30 เม.ย.
- วันนี้ตื่น 7 โมง นอน 8ชม. วันนี้วันอดข้ามวัน หลังจากไม่ได้อดมานาน
- แม่บอกว่าการมัวหาความรู้ของเราเป็นวิธีที่ผิด เราควรรจะรีบไปหาเงินได้แล้ว
- แม่อยากจะให้เรากลับไปทำงานที่เราทำไม่ได้ โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เนื่องจากเรามี "ปัญหาบางอย่าง" ทำให้เราไม่สามารถทำงานในสิ่งที่เรียนมาได้ จึงลาออก
- แม่เราต้องการให้เราหาเงินมาให้ได้ แม้จะต้องไปคุกเข่าอ้อนวอนเหมือนขอทาน อย่างน้อยแม่จะได้มีอะไรไปโม้กับคนอื่น ไปเข้าสังคม(กากๆ)ของเขา แม่มักจะแคร์สายตาคนรอบข้าง(ชาวบ้านรอบๆ ที่การศึกษาไม่สูง)ที่มองมา จนถึงขนาดต้องการปรับเปลี่ยนชีวิตเรา ในแบบที่แม่ต้องการ(โดยไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งนั้น) ทั้งๆที่สายตา(อันว่าเปล่าและโง่เขลา)ของชาวบ้านเหล่านั้น มันไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นอะไรเลย
- เราลาออกจากงานเดิม กลับมาหาความรู้ อ่านตำราต่างประเทศ ทั้งการเงิน ภาษา programming รวมถึงการพยายามพัฒนาตนเอง(อดข้ามวัน) ซึ่งเราคิดว่าการได้ทำสิ่งเหล่านี้มันดีมากๆ อยากให้ทุกคนบนโลกได้มีโอกาสทำแบบนี้บ้าง(เก็บเงิน พักจากงานที่ไม่ชอบ แล้วมาศึกษาสิ่งที่ชอบ ให้สุดทาง) และเราได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากกับหนทางนี้ที่เราเลือก
- สิ่งสำคัญกับการอยู่กับแม่ ที่มีความรู้น้อย ฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ คิดหรือรับฟังอะไรซับซ้อนไม่ได้ เราคิดว่าจะต้องทำ Alternate day Fasting(อดข้ามวัน) ให้เกิด neuroplasticity มากๆ เพื่อให้สมาธิดี ใช้เหตุผลได้ดีขึ้น ไม่ใช้อารมณ์เวลาถูกยั่วยุ สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่มีแต่คำพูดเชิงลบ ล่องลอยมาตลอดได้
- อีกวิธีหนึ่งคือการนึกถึงบุญคุณที่เขาเคยทำให้เรา ถ้านึกถึงบุญคุณของการให้กำเนิดไม่ได้ อย่างน้อยก็นึกว่า เขาเป็นเจ้าของหอที่ให้ที่อยู่อาศัยอันสุขสบายกับเรา ถ้าเขาด่าว่าอะไรเรามา ก็เงียบๆไว้ก็ได้ ถ้าเราไม่ได้จริงจังอะไร การไปเถียงตอบมันจะยิ่งเพิ่มกิเลสของเรา ทำให้เรายิ่งจริงจังกับเรื่องไร้สาระมากขึ้น
- บางที การรุก ก็คือหนึ่งในวิธีตั้งรับ ที่ดีมากวิธีหนึ่ง
- เราอาจจะต้อง manipulate ผู้อื่น แทนที่จะให้ผู้อื่น manipulate เรา
- อ่านหนังสือที่บ้าน เริ่มอ่านจากหน้า 58
- พึงระลึกไว้ว่า ตอนนี้เราหาความรู้ ก็เพื่อตัวเราเอง ไม่ได้มาจากการชี้นำของคนอื่น เช่น แม่ เป็นต้น
29 เม.ย.
- วันนี้ตื่น 6 โมง นอน 8 ชม วันนี้ ไม่ได้อด
- วันนี้ไม่มีปัญหาตาแห้งแล้ว ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ อ่านหนังสือไม่ต้องหยีตา
- เมื่อวานอ่าน Financial market and institution ถึงหน้า 56(อ่านได้ 8 หน้า)
- ความทุกข์ จะทำให้เราไม่ลืมคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่รอบตัว ความสุขมักทำให้เราหลงลืม
- วันนี้จะกลับบ้านแล้ว(กลับไปดูแลคนที่บ้าน) หวังว่าประสบการณ์การออกมาใช้ชีวิตลำบากคนเดียวนี้ จะไม่ทำให้เราลืมสิ่งมีค่าที่เรามีรอบตัว และจะไม่กลับไปทำตัวเหลวไหลอีก(เอาแต่ดูการ์ตูนเหลวไหล ไม่อ่านหนังสือ หาความรู้) ที่สำคัญคือ เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
- แต่ทั้งนี้แม้จะเป็นคนที่บ้าน แต่ก็เชื่อหรือไว้ใจไม่ได้ทั้งหมด เพราะ บางคนจะเป็นคนแม้จะบริสุทธิ์ใจกับเรา แต่มักจะถูกชักจูงได้เช่นกัน จากการไม่มีความรู้ของเขา หรือ คนรอบข้าง มันเลยกลายเป็นการถูกหลอกให้ "ทำผิดโดยบริสุทธื์ใจ" คือ การตั้งใจว่าจะช่วยเหลือ แต่จริงๆคือการสร้างปัญหาให้
- เคยอ่านพระไตรปิฏก ในหมวดชาดก ความลับบางเรื่องก็ควรเก็บไว้กับตัว ทั้งชีวิต ไม่ควรบอกกับใคร ไม่ว่าจะเพื่อนสนิท ภรรยา หรือ พ่อแม่
- เพื่อนสนิท ก็อาจเผลอหลุดความลับของเราให้กับศัตรู ที่แฝงมาเป็นมิตร
- ภรรยา มักจะเปิดเผยความลับเมื่ออยู่ในหมู่ญาติหรือเพื่อน(ฝ่ายภรรยา)
- พ่อแม่ มักจะไม่มีความรู้ทันยุคสมัย ก็ถูกคนเข้ามาตีสนิทให้หลงเชื่อ และ เผยความลับโดยง่าย
- วันนี้กลับมาบ้านแล้ว
28 เม.ย.
- วันนี้ตื่น 6.00น เมื่อคืนนอน 8 ชม.วันนี้กินอาหาร 2 มื้อ + มีเนื้อสัตว์ ในช่วง 6-10.00น (IF20/4)
- รู้สึกอ่านหนังสือได้ไม่ดีเท่าไหร่ นะ? หรือเนื้อสัตว์ มี Allergen/antigen บางอย่าง ที่ทำให้เราเกิดภูมิแพ้ ผื่นขึ้นหน้าและตาแห้ง(Sjogren syndrome) ซึ่งอาการตาแห้ง ส่งผลโดยตรงต่อการอ่านหนังสือ(แต่กินไข่ได้นะ)
- วิธีแก้เบื้องต้นคือ หยีตาอ่านหนังสือ
- วิธีแก้จริงๆคือ อาจจะเป็นการพยายามหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์
- หลังมื้ออาหารสุดท้าย 8 ชั่วโมง จะเริ่มกลับมาอ่านหนังสือได้ปกติ โดยไม่ต้องหรี่ตา(ตาไม่แห้ง)
- สรุปว่า วันนี้สมองกลวง focus, อ่านอะไรไม่ได้เลย เหมือนทำกิจกรรมที่ใช้ตาไม่ได้เลย แต่ใช้หูฟังยังได้อยู่
- ช่วงนี้ไม่ได้อดข้ามวัน สมองตื้อจริงๆแฮะ
- รู้สึกอ่านหนังสือได้ไม่ดีเท่าไหร่ นะ? หรือเนื้อสัตว์ มี Allergen/antigen บางอย่าง ที่ทำให้เราเกิดภูมิแพ้ ผื่นขึ้นหน้าและตาแห้ง(Sjogren syndrome) ซึ่งอาการตาแห้ง ส่งผลโดยตรงต่อการอ่านหนังสือ(แต่กินไข่ได้นะ)
- ว่าจะกลับไปพักที่บ้าน เช่าหอที่บ้านอยู่แทน เนื่องจากหอที่พักอยู่ในปัจจุบัน คุณภาพชีวิตไม่ดี ไม่ถูกสุขอนามัย ราคาแพงเมื่อเทียบกับคุณภาพชีวิต(ไม่ดี)ที่ได้รับ
- สาเหตุที่ต้อง "เช่า" หอที่บ้าน เพราะ ยังคงต้องการความเป็นส่วนตัวในฐานผู้เช่า ไม่ต้องการให้ วิสัยทัศน์อันไม่ประกอบด้วยความรู้ของคนที่บ้าน บางคน พยายามเข้าควบคุมชีวิตเรา ทั้งๆที่เรามีความรู้มากกว่า มองอะไร ก็มองได้ไกลกว่า แต่กลับถูกชี้นำ ครอบงำ ปกครอง โดยคนพูดมาก แต่ไม่มีความรู้ อันนี้ก็แย่(แม้จะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม)
- อีกอย่างคือ เราจำเป้นที่จะต้องมีห้องส่วนตัว เพื่อไม่ให้เจอกัน 24 ชม ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นอันทำอะไรเลย
- เราน่าจะต้องใช้วิธีการเชิงรุกแล้วล่ะ แทนที่เราจะใช้วิธีการเชิงรับ ที่คอยป้องกันการควบคุมจากเขา(คนที่บ้าน) แต่ทำไมเราไม่พยายามครอบงำเขาเสียเองล่ะ "ต้องหาวิธีการ manage โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่าถูก manipulate อยู่"
- อีกความรู้สึกหนึ่งคือ เราก็ควรจะกลับไปดูแลคนที่บ้าน ที่เคยดูแลเรามาก่อน อยากจะทำให้มันดี แทนที่เราจะอยู่ด้วยกัน เพื่อเกิดประโยชน์ร่วมกัน มันดูไร้เหตุผลมากๆเลย ที่เราจะต้องมาถกเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระ บ้าบอ ทั้งหลาย ในเมื่อทุกคนต้องการทำให้มันดี ทำไมเราจะต้องมาเถียงกันด้วยความไร้เหตุผลด้วย
- สาเหตุที่ต้อง "เช่า" หอที่บ้าน เพราะ ยังคงต้องการความเป็นส่วนตัวในฐานผู้เช่า ไม่ต้องการให้ วิสัยทัศน์อันไม่ประกอบด้วยความรู้ของคนที่บ้าน บางคน พยายามเข้าควบคุมชีวิตเรา ทั้งๆที่เรามีความรู้มากกว่า มองอะไร ก็มองได้ไกลกว่า แต่กลับถูกชี้นำ ครอบงำ ปกครอง โดยคนพูดมาก แต่ไม่มีความรู้ อันนี้ก็แย่(แม้จะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม)
- ความน่ารำคาญของคน แยกตามเพศ
- ผู้หญิง ส่วนใหญ่จะ ความจุกจิก น่ารำคาญ คิดเล็กคิดน้อย(มองแต่ปัญหาเล็กๆ จนเสียการใหญ่) บางทีอาจเป็นอะไรที่เราต้องระวัง พยายาม "หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้หญิง"
- ผู้ชาย ก็มีความน่ารำคาญเหมือนกัน ตรงที่ จะมีปัญหาเรื่องความคิดว่า ตัวเองเก่ง จูนิเบียว อีโก้ ตัวเองมีความสำคัญต่อโลกใบนี้(และสำคัญกว่าคนอื่นๆ) อันนี้วิธีแก้ก็คือ "เมินมัน(คนๆนั้น)ไปซะ"
- แต่ทั้งสองเคสมักเกิดในพวก รู้ไม่จริง แล้วคิดว่าตัวเองมีความสำคัญ และไม่พยายามพัฒนาตนเอง เลยทำให้ต้องพยายามด้อยค่าผู้อื่น เพื่อให้ตัวเองดูมีคุณค่ามากขึ้น ต้องพยายามมองด้วยความรู้สึกที่เป็นกลางและคอยดูตัวเองด้วย ว่ากำลังเป็นหนึ่งในนั้นอยู่หรือไม่ (แทนที่จะดูเป็นแบบอย่าง ที่เราสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นแบบเขาได้ แต่กลับอิจฉาคนอื่น และไม่พัฒนาตนเอง ซึ่งถ้าคอยพัฒนาตนเอง มันก็ไม่ต้องไปอิจฉาใครหรอก เราจะรู้ว่ายังไงคนเราก็พัฒนาได้)
- วันนี้อ่าน Financial markets and institutions เริ่มจากหน้า 48
- เรื่องความรู้ในการเทรด ตอนนี้เหมือนเราได้เรียนอะไรที่เหมาะเจาะ กับเวลามากๆ เริ่มจากตำราเทรดบอกให้ศึกษา Fundamental ไม่ใช่การเชื่อใน Technical analysis(เพราะ กราฟจะมองอย่างไรก็ได้) เราก็ได้ตำรา Fundamental ที่ดีเล่มหนึ่ง มาอ่านต่อทันที
- เทคนิค ถ้าอ่านหนังสือจากหน้าจอไม่ได้ ให้พยายามหยีตาเวลาอ่านหรือใช้งานหน้าจอ จะทำให้ตาไม่แห้งง่าย และอ่านได้สบายขึ้น
27 เม.ย.
- วันนี้ ตื่น 6.00น เมื่อคืนนอน 7 ชม เมื่อวานกินมื้อดึก และ วันนี้ก็กินมื้อเช้าต่อ
- สรุปว่า กินมื้อดึก อย่างไรก็ไม่โอเค เพราะ จะนอนอยู่แล้ว ง่วงไปกินไป แถมกินเยอะ ก็นอนหลับยาก ตื่นมาก็ผื่นขึ้นหน้า
- กินมื้อเช้า แบบพระ เป็นวิธีที่ดีที่สุด กินวันละมื้อ จะอดข้ามวันบ้างก็ได้ ในทุก 2 วัน
- สาเหตุที่ท้องเสียบ่อยอาจเป็นเพราะดื่มกาแฟนั่นแหละ มันทำให้ลำไส้ทำงานเร็วกว่าปกติ และ อาหารเคลื่อนผ่านไปถึงลำไส้ใหญ่อย่างรวดเร็ว โดยที่ยังไม่ได้ดูดซึมน้ำและเกลือแร่ออกมากนัก
- สรุปว่า กินมื้อดึก อย่างไรก็ไม่โอเค เพราะ จะนอนอยู่แล้ว ง่วงไปกินไป แถมกินเยอะ ก็นอนหลับยาก ตื่นมาก็ผื่นขึ้นหน้า
- เหมือนตอนนี้สายตาเราจะชินกับการ อ่านหนังสือผ่านหน้าจอ (Macbook pro) มากกว่าอ่านผ่าน หนังสือจริง หรือ e-reader แล้ว อ่านผ่านหน้าจอความละเอียดสูง สามารถขยายข้อความได้ด้วย ทำให้โดยรวมอ่านง่ายกว่า
- มีตำราสอนเทคนิคการเรียนภาษา โดยมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ https://www.reddit.com/r/languagelearning/comments/vpzv3f/recommendations_of_books_about_the_language/
- Thank god! it is Monday - ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับงานของคุณ อยู่เสมอๆ แนะนำให้เปลี่ยนงานเถอะ
- ข้อความนี้ได้มาจาก The Art of currency trading หน้า 377
- ใกล้จะอ่านตำรา the art of currency trading จบแล้ว คำถามต่อไปคือ จะ balance ระหว่าง programming กับ finance อย่างไรดีนะ
- finance ยังคงต้องหาความรู้ต่อ(financial system และ ตำราเทรดอื่นๆ) และ อ่านข่าวทุกวัน มันดีตรงที่สนุกพอที่จะทำได้ และนำไปสู่อิสระภาพทางการเงินในระยะยาว
- programming ยังไม่ได้เริ่มอ่านจริงๆจังๆสักเล่ม ไม่ได้เริ่มทำ "ระบบที่ทำให้คนชีวิตดีขึ้น" สักที
- อ่าน the art of currency จบแล้ว ใช้เวลา 1 เดือนครึ่ง กับ 380 หน้า ต่อไปจะอ่านอะไรดี
- อ่านตำราเทรดเล่มต่อไป
- อ่านเล่มเดิมซ้ำ
- อ่าน เกี่ยวกับ financial fundamental
- อ่าน programming
- ในแง่ความจำเป็น คิดว่าน่าจะต้อง
- อ่าน financial system และ ฝึกอ่านข่าว reuter ต่อ
- อ่าน programming อีกส่วนหนึ่ง
- อ่าน Mathematics
- แรกๆที่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ช้า แต่พออ่านหลายๆเล่มในหมวดเดียวกัน ก็ค่อยๆอ่านได้เร็วขึ้น เพราะ เริ่มมีคลังศัพท์ในหัวมากขึ้นในหมวดนั้นๆ รวมถึงได้รู้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันมาก่อนแล้วด้วย ทำให้เล่มต่อๆมาอ่านได้เร็วขึ้นและเข้าใจง่ายกว่าเริ่มอ่านครั้งแรก
- ต่อไปจะลอง กลับไป กินวันละมื้อ 2 วัน แล้วอดข้ามวัน 1 วัน(IF แบบ 22/2 สลับกับ 46/2)
- แผนตอนนี้คือ เรียนเรื่องการเทรดจบแล้ว ที่เหลือคือการเก็บเกี่ยวความรู้ที่เกี่ยวข้อง(เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจ, ภูมิศาสตร์, ทรัพยากรของแต่ละประเทศ) ส่วนเรื่อง programming, การเรียนภาษา ก็อ่านต่อได้แล้ว
- สรุปว่า สิ่งที่จะอ่านต่อมีดังนี้
- อ่านตำราเกี่ยวกับ financial system ต่อ
- ชื่อ Financial Markets & Institutions เขียนโดย Frederic S. Mishkin and Stanley G. Eakins
- ถือว่าตัดสินใจถูกประมาณนึง เพราะ หนังสืออธิบายเรื่องพื้นฐานทางการเงิน ที่เรากำลังสงสัยพอดี แค่เริ่มอ่านก็ตอบข้อสงสัยเบื้องต้นในหลายอย่าง เวลาที่อ่านข่าว reuter เหมือนกับว่า ความรู้พื้นฐานจากหนังสือเล่มนี้ จะเอาไปใช้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ได้
- อ่าน ข่าว reuter วันละ 3 ข่าว
- อ่าน Javascript วันละ 5 หน้า
- อ่านเลข วันละ 1 บท
- อ่าน Algorithm วันละ 5 หน้า
- อ่าน language learning วันละ 10 หน้า
- อ่านตำราเกี่ยวกับ financial system ต่อ
- สรุปว่า สิ่งที่จะอ่านต่อมีดังนี้
26 เม.ย.
