช้ความพยายามของกล้ามเนื้อที่หน้าผาก(Frontalis muscles)เพื่อดึงตาให้ดูโตขึ้น
        • นอกจากนี้ คนตาตี่จะเปิดตาได้ไม่เต็มที่และอาจทำให้ตาได้รับแสงน้อยกว่าคนตาโต เหมือนตอนหรี่ตาเวลาเจอแสงจ้า (แต่คนตาตี่แม้ไม่มีแสง ตาก็หรี่อยู่ประมาณนึงแล้ว) เราเลยชอบเบิ่งตากว้าง เพราะรู้สึกเห็นภาพสว่างขึ้น ชัดขึ้น
      • การที่ต้องพยายามใช้กล้ามเนื้อหน้าผาก เพื่อช่วยให้ตาเบิ่งกว้าง ทำให้หน้าผากย่น ซึ่งทำไปนานๆก่อให้เกิดความล้า และอาจทำให้เข้าใจว่าตาล้าง่ายได้
      • วิธีแก้เบื้องต้น คือ ยอมรับในความตาตี่ และ ฝึกใช้ชีวิตแบบลองหรี่ตาตี่ๆ ไม่ต้องพยายามทำตาโต และฝึกปล่อยกล้ามเนื้อรอบตา สบายๆ
        • การทำตาโตอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราตาแห้งง่าย เพราะ มันไม่ใช่ธรรมชาติเดิมของร่างกายเรา ตาต้องเบิ่งกว้างสัมผัสอากาศมากกว่าปกติ
        • และตาแห้งง่ายจากการพยายามทำตาโต ทำให้เราต้องกระพริบตาถี่กว่าปกติ และเกิดรอยย่นระหว่างคิ้วอีก
  • วันนี้มางานบรรยายของ programmer ทำให้รู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจ แต่ในแง่ productivity คิดว่าเอาเวลาไปอ่านหนังสือได้ประโยชน์กว่า อาจแวะไปดูได้นานๆที เพื่อกระตุ้นให้ตื่นตัวและไม่ตกยุค
    • คิดๆดูแล้วช่วงนี้เราอ่านหนังสือช้าลงมากเลย แต่ก่อนตอนจะอ่านเตรียมสอบมหาลัย เราอ่านจริงจังกว่านี้เยอะ
    • พยายามอ่านหนังสือทุกวันให้เหมือนกำลังจะสอบEntrance
  • ค่าอาหารเฉลี่ยวันละ 30-40 บาท ธัญพืช และไข่เป็ด 2 ฟอง ผลไม้ ได้วิตามินและพลังงานครบ จะลดมากกว่านี้ได้ไหมนะ?
    • ลองอด 2 วัน ต่อเนื่อง และ พยายามลดการใช้พลังงานทางกายที่ไม่จำเป็น อยู่แต่ในห้องอ่านหนังสือ
    • ลดกล้ามเนื้อ เพื่อลด metabolic rates? กล้ามเนื้อยังคงสำคัญ เพื่อให้ดูมีสุขภาพดี ไม่อ่อนแอ เพื่อตัดปัญหาการรบกวนจากอันธพาลชั้นต่ำ
    • คนน้ำหนัก 60 kg ใช้พลังงาน ในการอ่านหนังสือ ชั่วโมงละ 70kcal, เดิน 214kcal, นอน 40 kcal
      • นอนและอยู่ว่างๆ 9 ชม อ่านหนังสือ 14 ชม งานบ้าน(ตีว่าเป็นการเดิน) 1 ชม ใช้พลังงาน วันละ 1824 kcal

6 เม.ย.

  • วันนี้ตื่นตี 3 รู้สึกปกติดี ไม่ง่วงไม่อ่อนเพลีย เมื่อคืนอดข้ามวัน นอนหลับง่ายปกติ
    • Fasting ทำให้นอนน้อยลงได้ โดยที่ร่างกายไม่อ่อนเพลีย แต่ก็ต้องให้เวลามันปรับตัวนะ
  • วันนี้ไม่ไปมหาลัย ลองอ่านหนังสือที่หอ ลดเวลาเดินทางไปได้ 2 ชั่วโมง 
    • แต่ไม่ได้เดินออกกำลังกาย อาจต้องออกกำลังด้วยวิธีอื่น เช่น weight training, pranking HIIP
    • เวลามากขึ้น อาจต้องทำตารางว่าจะทำอะไร ในเวลาไหนบ้าง ไม่อย่างนั้นอาจเอาเวลาไปเถลไถล
  • จริงๆ ในเรื่องของความลำบากในชีวิต ประโยชน์อย่างหนึ่งคือ "ในบางคน" ถ้าชีวิตไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรลำบาก ก็จะเผลอตัว ไม่เตรียมการกับอนาคต ไม่พยายามหาความรู้ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอทุกเมื่อ

    แต่ชีวิตจะพัฒนาขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ตอนที่เจอกับความลำบาก แต่เป็นหลังจากที่รู้ตัวว่า "เราควรหาความรู้ และได้เริ่มอ่านหนังสือ ศึกษาหาความรู้ในเรื่องต่างๆ" โดยเพียงแค่นั่งลงแล้ว อ่านๆๆๆ หนังสือไปเรื่อยๆ เวลานั้นจึงจะเป็นจุดที่ชีวิตเริ่มพัฒนา ในบางที เราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีช่วงชีวิตที่ลำบากก็ได้ ถ้าเรารู้คุณค่า และความสำคัญของการแสวงหาความรู้ และ แบ่งเวลาชีวิตส่วนหนึ่งเพื่อ มาเพื่ออ่านหนังสือ หาความรู้

    ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าต้องจริงจัง เคร่งเครียดอะไรด้วยนะ แค่นั่งลงแล้วอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ
  • อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องของเวลา บางทีก็ประมาทเอาเวลาไปเถลไถล ตามใจตัวเอง สุดท้ายก็ไม่ได้สาระอะไร ผลาญเวลาไปเปล่าๆ จนกว่าจะรู้ ก็สายไปแล้ว เราต้องพยายามใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่า อย่างประหยัด เพราะ เวลาหนึ่งๆ ถ้าเอาไปทำประโยชน์ จะสร้างประโยชน์ได้มาก แต่ถ้าเอาเวลาไปทิ้งเฉยๆ จะไม่ได้อะไรเลย
  • มีนิสัยเสียอีกอย่างหนึ่ง คือ คิดว่าตัวเองเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่พอมาเจริญสติ ก็จะเห็นความคิดไม่ดีหลายๆอย่าง ที่ซ่อนอยู่ และเราไม่รู้ตัวว่าเราคิด พอรู้ทันนิสัยที่คิดไม่ดีเหล่านั้น จิตใจก็โปร่งโล่งเบา สบายขึ้นมา สามารถพัฒนาชีวิตต่อไปอีกขั้น เช่น คิดไม่ดีกับคนที่เคยทำไม่ดีต่อเรา(เราเองก็อาจจะไม่ได้ดีต่อคนอื่นเสียทีเดียวนะ) แต่พอมีสติรู้ทันความแอบคิดอกุศลที่แผงตัวในชีวิต แทนที่จะจมอยู่กับความคิดอกุศลเหล่านั้น ก็เลิกแล้วไปคิดหาวิธีทำให้ชีวิตดีขึ้น(แทนที่จะไปคิดในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์)
  • การ์ตูน No Game No Life eng dub https://www.youtube.com/watch?v=BnIS27AYtU4&list=PL_Igt_kj-OItCTgEDoIyjjvJlE-o_zrdA 
  • สวดมนต์ก่อนนอน เป็นวิธีทำให้เกิดสมาธิได้ง่ายที่สุด และ สมาธิจากการสวดมนต์ สามารถทำให้ได้ทบทวนตัวเอง และช่วยให้หาหนทางแก้ไขปัญหาในชีวิตได้ง่ายขึ้น
    • โดยส่วนตัว เราสวดมนต์เพราะ ระลึกถึงพระคุณของ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพราะ เราเคยได้ปฏิบัติธรรม ได้เห็นกระบวนการเกิดดับของความคิด ความจำ รูป นาม กาย ใจ ระดับหนึ่ง และ เกิดการเปลี่ยนแปลงนิสัยโดยสิ้นเชิง ช่วยดึงชีวิตจากทางเสื่อม มาสู่ทางที่ดีขึ้น รู้สึกเหมือนพระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่ ให้ปัญญาที่ถูกต้อง เราจึงสวดเพื่อระลึกถึง พระคุณอันหาประมาณมิได้นี้
  • สาเหตุหนึ่งที่อ่านหนังสือที่หอไม่ได้ เพราะ ระแวกนั้นมีการก่อสร้าง เกิดมลพิษทางเสียง เวลาอ่านหนังสืออยู่ สักพักก็จะมีเสียงตึงตังๆ เสียงเลื่อยตัดเหล็ก เสียงที่ดัง ทำให้เกิดความเครียด ตกใจ pulse rate สูงขึ้น และ สมาธิหลุด พอเปิดเพลงกลบก็ช่วยได้มากขึ้น แต่จะดีที่สุดคือเงียบสงัดจริงๆ
    • เคยอ่านเจอว่า คนเก่งๆหลายคน ชอบห้องทำงานที่เงียบสงัดจริงๆ ถึงขนาดทำห้องทำงานให้เก็บเสียงเลย
    • นอกจากนี้ก็มีมลพิษทางอากาศ ทำให้เกิดภูมิแพ้ น้ำมูกไหล
  • จริงๆเรามีสังคมที่เหมาะกับเราอยู่นะ คือ programming เคยไปงาน programmer meeting ได้รู้จักคนน่าสนใจและ คนที่คุยกับเรารู้เรื่องได้ เยอะมาก แต่ถ้าในชีวิตประจำวัน เราต้องอยู่กับสังคมที่ไม่เข้าใจเรา เราควรจะทำอย่างไรดีนะ รู้สึกคุยคนเดียวกับตัวเอง มานานแสนนานพอสมควรเลยนะเนี่ย
    • จะอยู่อย่างไรในช่วงเวลาอันยาวนาน ที่จะยังไม่มีใครคุยกับเรารู้เรื่อง
    • เวลามีไอเดียดีๆ ก็ไม่รู้จะแชร์ให้ใครฟัง แต่อย่างน้อยก็บันทึกไว้ใน blog ก่อน
  • วันนี้ก็ยังท้องเสียอยู่ดีนะ ไม่รู้จะเป็นมะเร็งลำไส้หรือเปล่าเนี่ย แต่อาจลองเลิกกินธัญพืชดูก่อน ไม่รู้ว่ามีอะไรปนเปื้อนหรือเปล่า
  • สรุปว่า อ่านหนังสือที่หอ ไม่ค่อยได้ประสิทธิภาพเท่าไหร่ สาเหตุคือ
    • มลพิษทางเสียง และทางอากาศ - มีการก่อสร้างตอนกลางวัน เสียงดัง เกิดความเครียด ไม่มีสมาธิ, มีฝุ่นฟุ้งกระจายจากการก่อสร้าง
    • อากาศร้อน
    • ไม่มีที่นั่ง ergonomic - เหมือนนั่งพื้น มีข้อจำกัดเรื่องสรีระบางอย่าง ทำให้หลังงอง่าย และ ปวดคอ
  • ซึ่งปัญหาที่หอพัก คงแก้ได้ยาก ก็คงต้องไปอ่านที่มหาลัยเหมือนเดิม
  • ตลกดี รู้สึกเสียเวลาชีวิตมากที่ มีแต่คนเข้ามาถามไถ่เกี่ยวกับชีวิตเรา ทั้งๆที่เราไม่มีเวลา แต่เรากลับต้องเสียเวลาอธิบาย สมมติถ้ามี 10 คน ถามคำถามเดียวกัน ต้องใช้เวลาอธิบายเหมือนกัน ชีวิตคงไม่ต้องทำอะไรละ แล้วพออธิบายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน มันเป็นอะไรที่ waste of time
  • วันนี้สรุปว่าไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ อ่านได้ 1-2 หน้าเอง!!! แถมยังเล่นเกมส์ด้วย

5 เม.ย.

  • วันนี้วันอด เมื่อคืนนอนหลับปกติ
    • เหมือนหลังจากแก้ปัญหาเรื่องแมลงสาปมาไต่ภาชนะกินอาหาร ก็นอนได้ปกติ ไม่กระสับกระส่าย, ไม่ท้องเสีย
    • วันที่กินอาหาร เหมือนค่าสายตาจะไม่ดี ตาไม่สามารถโฟกัสได้ แต่หูยังคงรับรู้ข้อมูลจากการฟังได้ปกติ
      • แต่จริงๆมันเกิดภาวะนี้ในคนที่เป็นเบาหวานมากกว่านะ
      • หรืออาจจะเป็นที่สมาธิด้วย ถ้ากินเยอะเลือดก็ไม่ไปเลี้ยงสมอง
        • อาจจะลดปริมาณอาหารลงในวันที่กิน และอาจเปลี่ยนมากินเช้า+เย็น แล้วอดวันเว้นวัน เหมือนเดิม?
      • แต่วันที่อด จะอ่านหนังสือได้ดีตลอดเลยนะ
      • แต่ปัญหาหลักๆ คิดว่าเกิดจากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมองมากกว่า
        • หรืออาจกินมื้อเช้าวันละมื้อแล้วอดทุก 2 วันต่อไป แต่ในวันที่กิน ก็ลดปริมาณอาหารลงเล็กน้อย
  • เรื่องการเทรด สิ่งที่จะต้องอ่านเพิ่มคือ
    • ศึกษา Fundamental economy เพื่อให้รู้เกี่ยวกับ ระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ กลไกเศรษฐกิจ กลไกค่าเงิน กลไกราคาพื้นฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งในระดับโลก และ แต่ละประเทศ
    • ศึกษา World History ของแต่ละประเทศ ว่าความเป็นมาเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นจุดเด่น จุดด้อย
    • ศึกษา ภูมิศาสตร์ ทรัพยากร ดิน แร่ พลังงาน เศรษฐกิจหลัก ของแต่ละประเทศ ว่ามีอะไรเป็นจุดเด่น จุดด้อย
  • นอกเหนือจากการเทรด สิ่งที่จะอ่านเพิ่มคือ
    • การลงทุนสาย VI: หนังสือ The intelligent investor
    • การลงทุนใน Crypto: the Bitcoin standard, the Fiat standard
    • สาย pure technical analysis
    • ตำราเทรดเล่มอื่นๆที่มีชื่อเสียง(แนะนำใน reddit)
    • การเขียนโปรแกรม ระดับกิ๊กก๊อก
  • เริ่มอ่านหนังสือ 9.00น แต่อ่านตำราเทรดได้ไม่นาน ก็เริ่มโฟกัสไม่ได้ และก็กลับมาอ่านตำรา programming ต่อ
    • เหมือนจิตใต้สำนึก รู้สึกว่าการเทรดบรรลุวัตถุประสงค์ในระดับหนึ่งแล้ว จึงกลับมาอ่าน programming ต่อ??
    • ตอนอ่านตำรา programming และเขียน program จะสามารถโฟกัสได้ตามปกติ(สมาธิไปถึงระดับ peakได้) แต่พอกลับมาอ่านเรื่องการเงิน สมาธิและการโฟกัสก็ค่อยๆคลายออก และกลับกลายเป็นโฟกัสไม่ได้ เป็นแบบเดียวกับตอนที่เราอ่านตำราเรียนสายสุขภาพ
      • มีเทคนิคการ Hack คือ ดื่มกาแฟ เพราะ Caffeine จะช่วยเพิ่มการโฟกัส
  • สรุปว่า วันนี้ดื่มชาก็กลับมาโฟกัสกับตำราเทรดได้แล้ว
    • คาเฟอีน อาจสามารถช่วยในการโฟกัส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่เราต้องอ่านตำราที่เราไม่ได้ชอบ
    • คาเฟอีน ช่วยให้เราใช้เวลาในแต่ละวันได้คุ้มค่าขึ้น เพราะ ทำให้โฟกัสได้ดีขึ้น ไม่ปล่อยเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย
    • พอไม่มีคาเฟอีน productivity เสียไปหลายวันฟรีๆ
  • ข่าว CNN อ่านง่าย, ข่าว Reuter ละเอียด แต่ชอบเล่นคำ, ข่าว Bloomberg กระชับ แต่เก็บเงิน
  • อาจจะลองปรับมาเป็น กิน 2-3 มื้อ เช้า-เย็น ภายใน 16 ชม แล้วอดข้ามวัน เพราะ ก่อนหน้านี้กินวันละมื้อ แล้วอดข้ามวันทุก 2 วัน ต้องกินมากเกินไปในมื้อเดียว ไม่สามารถทำได้สะดวกในชีวิตจริง(poor compliance)??
  • อาจจะลองไม่ไปมหาลัยทุกวันแล้ว เพราะ บางทีเดินเยอะแล้วเหนื่อย(แม้จะเป็นการออกกำลังกาย และทำให้มีไอเดียใหม่ๆก็เถอะ?) อาจจะไปเฉพาะในวันที่อดอาหาร
    • ลองดูว่าอยู่หอจะควบคุมตัวเองได้หรือไม่