- วันนี้ตื่น 6:00น เมื่อคืนนอน 7 ชม. วันนี้รู้สึกไม่มีสมาธิเท่าไหร่ เหมือนมีความคิดแทรกตลอดเวลา และไม่ค่อยกลับมาอยู่กับตัวเอง
- เมื่อวานกิน 3 มื้อ น่าจะทำให้เกิดการอักเสบได้มากขึ้น ทำให้วันนี้สมาธิแย่ลง
- วันนี้มาอ่านหนังสือที่มหาลัย
- สาเหตุที่เราต้องพึ่งพาการ์ตูน เกมส์ เพราะ เราไม่มีสมาธิ ซึ่งมักจะเกิดมากในวันที่ต้องกินอาหาร ส่วนวันอด จะไม่ต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ เพราะ ร่างกายไม่ลำบากจากการ จัดการกับอาหารที่กินเข้าไป และ เมื่อร่างกายไม่ลำบาก สมาธิก็ดี
- ปัจจุบันเลยกลายเป็น มีสมาธิวันเว้นวัน เพราะ อดวันเว้นวัน
- วิธีการอดที่เคยทำ มีดังนี้
- IF 42/6 อันนี้ทำให้สมาธิดีมากในวันอด
- IF 36/12 ในวันอดจะยังมีรู้สึกหงุดหงิดง่าย สมาธิไม่ดีนักในช่วงแรก ต้องรอหลังจาก 16-18 ชมไปแล้ว จะดีขึ้น
- จะมีวิธีอื่นอีกไหมที่จะทำให้เรามีสมาธิดีและร่างกายไม่ลำบาก ในทุกๆวัน เพื่อให้ทำงาน/อ่านหนังสือได้ต่อเนื่อง?
- หลักๆคือ หลังอดอย่างน้อย 16-18 ชม(เกิดภาวะ ketosis มากพอ) จึงจะเริ่มมีสมาธิ
- กินวันละมื้อ IF 23/1 โดยกินอาหารในช่วงเย็น จะเกิด ketosis ในช่วงสายๆของวันถัดไป ซึ่งพอดีกับเวลาที่ทำงาน/อ่านหนังสือ
- ส่วนวิธีแบบอดข้ามวัน IF42/6 ข้อดีคือ พัฒนาตัวเองได้เร็วกว่าแบบก้าวกระโดด(สมาธิเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน) แต่บางทีต้องกินมากในคราวเดียวมันก็จะอึดอัด ใช้ชีวิตได้ไม่ปกติเท่าไหร่ วันที่กินอาหารอาจต้องเก็บตัว วันอดถึงจะออกสู่โลกภายนอกได้ แต่ก็ถือว่าคุ้มสำหรับความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
- อาจต้องเปลี่ยนอาหารเป็น dense nutrition เช่น ถั่ว, ธัญพืช เพื่อให้ปริมาตรอาหารลดลง แต่ยังได้สารอาหารมากเท่าเดิม
- ปัจจัยกวนในปัจจุบัน(ปัญหาส่วนตัว) คือ ความสะอาดของอาหาร เพราะ ที่หอพักมักจะมีแมลงสาบ ซึ่งเป็นตัวนำพาเชื้อโรค แม้จะกินเยอะ แต่ก็ไม่ดูดซึมและท้องเสียบ่อย ทำให้เข้าใจว่ากินไม่พอ และพยายามกินให้มากขึ้นจนอึดอัด ทั้งๆที่จริงๆ ถ้ากินธัญพืช อาจจะไม่ต้องกินเยอะมากก็เพียงพอแล้ว แต่ปัญหาคือเรื่องการดูดซึมมากกว่า
- หลักๆคือ หลังอดอย่างน้อย 16-18 ชม(เกิดภาวะ ketosis มากพอ) จึงจะเริ่มมีสมาธิ
- Alternate day fasting แม้จะดี แต่ความไม่คงที่ในแต่ละวันก็เป็นปัญหาเหมือนกัน(มีสมาธิวันเว้นวัน) เกิดจากการที่ต้องกินมากขึ้นในคราวเดียว ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจาก ความไม่สะอาดของอาหารที่ทำให้ไม่ดูดซึม และต้องพยายามเพิ่มปริมาณมากกว่าปกติ หรือ มันไม่เพียงพอจริงๆ อาจจะต้องสังเกตตัวเองต่อไป
- สมาธิเริ่มดีขึ้น ตอน 10.00น(อด ชั่วโมงที่ 15)
- สาเหตุที่เราอ่านเรื่องการเงินได้ส่วนหนึ่งคือ เราไม่ได้จริงจังมากนัก ไม่คิดจะเรียนสมการคำนวณค่าเศรษฐกิจอะไรมากมาย แค่รู้หลักการและเอาความรู้ไว้ใช้วิเคราะห์เศรษฐกิจ เป็นประโยชน์กับชีวิตได้ก็พอ ต่างจากด้านคอมฯ คือ เราต้องการรู้พื้นฐานด้วย เช่น algorithm เป็นต้น ต้องการเริ่มตามลำดับทั้งหมด ทำให้การเรียนมีเงื่อนไขมากกว่า และ เริ่มได้ยากกว่า
- วันนี้อยู่ๆก็นึกอุตตริ อยากลองกินมื้อดึกเผื่อว่าพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องกิน และไปมหาลัยได้เลย เลยหยุดการอดไว้ที่ 24 ชม แล้วทำมื้อดึก แต่ก็กินไม่หมด ก็ต้องกินต่อพรุ่งนี้อยู่ดี
- สรุปคือ การอดข้ามวันที่ตั้งใจไว้ก็พัง แถมยังลำบากนอนดึกอีก
- จริงๆ ที่ทำอยู่ก็รู้สึกไม่ practical เท่าไหร่ เพราะไม่สามารถใช้ชีวิตได้แบบปกติ คือ วันที่กินอาหารจะต้องกินเยอะมาก จนอึดอัด ออกไปไหนหรือทำกิจกรรมอื่นๆไม่ค่อยได้
- อาจจะเปลี่ยนมากินวันละมื้อ(เช้า) 2 วัน แล้วอดข้ามวัน 1 วัน แบบที่เคยคำนวณไว้
- การข้องเกี่ยวกับเรื่องอาหาร เยอะ ทำให้ชีวิตไม่เป็นอิสระ ถ้าจะให้เหมือนธรรมชาติจริงๆ ก็คือกินแบบพระป่า คือ กินวันละมื้อ(เช้า) เท่านั้น และ บางวันก็อด ไม่น่าจะใช่การพยายามกินกักตุนแบบที่ทำอยู่
- จริงๆ ที่ทำอยู่ก็รู้สึกไม่ practical เท่าไหร่ เพราะไม่สามารถใช้ชีวิตได้แบบปกติ คือ วันที่กินอาหารจะต้องกินเยอะมาก จนอึดอัด ออกไปไหนหรือทำกิจกรรมอื่นๆไม่ค่อยได้
- สรุปคือ การอดข้ามวันที่ตั้งใจไว้ก็พัง แถมยังลำบากนอนดึกอีก
- วันนี้อ่านหนังสือได้ ถึงหน้า 373(18หน้า)
- ที่อ่านได้เยอะส่วนหนึ่งเป็นเพราะเนื้อหาไม่ยากแล้ว เลยไม่ต้องสรุป ใช้ความตั้งใจ หรือทำความเข้าใจเยอะ
25 เม.ย.
- วันนี้ตื่น 2:30 น นอน 4:30 ชม ตื่นเช้า/พักผ่อนน้อย เป็นปกติของวันอดข้ามวัน(เมื่อวาน) แต่ไม่ได้อ่อนเพลียแต่อย่างใด ยังสดชื่นเหมือนวันนอนเยอะ
- วันนี้วันกินอาหาร ไม่ได้ไปมหาลัย ต้มธัญพืชนิ่มกว่าปกติ วิธีคือ ใส่น้ำเยอะๆ ต้มเดือดครั้งแรกแล้วทิ้งไว้ 1 ชม. แล้วต้มต่อ 40 นาที
- กิน 3 มื้อ ใน 12 ชม
- อ่านข่าว reuter จะลองอ่านให้สนุก เหมือนอ่านเรื่องราวต่างๆ อย่าไปจริงจังว่าจะต้องได้ข้อมูลเอาไปเทรด เพราะ ถ้าเราอ่านเยอะๆ และมีข้อมูลที่เหมาะสมจริงๆ มันน่าจะตกผลึกและได้คำตอบเอง ว่าควรเทรดอะไร
- เริ่มอ่านบ้างแล้ว แต่แรกๆ จะอ่านช้า เพราะ เรายังไม่คุ้นศัพท์ แล้วจะค่อยๆคล่องขึ้นๆเรื่อยๆ
- ช่วงนี้สมาธิดีขึ้นแล้ว เริ่มสามารถอ่านหนังสือแม้จะอยู่ห้องคนเดียวได้แล้ว หลักๆน่าจะเกี่ยวกับ การอดอาหารข้ามวัน เว้นวัน(Alternate day fasting) ทำให้สมองสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดีขึ้น(เพิ่มการเชื่อมโยงของเครือข่ายใยประสาทได้ไวขึ้น - neuroplasticity) ทำตามเหตุผล ควบคุมตนเองได้ดีขึ้น
- แต่เหมือนอีกปัจจัยหนึ่งคือไปมหาลัย ก็ทำให้ต้องฝึกใช้ชีวิตแบบอ่านหนังสือทั้งวัน จนเริ่มกลายเป็นความเคยชิน พอกลับมาวันที่อยู่หอพักก็เริ่มเคยชินที่จะอ่านหนังสือต่อ ไม่ไปทำอย่างอื่น
- อีกปัจจัยคือ ดูการ์ตูน เล่นเกมส์ พอดู/เล่นไปมากๆก็เบื่อ เหมือนกินอาหาร Fast food อาจจะอร่อย แต่ไม่นานก็เบื่อ และไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเท่าไหร่ กลับกัน การอ่านหนังสือ มีความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ เหมือนกินอาหารสุขภาพ ที่อาจจะไม่ได้อร่อยมากเท่า แต่ก็กินได้ตลอด เพราะมันประโยชน์กับร่างกาย
- เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 355(13 หน้า)
- วิทยาศาสตร์ ช่องนี้ดี ฟังง่าย เข้าใจง่าย มีหัวข้อน่าสนใจ บางทีไม่ต้องเปิด caption ก็ยังพอฟังได้ https://www.youtube.com/@besmart
- เหมือนถ้าอากาศร้อน แล้วดื่มน้ำไม่พอ ร่างกายขาดน้ำ(dehydration) ก็จะทำให้ตาแห้งได้เหมือนกัน ส่งผลต่อการอ่านหนังสือ https://www.healthline.com/health/dry-eye/ask-the-expert-dry-eye-dehydration#sunken-eyes ในขณะเดียวกัน อากาศแห้งและเย็นก็ทำให้ตาแห้งได้เหมือนกัน รวมถึงภูมิแพ้ต่างๆ
- สาเหตุหนึ่งที่เรากินเกลือแล้วท้องเสียทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะเปิดฝาเกลือทิ้งไว้ แล้วมีแมลงสาบไต่ผ่านตอนกลางคืนก็ได้(เพิ่งจ้ะเอ๋กันเมื่อเช้า) ประเด็นนี้ อาจตอบคำถามที่ว่า ทำไมทำอาหารกินเองที่หอ ในปริมาณเยอะมาก แล้วน้ำหนักไม่เพิ่ม แต่กินอาหารข้างนอก แม้ปริมาณปกติ แต่น้ำหนักกลับเพิ่ม
- เพราะ เมื่อเราทำอาหารกินเอง และใช้เกลือที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เสี่ยงทำให้อาหารสกปรก ทำให้สารอาหารไม่ถูกดูดซึมและถ่ายออกมา
- วันนี้กิน 3 มื้อ ค่อนข้างยุ่งยากทั้งวัน ไม่โอเคเท่าไหร่ กลับไป IF 42/6 เหมือนเดิม(กินก่อนเที่ยงแล้วอดข้ามอีกวัน)
24 เม.ย.
- วันนี้ตื่น 6.30น เมื่อวานกินเยอะ เลยนอนเยอะด้วย วันนี้วันอด
- น้ำหนักตัวอยู่ที่ 48.4 กก.
- น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ ช่วงก่อนหน้า ทำ alternate day fasting 36/12 โดยกินอาหารปกติ ไม่ได้กินธัญพืช แต่น้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้น แต่ช่วงนี้กินธัญพืช โดยคิดว่าคำนวณ calories เพียงพอ แต่น้ำหนักตัวก็ไม่เพิ่ม แถมลดลงอีก
- อาจลองกินสลับ ธัญพืชวันนึง อาหารปกติวันนึง และเพิ่มเวลากิน เป็น 12 ชม จาก 6 ชม แต่ยังอดข้ามอีกวันเหมือนเดิมนะ
- รู้สึกสมาธิดีขึ้น จนพอที่จะ เขียนโปรแกรมไม่ซับซ้อนในใจได้ ตอนกำลังเดินไประหว่างตึกของมหาลัย เป็นโปรแกรมสั้นๆ เช่น โปรแกรมหา power, factorial โดยใช้การ recursion
- เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 342(3หน้า) มีอ่านข่าวreuterบ้าง ที่เหลือก็ดูการ์ตูน 6 ชม
- อ่านหนังสือให้จบยังคงเป็น first priority ส่วนการอ่านข่าว ยังคงต้องการความรู้ด้าน fundamental เพิ่มเติมด้วย
- ชีวิตที่อยากให้เป็น(ideal)และต้องทำให้ได้ คือ ตื่นมา อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ทั้งวัน ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งบันเทิงจากการ์ตูน เกมส์ social media
- จากความรู้สึกของเรา ระหว่างเพื่อนร่วมงานเป็น programmer กับ เพื่อนร่วมงาน เป็น fund manager(การเงิน) เราอยากทำงานในหมู่ programmer มากกว่า ไม่ใช่การเงิน
- จัดอันดับความชอบ จริงๆทุกศาสตร์สนุกหมดนะ แต่จะมีบางศาสตร์ที่เรารู้สึกถนัดมากกว่าอย่างอื่น
- Developing program รู้สึกว่าเรามี sense ทางด้านนี้ เรียนรู้ได้เร็ว เห็นปัญหาได้เร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ พลิกแพลงสิ่งใหม่ได้เอง สามารถสร้างโปรแกรม ที่คนต้องการใช้งานจริงๆได้
- Trading & Financial ความรู้เรื่องการเงิน/การเทรด เป็นอะไรที่สนุกอันดับ 2 รองจาก programming เลย สนุกตรงหาเงินนี่แหละ ฮาๆๆ
- Health หลักการทางการแพทย์ เทคนิคการรักษาที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และการพลิกแพลงต่างๆ อ่านแล้วสนุกเหมือนกัน เหมือนได้ใช้สมองทั้งสองซีกอย่างเต็มศักยภาพ
- Science: Chemistry, physis, biology ได้เรียนรู้ธรรมชาติ เพื่อนำมาอธิบาย หรือไขข้อสงสัยของสิ่งรอบตัว แล้วยังใช้ต่อยอดในการสร้างแนวคิด สิ่งใหม่ได้
- Language เป็นอะไรที่เราไม่ถนัด พยายามทำความเข้าใจหลายรอบ ก็ไม่พัฒนาขึ้นเท่าไหร่ แม้จะฝึกตนเองจนอ่าน Textbook ได้ อ่านข่าว eng ได้ แต่ก็ไม่สามารถคิดเป็นภาษาอังกฤษ ไม่สามารถใช้ในการโต้ตอบอย่างรวดเร็วได้ แม้จะฝึกมาหลายปีแล้ว
- สิ่งที่ได้เรียนรู้จากตำรา The Art of currency trading อย่างหนึ่งคือ เรื่องของprocess สำคัญกว่า outcome
- outcome เป็นเรื่องของ luck ซึ่งมักให้ผลในระยะสั้น แต่ process ที่ดี จะให้ผลลัพธ์ในระยะยาว
- เช่น good luck อาจทำให้คนเล่น poker ไม่เป็น แต่ได้ไพ่ดี ชนะ pro-poker ได้ในตาแรก แต่หากว่าเล่นกัน ต่อไปสัก 10 ครั้ง โอกาสชนะของ pro poker จะเรียกได้ว่าอยู่ที่ 100% เลย
- Good decision, but bad outcome ในชีวิต บางทีเราพยายามทำอย่างดีที่สุด ตัดสินใจอย่างดีที่สุด พยายามหาความรู้ไม่หยุดหย่อน เหนื่อยมามากมาย(Good decision) แต่ผลลัพธ์ กลับออกมาไม่ดี(Bad outcome) นั้นเป็นเรื่องของ Bad luck ที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ความแน่นอนที่จะสำเร็จ จาก Good decision, Good process อาจจะอยู่ที่ 100 % เลยก็ได้
- Poor decision, poor outcome จะทำให้เราได้เรียนรู้ในความผิดพลาด
- ที่น่ากลัวที่สุด คือ Poor decision, but good outcome อาจนำหายนะมาสู่เราในอนาคตได้ เพราะ จะทำให้เราเคยชิน เรียนรู้ในสิ่งผิดๆ และไม่เกิดการเปลี่ยนนิสัย ไม่พัฒนาตนเอง หรือ ไม่ปรับปรุงกระบวนการ นำมาสู่ความผิดพลาดที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต หรือ หายนะในชีวิต(นักเทรดที่ดี ก็จะไม่ปฏิเสธ good luck นะ แต่จะรู้ว่ามันไม่ใช่แนวทางที่ถูก)
- แต่ทั้งนี้ ศัตรูตัวจริง ของเรา ก็ไม่ใช่ Bad luck แต่ที่สุดแล้ว คือ ตัวเราเอง ที่จะเลือกตัดสินในทำสิ่งต่างๆ เลือกที่จะพัฒนาหรือไม่พัฒนา เลือกที่จะหาความรู้เพิ่มเติมหรืออยู่กับที่(หรือถดถอยกับความรู้ที่ล้าหลัง) เลือกที่จะปรับปรุงตนเองหรือโทษความโชคร้ายในอดีตที่ผ่านไปแล้ว
- outcome เป็นเรื่องของ luck ซึ่งมักให้ผลในระยะสั้น แต่ process ที่ดี จะให้ผลลัพธ์ในระยะยาว
- อดข้ามวัน(>=36ชม) ทำให้สมาธิดีขึ้นจริงๆนะ แม้อยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ แต่ก็ยังโฟกัสกับการอ่านได้ นอกจากนี้ก็รู้สึกว่า อ่านหนังสือได้สนุกขึ้น อ่านได้คล่องขึ้น เพราะ เข้าใจความหมายของประโยคภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น
- แต่เนื่องจาก ทำIFแบบ 42/6(กิน 2 มื้อแล้วอดข้ามอีกวัน) แล้วน้ำหนักลด อาจจะปรับมาเป็น IFแบบ 36/12(กิน 3 มื้อ แล้วอดข้ามอีกวัน) ในบางวันที่ต้องเดินทางไปมหาลัย
23 เม.ย.