4 เม.ย.

  • เริ่มเทรดได้แล้ว (จากการวิเคราะห์ตามตำราสอน) หลังจากอ่านตำรา The art of currency trading เป็นหลักการที่ Make sense มากๆ เป็นตำราที่สมบูรณ์แบบในตัวมันเอง ขอคารวะคนเขียนจริงๆ
    • การเทรด ไม่ใช่การดูกราฟ แต่เป็นการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลง(ข่าวสาร ข้อมูล) ของสิ่งที่เกิดขึ้นในสิ่งที่เราจะเทรด เช่น ถ้าเป็นสกุลเงิน ก็ต้องวิเคราะห์ เศรษฐกิจ และ นโยบายของประเทศ ปัจจัยอื่นๆในประเทศ ว่ามันน่าจะส่งผลดีหรือผลเสีย แล้วค่อยมาดูกราฟ เพื่อหาตำแหน่งการเข้าเทรดที่คุ้มค่าที่สุด
    • เรียนกับปรมาจารย์ตัวจริงมันดีอย่างนี้นี่แหละ (เลือกหนังสือดีๆ จากคำแนะนำของ reddit)
  • ความรู้ดลบันดาลให้เราได้ทุกสิ่ง
    ความไม่รู้สามารถพรากทุกสิ่งไปจากชีวิตเราได้
    วิธีการดำเนินชีวิตที่ดีที่สุด คือ ทำเท่าที่เรารู้ก่อน ขณะเดียวกันก็หาความรู้เพิ่มเติมไปด้วย ทำให้สามารถทำอะไรได้มากขึ้นๆ
    การทำทั้งๆที่ไม่รู้ มันคือ การพนัน ซึ่งยิ่งทำมากเท่าไหร่ ยิ่งเสี่ยงสูญเสียมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งความเสี่ยงของการสูญเสีย อย่างไรก็มากกว่าโอกาสได้ผลตอบแทน
  • หายท้องเสียแล้ว(อึเริ่มกลับมาเป็นก้อน ไม่เหลว ทั้งๆที่กินแต่อาหารสุขภาพ) หลังจากที่จับได้ว่า ชอบมีแมลงสาบแอบไต่ไปที่จานชาม,แก้วน้ำดื่ม เนื่องจากตากกองรวมกันแล้วมันไม่แห้ง(ซึ่งแมลงสาบชอบ) เลยเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บจานชามให้แห้งง่ายไม่อับชื้น ไม่เชิญชวนแมลงสาบให้อยากอยู่
    • ช่วงนี้กินกระเทียมด้วย วันละ 2-3 กลีบ เพราะ เป็น Antibiotic ตามธรรมชาติ ที่ไม่ออกฤทธิ์กับเชื้อที่ดีในลำไส้
  • เมื่อคืนนอนหลับปกติแล้ว หลังนอนด้วยเสื้อผ้าที่แห้ง ไม่ชื้น หรือ เปียก
  • ไม่ได้กินกาแฟ ทำให้อยากทำสมาธิมากขึ้น อยากเจริญสติมากขึ้น เพราะ ต้องการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ ทำอะไรเฉื่อยชา ไม่กระฉับกระเฉงคล่องแคล่วเหมือน คิดอะไรช้ากว่าเดิม ซึ่งถ้าดื่มกาแฟ อย่างไรก็ดีกว่าไม่ดื่ม
    • อย่างไรก็ตาม การดื่มการแฟ ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ ไม่ฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิ ฝึกสติ ถ้าอยากฝึกก็ฝึกได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราจะทำหรือไม่ อย่าไปโทษอย่างอื่น
    • ไม่ได้ดื่มกาแฟ วันนี้ง่วงมาก
  • วันนี้กินอาหารวันที่2 มื้อเช้า เริ่มอ่านหนังสือต่อ 11 โมง
  • เมื่อวานอ่านได้ 10 หน้า วันนี้อ่านได้ 5 หน้า เหมือนช่วงนี้กำลังพยายามปรับตัวให้ นอนน้อยลง และไม่ได้กินกาแฟมา 2 วัน สมาธิหายไปหมดเลย แค่เดินกลับหอ ยังไม่รู้จะกลับไหวไหม จะประมาณว่า ถ้าเจอตัวเลือกจะตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปทางซ้ายหรือขวา ฯลฯ อาการไม่โฟกัส เลื่อนลอย นี้เป็นมาตั้งแต่งดกาแฟไป 2 วัน(อาการ Caffeine withdrawal)
  • เหมือนวันที่กินอาหาร จะต้องถอดแว่น เพื่ออ่านหนังสือจากหน้าจอแฮะ เหมือนการโฟกัสมันเปลี่นน แต่การรับข้อมูลจากการฟังยังคงปกติ เป็นเพราะ เรากินเยอะไปหรือเปล่านะ
  • กำลังคิดอยู่ว่า วันที่กินอาหาร อาจจะลองลดปริมาณอาหารลง ให้เหลือเวลากินได้ภายใน 1 ชม
  • เหมือนกับว่าช่วงนี้ เราไม่ได้อ่านคอมต่อเลยแฮะ แต่ที่อ่านตำราเทรดก็ไม่ผิด เพราะอ่านแล้วก็ใช้งานได้
    • ถ้าอ่านคอมแล้วทำเงินได้แบบการเทรด เราก็คงจะอ่านสินะ?
    • สาเหตุที่ต้องเรียนเรื่องการเทรด คือ
      • ทำเงินด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องอิงอาศัยกับใคร อิงอาศัยกับความรู้ของเราเอง
      • ไม่ต้องใช้ทรัพยากรใดๆมากนัก ส่วนใหญ่คือความรู้ ที่ต้องอ่านเยอะๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆเยอะๆ
    • แต่ programming ทำได้แบบการเทรดหรือไม่
      • ถ้าเป็นเชิง programming ก็สร้างระบบให้คนใช้ แต่มันก็ต้องอาศัยหลายส่วน เช่น การบริหาร ทีมงานในการปรับปรุงระบบ
    • แผนระยะสั้น คือ เรียนเรื่องเทรดให้สามารถทำเงินได้แบบมั่นคงก่อน(ทุ่ม 90%) แล้วจึงจะไปเต็มที่กับด้านคอม
    • แผนระยะยาว คือ พอมีรายได้มั่นคงจากการเทรด ก็ทำเป็นงานอดิเรก(ทุ่ม 10%) และศึกษาด้านคอมต่อ แบบจริงจัง (ทุ่ม 90%)
  • ลองอ่านข่าว Reuter ละเอียดมากๆๆ แต่ งง เรื่องภาษาของ investment จริงๆน่าจะลองหาหนังสือเกี่ยวกับ fundamental economics มาอ่านก่อน น่าจะทำให้เข้าใจศัพท์ และหลักการได้ดีขึ้น เพราะ ปัจจัยพื้นฐานหลายๆอย่าง อัตราดอกเบี้ย กลไกเศรษฐกิจ มันต้องใช้กับการเทรด Forex
    • Reuter ดีกว่า Bloomberg เพราะ ไม่เก็บตังค์
    • แต่ถ้าอ่านพวกข่าวเทคโนโลยี หรือข่าวสุขภาพ อันนี้พออ่านได้นะ เพราะเรามีคลังคำศัพท์อยู่ในหัวจำนวนหนึ่ง
  • วันนี้อ่านตำราเทรดไม่ค่อยได้ อ่านแล้วจะหลับทุกที (คงเพราะไม่ได้ดื่มกาแฟ และพยายามนอนน้อยลง) เลยไปอ่านตำราเขียนโปรแกรมแทน กลับกลายเป็นอ่านได้นะ

3 เม.ย.