- วันนี้อยู่หอพัก ตื่น 5.00น กินอาหาร6-12.00น
- ยังไม่อยากเลิกดูการ์ตูน แต่ลึกๆก็รู้สึกว่าน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน ขณะเดียวกันก็รู้สึกลึกๆว่า ความรู้ในหนังสือ มีมากมาย ให้อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ แต่ก็ยังไม่ได้อยากอ่านจริงจัง แต่ถ้าเปิดหนังสืออยู่ตรงหน้า ตามันก็จะเหลือบไปอ่านได้
- แล้วจะเสียใจแน่เลยในอนาคต ถ้าปัจจุบันยังคงมัวทำตัวหลงมัวเมา ลืมกาลเวลาแบบนี้ สุดท้ายก็ได้แต่เสียใจ ที่เราปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป
- แต่เอาจริงๆ ถ้ารู้คุณค่าของเวลาตั้งแต่แรก แล้วเลิกดูการ์ตูนและเล่นเกมส์ไป น่าจะดีนะ
- ถ้าเราไม่รู้สึกว่าชีวิตเรามีปัญหา ไม่ต้องพยายามทำอะไรให้ดีขึ้น อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆก็ได้ อันนี้คือชีวิตเรามีปัญหาแล้วนะ
เพราะ ชีวิตจริงๆ มันมีแต่จะต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น ถ้าเราแก่ โดยที่ยังคงได้ทำงานใช้สมอง ยังคงต้องอ่านหนังสือใช้ความคิด พัฒนาตนเอง อันนี้อาจจะเรียกว่าเป็นคนมีบุญได้ไหมนะ ดีกว่าแก่แล้วนั่งเหม่อลอยไปวันๆ และตายแบบคนหลง
- เวลาอดยาวๆ ในวันที่กินอาหาร จะกะปริมาณอาหารยากเหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะกินมากในคราวเดียว และมักจะกินมากเกินไป มีงานวิจัยเหมือนกันว่า การทำ IF มักจะทำให้ รูปแบบการกินผิดปกติไป โดยจะทำให้เกิดการ binge eating(กินมื้อใหญ่ในคราวเดียว) โดยส่วนตัว คงต้องพยายามกะปริมาณและแบ่งมื้อดีๆ ให้เหมาะสม
- เริ่มอ่านข่าว reuter ได้ดีขึ้น รู้สึกว่า พอเปิดเว็บขึ้นมา เห็นหัวข้อข่าวเตะตามากขึ้น รับรู้เนื้อหาที่นำเสนอได้ดีขึ้น เริ่มซึมซับคำศัพท์ในเว็บได้บ้างละ
- แต่ยังคงต้องใช้การโฟกัสเพื่อให้อ่านเข้าใจความหมาย ไม่เหมือนอ่านภาษาไทย ที่เห็นข้อความปุ๊บก็เข้าใจปั๊บ ไม่ต้องใช้การโฟกัสเพื่อเข้าใจความหมาย
- อย่าอ่านหนังสือเพราะถูกบังคับ ไม่ว่าจะบังคับตัวเองหรือจากคนอื่น หนังสือไม่ใช่สิ่งที่จะจำกัดอิสรภาพในชีวิตของเรา แต่ให้อ่านหนังสือ เพื่อให้เรามีความรู้ และ ทุกความรู้ในสิ่งใหม่ๆ จะทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆมากขึ้น และนำเราสู่การมีอิสรภาพมากขึ้นๆ
22 เม.ย.
- วันนี้วันอดข้ามวัน มาอ่านหนังสือที่มหาลัย กลับมาสู่โลกปกติ เจอแสงแดด ผู้คน = > ประหยัดค่าไฟและน้ำดื่ม หากอยู่หอพัก(แต่ที่มหาลัยฟรี แถมแอร์ มีแค่ค่ารถนิดหน่อย)
- เหมือน การรับรู้โลกของเราละเอียดขึ้น สมาธิอยู่กับตัวเองดีขึ้น ความคิดละเอียดขึ้น แบบไม่ได้จงใจจะทำ
- เป็นผลจากการซุ่มทำ Alternate day fasting(กินครึ่งวัน 6 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน 42 ชม.) แต่ต้องรอการทดสอบว่ามันดีขึ้นจริงๆไหม
- วันนี้ตื่น 6.30น นอน 8:30ชม เมื่อวานกินเยอะไปหน่อย ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องกินเยอะขนาดนั้นก็อยู่ได้ แต่เนื่องจากซื้อผลไม้มาไว้เยอะ แล้วสุกจนเก็บไว้ไม่ได้ ทีหลังต้องควบคุมปริมาณแล้ว
- เทคนิคการทำอาหารคือ ใส่อะไรลงไปต้มรวมกันก็ได้ อย่างน้อย 30 นาที จะทำให้กลิ่นและรส ออกมารวมกันในอาหาร และทำให้อาหารอร่อยขึ้น แต่อาหารบางชนิด กินแบบสดๆ ไม่ผ่านความร้อนเยอะจะดีกว่า เช่น พริก กระเทียม เป็นต้น
- ลองใส่กล้วยน้ำว้าลงในอาหาร ถ้าต้มนานพอจนเปื่อย กล้วยน้ำว้าจะทำให้รสชาติการกินดีขึ้น ฮาๆ มันคือกล้วยบวชชีนี่เอง
- รู้สึกว่าสิ่งพอทดแทนไอศกรีมได้ คือ ผลไม้ กินแล้วรู้สึกสดชื่นพอๆกัน และ อาจดีกว่าตรงที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า เพราะ มี micronutrient, phytoneutrient, vitamin
- การเป็นคนธรรมดา เหมือน NPC ในเกมส์ ที่ไม่ได้เป็นที่รู้จัก(หรือพยายามเป็นที่รู้จัก) อาจจะทำให้ใช้ชีวิตได้ง่ายกว่า และมีความสุขกว่า การเป็นคนมีชื่อเสียง(หรือพยายามเป็นคนมีชื่อเสียง) แม้คุณค่าของคนจะไม่ต่างกัน เช่น อ่านหนังสือเยอะเหมือนกัน ความรู้พอๆกัน เป็นต้น
- การไม่คิดว่าตัวเองเก่ง แต่คิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา(ซึ่งความจริงก็เป็นแบบนั้น) แพ้ได้เหมือนกัน ไม่ได้ชนะตลอด เลือดก็สีแดงเหมือนกัน ไม่ได้โดดเด่น หรือดีกว่าคนอื่น จะทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น
- ตัวอย่าง แบบตัวเอกใน anime นี้
- เหมือนการอ่านหนังสือจาก "หนังสือจริง" ดีกว่า e-reader 50%(1.5เท่า) ดีกว่าอ่านจากหน้าจอ 100%(2เท่า)
- แต่ถ้าหนังสือจริง หรือ e-reader ตัวอักษรเล็ก การอ่านจากหน้าจอ/tablet จะดีกว่า 50% เพราะขยายตัวอักษรได้
- แต่เอาจริงๆ ขนาดตัวอักษรใน Textbook นับว่าเป็นขนาดมาตรฐาน ที่ผู้ใหญ่ปกติ และ เด็ก อ่านกันได้ เพียงแต่เราอาจจะไม่ชิน
- เหมือนการอ่านหนังสือจริง ทำให้ grammar พัฒนาได้ดีกว่า การอ่านจากหน้าจอนะ
- หลังจากที่ทำ IF 42/6 ช่วงสงกรานต์ มา 1 สัปดาห์
- สิ่งที่สังเกตได้ คือ
- เหมือนความสามารถในการวางแผนดีขึ้น สามารถวางแผนการทำสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันได้เป็นระบบขึ้น แบบไม่เคยเป็นมาก่อน และไม่ต้องพยายามบีบเค้นตัวเองให้คิดแต่อย่างใด น่าจะเป็นเรื่องของ IQ ด้วยนะ
- สมาธิดีขึ้น ไม่ลนลานง่าย มีสมาธิอยู่กับตัวเองได้ดีขึ้น
- ไม่ได้ออกกำลังกาย แทบไม่ได้ขยับตัวเลย แต่สมาธิกลับดีขึ้น สามารถใช้สมอง ใช้ความคิด ได้อย่างที่ต้องการมากขึ้น(แต่ก่อนจะลนลานง่าย ควบคุมตัวเองได้ไม่ดี ใช้ความคิดไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ)
- สรุปคือ พัฒนาขึ้นเยอะ พยายามทำIF 42/6 อย่างนี้ต่อไปเยอะๆ
- สิ่งที่สังเกตได้ คือ
- มาห้องสมุด ได้หนังสือมาอ่าน(ช้อปปิ้งหนังสือ) เกี่ยวกับสงครามสกุลเงิน currency war น่าจะทำให้เราเข้าใจระบบการเงินในปัจจุบันมากขึ้น
- เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 326(6 หน้า)
- วันนี้อ่านถึงหน้า 339(13หน้า)
- โดยส่วนตัวคิดว่า ตอนนี้สมาธิดีพอที่จะควบคุมตนเองให้อ่านหนังสือคนเดียวในห้อง ได้ดีพอๆกับไปอ่านท่ามกลางผู้คน(อ่านที่ห้องสมุดมหาลัย)แล้ว (เทียบจากจำนวนหน้าหนังสือที่อ่านได้ เมื่ออ่าน ที่ห้อง และ อ่านที่มหาลัย) อาจจะไปมหาลัยวันเว้นวัน ก็ได้
- อ่านที่มหาลัย เวลาอ่านจะน้อย แต่อ่านได้อย่างต่อเนื่อง เพราะ จะเล่นเกมส์ไม่ได้ ดูการ์ตูนไม่ได้ สถานการณ์บีบบังคับให้อ่านหนังสือ
- อ่านที่หอพัก เวลาเยอะ แต่มักจะเอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ สุดท้ายก็อ่านได้พอๆกับที่ไปอ่านที่มหาลัย
- แต่อาจต้องดูยาวๆ ช่วงนี้ไปวันเว้นวันไปก่อน
21 เม.ย.
- วันนี้ตื่นตี 3 นอน 5 ชม เมื่อวานวันอด(42 ชม) ตื่นมาไม่รู้สึกอ่อนเพลีย มีแรงปกติ วันนี้วันกินอาหาร
- รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปทีละวันๆ หมายความว่าตอนนี้เรากำลังผลาญเวลาชีวิตไปอยู่หรือเปล่านะ เราไม่ได้ทำตามความฝันและใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า มัวแต่ไปศึกษาด้านการเงิน ไม่ได้เริ่ม programming สักที
- หรืออีกนัยหนึ่งคือ เรากลัวและไม่มั่นใจว่าถ้าเราเลือกเส้นทาง programming แล้วไปได้ไม่สุด(พื้นฐานไม่ดี ตั้งบริษัทก็เจ๊ง ล้มเหลว) ก็จะต้องทำงานเพื่อเงินต่อไปจนแก่ และไม่ก้าวหน้าในสายอาชีพ เพราะ พื้นฐานไม่ดี รายได้ก็ไม่เยอะ ไม่มีความมั่นคง
- เราเลยมาศึกษาด้านการเงินก่อน เพื่อให้มีความรู้ในการหาเงินที่หลากหลายเป็นประกันชีวิต เผื่อถ้าเราไปด้านคอมฯที่เราชอบแล้ว มันเจ๊ง เรายังมีโอกาสอยู่รอดได้บ้าง
- เรื่องการเงิน ก็ศึกษาเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่หลังจากเริ่มได้พื้นฐาน ก็จะเปลี่ยนด้าน programming มาเป็น Major, ส่วนการเงินเป็น Minor แทน
- เหมือนก่อนจะออกวิ่ง ก็ต้องเตรียมตัว ผูกเชือกรองเท้าให้กระชับดี ฝึกจังหวะการหายใจ ลงน้ำหนักเท้า ท่าทางการวิ่งเพื่อให้ได้แรงจากสปริงที่เท้า ซึ่งหากเรามุ่งแต่จะใช้พละกำลังและแรงฮึดวิ่งอย่างเดียว ก็จะวิ่งไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ ลำบาก และ อาจไม่ถึงเป้าหมาย การที่เรารู้อะไรหลายๆอย่างเตรียมเผื่อไว้ ก็น่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย
- เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 323(12 หน้า)
- วันนี้เขียนสรุปเรียบเรียงความคิดจากสิ่งที่อ่านไป แต่อ่านเพิ่มไม่เยอะ
- พองดกาแฟ ท้องจะผูกแทน พอดื่มกาแฟจะเหมือนท้องเสียนิดๆ เพราะ ลำไส้ทำงานเร็วกว่าปกติ
- วันนี้ดูการ์ตูน 4 ชม.ต่อเนื่อง ช่วงที่กินข้าว ซึ่งเป็นช่วงที่สติ สมาธิ มีกำลังอ่อนที่สุด
- เผลอกินเยอะมากไป จนอึดอัด ทั้งๆที่ไม่ได้ใช้แรงเยอะ และที่กินอยู่ก็พอดีอยู่แล้ว
- ลำดับการพักผ่อนที่เคยทำตามประโยชน์ที่ได้รับ
- อ่านนิยายeng(ได้ฝึกภาษา) > ดูหนัง eng(ฝึกภาษา) > เล่นเกมส์(ฝึกทักษะ) > ดูการ์ตูน(ได้แนวคิดรูปแบบต่างๆ)
- ส่วนใหญ่ที่ได้ทำจริงๆ คือ 2 อย่างสุดท้าย ฮาๆๆ
20 เม.ย.
- วันนี้วันอดข้ามวัน นอน 7 ชม
- เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 311(12 หน้า)
- เหมือนวันที่อด ทำให้ทำความเข้าใจกับหนังสือง่ายขึ้น พอรู้สึกง่ายขึ้น สมาธิก็ดีขึ้น เถลไถลน้อยลง
- เหมือนกับว่า ไม่ใช่แค่สมาธิที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่ต้องมีการรวมกันของกำลัง 5 อย่าง(พละ 5 - พระไตรปิฎก) สติ ปัญญา ความเพียรยายาม ศรัทธา(แรงปราถนา) และ สมาธิ คอยหมั่นตรวจสอบว่าส่วนใดน้อยลง และพยายามเติมให้เต็ม หรือ พัฒนาให้มากขึ้นอยู่เสมอ เช่น
- เผลอไปเล่นเกมส์นานๆ เกิดจากไม่มีสติ แต่พอจะอ่านหนังสือ ก็อ่านได้ไม่นาน เกิดจากไม่มีสมาธิ ในแต่ละวันเริ่มย่อหย่อน เริ่มไม่ได้นึกถึงเป้าหมาย ใช้ชีวิตไปวันๆ เกิดจากขาดศรัทธา(แรงบันดาลใจ) และ ความเพียร และใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่คิดอะไร ไม่เกิดการตั้งคำถามใหม่ๆ ขาดการพิจารณา ทบทวนตัวเอง วิเคราะห์ตนเอง คือ ขาดปัญญา คิดพิจารณาโดยแยบคาย
- ปัญหาที่ว่า ทำไมแม้เราจะพยายามอยากจะออกมาเพื่อทำตามความฝัน ทำในสิ่งที่ชอบ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ทำตามความฝันจริงๆจังๆเสียที
- สาเหตุก็คือ ความกลัวความไม่มั่นคง กลัวการไม่มีเงิน ถ้าเป็นเด็ก ก็คงจะศึกษาในสิ่งที่ชอบแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่สนใจลำดับขั้นตอนหรือเวลา อยากอ่านก็อ่าน ชอบอะไรก็ทำอย่างนั้น ทำได้เลยทันที ไม่ต้องมีข้อแม้หรือเหตุผลอื่นๆ เช่นว่า ต้องหาเงินให้ได้ก่อน ทำนู่นนี่นั่นก่อน คอยให้ชีวิตมีอิสระทางการเงินก่อนแล้วค่อยมาทำสิ่งที่ชอบ เป็นต้น
- เราควรจะเลียนแบบเด็กดีไหมนะ? น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ก็ยังยึดติดกับสิ่งรอบข้างอยู่? เช่น ยึดติดกับความสำเร็จ การมองจากคนรอบข้าง คำชื่นชม คำวิจารณ์ ชื่อเสียง เงินทอง ความมั่นคง เป็นต้น ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนภาพลวงตา ที่หากเราทำในสิ่งที่ชอบจริงๆต่างหากจึงจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การตามแนวทางของคนส่วนใหญ่
- สรุปตอนนี้ ยังอ่านเรื่องการเงิน ยังไม่ได้อ่านเรื่องคอมพิวเตอร์ ตามที่ต้องการจริงๆ
- รู้สึกว่าการพยายามอดข้ามวันให้ได้ วันเว้นวัน แม้วันที่กินอาหาร จะกิน 3 มื้อ ก็ยังพัฒนาตนเองได้เร็วกว่า มีสมาธิจดจ่อกับการทำงาน ได้ดีกว่ากินวันละมื้อทุกวันนะ
- โดยส่วนตัวตอนนี้ กิน 2 มื้อ แล้วอดข้ามอีกวัน(IF 42/6)
- เหมือนต่อให้อ่านจากหน้าจอ ก็ต้องเปิดโคมไฟ ให้สิ่งแวดล้อมสว่างพอๆกันนะ(อ่านหนังสือจากจอคอมได้ดีขึ้น) พอปิดโคมไฟ เหมือนสายตาจะโฟกัสที่หน้าจอยากขึ้น เพราะ แสงจากหน้าจอ ต่างจากสิ่งแวดล้อมมากไป
- Performance ในการอ่านหนังสือ IF 42/6 > IF 36/12 > IF 22/2 > IF 16/8
- มีสมาธิดีกว่า โฟกัสได้ดีกว่า ควบคุมตัวเองได้ดีกว่า ความคิดแล่นกว่า อารมณ์นิ่งกว่า
- เหมือนวันนี้ไม่ค่อยต้องพึ่งพาสิ่งบันเทิง เพราะสามารถโฟกัสกับการอ่านหนังสือได้ดี
- ถึงจุดหนึ่งเราอาจต้องตัดจบการลงทุนของตัวเอง แล้วกลับมาศึกษาด้าน programming ต่อ
- ดูหนัง eng ฟรี ทาง youtube - > ช่วยให้เห็นวัฒนธรรมของตะวันตกมากขึ้น https://www.youtube.com/watch?v=Hztlds7wF80
19 เม.ย.