  • เมื่อวานนอนหลับได้สนิทปกติ วันนี้ "ตื่นตี2" แต่ไม่รู้สึกว่าประสิทธิภาพการทำงานลดลง หรือความอ่อนเพลียมากขึ้นสักเท่าไหร่
    • ปัจจัยที่ทำเมื่อวาน: ใช้หน้าจอก่อนนอน(แต่ในโหมดลดแสงสีฟ้า) กินเกลือเพียงเล็กน้อยในตอนเช้า สวดมนต์ก่อนนอน ไม่ได้นั่งสมาธิ และ อดอาหารมาทั้งวัน
    • น่า่จะเกี่ยวกับชุดที่ใส่ เปียก ทำให้ ชื้น นอนไม่สบายตัว สูญเสียความร้อน และนอนไม่หลับ เพราะตั้งแต่ปรับตรงนี้ก็หลับปกติตลอด
  • สาเหตุของการท้องเสียบ่อย ลำไส้อักเสบ เป็นเพราะว่า จานชามที่เก็บรวมกัน ไม่ได้ตากให้แห้ง มีความชื้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แมลงสาปต้องการในการดำรงชีวิต
    • แล้วเราก็เอาจานชามมาใช้ บรึ๋ยยย
  • เอาม่านกันยุงออก เพื่อให้อากาศในห้องระบาย หมุนเวียน ไม่ชื้น จะได้ไม่เป็นที่ต้องการของแมลงสาป หรือสะสมเชื้อโรค ซึ่งน่ากลัวกว่ายุงหลายเท่า
  • วันนี้กินอาหาร เริ่มกินตอน ตี 4-6โมง
  • เหมือนการอดวันเว้นวัน ทำให้กินเยอะไป น่าจะเปลี่ยนเป็น กินมื้อเช้า2วันติดกัน ในปริมาณแต่พอเหมาะ แล้วอด 1 วัน ก็พอแล้ว
  • พอถอนเงินออกจากการ All in ADA แล้วเปลี่ยนมาเทรดแบบสบายๆ ความเสี่ยงต่ำลง ก็ทำให้รู้สึกไม่ขยันเหมือนเดิม(ขี้เกียจขึ้น จากความผ่อนคลายว่าเงินยังกลับมาอยู่กับเรา) ไม่รู้สึกประหยัดเหมือนเดิมแฮะ(มีเงินในบัญชีมากขึ้น ทำให้ความอยากซื้อนู่นซื้อนี่กลับมา)
    • มันดีแล้วที่ไม่เครียด ส่วนกิเลสเป็นธรรมชาติ ที่ต้องมีสติคอยรู้ทันมัน รู้จักหักห้ามใจ เอาบทเรียนเก่าๆที่ใช้เคยเงินฟุ่มเฟือยมาระลึกถึงอยู่เสมอ
      • แต่พอมีเงิน สิ่งที่มีประโยชน์อีกด้าน คือ สามารถใช้เงินอย่างประหยัด แต่สามารถซื้อสิ่งจำเป็นจริงๆต่อ productivity ได้มากขึ้น
    • ถามตัวเองก่อนว่า เราแสวงหาอะไร? แสวงหาความรู้ก่อนเพื่อหาเงิน หรือ อยากได้เงินรีบด่วนทั้งๆที่ไม่รู้อะไรจริง แบบการพนัน
    • สำหรับ Forex ถ้าเทรดด้วยความรู้ ด้วยหลักการที่ถูกต้อง คือ ใช้ Fundamental นำ Technical จะรู้เลยว่ามันต่างจากแต่ก่อน ที่ใช้ Technical แบบมั่วมากๆ รู้เลยว่าเทรดเป็นกับไม่เป็น ต่างกันชัดเจน
    • สำหรับ Crypto ก็เหมือนกัน ความรู้สึกตอนนี้ คือ เรายังไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เกี่ยวกับ Crypto ไม่รู้ Fundamental อะไรสักอย่าง ความรู้สึกแบบเดียวกับตอนเทรด Forex โดยที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ
  • การพัฒนาตนเองในระยะสั้นตอนนี้
    • ฝึกอ่านข่าว Forex(ข่าวเศรษฐกิจ สถานการณ์รอบโลก ฯลฯ)
    • อยากลองอ่านตำราแบบ pure technical เพื่อให้เห็นมุมมองการเทรดอีกฝั่ง ว่าเขาอยู่กันได้จริงหรือไม่(แต่ trader เก่งๆ จะใช้ Fundamental ด้วยเสมอ ไม่มีใครใช้ pure technical นะ)
    • อ่านหนังสือ Bitcoin standard, Fiat standard เพื่อให้เข้าใจหลักการของ Crypto จริงๆ
    • อ่าน programming
      • ประเด็นคือ อ่านหนังสือตำราการเทรด ไม่ได้ยาก แต่ทำไมยังไม่ได้เริ่มอ่าน programming สักที
  • เหมือนพอไม่ได้ดื่มกาแฟแล้ว ทุกอย่างดูเลื่อนลอย ไม่สามารถโฟกัสได้แนบแน่น จริงจังแบบที่เคยเป็น
    • ถ้าเราพึ่งกาแฟจนชิน เราอาจจะละเลยการฝึกสมาธิ ซึ่งมีโอกาสพัฒนาสมาธิได้ลึกกว่า
  • วันนี้เริ่มมีสมาธิกับการอ่านจริงๆ ตอน 13:30 น เหมือนอาหารที่เพิ่งกินไปเมื่อเช้า เพิ่งกำลังดูดซึมจริงๆ และ สมองก็มีแรงมากขึ้น
  • เหมือนทักษะการฟังภาษาอังกฤษดีขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมาพยายามกระตุ้น ด้วยการฟัง BBC world radio ระหว่างเดินทาง

2 เม.ย.

  • เมื่อวานนอนหลับได้ปกติ วันนี้วันอด(ลองเปลี่ยนมาอดวันเว้นวัน)
  • เหมือนสาเหตุหนึ่งที่นอนไม่หลับ คือ มีเหตุบางอย่างทำให้เสื้อเปียก ไม่สบายตัว และสูญเสียความร้อนขณะนอน
  • สรุปว่าเมื่อวานอ่านหนังสือไปได้ 19 หน้า อ่านได้เร็วเพราะเนื้อหาเบาๆ ไม่ได้มีอะไรต้องให้ความสำคัญ
  • เหมือนพออ่านหนังสือแล้วรู้อะไรมากขึ้น ก็เริ่มกลัวที่จะอ่านเพิ่ม เพราะ กลัวความไม่รู้ที่เราจะเผชิญข้างหน้า
  • วันนี้รู้สึกไม่มีแรงเท่าไหร่ แค่นั่งตัวตรงก็จะไหลอยู่เรื่อยๆ ถึงมหาลัย 9.00 น แต่ได้อ่านหนังสือจริงๆ 11.20น
    • เหมือนความจำระยะสั้นก็จะแย่ลง ทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงที่อ่านไปท่อนก่อนหน้าได้ดีนัก รู้สึกเหมือนกำลังรับข้อมูลเป็นท่อนๆๆ ไม่ต่อเนื่อง
    • เหมือนการประมวลผลข้อมูลแย่ลง การใช้ความคิดลดลง แปลประโยคที่อ่านแบบผิวเผิน ตีความได้ไม่ลึก อ่านได้แบบผิวเผิน
    • วันนี้ไม่ได้ดื่มกาแฟด้วย อาจจะมีส่วนที่ทำให้สมองทำงานลดลง และ โฟกัสน้อยลง
    • ฟังเพลงไปพลางๆอย่างน้อย ก็เพื่อให้ผ่านวันนี้ไปได้ก่อน
  • สรุปวันนี้ไม่ค่อยมีแรงจริงๆแหละ แม้จะพออ่านไปเรื่อยๆได้ แต่สมองก็ไม่ค่อยคิดไอเดีย หรือ ตั้งคำถามใหม่ๆ เหมือนเข้าโหมดประหยัดพลังงาน และร่างกายก็จะเพลียๆ
    • การกินมื้อเดียวแล้ว อดวันเว้นวัน น่าจะไม่ไหวแหละ ก็ต้องกลับมากิน 2 วัน อด 1 วันเหมือนเดิม
    • เมื่อเช้ากินเกลือไปครึ่งช้อนชา วันนี้ก็มีมึนๆด้วยนะ แสดงว่าเกิดจากขาดอาหารนั่นแหละ
    • อดจนไม่มีแรงบ้าง บางทีก็เป็นการลดอัตตาอย่างหนึ่งนะ ถ้าเราไม่มีอาหารเราก็เหมือนง่อย ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี อย่าหลงตัวเอง
    • แต่แรงเดินก็ยังมีอยู่นะ ส่วนการอ่าน ถ้าตั้งใจอ่าน ไม่เอาเป็นข้ออ้างในการเถลไถล ก็ยังอ่านได้ปกตินะ
  • จะทำอย่างไรให้สามารถหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเทรดได้ - > ส่วนใหญ่จะ เริ่มจากการอ่านข่าว
    • Forex ความรู้เกี่ยวกับประเทศต่างๆ
    • Crypto ความรู้เกี่ยวกับ programming, ข่าว
  • เจอเนื้อหาเกี่ยวกับ Intermittent fasting กับ การทำให้สมองดีขึ้น https://www.healthline.com/nutrition/signs-of-autophagy#6.-Improved-brain-function 
  • วันนี้ความดัน 96/56mmHg pulse 62bpm ต่ำไปหน่อยนะ
  • กินวันละมื้อ แล้วอดข้ามวัน วันนี้ยังวิดพื้นได้อยู่นะ แต่ไม่มีแรงใช้ความคิด
  • ลงทุน: สุดท้ายขาย ADA ออกมาก่อน เพราะ กราฟลงเยอะมาก กำไรแทบไม่เหลือ
  • ว่าจะอ่านตำรา programming ไปด้วยแล้ว อย่างละครึ่ง กับการลงทุน เพราะ ตอนนี้ถอนทุนออกจากการลงทุน ก็ไม่ต้องรีบเรียนการลงทุนมาก เพราะ ยังมีเวลามากขึ้น

1 เม.ย.