- วันนี้ตื่น 4.00น นอน 6 ชม เมื่อวานอดข้ามวัน วันนี้จะลอง IF 42/6 กินในช่วง 6 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน
- กินกาแฟ 1 shot ก็พอดีๆ มีสมาธิอ่านหนังสือ ไม่มีปัญหาอะไร
- ช่วงนี้เป็นตะคริวบ่อยขึ้น เพราะ อาจเพราะ กินเกลือไม่พอ แต่นอนหลับปกติ แสดงว่าขาดเกลือ ไม่ได้มีผลกับการนอน
- วันนี้กินเนื้อสัตว์ ผื่นขึ้นหน้าอีกแล้ว และตามมาด้วยความรู้สึกกระสับกระส่ายแปลกๆ
- เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 299(9 หน้า)
- เรื่องอาหารการกิน จริงๆคิดว่าไม่จำเป็นต้องแสวงหาอะไรมากมาย ความรู้สึกอร่อยหรือไม่อร่อยก็เป็นเพียงชั่วคราว พอกลืนลงไปก็ไม่รู้สึกอีกแล้ว และสุดท้ายก็ลงไปรวมในกระเพาะ ซึ่งสภาพของมันหลังกลืนลงไปก็ไม่ได้หน้าดูแต่อย่างใด
- พยายามทำให้อาหารการกินเรียบง่าย ท่าจะดี ไม่ต้องยุ่งยากหรือใช้เวลาชีวิตเยอะ แต่อย่างไรเราก็ยังมีกิเลส ถ้าอยากกินตามใจก็ยังกินได้บ้าง นานๆที แต่พยายามฝึกตนเอง ให้อย่าเสียเวลากับมันมากนัก
- การกินอาหารที่ถูกทำอย่างปราณีต ก็ไม่ได้ผิดอะไร การทำอาหารอาจจัดได้ว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ต้องไม่ติดใจในรส อย่างน้อยต้องรู้ความจริงว่า หลังผ่านลงไปในกระเพาะ ก็ไม่ได้มีอะไรน่าพิศมัย
- สิ่งแวดล้อมอย่างไรก็มีผลกับความคิดของเรา อย่างที่เราไม่สามารถบังคับมันได้ อย่างเช่น ถ้าเราเจอคนที่เรารำคาญ แค่เห็นหน้าก็หงุดหงิดทันทีแล้ว แต่ตอนไม่เห็นหน้าความรู้สึกก็เป็นปกติ ซึ่งในหลายๆครั้งเราไม่สามารถเลือกแต่สิ่งแวดล้อมที่ดี เหมาะสมได้ตลอด
- สิ่งที่เราพอจะทำได้ คือ มีสติคอยระวังจิตใจของเรา เวลากิเลสเกิดให้คอยรู้ทันเสมอๆ กิเลสเกิดขึ้นเองในใจเรา ตามเหตุที่สั่งสมมา เราก็คอยฝึกสติรู้ทัน ยิ่งรู้ทันมากเท่าไหร่ เราก็เข้าใจตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
- แปลกดีแฮะ หลังจากที่ทำ alternate day fasting เมื่อวาน แม้วันนี้จะกินอาหาร แต่ก็อ่านหนังสือได้มีสมาธิดีขึ้น ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ช่วงก่อนหน้าที่แม้จะกินวันละมื้อ แต่งดการอดข้ามวันไปนาน ก็ควบคุมตัวเองได้ไม่ดี และไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ หมายความว่าน่าจะต้องอดข้ามวันบ่อยๆแล้ว
- บางทีการพยายามหา เหตุผล หรือ คำคม หรือ หลักการใดๆมาควบคุมตัวเอง ให้อ่านหนังสือ หรือ ตั้งใจทำงาน อาจจะใช้ไม่ได้จริง เป็นเพียงการพยายามควบคุมตัวเองแบบหยาบๆ ปลายเหตุ และยังจะเป็นการกดดันตัวเองเปล่าๆ ให้พยายามหาสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นต้นเหตุจริงๆเช่น
- ถ้าสมาธิไม่ดี ไม่สามารถโฟกัสกับการอ่าน ก็ลองทำ Fasting อดข้ามวัน(อด 36 ชม) เพื่อให้สมาธิดีขึ้น โฟกัสกับเนื้อหาได้ดีขึ้น
- สถานที่มีสิ่งยั่วยุมาก เช่น เปิดดูการ์ตูน, เล่นเกมส์ได้ง่าย โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาจปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เช่น ลองเปลี่ยนที่อ่านหนังสือ ไปอ่านในที่ที่มีอากาศ อุณหภูมิ แสงสว่าง ความเงียบ หรือ อาจรวมถึงธรรมชาติที่เหมาะสม
- บางทีการพยายามหา เหตุผล หรือ คำคม หรือ หลักการใดๆมาควบคุมตัวเอง ให้อ่านหนังสือ หรือ ตั้งใจทำงาน อาจจะใช้ไม่ได้จริง เป็นเพียงการพยายามควบคุมตัวเองแบบหยาบๆ ปลายเหตุ และยังจะเป็นการกดดันตัวเองเปล่าๆ ให้พยายามหาสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นต้นเหตุจริงๆเช่น
- ตกเย็นเริ่มอ่านหนังสือจากหน้าจอไม่ได้แล้ว เหมือนตาเริ่มล้า? เป็นขีดจำกัดของแต่ละวัน หรือ เกิดจากการเนื้อสัตว์ทำให้เกิดอาการแพ้ ตาแห้ง ผื่นขึ้นกันนะแล้วอ่านหนังสือได้น้อยลงกันนะ
18 เม.ย.
- วันนี้วันอดข้ามวัน นอน 7 ชม ลดกาแฟเหลือ 1 shot
- เมื่อวานอ่าน The Art of currency trading ถึงหน้า 290(5 หน้า)
- หลังจากเมื่อวาน งดเนื้อสัตว์ อาการตาแห้ง ผื่นที่หน้า ก็ดีขึ้น
- อยากจะลองดูว่า เราสามารถควบคุมตัวเองแม้จะอยู่คนเดียวได้หรือไม่ ทดลองใช้ หลักการแลกเวลาชีวิต กับกิจกรรมที่ทำ + ทักษะการรับรู้เวลา คือ
- ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมเป็นแบบไหน ในแต่ละวันเราจะได้รับโอกาส คือ เวลาจำนวนหนึ่ง ที่มีจำกัด สำหรับเอาไปแลกในการทำกิจกรรมต่างๆ
- มันอยู่ที่เราจะเลือกว่าจะเอาเวลาไปแลกทำกิจกรรมไหน เพื่อประโยชน์ หรือ เหตุผลอื่นใด ขึ้นอยู่กับเราจะบริหาร
- ทักษะการรับรู้เวลาก็มีความสำคัญ มันเป็นการคอยรู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และ เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว
- ต่อให้สิ่งรอบข้าง เต็มไปด้วยสิ่งบันเทิงล่อใจ แต่ถ้าเวลาในแต่ละวันเรามีจำกัด เรายินดีที่จะจ่ายไปกับสิ่งเหล่านั้นไหม?
- ทำ IF22/2 มา2 วัน แล้วต่อด้วย อดข้ามวัน(46 ชม) อีก 1 วัน ในวันอดข้ามวัน หลังผ่านมา 24 ชมจากมื้ออาหารสุดท้าย รู้สึกว่ามีสมาธิอ่านหนังสือดีขึ้น แบบไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษใดๆ แต่ต้องกินอาหารให้เพียงพอด้วยในวันปกติ
- ที่ทำอยู่ รวมเวลากินอย่างมากก็ 6 ชม สำหรับ 3 วัน ก็ตกวันละ 2 ชม ดูเหมือนจะเพียงพอกับชีวิตในปัจจุบัน ที่ไม่ค่อยขยับตัวไปไหน อ่านหนังสือในห้องอย่างเดียว
- หรือว่า จะเปลี่ยนมากินอาหาร 4-6 ชม(ถ้ากินในช่วง 4 hr ไม่ไหว ก็แบ่ง 2 มื้อ แล้วกินในช่วง 6 hr) แล้ว อด 42 ชม ดีไหมนะ(กินครึ่งวัน ที่เหลืออดข้ามอีกวัน) จะมีเวลาสำหรับ autophagy เฉลี่ยวันละ 9 ชม เทียบกับแบบที่ทำอยู่ จะได้ autophagy เฉลี่ยวันละ7 ชม
- จะลองเปลี่ยนมาทำ IF 42/6 หรือ IF 44/4 (ถ้าทำได้)
17 เม.ย.
- วันนี้ผื่นขึ้นหน้า เมื่อวานกินเนื้อสัตว์ อาจมีส่วนที่ทำให้ กระตุ้นอาการแพ้ได้ไหมนะ ทั้งตาแห้ง ปากแห้ง หน้ามีผื่นขึ้น(Sjogren's syndrome)
- Sjogren's syndrome จะเป็นหรือไม่เป็นไม่รู้ แต่ที่รู้คือ อาการตาแห้ง(ทำให้เป็นคนกระพริบตาถี่ และ ลำบากในกิจกรรมที่ใช้สายตา) และปากแห้ง(หมอฟันทัก) มีมานานแล้ว
- มีความเป็นไปได้ ว่าการงดเนื้อสัตว์และนม(vegetarian แต่ยังกินไข่ได้) จะช่วยให้ดีขึ้น
- หลังจากที่ลองทำวันนี้ คือ กลับไปกินธัญพืช และ ไข่ ไม่กินเนื้อสัตว์และนม ปัญหาตาแห้ง และ ผื่นที่หน้าก็หายแล้วนะ
- ลองติดเกมส์ดูทำให้รู้สึกเห็นใจสิ่งที่คนติดเกมส์ต้องเผชิญ มันเป็นอะไรที่หนีออกมายากเหมือนกัน มันไม่ใช่ความผิดของเขา เพราะ ความรู้สึกเสพติดมันออกได้ยากมาก และ เราคุ้นชินกับมันอย่างง่ายดายและรวดเร็ว ต้องอาศัยการทำให้เกิด productivity ในชีวิตจริง เพื่อแทนที่ productivity ในโลกเกมส์ เช่น เริ่มจากการอ่านนิยาย, อ่านหนังสือที่ชอบ เป็นต้น จะช่วยดึงให้เราออกมาจากการเสพติด และกลับสู่โลกความเป็นจริงได้
- วันนี้ยังคงท้องเสีย ทั้งๆที่เมื่อวานไม่ได้กินธัญพืช(กินอกไก่ และ มันฝรั่ง หอมใหญ่ แครอท) จะลองงดกาแฟดู เพราะ อาจทำให้ลำไส้ทำงานเร็วกว่าปกติ นำมาสู่อาการท้องเสีย
- วันนี้กลับมาเริ่มอ่านหนังสือต่อ The Art of currency trading หลังจากที่เมื่อวาน ไม่ค่อยได้อ่าน เพราะมัวติดเกมส์
- เริ่มอ่าน 10.00น หน้า 285
- สิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ก็มีผลเหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราทำให้มันง่ายสำหรับอะไร เช่น
- เอาเงินไว้ในบัญชีเยอะๆเผลอแปล๊บเดียว ก็เผลอโอนเงินก้อนใหญ่ออกไปแล้ว
- ถ้าทำให้โอนออกยาก สำหรับเงินก้อนใหญ่ ต้องโอนเงินกลับมาจากหลายบัญชี หรือ มีหลายขั้นตอน ก็จะทำให้ต้องยั้งคิดมากขึ้นในการใช้จ่าย
- พอร์ตการลงทุนก็เหมือนกัน ควรแบ่งเป็นพอร์ตเล็กๆ
- เอาเครื่องเล่นเกมส์ไว้ใกล้ตัว เผลอแป๊บเดียวก็ไปกดปุ่มเปิด แล้วเล่นทั้งวันแล้ว
- คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งแวดล้อมหนึ่ง ที่รวมอุปกรณ์ที่ดี และไม่ดี เข้าไว้ด้วยกัน แต่เผลอแป๊บเดียว แค่ปลายนิ้วสัมผัส ก็มักจะไปเปิดใช้งานโปรแกรมที่ไม่ดีเข้าเสียแล้ว เช่น เกมส์ เป็นต้น
- เอาเงินไว้ในบัญชีเยอะๆเผลอแปล๊บเดียว ก็เผลอโอนเงินก้อนใหญ่ออกไปแล้ว
- วันนี้ลองไม่กินกาแฟ เหมือนสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น แม้จะง่วง แต่กลับสามารถเจริญสติได้ดีกว่า และใช้สติควบคุมตัวเองให้อ่านหนังสือได้ดีกว่า
- หรือที่ผ่านมาเราดื่มกาแฟมากไป(Double shot)
- เคยฟังเทศน์ เหมือนกับว่าถ้าเราอยู่คนเดียว ไม่ได้เจอใครเลย โมหะ จะครอบงำจิตได้ง่าย หมายความว่าความ active และ วินัยของเรามีโอกาสย่อหย่อนลง หรือมันจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าอยู่คนเดียว แล้วอยากจะพัฒนาตัวเอง?
- สรุปว่า วันนี้อยู่ห้องคนเดียว ไม่ไปมหาลัย ดูการ์ตูน และ เล่นเกมส์ พอสมควรเลย ทำอย่างไรให้เราสามารถควบคุมตัวเองได้ทุกที่ แม้จะอยู่ในที่ส่วนตัว?
- เหมือนกับว่า ในแต่ละวันเรามีทรัพยากรเวลาจำกัด เราจะเอาเวลาของเราไปแลกกับอะไร อยู่ที่เราจะเลือก(เหมือนกับเรามีเงินจำนวนหนึ่ง เราจะเอาไปแลกกับอะไร ให้คุ้มค่า หรือ ให้มีความสุข ก็อยู่ที่เรา) เช่น
- ถ้าเลือกเอาเวลาของเรา จ่ายไปกับกิจกรรม อ่านหนังสือ ก็จะไม่ได้ เล่นเกมส์ ดูการ์ตูน
- ไม่จำกัดว่าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมไหน เวลาจะเป็นสิ่งเดียวที่มีเท่ากัน จะเอาเวลาไปแลกเป็นกิจกรรมใด ก็ขึ้นอยู่กับเรา
- พยายามฝึกทักษะการรับรู้เวลาให้ดี จะได้รู้ตัวอยู่เสมอว่า เวลาที่ผ่านไปแต่ละชั่วโมงๆ เรากำลังใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง
- เหมือนกับว่า ในแต่ละวันเรามีทรัพยากรเวลาจำกัด เราจะเอาเวลาของเราไปแลกกับอะไร อยู่ที่เราจะเลือก(เหมือนกับเรามีเงินจำนวนหนึ่ง เราจะเอาไปแลกกับอะไร ให้คุ้มค่า หรือ ให้มีความสุข ก็อยู่ที่เรา) เช่น
- ใช้วิธีข้างต้น(หลักการแลกเวลาชีวิตที่มีจำกัดกับสิ่งที่จะทำ + ทักษะการรับรู้เวลา) ช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นนะ แม้จะอยู่ในห้องคนเดียว
- รู้สึกว่าถ้าอ่านจากหน้าจอ จะไม่ได้พัฒนา Grammar เท่าไหร่ และ ช่วงนี้ไม่ได้อ่านนิยายด้วย เขียนตอบ comment ใน youtube กับช่องตปท. ไม่ค่อยลืนไหลเท่าไหร่
16 เม.ย.
- ช่วงนี้ติดเกมส์ ไม่ได้วิเคราะห์ตัวเองแบบเมื่อก่อน จะแก้ไขอย่างไรดีนะ?
- ปัญหาหนึ่งเกิดจาก ทำ Alternate day fasting แล้วกินอาหารไม่พอ น้ำหนักตัวน้อยเกินไป ทำให้ไม่มีแรงอ่านหนังสือ พอไม่มีแรงอ่านก็ไม่รู้จทำอะไร ก็เลยไปเล่นเกมส์ จนติดเกมส์
- วิธีแก้คือ ทำให้มีแรงพอจะอ่านหนังสือทั้งวัน ด้วยการ เปลี่ยนมากิน 3 มื้อปกติ ในช่วง 12 ชม แล้วอดวันเว้นวัน(IF 36/12) ไม่ต้องเพิ่มการอดไปมากกว่านี้ หรือไม่ก็กลับไปกินวันละมื้อ 2 วัน แล้วอดข้ามวันอีก 1 วัน(น่าจะลองวิธีนี้แหละ)
- ปัญหาหนึ่งเกิดจาก ทำ Alternate day fasting แล้วกินอาหารไม่พอ น้ำหนักตัวน้อยเกินไป ทำให้ไม่มีแรงอ่านหนังสือ พอไม่มีแรงอ่านก็ไม่รู้จทำอะไร ก็เลยไปเล่นเกมส์ จนติดเกมส์
- รู้สึกว่าเล่นเกมส์ไปเรื่อยๆ ชักน่าเบื่อแล้ว ระบบการเล่นซ้ำเดิม ทำภารกิจไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรใหม่ เวลาชีวิตก็ถูกผลาญไปโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับคืนมาเท่าไหร่ ไปหาความรู้ในโลกความเป็นจริง แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจเท่าในเกมส์(แต่อนาคตไม่แน่) แต่มีอะไรใหม่ๆที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ตลอด ไม่น่าเบื่อเลย
- ต่อให้เราเก่งในเกมส์ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นในชีวิตจริง มันก็สูญเปล่า
- การพัฒนาทักษะในเกมส์ ส่วนใหญ่มันก็เป็นทักษะซ้ำเดิม พอพัฒนาไปแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็จะถึงทางตัน ต่างจากการหาความรู้ ที่ขยายวงกว้าง หรือ ลงลึกไปได้เรื่อยๆ หรือ เอาไปต่อยอดสร้างสิ่งใหม่ได้ ตามที่เราต้องการอย่างไม่สิ้นสุด
- ถ้าเล่นเกมส์เก่ง แล้วเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ เรายินดีเล่นทั้งวันเลย แต่ในความเป็นจริงมันเอาไปใช้ได้น้อยมาก อย่างมากก็เป็นการฝึกทักษะเดิมซ้ำๆ ต่อให้เล่นเกมส์เก่งแค่ไหน ชีวิตก็ยังอยู่ที่เดิม
- ไม่เคยเห็นคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ จากการเล่นเกมส์ทั้งวันเลย เคยเห็นแต่อ่านหนังสือทั้งวัน แล้วประสบความสำเร็จ
- เหมือนตัวเองจะมีปัญหาภูมิแพ้อย่างหนึ่ง คือ ทำให้ตาแห้ง(ตกเย็น ตาจะแดงอย่างเห็นได้ชัด) และปากแห้ง รวมถึงมีผื่นที่หน้าบ่อยๆ(Sjogren's syndrome?) แต่ไม่ได้เป็นเยอะ จนเป็นอาการเจ็บป่วย หรือ มีอาการปวดข้อ แต่อย่างใด
- มีคนที่เป็นและบรรเทาด้วยการปรับเปลี่ยนอาหาร เป็น vegan
- เท่าที่สังเกต ช่วงที่ผ่านมา ปรับเปลี่ยนอาหารเป็น plant-based diet เน้นธัญพืช และ ไข่ ไม่กินเนื้อสัตว์ อาการตาแห้ง ผื่นที่หน้า ก็ดีขึ้นนะ(ปากแห้งไม่ได้สังเกต) อ่านหนังสือได้ดีขึ้น(ตาไม่แห้ง)
- แต่วันนี้กินเนื้อสัตว์ และ อาการตาแห้ง ผื่นที่หน้า ก็กลับมาแล้ว เลยไม่แน่ใจว่า อาจเป็นเพราะ เนื้อสัตว์มีสารที่ทำให้เกิด allergy เยอะ
- อาจจะลองงดเนื้อสัตว์แบบจริงจังดู ไข่ ก็กินวันละไม่เกิน 1 ฟอง
- สรุปว่า วันนี้ ไม่ได้ไปมหาลัย อ่านหนังสือได้นิดหน่อย ที่เหลือ เล่นเกมส์ ดูการ์ตูน ช่วงนี้หมกตัวอยู่ในห้อง คิดว่าจะอ่านหนังสือ แต่ก็ไม่ได้อ่าน เป็นช่วงแห่งความเสื่อม
- เหมือนว่า ถ้าขี้เกียจอ่านหนังสือ อยากจะไปเล่นเกมส์ ดูการ์ตูน ให้มาอ่านนิยาย ภาษาอังกฤษแทน พอสนุกทดแทนกันได้อยู่นะ และยังคงได้ประโยชน์ด้วย
- แต่แปลกดี เราเข้าใจว่าปัญหาสายตาทำให้เราอ่านหนังสือไม่ได้ในตอนเย็น แต่พอเราไปอ่านนิยายภาษาอังกฤษ(อ่านในคอม) กลับยังอ่านได้แฮะ หมายความว่า จริงๆเป็นเพราะ เราอ่านเรื่องเดิมมาทั้งวัน จนเริ่มเบื่อ(เรื่องการลงทุน)
- แต่ถ้าเป็นเรื่องการเขียนโปรแกรม น่าจะยังพออ่านได้ทั้งวันอยู่
- ทั้งหมดน่าจะเป้นเรื่องของความรู้สึก ที่บังคับให้ชอบหรือไม่ชอบ ไม่ได้(ถ้าบังคับได้ คงไม่ใช่มนุษย์ละ ขนาดแค่เจ็บป่วยทางร่างกาย ก็ยังส่งผลต่อความรู้สึกได้)
15 เม.ย.
- วันนี้วันอด เมื่อคืนนอน 8hr วันนี้ตั้งใจว่าจะถือศีล 8 ให้สำเร็จสักวัน งดสิ่งบันเทิงทุกชนิด
- เมื่อวานอ่าน the art of currency trading ได้ 1 หน้า เพราะ เล่นเกมส์ ไม่ค่อยได้อ่าน
- อ่าน programming 10.00-13.00 น
- เหมือนจะไม่ได้ติดเกมส์ขนาดนั้น ใช้วิธีการถือศีล 8 วันเว้นวัน ช่วยได้
- วันนี้เผลอไปดูการ์ตูนอีกแล้ว เท่าที่สังเกต อย่างตอนไปอ่านหนังสือที่มหาลัย อ่านหนังสือเช้าถึงเย็น ไม่ได้ดูการ์ตูนก็ไม่เป็นอะไรนะ ดังนั้น ขณะอยู่ห้องคนเดียว จะไม่ดูการ์ตูนก็ไม่ตายหรอก
- เวลาทำงาน ก็คือเวลาทำงาน อย่าเอามาดูการ์ตูน
- เหมือนเรากำลังทิ้งความฝัน ด้าน programming ไป trade เลยแฮะ ตอนนี้จะต้องกลับมาศึกษาprogrammingแล้ว เหมือนการเขียนโปรแกรมสนุกกว่า investment นะ
- หลักๆเรื่องของภาษาอังกฤษ คือ เราต้องรู้ Grammar ที่จำเป็น แล้วจะใช้โครงสร้างGrammar สร้างประโยคอย่างไรก็ได้
- เหมือนผลจากการทำ Alternate day Fasting ทำให้ logic ดีขึ้นนะ เข้าใจสิ่งต่างๆง่ายขึ้น
- (ความชอบส่วนตัว)เหมือนพอมาอ่าน programming มันไม่ได้รู้สึกน่าเบื่อเหมือนอ่าน investment นะ มันรู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างที่เราอ่าน เรากำลังเพิ่ม skill, technique หรือ tool ให้กับตัวเอง เพื่อจะเอาไปสร้าง program ตามที่เราต้องการ ซึ่งมันสนุก รู้สึกว่าถ้าเทียบระหว่าง investment กับ programming และเวลาในชีวิตมีจำกัดให้เรียนได้แค่อย่างเดียว จะเสียดายมากหากไม่ได้เรียน programming
- ส่วน investment นั้น จำใจอ่าน เพราะ ปัญหาด้านการเงิน(แต่ก็ได้ความรู้อะไรเยอะนะ ดีกว่าไม่รู้ แล้วเกิดความฉิบหายทางการเงินแทน)
- รู้สึกเหมือนเราสามารถ handling ในเรื่องการเขียนโปรแกรมได้ดีกว่าเรื่องอื่นๆ เป็น feeling และ touching ที่คุ้นเคย
- Alternate day fasting แบบกิน 2 มื้อ น่าจะไม่ไหว ตกเย็นเริ่มไม่มีแรง
14 เม.ย.
- สรุปว่า เมื่อวานก็รักษาศีล 8 ไม่สำเร็จ เพราะไม่มีแรงอ่านหนังสือ เลยไปหาอะไรทำด้วยการเล่นเกมส์ O_o
- ต้องฝึกตั้งใจใหม่ต่อไป และกินอาหารให้พอ จะได้ไม่ต้องหมดแรงกลางทาง
- วันนี้ ตื่นตี 2 (นอน 5 ทุ่ม) เริ่มกินอาหารตอน ตี3
- หาข้อมูลเกี่ยวกับอาการท้องเสีย อึ ไม่จับตัวเป็นก้อน สาเหตุหนึ่งคือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เพราะ มันจะกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนไหว และ ผลักอาหารไปยังลำไส้ใหญ่เร็วกว่าปกติ ทำให้ไม่ทันได้ดูดซึมน้ำและเกลือแร่ และ อึไม่เป็นก้อน จะต่างจากท้องเสียจากการอักเสบหรือติดเชื้อ คือ จะไม่ได้มีอาการปวดท้อง หรือ มีเลือดออกแต่อย่างใด
- หาจากแหล่งข้อมูลต่างประเทศดีกว่าไทยเยอะ ข้อมูลครบถ้วน รอบด้าน
- เริ่มจะติดเกมแล้วสิ แต่ทักษะการเล่น การควบคุมตัวละคร การวางแผน สมาธิ ทำได้ดีขึ้นเยอะกว่าแต่ก่อนมากเลยนะ ทั้งๆที่หยุดเล่นไปนาน(น่าจะเป็นผลหลังจากที่เปลี่ยนมาอดวันเว้นวัน - alternate day fasting)
- ความรู้สึกของการเล่นเกมส์ มันจะเหมือนกับว่า โอกาสที่จะทำอะไรได้สำเร็จ มันง่ายกว่าและสนุกกว่า โลกความเป็นจริง เลยทำให้อยากลองทำนู่นนี่นั่น ทำสิ่งต่างๆในเกมส์ ไปเรื่อยๆ สำเร็จไปทีละ Achievement/Quest ไม่สิ้นสุด แต่อย่างในโลกความเป็นจริง จะทำอะไรให้สำเร็จ ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน ไม่ได้มีอะไรที่สนุกตลอด (ถ้าเป็นเกมที่เล่นไม่ชนะสักที หรือไม่เข้าใจวิธีเล่น ได้แต่วนอยู่กับที่ ก็คงจะไม่สนุกเท่าไหร่)
- เมื่อวานอ่านหนังสือ The art of currency trading ได้ถึงหน้า 276 รวมประมาณ 11 หน้า
- วันนี้เริ่มอ่าน 13:30น
- เหมือนจะเกิดภาวะโลหิตจาง(anemia) สังเกตจาก สีเล็บ และริมฝีปากเริ่มซีดจาง และออกม่วงคล้ำ มีหลายสาเหตุที่เป็นไปได้(เลือกได้มากกว่า 1 ข้อ)
- กินธัญพืชกับไข่เป็ด สารอาหารครบ แต่กินไม่พอ
- กินธัญพืชกับไข่เป็ด สารอาหารไม่ครบ ต้องกินเนื้อสัตว์บ้าง
- เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตั้งแต่เอาธัญพืชเก่ามากินได้ไม่นาน ก็เริ่มสังเกตเห็นอาการแสดง อาจมี Aflatoxin toxicity?
13 เม.ย.
- วันนี้วันอดข้ามวัน จะพยายามรักษาศีล8 หลังจากละเลยมาหลายวัน
- ไม่ได้ไปมหาลัย อ่านหนังสือที่หอพัก หลังจากที่สั่งโต๊ะและเก้าอี้ ikea มา ก็อ่านหนังสือได้มากพอๆกับไปอ่านที่มหาลัยแล้ว
- ปัจจัยผลักดันให้อ่านหนังสือ/พัฒนาตนเอง
- เชิงบวก(positive reinforcement)
- ทำในสิ่งที่ ชอบ หรือ มีความถนัด
- ข้อจำกัด ทำได้เฉพาะสิ่งที่เราชอบ แต่ชีวิตบางทีก็ต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบและหลายๆครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ข้อดี ตราบใดที่เรายังชอบ สนุก จะทำได้เรื่อยๆ
- ตั้งใจว่าจะช่วยเหลือผู้อื่น
- ข้อดี ความต้องการช่วยเหลือผู้อื่น, มนุษยชาติ, คนหมู่มาก เป็นเป้าหมายที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ทำเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันสำเร็จ (แต่ยิ่งทำก็ยิ่งเกิดประโยชน์ อย่างไม่สิ้นสุดเช่นกัน) จะชักนำให้เราพัฒนาตนเองตลอดชีวิต
- ข้อจำกัด ต้องตั้งใจจริงๆ อุทิศตน
- ฝึกหักห้ามใจในสิ่งชวนเพลิดเพลิน แต่ไม่มีประโยชน์ เอาเวลามาทำประโยชน์
- ถือศีล 8 งดเว้นสิ่งบันเทิง ก็จะกลับมาอ่านหนังสือได้เอง
- ทำในสิ่งที่ ชอบ หรือ มีความถนัด
- เชิงลบ(negative reinforcement)
- ใช้ความลำบากเป็นแรงผลักดัน
- ข้อจำกัด พอสบายแล้ว จะค่อยๆลืมความลำบาก และ จะเริ่มขี้เกียจ
- ใช้ความลำบากเป็นแรงผลักดัน
- หรือจริงๆจะใช้วิธีการกำหนดเป้าหมาย เป็นขั้นๆ แบบตอนเล่นเกมส์ดีนะ?
- เช่น เกมส์มีเป็นด่านๆ ที่มีภารกิจให้เราต้องทำให้สำเร็จ เราอาจต้องกำหนด Achievement เป็นช่วงๆในชีวิต เช่น
- อ่านตำราเทรดให้จบ
- ฝึกเขียนเว็บ ลองทำระบบ
- อ่านเลข ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ
- เช่น เกมส์มีเป็นด่านๆ ที่มีภารกิจให้เราต้องทำให้สำเร็จ เราอาจต้องกำหนด Achievement เป็นช่วงๆในชีวิต เช่น
- เชิงบวก(positive reinforcement)
- เหมือนกิน 2 มื้อ ก็ยังน่าจะไม่ไหวแฮะ ตกเย็นไม่มีแรงยกของ ไม่มีแรงอ่านหนังสือหรือใช้ความคิดจริงๆจังๆ น่าจะต้องเพิ่มเวลากินเป็น 12 ชม+อดวันเว้นวัน เหมือนเดิม แล้วถือศีล 8 นานๆที?
- แต่จริงๆเหมือนยังอ่านหนังสือได้นะ แต่กล้ามเนื้อไม่มีแรง น่าจะเกิดจากช่วงที่เกิด autophagy ที่จะมีอาการอ่อนเพลีย?
12 เม.ย.
- วันนี้ตื่นตี 4 น่าจะไม่อด(เลื่อนการอดข้ามวันมา2วันแล้ว) เพราะ เมื่อวานทำงานบ้านเยอะ และวันนี้รู้สึกไม่มีแรง วันนี้กิน 2 มื้อ
- เมื่อวานอ่านได้ถึง หน้า 250 (7 หน้า) => ถือว่าน้อย เพราะ อ่านไปดูการ์ตูนไป แทนที่จะอ่านอย่างมีสมาธิ
- โต๊ะที่สั่งจาก ikea มาถึงแล้ว
- หลังจากที่มีโต๊ะทำงาน วันนี้อ่านได้ถึง หน้า 265
- สรุปว่ากินวันละมื้อ อาจจะอดข้ามวันไม่ไหว จะเปลี่ยนมา กิน 2 มื้อ ก่อนเที่ยง แล้วอดวันเว้นวัน
- เกี่ยวกับการกินอาหารไหม้ ในมนุษย์ ยังไม่มีข้อสรุปว่าทำให้เกิดมะเร็ง https://www.eatingwell.com/article/8051177/is-it-safe-to-eat-burnt-food/
- หนังสือเกี่ยวกับ Cardano https://bookauthority.org/books/best-cardano-books
- ส่วนใหญ่ในช่วงเวลาที่กินอาหาร จะเป็นช่วงที่ productivity ต่ำสุด เพราะ เป็นช่วงที่วุ่ยวายและไม่ค่อยใช้สมอง สติสัมปชัญญะอ่อนแอที่สุด ชอบทำเรื่องเหลวไหล ไม่เกิดประโยชน์ เช่น ดูการ์ตูน เป้นต้น พอทำมากๆ ก็ติดเป็นนิสัย ลามมาตอนเวลาทำงาน/อ่านหนังสือ
- อยู่คนเดียว ก็ยังต้องพบเจอกับ procrastination จะทำอย่างไรดีนะ?
- ปัจจัยที่ทำให้ขยันทำงาน/อ่านหนังสือ
- ความตั้งใจ เช่นว่า จะทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
- ความชอบ และสนุก จากการได้ทำสิ่งนั้นๆ
- ปัจจัยที่ทำให้ไม่ขยัน
- ขี้เกียจทำ
- ปัจจัยที่ทำให้ขยันทำงาน/อ่านหนังสือ
- ต้องระวังบางคน เหมือนกลัวว่าเราจะประสบความสำเร็จ และพยายามสกัดเราด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ทำให้ดูเหมือนความรู้ของเรานั้นไร้ค่า หลอกให้เราเปลี่ยนเป้าหมาย เป็นต้น ซึ่งมันไม่ควรเลย การจะประสบความสำเร็จเป็นเรื่องของความรู้ รู้เรื่องไหนก็สำเร็จในเรื่องนั้น แต่ละคนก็มีเรื่องที่รู้แตกต่างกันไป การไปขัดขวางคนอื่นนั้นไม่ควรเลย ทุกคนมีแนวทางที่สร้างประโยชน์ได้ของตนเอง อย่าไปขัดขวางแนวทางของผู้อื่น
- อยู่ในห้องคนเดียว ทั้งวัน productivity ต่ำลง
- แต่สาเหตุไม่ใช่ เพราะ อยู่คนเดียว ต่อให้ไปอ่านหนังสือที่มหาลัยก็อ่านคนเดียวเหมือนกัน
- แต่เป็นเพราะ มีโอกาสให้ทำตามใจตัวเอง ซึ่งวิธีแก้ไข คือ มีสติ รู้ตัวเสมอว่าเรากำลังทำอะไร และ ต้องทำอะไร
11เม.ย.
- เมื่อวานอ่านหนังสือได้ 8 หน้า the art of currency trading
- วันนี้เริ่มอ่านจากหน้า 243
- ช่วงนี้อยู่หอ ดูไม่ค่อยมีไอเดียอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ?