  • สรุปเมื่อวานก็ยังนอนไม่ค่อยหลับ แม้จะกินเกลือเสริม ลอง search ดู มีหลายปัจจัยนะ 
    • ดื่มน้ำน้อย
    • สมองตื่นตัว เพื่อต้องการหาอาหาร
    • Growth hormone
    • แม้จะพักผ่อนน้อย แต่ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
    • บางทีอาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถ้าไม่ได้รู้สึกว่าทำงานแย่ลง
  • จะเปลี่ยนมาอดวันเว้นวันดูละ เพราะ รู้สึกว่าวิธีที่กินอยู่ตอนนี้(ธัญพืช) ขนาดว่าเดินไปกลับวันละ 2 ชม ยังมีแรงเหลือพอสมควร
  • ปัญหาในการลงทุนตอนนี้ คือ All in ใช้ทุนทั้งหมดที่มีลงใน Crypto(Cardano) ซึ่งกลายเป็นว่าชีวิตเราขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนของกราฟละ ต่อให้เราเชื่อว่ามันจะดีแค่ไหน และ undervalue อยู่มาก แต่ถ้ากราฟมันมีจังหวะลง แล้วเราต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในช่วงนั้นพอดี ก็จะขาดทุนย่อยยับอย่างทวีคูณ​  อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น อาจต้องลองมาดู Worst case ของทางเลือกต่างๆ
    • All in
      • กราฟลงได้อีก 30% ไม่ขึ้น และต้องใช้เงินจ่ายภาษี กำไรหาย แถมขาดทุน
      • อาจต้องไปขอนอนวัด
    • แบ่งบางส่วน ?ครึ่งหนึ่ง? มาเป็นทุนสำรองเมื่อจำเป็น เราต้องมั่นใจว่าเรายังอยู่ได้อีกอย่างน้อย 1 ปี หากเราทำกำไรไม่ได้นะ
      • กำไรน้อยลงไม่ว่า เพราะ ถ้าเรามีความสามารถ อย่างไร ก็ทำกำไรได้เรื่อยๆ โอกาสทำกำไร ปีนึงมีหลายรอบเหลือเฟือมาก
      • อย่าไปสนใจกำไรที่น้อยลง สนใจชีวิตก่อน
  • ข้อเสียของการพยายามคิดเอง แบบไม่มีความรู้มาก่อน คือ มันมีโอกาสไขว้เขวง่าย เพราะ ไม่รู้ว่าถูกแน่นอนไหม
    • ตำราบอกไว้ว่า ที่ควรโกรธไม่ใช่การพลาดโอกาสทำกำไร แต่ที่ควรโกรธ คือตัวเราที่ไม่สามารถรักษาวินัยการลงทุนได้
  • มีอีกอย่างคือ ช่วงนี้ท้องเสียนิดๆ อยู่บ่อย เหมือนลำไส้อักเสบจากปัจจัยบางอย่าง
    • ข้อสังเกต คือ หลังกินกาแฟจะมีอาการภูมิแพ้ จามและคัดจมูกทันที ขณะเริ่มดื่มกาแฟ(ตั้งแต่เริ่มสูดไอกาแฟ) ไม่แน่ใจว่าแอบมีแมลงสาปเข้าไปหรือไม่ อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ท้องเสีย
      • เคยมีข่าวว่า จริงๆโรงงานคั่วกาแฟ อาจมีแมลงสาปเข้าไปอยู่ในกระทะคั่วด้วย
    • ลองงดกาแฟสักพัก
  • ถ้าเอาเงินไปไว้ในการลงทุนทั้งหมด จะรู้สึกเครียดนิดๆ เหมือนมันเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้พยายามอ่านหนังสืออยู่นะ
  • ชีวิตที่ลำบาก กระตุ้นและบีบบังคับ ให้ต้องอ่านหนังสือ กระตุ้นให้ฝึกอ่านข่าวต่างประเทศ กระตุ้นให้ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเอง กระตุ้นให้ต้องพัฒนาตนเอง และ ทำ Fasting ถ้าไม่ทำ = homeless
  • เมื่อวานวันอด อ่านหนังสือได้ 14 หน้า
  • วันนี้อ่าน The art of currency trading ต่อ ว่าจะอ่านตอน 11.30น แต่เถลไถล ถึง 12.40น มีสมาธิอ่านจริงๆตอน 13:30 น
  • ความรู้จากการอ่านหนังสือ เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เรา หลุดพ้นจากพันธนาการของความไม่รู้ และ การไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรจากความไม่รู้ได้
  • เทคนิคการเรียนรู้อย่างหนึ่ง คือ อ่านแล้วพยายามไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น พยายามตั้งคำถามในใจเสมอว่า "ใช่หรือ?" แล้วคิด และทดสอบด้วยตนเอง มันจะทำให้แตกฉานมากกว่า
  • การเรียนภาษาอังกฤษ​ ต้องใช้พจนานุกรม eng-eng เท่านั้น ห้ามใช้ eng - thai เป็นอันขาด ถ้าเห็นภาษาไทย มันจะกลับไปใช้โหมดแปลไทยอัตโนมัติ แล้วโหมดรับรู้ภาษาอังกฤษจริงๆ ก็จะไม่ได้ทำงาน
  • รู้สึกเหมือนพลาดอะไรไปบางอย่าง คือ ทั้งๆที่เรามาห้องสมุด แต่กลับไม่ได้อ่านหนังสือในห้องสมุด ต้องอ่านหนังสือจากหน้าจอแทน พอเห็นหนังสือมากมายบนชั้นวางหนังสือ รู้สึกว่ากำลังพลาดโอกาสอะไรไปเยอะอยู่นะ
    • ต้องรีบๆอ่านตำราเทรดให้จบ
Notes

** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags" ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.