- อากาศร้อน อาบน้ำวันละ 3 เวลา
- เวลาอยู่คนเดียว สิ่งที่จะต้องเจอคือ เพื่อนเก่า คือ กิเลสที่คอยล่อหลอก ให้อยากแสวงหาความ เพลิดเพลิน สนุกสนาน ลืมเวลา ลืมความรับผิดชอบ ลืมความฝัน ลืมภาระหน้าที่ สิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำ คือ อย่าไปฟัง อย่าไปหลงเชื่อ แรงกระตุ้นจาก เพื่อนเก่า มันคือภาพลวงตา ที่ครอบงำ ความคิด สติ-สัมปชัญญะของเรา และ คอยฟังเพื่อนใหม่ คือ สติสัมปชัญะ ซึ่งจะทำให้เราไม่หลงลืมตัวเอง ความรับผิดชอบ หน้าที่ ความฝัน
- ช่วงก่อนที่อ่านหนังสือที่มหาลัย เราก็ไม่กล้าดูการ์ตูน หรือเล่นเกมส์ เพราะ สถานที่คือห้องสมุด อยู่ท่ามกลางผู้คนที่ต้องการความสงบเงียบ ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร อ่านหนังสือทั้งวันก็ไม่ตายนะ
- แต่พอกลับมาอ่านหนังสือที่ห้อง แบบอยู่คนเดียวทั้งวัน กลับมีความอยากดูการ์ตูนผุดขึ้น อยากลองเล่นเกมส์ที่ไม่เคยเล่น ซึ่งแรกๆ ก็ยังพอควบคุมตัวเองให้อ่านหนังสือ ไม่ลืมความรับผิดชอบ ไม่ลืมความฝันได้ แต่พอไปเรื่อยๆ จะมีเผลอใจเริ่มไปลองทำตามความอยากดู แล้วหากเผลอไปทำแล้วติดใจ จะกลับค่อยๆ ลืมสติสัมปชัญญะ ลืมความฝัน ลืมความรับผิดชอบไป
- สิ่งสำคัญคือ อย่าฟังเพื่อนเก่า คือ กิเลส ที่คอยหลอกให้เราเพลิดเพลินและ หลงลืมความรับผิดชอบ ลืมความฝัน ความเป็นตัวเองไป คอยฟังเพื่อนใหม่ คือ สติสัมปชัญญะ ที่คอยเตือนว่าเราเป็นใคร ต้องทำอะไร
- ช่วง1-2วันนี้ ที่ลองอยู่หอ อ่านหนังสือคนเดียวทั้งวัน ไม่ไปมหาลัย ก็แอบเอาเวลาไปเล่นเกมส์ ดูการ์ตูน ซึ่งถ้าเราแอบเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้ นอกเหนือจากการอ่านตำราเทรด ทำไมเราจะเอาเวลาไปอ่าน programming ไม่ได้ล่ะ?
- ต้องลอง introduce programming เข้าไปในชีวิต ทีละเล็กละน้อย
- พยายามถือศีล 8 เพื่องดเว้นจากสิ่งบันเทิงที่คอยล่อลวง
10 เม.ย.
- วันนี้ตื่นตี3 นอน 4 ทุ่ม หลับปกติ ตื่นมาไม่อ่อนเพลียใดๆ(เมื่อวานวันอด พักผ่อนน้อยไม่มีปัญหา)
- วันนี้วันอด วันที่ 2 (อดมาแล้ว 36 ชม) ไม่ได้ไปมหาลัย ประหยัดพลังงาน อยู่แต่ในห้องอ่านหนังสือ
- เหมือนเมื่อวานพิมพ์ได้ช้าลง อาจเป็นเพราะ เมื่อวานซืน เป็นวันกินอาหาร แล้วกินทั้งวันตลอด 16 ชม ทำให้สมองประสิทธิภาพต่ำลง แต่พออดผ่านไป 24 ชม ก็กลับมาดีขึ้น
- วันนี้เริ่มอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง แขนไม่มีแรง น่าจะกลับมากินอาหารต่อแล้วกัน ในช่วงบ่าย สรุปว่าอดไป 41 ชม.
9 เม.ย.
- วันนี้วันอด เดินทางไปอ่านหนังสือที่มหาลัย
- นั่งอ่านหนังสือในหอ
- ข้อดี
- ไม่ต้องเสียเวลาเดิน2ชม การออกกำลังกาย ก็ weight training, pranking(for cardiovascular health) ซึ่งเป็น HIIP ได้ประโยชน์เท่าการเดิน
- ไม่ต้องเสียพลังงานเยอะโดยไม่จำเป็น วันละ 420 kcal (พลังงานจากการเดิน 2 ชม เอาไปใช้อ่านหนังสือได้ 6 ชม) ทำให้ไม่ต้องกินอาหารเยอะนัก
- ไม่ต้องเสียเหงื่อโดยไม่จำเป็น
- ไม่ต้องเสียเวลาเดิน2ชม การออกกำลังกาย ก็ weight training, pranking(for cardiovascular health) ซึ่งเป็น HIIP ได้ประโยชน์เท่าการเดิน
- ข้อเสีย
- ไม่ได้เจอสิ่งแวดล้อมที่ดี หรือผู้คนที่ดี ที่ช่วยกระตุ้นให้เราตื่นตัว
- ซึ่งอาจไม่จำเป็น พยายามคิดว่าถ้าเราพัฒนาตัวเองจนไม่มีใครดีเท่าเราล่ะ เราจะไปอยู่ที่ไหน สุดท้ายก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดี
- ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ ที่เหมาะกับสรีระ ทำให้ปวดคอ
- ร้อน เหนียวตัวในตอนเย็น หลัง16:00น ก็อ่านหนังสือไม่ได้อยู่ดี(เวลาที่เสียไป ไม่ต่างกับการเสียเวลาเดินวันละ 2 ชม)??
- ไม่ได้เจอสิ่งแวดล้อมที่ดี หรือผู้คนที่ดี ที่ช่วยกระตุ้นให้เราตื่นตัว
- ข้อสังเกต
- ถ้าไม่ได้เห็นสิ่งแวดล้อมที่ดี อาจใช้การดูคลิปวีดีโอ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างประเทศ, หรือฟังข่าว BBC อาจจะพอช่วยได้
- ช่วงเย็นที่ร้อนจนอ่านหนังสือไม่ได้ อาจจะนอนไปก่อน แล้วตื่นกลางดึกมาอ่านหนังสือต่อ
- ไม่ได้เรียนรู้ทักษะทางสังคม
- ข้อดี
- มาอ่านหนังสือที่มหาลัย
- ข้อดี
- อากาศเย็น สิ่งแวดล้อมเหมาะสม
- เจอผู้คนที่ทำให้เราตื่นตัวขึ้น แต่ก็ไม่เสมอไป บางทีเราเองก็หงุดหงิดจากการเจอคนได้เหมือนกัน แต่น้อยกว่าที่หอ
- ข้อเสีย
- เดินทางไกล
- เสียเวลา 2 ชม ต่อวัน
- ต้องกินอาหารมากขึ้น เพื่อให้มีพลังงานเพียงพอ
- เดินทางไกล
- ข้อดี
- สรุปว่า น่าจะไม่ไปมหาลัยแล้ว จะไปก็เฉพาะตอนจะยืมหนังสือกลับมาอ่านที่หอพัก
- บางทีถ้าเราคุยกับใครแล้ว ไม่สามารถทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นไม่ว่ากับ ตัวเรา หรือ เขา เราควรเลิกคุยกัน เพราะ จะมีแต่เสียเวลาชีวิต
- แต่เอาจริงๆ เหมือนการกินทั้งวันไม่ค่อย work? เพราะ ถ้าตกเย็นอากาศร้อน และ กินอาหารด้วย จะยิ่งทวีความร้อนทั้งในร่างกายและอากาศภายนอก
- กินมื้อเช้า แล้วอดวันเว้นวัน น่าจะดีกว่า เป็นรูปแบบชีวิตที่ดีกว่า
- สั่งโต๊ะ ikea Sandberg เพราะราคาไม่แพงแค่พันต้นๆ แต่แข็งแรงมาก และใช้งานได้อเนกประสงค์ เพื่อให้อ่านหนังสือที่หอได้อย่างมีคุณภาพ
- เคยซื้อราคาพอๆกัน แต่เป็นงานของจีน คุณภาพ ความแข็งแรง ความเสถียร การออกแบบไม่ได้เท่านี้เลย - ikea เจ๋งจริง!
- สัญชาติญาณนักลงทุน คือ สามารถมองคน มองสิ่งของ มองบริษัท ว่ามีคุณภาพดีจริงไหม คุ้มค่าไหมกับการลงทุน
- แต่สัญชาติญาณไม่มีจริงหรอก แต่เกิดการการสั่งสมความรู้ หาความรู้ ไม่หยุดเรียนรู้
- เรียนรู้เกี่ยวกับจิตใจตัวเอง(ผ่านการเจริญสติ) ทำให้เข้าใจคนอื่น - แต่สุดท้ายจะรู้ว่าไม่มีอะไรที่มีตัวตน หรือถาวรจริงๆ
- เรียนความรู้ในโลก ทำให้เข้าใจสิ่งรอบตัว - มีความรู้ในด้านไหน ก็จะมองสิ่งที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆออก
- Poker face เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักพนัน แต่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นในชีวิตด้วย
- กินกาแฟ 2 shot ในคราวเดียวตอนเช้า มีสมาธิดี ใจไม่สั่น แต่แอบมี hyperactivity นิดๆ
- เหมือน ตั้งแต่ที่เราอ่านแต่หนังสือจากหน้าจอ ไม่ได้อ่านบน kindle มันทำให้ทักษะทางภาษาของเราลดลงนะ
- เหมือนกับว่าเวลาอ่านจากหน้าจอ สายตาจะทำงานเยอะ จะอ่านได้ประสิทธิภาพลดลง ซึ่งส่งผลให้การรับรู้เนื้อหาได้ลดลง เช่น จากที่เคยอ่านจากหนังสือ หรือ kindle แล้วได้ทั้งศัพท์ ไวยากรณ์ เนื้อหา พอมาอ่านจากหน้าจอ อย่างมากอ่านเนื้อหาได้ก็เก่งแล้ว
จะปรับ programming เป็นวิชา Major แล้ว ส่วนการเทรด เป็น Minorรอก่อนแล้วกัน เหมือนยังไม่จบหลักสูตร programming ยังคงเป็น minor- จะหยุดไปมหาลัย ไปสัปดาห์ละครั้งพอ เพื่อยืม-คืนหนังสือ
8 เม.ย.
- เมื่อคืนนอน 4 ชม (4ทุ่ม-ตี2) ตื่นขึ้นมาแบบไม่เพลียเลย อดข้ามวันมา
- วันนี้อยู่หอ ไม่ได้ไปมหาลัย วางแผนว่าจะ กินอาหาร แล้วอดต่อเนื่อง 2 วัน
- ถ้า AI ในอนาคต สามารถเรียนรู้ฟิสิกส์ แล้วสร้างโลกเสมือนสมจริงให้คนอยู่ได้ล่ะ มนุษย์เราจะอยู่ใน the Matrix ไหมนะ ประมาณนาทีที่ 30 เพราะ อย่างน้อยตอนนี้ AI สามารถแปลงสัญญาณสมองออกมาเป็นภาพได้แล้ว
- เนื่องจากได้รู้ว่าการอ่านหนังสือ เป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานต่ำ(70kcal/hr) ก็ไม่กลัวที่จะอ่านละ ในทางทฤษฎีคงจะสามารถอ่านได้ทั้งวันทั้งคืนเลย
- ปล่อยให้ตาตี่ตามธรรมชาติ ทำตาหยีๆ ไม่ต้องเบิ่งตากว้าง ทำให้ตาไม่แห้งง่าย อ่านหนังสือได้นานขึ้น กล้ามเนื้อตา และ หน้าผาก(frontalis m.)ไม่ล้า
- รู้สึกว่าการศึกษาด้าน programming ตอนนี้จัดว่าเป็น red flag จะอู้ไม่ได้แล้ว ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ได้เริ่มทำตามความฝัน ไม่ได้เริ่มพัฒนาความสามารถด้านนี้แน่
- ต้มธัญพืชให้นิ่ม, สัดส่วนหลักของ ธัญพืชที่กิน ข้าวไรซ์เบอร์รี่ 25%, ถั่วเหลือง 25%, ธัญพืชชนิดอื่นๆตามสะดวก 50%
- ลองดูว่าถ้าต้มนิ่มๆจะหายท้องเสียไหม
- อ่านข่าว reuter ยากอยู่นะ เพราะ มีศัพท์ทุกหมวด แรกๆน่าจะใช้เวลาอ่านนาน เพราะต้องเรียนรู้ศัพท์ใหม่ ศัพท์หรูๆ เยอะ แต่ถือว่านำเสนอข่าวได้ดีมีสาระอยู่
- สรุปว่า น่าจะยังคงไปอ่านหนังสือที่มหาลัย ไม่อยู่ที่หอ เพราะ สิ่งแวดล้อมดีกว่า ส่วนการเดิน ก็นับเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง
7 เม.ย.
- วันนี้วันอด กลับมาอ่านหนังสือที่มหาลัย เดินไป-กลับ กลับมาดื่มกาแฟแล้ว
- เมื่อวานเล่นเกมส์ เข้าใจว่าช่วยฝึกทักษะ หรือฝึกสมองได้ แต่เราก็รู้สึกว่ามันเสียเวลาเหมือนกัน มันจะมีประโยชน์เทียบเท่าการอ่านหนังสือไหมนะ search "video games vs reading benefit for brain" แต่โดยส่วนตัวคิดว่าอ่านหนังสือมีประโยชน์ในระยะยาวมากกว่านะ เคยเห็นแต่คนประสบความสำเร็จมากๆ อ่านหนังสือเยอะ(จะเล่นเกมส์หรือไม่นั้นอีกเรื่อง แต่อ่านหนังสือแน่นอน) ไม่เคยเห็นใครเล่นเกมส์เยอะแล้วประสบความสำเร็จเลย
- ช่วงนี้ยังท้องเสียประจำ สุขภาพยังไม่ดี ไม่รู้อะไรที่ทำให้ท้องเสีย อาจต้องลองงดธัญพืชดูก่อน บางทีอาจมี Gluten ทำให้ลำไส้อักเสบ? หรือยังไม่ได้ต้มธัญพืชนิ่มและนานพอ(ยังมี lectin หลงเหลือ ทำให้ท้องเสีย)
- เริ่มวันใหม่ด้วยการอ่านข่าว reuter ฟังข่าว BBC ตอนเดินทางไปมหาลัย
- วันนี้กลับมาดื่มกาแฟแล้ว กลับมา focus และ productive เหมือนเดิม
- เหมือนเวลาอ่านหนังสือ จาก E-reader จะเรียนรู้ Grammar ได้ดีกว่า อ่านจากหน้าจอ แฮะ
- แปลกใจว่าทำไมเราชอบทำหน้าผากย่น ตอนจ้องหน้าจอหรือใช้ตาเยอะๆ https://www.google.com/search?q=eye+problem+with+forehead+wrinkles
- สาเหตุหนึ่งเกิดจาก เปลือกตาบน(upper eyelid)ที่ไม่เปิดเต็มที่ หรือหย่อนยาน https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/20456101/ https://www.centerforfacialappearances.com/2019/04/01/3636/
- ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราตาตี่ และเวลาพยายามทำให้ตาโตขึ้น(ตอนเด็กๆเพื่อบอกว่าทำไมตาเล็ก ให้ทำตาโตๆ เลยติดนิสัยตั้งแต่นั้นมา) ก็ต้องใช้ความพยายามของกล้ามเนื้อที่หน้าผาก(Frontalis muscles)เพื่อดึงตาให้ดูโตขึ้น
- นอกจากนี้ คนตาตี่จะเปิดตาได้ไม่เต็มที่และอาจทำให้ตาได้รับแสงน้อยกว่าคนตาโต เหมือนตอนหรี่ตาเวลาเจอแสงจ้า (แต่คนตาตี่แม้ไม่มีแสง ตาก็หรี่อยู่ประมาณนึงแล้ว) เราเลยชอบเบิ่งตากว้าง เพราะรู้สึกเห็นภาพสว่างขึ้น ชัดขึ้น
- การที่ต้องพยายามใช้กล้ามเนื้อหน้าผาก เพื่อช่วยให้ตาเบิ่งกว้าง ทำให้หน้าผากย่น ซึ่งทำไปนานๆก่อให้เกิดความล้า และอาจทำให้เข้าใจว่าตาล้าง่ายได้
- วิธีแก้เบื้องต้น คือ ยอมรับในความตาตี่ และ ฝึกใช้ชีวิตแบบลองหรี่ตาตี่ๆ ไม่ต้องพยายามทำตาโต และฝึกปล่อยกล้ามเนื้อรอบตา สบายๆ
- การทำตาโตอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราตาแห้งง่าย เพราะ มันไม่ใช่ธรรมชาติเดิมของร่างกายเรา ตาต้องเบิ่งกว้างสัมผัสอากาศมากกว่าปกติ
- และตาแห้งง่ายจากการพยายามทำตาโต ทำให้เราต้องกระพริบตาถี่กว่าปกติ และเกิดรอยย่นระหว่างคิ้วอีก
- ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราตาตี่ และเวลาพยายามทำให้ตาโตขึ้น(ตอนเด็กๆเพื่อบอกว่าทำไมตาเล็ก ให้ทำตาโตๆ เลยติดนิสัยตั้งแต่นั้นมา) ก็ต้องใช้ความพยายามของกล้ามเนื้อที่หน้าผาก(Frontalis muscles)เพื่อดึงตาให้ดูโตขึ้น
- สาเหตุหนึ่งเกิดจาก เปลือกตาบน(upper eyelid)ที่ไม่เปิดเต็มที่ หรือหย่อนยาน https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/20456101/ https://www.centerforfacialappearances.com/2019/04/01/3636/
- วันนี้มางานบรรยายของ programmer ทำให้รู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจ แต่ในแง่ productivity คิดว่าเอาเวลาไปอ่านหนังสือได้ประโยชน์กว่า อาจแวะไปดูได้นานๆที เพื่อกระตุ้นให้ตื่นตัวและไม่ตกยุค
- คิดๆดูแล้วช่วงนี้เราอ่านหนังสือช้าลงมากเลย แต่ก่อนตอนจะอ่านเตรียมสอบมหาลัย เราอ่านจริงจังกว่านี้เยอะ
- พยายามอ่านหนังสือทุกวันให้เหมือนกำลังจะสอบEntrance
- ค่าอาหารเฉลี่ยวันละ 30-40 บาท ธัญพืช และไข่เป็ด 2 ฟอง ผลไม้ ได้วิตามินและพลังงานครบ จะลดมากกว่านี้ได้ไหมนะ?
- ลองอด 2 วัน ต่อเนื่อง และ พยายามลดการใช้พลังงานทางกายที่ไม่จำเป็น อยู่แต่ในห้องอ่านหนังสือ
ลดกล้ามเนื้อ เพื่อลด metabolic rates?กล้ามเนื้อยังคงสำคัญ เพื่อให้ดูมีสุขภาพดี ไม่อ่อนแอ เพื่อตัดปัญหาการรบกวนจากอันธพาลชั้นต่ำ- คนน้ำหนัก 60 kg ใช้พลังงาน ในการอ่านหนังสือ ชั่วโมงละ 70kcal, เดิน 214kcal, นอน 40 kcal
- นอนและอยู่ว่างๆ 9 ชม อ่านหนังสือ 14 ชม งานบ้าน(ตีว่าเป็นการเดิน) 1 ชม ใช้พลังงาน วันละ 1824 kcal
6 เม.ย.
- วันนี้ตื่นตี 3 รู้สึกปกติดี ไม่ง่วงไม่อ่อนเพลีย เมื่อคืนอดข้ามวัน นอนหลับง่ายปกติ
- Fasting ทำให้นอนน้อยลงได้ โดยที่ร่างกายไม่อ่อนเพลีย แต่ก็ต้องให้เวลามันปรับตัวนะ
- วันนี้ไม่ไปมหาลัย ลองอ่านหนังสือที่หอ ลดเวลาเดินทางไปได้ 2 ชั่วโมง
- แต่ไม่ได้เดินออกกำลังกาย อาจต้องออกกำลังด้วยวิธีอื่น เช่น weight training, pranking HIIP
- เวลามากขึ้น อาจต้องทำตารางว่าจะทำอะไร ในเวลาไหนบ้าง ไม่อย่างนั้นอาจเอาเวลาไปเถลไถล
- จริงๆ ในเรื่องของความลำบากในชีวิต ประโยชน์อย่างหนึ่งคือ "ในบางคน" ถ้าชีวิตไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรลำบาก ก็จะเผลอตัว ไม่เตรียมการกับอนาคต ไม่พยายามหาความรู้ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอทุกเมื่อ
แต่ชีวิตจะพัฒนาขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ตอนที่เจอกับความลำบาก แต่เป็นหลังจากที่รู้ตัวว่า "เราควรหาความรู้ และได้เริ่มอ่านหนังสือ ศึกษาหาความรู้ในเรื่องต่างๆ" โดยเพียงแค่นั่งลงแล้ว อ่านๆๆๆ หนังสือไปเรื่อยๆ เวลานั้นจึงจะเป็นจุดที่ชีวิตเริ่มพัฒนา ในบางที เราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีช่วงชีวิตที่ลำบากก็ได้ ถ้าเรารู้คุณค่า และความสำคัญของการแสวงหาความรู้ และ แบ่งเวลาชีวิตส่วนหนึ่งเพื่อ มาเพื่ออ่านหนังสือ หาความรู้
ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าต้องจริงจัง เคร่งเครียดอะไรด้วยนะ แค่นั่งลงแล้วอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ - อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องของเวลา บางทีก็ประมาทเอาเวลาไปเถลไถล ตามใจตัวเอง สุดท้ายก็ไม่ได้สาระอะไร ผลาญเวลาไปเปล่าๆ จนกว่าจะรู้ ก็สายไปแล้ว เราต้องพยายามใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่า อย่างประหยัด เพราะ เวลาหนึ่งๆ ถ้าเอาไปทำประโยชน์ จะสร้างประโยชน์ได้มาก แต่ถ้าเอาเวลาไปทิ้งเฉยๆ จะไม่ได้อะไรเลย
- มีนิสัยเสียอีกอย่างหนึ่ง คือ คิดว่าตัวเองเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่พอมาเจริญสติ ก็จะเห็นความคิดไม่ดีหลายๆอย่าง ที่ซ่อนอยู่ และเราไม่รู้ตัวว่าเราคิด พอรู้ทันนิสัยที่คิดไม่ดีเหล่านั้น จิตใจก็โปร่งโล่งเบา สบายขึ้นมา สามารถพัฒนาชีวิตต่อไปอีกขั้น เช่น คิดไม่ดีกับคนที่เคยทำไม่ดีต่อเรา(เราเองก็อาจจะไม่ได้ดีต่อคนอื่นเสียทีเดียวนะ) แต่พอมีสติรู้ทันความแอบคิดอกุศลที่แผงตัวในชีวิต แทนที่จะจมอยู่กับความคิดอกุศลเหล่านั้น ก็เลิกแล้วไปคิดหาวิธีทำให้ชีวิตดีขึ้น(แทนที่จะไปคิดในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์)
- การ์ตูน No Game No Life eng dub https://www.youtube.com/watch?v=BnIS27AYtU4&list=PL_Igt_kj-OItCTgEDoIyjjvJlE-o_zrdA
- สวดมนต์ก่อนนอน เป็นวิธีทำให้เกิดสมาธิได้ง่ายที่สุด และ สมาธิจากการสวดมนต์ สามารถทำให้ได้ทบทวนตัวเอง และช่วยให้หาหนทางแก้ไขปัญหาในชีวิตได้ง่ายขึ้น
- โดยส่วนตัว เราสวดมนต์เพราะ ระลึกถึงพระคุณของ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพราะ เราเคยได้ปฏิบัติธรรม ได้เห็นกระบวนการเกิดดับของความคิด ความจำ รูป นาม กาย ใจ ระดับหนึ่ง และ เกิดการเปลี่ยนแปลงนิสัยโดยสิ้นเชิง ช่วยดึงชีวิตจากทางเสื่อม มาสู่ทางที่ดีขึ้น รู้สึกเหมือนพระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่ ให้ปัญญาที่ถูกต้อง เราจึงสวดเพื่อระลึกถึง พระคุณอันหาประมาณมิได้นี้
- สาเหตุหนึ่งที่อ่านหนังสือที่หอไม่ได้ เพราะ ระแวกนั้นมีการก่อสร้าง เกิดมลพิษทางเสียง เวลาอ่านหนังสืออยู่ สักพักก็จะมีเสียงตึงตังๆ เสียงเลื่อยตัดเหล็ก เสียงที่ดัง ทำให้เกิดความเครียด ตกใจ pulse rate สูงขึ้น และ สมาธิหลุด พอเปิดเพลงกลบก็ช่วยได้มากขึ้น แต่จะดีที่สุดคือเงียบสงัดจริงๆ
- เคยอ่านเจอว่า คนเก่งๆหลายคน ชอบห้องทำงานที่เงียบสงัดจริงๆ ถึงขนาดทำห้องทำงานให้เก็บเสียงเลย
- นอกจากนี้ก็มีมลพิษทางอากาศ ทำให้เกิดภูมิแพ้ น้ำมูกไหล
- จริงๆเรามีสังคมที่เหมาะกับเราอยู่นะ คือ programming เคยไปงาน programmer meeting ได้รู้จักคนน่าสนใจและ คนที่คุยกับเรารู้เรื่องได้ เยอะมาก แต่ถ้าในชีวิตประจำวัน เราต้องอยู่กับสังคมที่ไม่เข้าใจเรา เราควรจะทำอย่างไรดีนะ รู้สึกคุยคนเดียวกับตัวเอง มานานแสนนานพอสมควรเลยนะเนี่ย
- จะอยู่อย่างไรในช่วงเวลาอันยาวนาน ที่จะยังไม่มีใครคุยกับเรารู้เรื่อง
- เวลามีไอเดียดีๆ ก็ไม่รู้จะแชร์ให้ใครฟัง แต่อย่างน้อยก็บันทึกไว้ใน blog ก่อน
- วันนี้ก็ยังท้องเสียอยู่ดีนะ ไม่รู้จะเป็นมะเร็งลำไส้หรือเปล่าเนี่ย แต่อาจลองเลิกกินธัญพืชดูก่อน ไม่รู้ว่ามีอะไรปนเปื้อนหรือเปล่า
- สรุปว่า อ่านหนังสือที่หอ ไม่ค่อยได้ประสิทธิภาพเท่าไหร่ สาเหตุคือ
- มลพิษทางเสียง และทางอากาศ - มีการก่อสร้างตอนกลางวัน เสียงดัง เกิดความเครียด ไม่มีสมาธิ, มีฝุ่นฟุ้งกระจายจากการก่อสร้าง
- อากาศร้อน
- ไม่มีที่นั่ง ergonomic - เหมือนนั่งพื้น มีข้อจำกัดเรื่องสรีระบางอย่าง ทำให้หลังงอง่าย และ ปวดคอ
- ซึ่งปัญหาที่หอพัก คงแก้ได้ยาก ก็คงต้องไปอ่านที่มหาลัยเหมือนเดิม
- ตลกดี รู้สึกเสียเวลาชีวิตมากที่ มีแต่คนเข้ามาถามไถ่เกี่ยวกับชีวิตเรา ทั้งๆที่เราไม่มีเวลา แต่เรากลับต้องเสียเวลาอธิบาย สมมติถ้ามี 10 คน ถามคำถามเดียวกัน ต้องใช้เวลาอธิบายเหมือนกัน ชีวิตคงไม่ต้องทำอะไรละ แล้วพออธิบายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน มันเป็นอะไรที่ waste of time
- วันนี้สรุปว่าไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ อ่านได้ 1-2 หน้าเอง!!! แถมยังเล่นเกมส์ด้วย
5 เม.ย.
- วันนี้วันอด เมื่อคืนนอนหลับปกติ
- เหมือนหลังจากแก้ปัญหาเรื่องแมลงสาปมาไต่ภาชนะกินอาหาร ก็นอนได้ปกติ ไม่กระสับกระส่าย, ไม่ท้องเสีย
- วันที่กินอาหาร เหมือนค่าสายตาจะไม่ดี ตาไม่สามารถโฟกัสได้ แต่หูยังคงรับรู้ข้อมูลจากการฟังได้ปกติ
- แต่จริงๆมันเกิดภาวะนี้ในคนที่เป็นเบาหวานมากกว่านะ
- หรืออาจจะเป็นที่สมาธิด้วย ถ้ากินเยอะเลือดก็ไม่ไปเลี้ยงสมอง
- อาจจะลดปริมาณอาหารลงในวันที่กิน และอาจเปลี่ยนมากินเช้า+เย็น แล้วอดวันเว้นวัน เหมือนเดิม?
- แต่วันที่อด จะอ่านหนังสือได้ดีตลอดเลยนะ
- แต่ปัญหาหลักๆ คิดว่าเกิดจากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมองมากกว่า
- หรืออาจกินมื้อเช้าวันละมื้อแล้วอดทุก 2 วันต่อไป แต่ในวันที่กิน ก็ลดปริมาณอาหารลงเล็กน้อย
- เรื่องการเทรด สิ่งที่จะต้องอ่านเพิ่มคือ
- ศึกษา Fundamental economy เพื่อให้รู้เกี่ยวกับ ระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ กลไกเศรษฐกิจ กลไกค่าเงิน กลไกราคาพื้นฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งในระดับโลก และ แต่ละประเทศ
- ศึกษา World History ของแต่ละประเทศ ว่าความเป็นมาเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นจุดเด่น จุดด้อย
- ศึกษา ภูมิศาสตร์ ทรัพยากร ดิน แร่ พลังงาน เศรษฐกิจหลัก ของแต่ละประเทศ ว่ามีอะไรเป็นจุดเด่น จุดด้อย
- นอกเหนือจากการเทรด สิ่งที่จะอ่านเพิ่มคือ
- การลงทุนสาย VI: หนังสือ The intelligent investor
- การลงทุนใน Crypto: the Bitcoin standard, the Fiat standard
- สาย pure technical analysis
- ตำราเทรดเล่มอื่นๆที่มีชื่อเสียง(แนะนำใน reddit)
- การเขียนโปรแกรม ระดับกิ๊กก๊อก
- เริ่มอ่านหนังสือ 9.00น แต่อ่านตำราเทรดได้ไม่นาน ก็เริ่มโฟกัสไม่ได้ และก็กลับมาอ่านตำรา programming ต่อ
- เหมือนจิตใต้สำนึก รู้สึกว่าการเทรดบรรลุวัตถุประสงค์ในระดับหนึ่งแล้ว จึงกลับมาอ่าน programming ต่อ??
- ตอนอ่านตำรา programming และเขียน program จะสามารถโฟกัสได้ตามปกติ(สมาธิไปถึงระดับ peakได้) แต่พอกลับมาอ่านเรื่องการเงิน สมาธิและการโฟกัสก็ค่อยๆคลายออก และกลับกลายเป็นโฟกัสไม่ได้ เป็นแบบเดียวกับตอนที่เราอ่านตำราเรียนสายสุขภาพ
- มีเทคนิคการ Hack คือ ดื่มกาแฟ เพราะ Caffeine จะช่วยเพิ่มการโฟกัส
- สรุปว่า วันนี้ดื่มชาก็กลับมาโฟกัสกับตำราเทรดได้แล้ว
- คาเฟอีน อาจสามารถช่วยในการโฟกัส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่เราต้องอ่านตำราที่เราไม่ได้ชอบ
- คาเฟอีน ช่วยให้เราใช้เวลาในแต่ละวันได้คุ้มค่าขึ้น เพราะ ทำให้โฟกัสได้ดีขึ้น ไม่ปล่อยเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย
- พอไม่มีคาเฟอีน productivity เสียไปหลายวันฟรีๆ
- ข่าว CNN อ่านง่าย, ข่าว Reuter ละเอียด แต่ชอบเล่นคำ, ข่าว Bloomberg กระชับ แต่เก็บเงิน
- อาจจะลองปรับมาเป็น กิน 2-3 มื้อ เช้า-เย็น ภายใน 16 ชม แล้วอดข้ามวัน เพราะ ก่อนหน้านี้กินวันละมื้อ แล้วอดข้ามวันทุก 2 วัน ต้องกินมากเกินไปในมื้อเดียว ไม่สามารถทำได้สะดวกในชีวิตจริง(poor compliance)??
- อาจจะลองไม่ไปมหาลัยทุกวันแล้ว เพราะ บางทีเดินเยอะแล้วเหนื่อย(แม้จะเป็นการออกกำลังกาย และทำให้มีไอเดียใหม่ๆก็เถอะ?) อาจจะไปเฉพาะในวันที่อดอาหาร
- ลองดูว่าอยู่หอจะควบคุมตัวเองได้หรือไม่
4 เม.ย.
- เริ่มเทรดได้แล้ว (จากการวิเคราะห์ตามตำราสอน) หลังจากอ่านตำรา The art of currency trading เป็นหลักการที่ Make sense มากๆ เป็นตำราที่สมบูรณ์แบบในตัวมันเอง ขอคารวะคนเขียนจริงๆ
- การเทรด ไม่ใช่การดูกราฟ แต่เป็นการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลง(ข่าวสาร ข้อมูล) ของสิ่งที่เกิดขึ้นในสิ่งที่เราจะเทรด เช่น ถ้าเป็นสกุลเงิน ก็ต้องวิเคราะห์ เศรษฐกิจ และ นโยบายของประเทศ ปัจจัยอื่นๆในประเทศ ว่ามันน่าจะส่งผลดีหรือผลเสีย แล้วค่อยมาดูกราฟ เพื่อหาตำแหน่งการเข้าเทรดที่คุ้มค่าที่สุด
- เรียนกับปรมาจารย์ตัวจริงมันดีอย่างนี้นี่แหละ (เลือกหนังสือดีๆ จากคำแนะนำของ reddit)
- ความรู้ดลบันดาลให้เราได้ทุกสิ่ง
ความไม่รู้สามารถพรากทุกสิ่งไปจากชีวิตเราได้
วิธีการดำเนินชีวิตที่ดีที่สุด คือ ทำเท่าที่เรารู้ก่อน ขณะเดียวกันก็หาความรู้เพิ่มเติมไปด้วย ทำให้สามารถทำอะไรได้มากขึ้นๆ
การทำทั้งๆที่ไม่รู้ มันคือ การพนัน ซึ่งยิ่งทำมากเท่าไหร่ ยิ่งเสี่ยงสูญเสียมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งความเสี่ยงของการสูญเสีย อย่างไรก็มากกว่าโอกาสได้ผลตอบแทน - หายท้องเสียแล้ว(อึเริ่มกลับมาเป็นก้อน ไม่เหลว ทั้งๆที่กินแต่อาหารสุขภาพ) หลังจากที่จับได้ว่า ชอบมีแมลงสาบแอบไต่ไปที่จานชาม,แก้วน้ำดื่ม เนื่องจากตากกองรวมกันแล้วมันไม่แห้ง(ซึ่งแมลงสาบชอบ) เลยเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บจานชามให้แห้งง่ายไม่อับชื้น ไม่เชิญชวนแมลงสาบให้อยากอยู่
- ช่วงนี้กินกระเทียมด้วย วันละ 2-3 กลีบ เพราะ เป็น Antibiotic ตามธรรมชาติ ที่ไม่ออกฤทธิ์กับเชื้อที่ดีในลำไส้
- เมื่อคืนนอนหลับปกติแล้ว หลังนอนด้วยเสื้อผ้าที่แห้ง ไม่ชื้น หรือ เปียก
- ไม่ได้กินกาแฟ ทำให้อยากทำสมาธิมากขึ้น อยากเจริญสติมากขึ้น เพราะ ต้องการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ ทำอะไรเฉื่อยชา ไม่กระฉับกระเฉงคล่องแคล่วเหมือน คิดอะไรช้ากว่าเดิม ซึ่งถ้าดื่มกาแฟ อย่างไรก็ดีกว่าไม่ดื่ม
- อย่างไรก็ตาม การดื่มการแฟ ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ ไม่ฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิ ฝึกสติ ถ้าอยากฝึกก็ฝึกได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราจะทำหรือไม่ อย่าไปโทษอย่างอื่น
- ไม่ได้ดื่มกาแฟ วันนี้ง่วงมาก
- วันนี้กินอาหารวันที่2 มื้อเช้า เริ่มอ่านหนังสือต่อ 11 โมง
- เมื่อวานอ่านได้ 10 หน้า วันนี้อ่านได้ 5 หน้า เหมือนช่วงนี้กำลังพยายามปรับตัวให้ นอนน้อยลง และไม่ได้กินกาแฟมา 2 วัน สมาธิหายไปหมดเลย แค่เดินกลับหอ ยังไม่รู้จะกลับไหวไหม จะประมาณว่า ถ้าเจอตัวเลือกจะตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปทางซ้ายหรือขวา ฯลฯ อาการไม่โฟกัส เลื่อนลอย นี้เป็นมาตั้งแต่งดกาแฟไป 2 วัน(อาการ Caffeine withdrawal)
- เหมือนวันที่กินอาหาร จะต้องถอดแว่น เพื่ออ่านหนังสือจากหน้าจอแฮะ เหมือนการโฟกัสมันเปลี่นน แต่การรับข้อมูลจากการฟังยังคงปกติ เป็นเพราะ เรากินเยอะไปหรือเปล่านะ
- กำลังคิดอยู่ว่า วันที่กินอาหาร อาจจะลองลดปริมาณอาหารลง ให้เหลือเวลากินได้ภายใน 1 ชม
- เหมือนกับว่าช่วงนี้ เราไม่ได้อ่านคอมต่อเลยแฮะ แต่ที่อ่านตำราเทรดก็ไม่ผิด เพราะอ่านแล้วก็ใช้งานได้
- ถ้าอ่านคอมแล้วทำเงินได้แบบการเทรด เราก็คงจะอ่านสินะ?
- สาเหตุที่ต้องเรียนเรื่องการเทรด คือ
- ทำเงินด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องอิงอาศัยกับใคร อิงอาศัยกับความรู้ของเราเอง
- ไม่ต้องใช้ทรัพยากรใดๆมากนัก ส่วนใหญ่คือความรู้ ที่ต้องอ่านเยอะๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆเยอะๆ
- แต่ programming ทำได้แบบการเทรดหรือไม่
- ถ้าเป็นเชิง programming ก็สร้างระบบให้คนใช้ แต่มันก็ต้องอาศัยหลายส่วน เช่น การบริหาร ทีมงานในการปรับปรุงระบบ
- แผนระยะสั้น คือ เรียนเรื่องเทรดให้สามารถทำเงินได้แบบมั่นคงก่อน(ทุ่ม 90%) แล้วจึงจะไปเต็มที่กับด้านคอม
- แผนระยะยาว คือ พอมีรายได้มั่นคงจากการเทรด ก็ทำเป็นงานอดิเรก(ทุ่ม 10%) และศึกษาด้านคอมต่อ แบบจริงจัง (ทุ่ม 90%)
- ลองอ่านข่าว Reuter ละเอียดมากๆๆ แต่ งง เรื่องภาษาของ investment จริงๆน่าจะลองหาหนังสือเกี่ยวกับ fundamental economics มาอ่านก่อน น่าจะทำให้เข้าใจศัพท์ และหลักการได้ดีขึ้น เพราะ ปัจจัยพื้นฐานหลายๆอย่าง อัตราดอกเบี้ย กลไกเศรษฐกิจ มันต้องใช้กับการเทรด Forex
- Reuter ดีกว่า Bloomberg เพราะ ไม่เก็บตังค์
- แต่ถ้าอ่านพวกข่าวเทคโนโลยี หรือข่าวสุขภาพ อันนี้พออ่านได้นะ เพราะเรามีคลังคำศัพท์อยู่ในหัวจำนวนหนึ่ง
- วันนี้อ่านตำราเทรดไม่ค่อยได้ อ่านแล้วจะหลับทุกที (คงเพราะไม่ได้ดื่มกาแฟ และพยายามนอนน้อยลง) เลยไปอ่านตำราเขียนโปรแกรมแทน กลับกลายเป็นอ่านได้นะ
3 เม.ย.
- เมื่อวานนอนหลับได้สนิทปกติ วันนี้ "ตื่นตี2" แต่ไม่รู้สึกว่าประสิทธิภาพการทำงานลดลง หรือความอ่อนเพลียมากขึ้นสักเท่าไหร่
- ปัจจัยที่ทำเมื่อวาน: ใช้หน้าจอก่อนนอน(แต่ในโหมดลดแสงสีฟ้า) กินเกลือเพียงเล็กน้อยในตอนเช้า สวดมนต์ก่อนนอน ไม่ได้นั่งสมาธิ และ อดอาหารมาทั้งวัน
- น่า่จะเกี่ยวกับชุดที่ใส่ เปียก ทำให้ ชื้น นอนไม่สบายตัว สูญเสียความร้อน และนอนไม่หลับ เพราะตั้งแต่ปรับตรงนี้ก็หลับปกติตลอด
- สาเหตุของการท้องเสียบ่อย ลำไส้อักเสบ เป็นเพราะว่า จานชามที่เก็บรวมกัน ไม่ได้ตากให้แห้ง มีความชื้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แมลงสาปต้องการในการดำรงชีวิต
- แล้วเราก็เอาจานชามมาใช้ บรึ๋ยยย
- เอาม่านกันยุงออก เพื่อให้อากาศในห้องระบาย หมุนเวียน ไม่ชื้น จะได้ไม่เป็นที่ต้องการของแมลงสาป หรือสะสมเชื้อโรค ซึ่งน่ากลัวกว่ายุงหลายเท่า
- วันนี้กินอาหาร เริ่มกินตอน ตี 4-6โมง
- เหมือนการอดวันเว้นวัน ทำให้กินเยอะไป น่าจะเปลี่ยนเป็น กินมื้อเช้า2วันติดกัน ในปริมาณแต่พอเหมาะ แล้วอด 1 วัน ก็พอแล้ว
- พอถอนเงินออกจากการ All in ADA แล้วเปลี่ยนมาเทรดแบบสบายๆ ความเสี่ยงต่ำลง ก็ทำให้รู้สึกไม่ขยันเหมือนเดิม(ขี้เกียจขึ้น จากความผ่อนคลายว่าเงินยังกลับมาอยู่กับเรา) ไม่รู้สึกประหยัดเหมือนเดิมแฮะ(มีเงินในบัญชีมากขึ้น ทำให้ความอยากซื้อนู่นซื้อนี่กลับมา)
- มันดีแล้วที่ไม่เครียด ส่วนกิเลสเป็นธรรมชาติ ที่ต้องมีสติคอยรู้ทันมัน รู้จักหักห้ามใจ เอาบทเรียนเก่าๆที่ใช้เคยเงินฟุ่มเฟือยมาระลึกถึงอยู่เสมอ
- แต่พอมีเงิน สิ่งที่มีประโยชน์อีกด้าน คือ สามารถใช้เงินอย่างประหยัด แต่สามารถซื้อสิ่งจำเป็นจริงๆต่อ productivity ได้มากขึ้น
- ถามตัวเองก่อนว่า เราแสวงหาอะไร? แสวงหาความรู้ก่อนเพื่อหาเงิน หรือ อยากได้เงินรีบด่วนทั้งๆที่ไม่รู้อะไรจริง แบบการพนัน
- สำหรับ Forex ถ้าเทรดด้วยความรู้ ด้วยหลักการที่ถูกต้อง คือ ใช้ Fundamental นำ Technical จะรู้เลยว่ามันต่างจากแต่ก่อน ที่ใช้ Technical แบบมั่วมากๆ รู้เลยว่าเทรดเป็นกับไม่เป็น ต่างกันชัดเจน
- สำหรับ Crypto ก็เหมือนกัน ความรู้สึกตอนนี้ คือ เรายังไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เกี่ยวกับ Crypto ไม่รู้ Fundamental อะไรสักอย่าง ความรู้สึกแบบเดียวกับตอนเทรด Forex โดยที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ
- มันดีแล้วที่ไม่เครียด ส่วนกิเลสเป็นธรรมชาติ ที่ต้องมีสติคอยรู้ทันมัน รู้จักหักห้ามใจ เอาบทเรียนเก่าๆที่ใช้เคยเงินฟุ่มเฟือยมาระลึกถึงอยู่เสมอ
- การพัฒนาตนเองในระยะสั้นตอนนี้
- ฝึกอ่านข่าว Forex(ข่าวเศรษฐกิจ สถานการณ์รอบโลก ฯลฯ)
- อยากลองอ่านตำราแบบ pure technical เพื่อให้เห็นมุมมองการเทรดอีกฝั่ง ว่าเขาอยู่กันได้จริงหรือไม่(แต่ trader เก่งๆ จะใช้ Fundamental ด้วยเสมอ ไม่มีใครใช้ pure technical นะ)
- อ่านหนังสือ Bitcoin standard, Fiat standard เพื่อให้เข้าใจหลักการของ Crypto จริงๆ
- อ่าน programming
- ประเด็นคือ อ่านหนังสือตำราการเทรด ไม่ได้ยาก แต่ทำไมยังไม่ได้เริ่มอ่าน programming สักที
- เหมือนพอไม่ได้ดื่มกาแฟแล้ว ทุกอย่างดูเลื่อนลอย ไม่สามารถโฟกัสได้แนบแน่น จริงจังแบบที่เคยเป็น
- ถ้าเราพึ่งกาแฟจนชิน เราอาจจะละเลยการฝึกสมาธิ ซึ่งมีโอกาสพัฒนาสมาธิได้ลึกกว่า
- วันนี้เริ่มมีสมาธิกับการอ่านจริงๆ ตอน 13:30 น เหมือนอาหารที่เพิ่งกินไปเมื่อเช้า เพิ่งกำลังดูดซึมจริงๆ และ สมองก็มีแรงมากขึ้น
- เหมือนทักษะการฟังภาษาอังกฤษดีขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมาพยายามกระตุ้น ด้วยการฟัง BBC world radio ระหว่างเดินทาง
2 เม.ย.
- เมื่อวานนอนหลับได้ปกติ วันนี้วันอด(ลองเปลี่ยนมาอดวันเว้นวัน)
- เหมือนสาเหตุหนึ่งที่นอนไม่หลับ คือ มีเหตุบางอย่างทำให้เสื้อเปียก ไม่สบายตัว และสูญเสียความร้อนขณะนอน
- สรุปว่าเมื่อวานอ่านหนังสือไปได้ 19 หน้า อ่านได้เร็วเพราะเนื้อหาเบาๆ ไม่ได้มีอะไรต้องให้ความสำคัญ
เหมือนพออ่านหนังสือแล้วรู้อะไรมากขึ้น ก็เริ่มกลัวที่จะอ่านเพิ่ม เพราะ กลัวความไม่รู้ที่เราจะเผชิญข้างหน้า- วันนี้รู้สึกไม่มีแรงเท่าไหร่ แค่นั่งตัวตรงก็จะไหลอยู่เรื่อยๆ ถึงมหาลัย 9.00 น แต่ได้อ่านหนังสือจริงๆ 11.20น
- เหมือนความจำระยะสั้นก็จะแย่ลง ทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงที่อ่านไปท่อนก่อนหน้าได้ดีนัก รู้สึกเหมือนกำลังรับข้อมูลเป็นท่อนๆๆ ไม่ต่อเนื่อง
- เหมือนการประมวลผลข้อมูลแย่ลง การใช้ความคิดลดลง แปลประโยคที่อ่านแบบผิวเผิน ตีความได้ไม่ลึก อ่านได้แบบผิวเผิน
- วันนี้ไม่ได้ดื่มกาแฟด้วย อาจจะมีส่วนที่ทำให้สมองทำงานลดลง และ โฟกัสน้อยลง
- ฟังเพลงไปพลางๆอย่างน้อย ก็เพื่อให้ผ่านวันนี้ไปได้ก่อน
- สรุปวันนี้ไม่ค่อยมีแรงจริงๆแหละ แม้จะพออ่านไปเรื่อยๆได้ แต่สมองก็ไม่ค่อยคิดไอเดีย หรือ ตั้งคำถามใหม่ๆ เหมือนเข้าโหมดประหยัดพลังงาน และร่างกายก็จะเพลียๆ
- การกินมื้อเดียวแล้ว อดวันเว้นวัน น่าจะไม่ไหวแหละ ก็ต้องกลับมากิน 2 วัน อด 1 วันเหมือนเดิม
- เมื่อเช้ากินเกลือไปครึ่งช้อนชา วันนี้ก็มีมึนๆด้วยนะ แสดงว่าเกิดจากขาดอาหารนั่นแหละ
- อดจนไม่มีแรงบ้าง บางทีก็เป็นการลดอัตตาอย่างหนึ่งนะ ถ้าเราไม่มีอาหารเราก็เหมือนง่อย ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี อย่าหลงตัวเอง
- แต่แรงเดินก็ยังมีอยู่นะ ส่วนการอ่าน ถ้าตั้งใจอ่าน ไม่เอาเป็นข้ออ้างในการเถลไถล ก็ยังอ่านได้ปกตินะ
- จะทำอย่างไรให้สามารถหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเทรดได้ - > ส่วนใหญ่จะ เริ่มจากการอ่านข่าว
- Forex ความรู้เกี่ยวกับประเทศต่างๆ
- Crypto ความรู้เกี่ยวกับ programming, ข่าว
- เจอเนื้อหาเกี่ยวกับ Intermittent fasting กับ การทำให้สมองดีขึ้น https://www.healthline.com/nutrition/signs-of-autophagy#6.-Improved-brain-function
- วันนี้ความดัน 96/56mmHg pulse 62bpm ต่ำไปหน่อยนะ
- กินวันละมื้อ แล้วอดข้ามวัน วันนี้ยังวิดพื้นได้อยู่นะ แต่ไม่มีแรงใช้ความคิด
- ลงทุน: สุดท้ายขาย ADA ออกมาก่อน เพราะ กราฟลงเยอะมาก กำไรแทบไม่เหลือ
- ว่าจะอ่านตำรา programming ไปด้วยแล้ว อย่างละครึ่ง กับการลงทุน เพราะ ตอนนี้ถอนทุนออกจากการลงทุน ก็ไม่ต้องรีบเรียนการลงทุนมาก เพราะ ยังมีเวลามากขึ้น
1 เม.ย.
- สรุปเมื่อวานก็ยังนอนไม่ค่อยหลับ แม้จะกินเกลือเสริม ลอง search ดู มีหลายปัจจัยนะ
- ดื่มน้ำน้อย
- สมองตื่นตัว เพื่อต้องการหาอาหาร
- Growth hormone
- แม้จะพักผ่อนน้อย แต่ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
- บางทีอาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถ้าไม่ได้รู้สึกว่าทำงานแย่ลง
- จะเปลี่ยนมาอดวันเว้นวันดูละ เพราะ รู้สึกว่าวิธีที่กินอยู่ตอนนี้(ธัญพืช) ขนาดว่าเดินไปกลับวันละ 2 ชม ยังมีแรงเหลือพอสมควร
- ปัญหาในการลงทุนตอนนี้ คือ All in ใช้ทุนทั้งหมดที่มีลงใน Crypto(Cardano) ซึ่งกลายเป็นว่าชีวิตเราขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนของกราฟละ ต่อให้เราเชื่อว่ามันจะดีแค่ไหน และ undervalue อยู่มาก แต่ถ้ากราฟมันมีจังหวะลง แล้วเราต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในช่วงนั้นพอดี ก็จะขาดทุนย่อยยับอย่างทวีคูณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น อาจต้องลองมาดู Worst case ของทางเลือกต่างๆ
- All in
- กราฟลงได้อีก 30% ไม่ขึ้น และต้องใช้เงินจ่ายภาษี กำไรหาย แถมขาดทุน
- อาจต้องไปขอนอนวัด
- แบ่งบางส่วน ?ครึ่งหนึ่ง? มาเป็นทุนสำรองเมื่อจำเป็น เราต้องมั่นใจว่าเรายังอยู่ได้อีกอย่างน้อย 1 ปี หากเราทำกำไรไม่ได้นะ
- กำไรน้อยลงไม่ว่า เพราะ ถ้าเรามีความสามารถ อย่างไร ก็ทำกำไรได้เรื่อยๆ โอกาสทำกำไร ปีนึงมีหลายรอบเหลือเฟือมาก
- อย่าไปสนใจกำไรที่น้อยลง สนใจชีวิตก่อน
- All in
- ข้อเสียของการพยายามคิดเอง แบบไม่มีความรู้มาก่อน คือ มันมีโอกาสไขว้เขวง่าย เพราะ ไม่รู้ว่าถูกแน่นอนไหม
- ตำราบอกไว้ว่า ที่ควรโกรธไม่ใช่การพลาดโอกาสทำกำไร แต่ที่ควรโกรธ คือตัวเราที่ไม่สามารถรักษาวินัยการลงทุนได้
- มีอีกอย่างคือ ช่วงนี้ท้องเสียนิดๆ อยู่บ่อย เหมือนลำไส้อักเสบจากปัจจัยบางอย่าง
- ข้อสังเกต คือ หลังกินกาแฟจะมีอาการภูมิแพ้ จามและคัดจมูกทันที ขณะเริ่มดื่มกาแฟ(ตั้งแต่เริ่มสูดไอกาแฟ) ไม่แน่ใจว่าแอบมีแมลงสาปเข้าไปหรือไม่ อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ท้องเสีย
- เคยมีข่าวว่า จริงๆโรงงานคั่วกาแฟ อาจมีแมลงสาปเข้าไปอยู่ในกระทะคั่วด้วย
- ลองงดกาแฟสักพัก
- ข้อสังเกต คือ หลังกินกาแฟจะมีอาการภูมิแพ้ จามและคัดจมูกทันที ขณะเริ่มดื่มกาแฟ(ตั้งแต่เริ่มสูดไอกาแฟ) ไม่แน่ใจว่าแอบมีแมลงสาปเข้าไปหรือไม่ อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ท้องเสีย
- ถ้าเอาเงินไปไว้ในการลงทุนทั้งหมด จะรู้สึกเครียดนิดๆ เหมือนมันเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้พยายามอ่านหนังสืออยู่นะ
- ชีวิตที่ลำบาก กระตุ้นและบีบบังคับ ให้ต้องอ่านหนังสือ กระตุ้นให้ฝึกอ่านข่าวต่างประเทศ กระตุ้นให้ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเอง กระตุ้นให้ต้องพัฒนาตนเอง และ ทำ Fasting ถ้าไม่ทำ = homeless
- เมื่อวานวันอด อ่านหนังสือได้ 14 หน้า
- วันนี้อ่าน The art of currency trading ต่อ ว่าจะอ่านตอน 11.30น แต่เถลไถล ถึง 12.40น มีสมาธิอ่านจริงๆตอน 13:30 น
- ความรู้จากการอ่านหนังสือ เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เรา หลุดพ้นจากพันธนาการของความไม่รู้ และ การไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรจากความไม่รู้ได้
- เทคนิคการเรียนรู้อย่างหนึ่ง คือ อ่านแล้วพยายามไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น พยายามตั้งคำถามในใจเสมอว่า "ใช่หรือ?" แล้วคิด และทดสอบด้วยตนเอง มันจะทำให้แตกฉานมากกว่า
- การเรียนภาษาอังกฤษ ต้องใช้พจนานุกรม eng-eng เท่านั้น ห้ามใช้ eng - thai เป็นอันขาด ถ้าเห็นภาษาไทย มันจะกลับไปใช้โหมดแปลไทยอัตโนมัติ แล้วโหมดรับรู้ภาษาอังกฤษจริงๆ ก็จะไม่ได้ทำงาน
- รู้สึกเหมือนพลาดอะไรไปบางอย่าง คือ ทั้งๆที่เรามาห้องสมุด แต่กลับไม่ได้อ่านหนังสือในห้องสมุด ต้องอ่านหนังสือจากหน้าจอแทน พอเห็นหนังสือมากมายบนชั้นวางหนังสือ รู้สึกว่ากำลังพลาดโอกาสอะไรไปเยอะอยู่นะ
- ต้องรีบๆอ่านตำราเทรดให้จบ
Notes
** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags"
ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ
Add new comment