Skip to main content

การบริหารความเสี่ยง

Submitted by krishrong on

การเทรดไม่มีอะไรแน่นอน หรือถูกต้อง100% แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุด ก็ยังสามารถพอร์ตแตกได้ ต่อให้เราหากลยุทธ์การเทรดดีแค่ไหน แต่หากไม่ได้บริหารความเสี่ยง มันก็เป็นเพียงกลยุทธ์เพื่อรอวันพอร์ตแตกเท่านั้น การบริหารหรือลดความเสี่ยง จึงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้สำเร็จประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว

เราไม่ได้สามารถเสี่ยงได้ทั้งหมดของทุนที่มี เช่น กองทุนมีเงิน 100 ล้าน ผู้บริหารกองทุน สามารถขาดทุนได้จริง ก็ไม่เกิน 10% ต่อปี(Max dragdown limit) หรือ 10 ล้าน (ถ้าขาดทุนมากกว่านี้ ก็คงได้หางานใหม่) เป็นต้น เงินทุนที่สามารถ ยอมเสียในการเทรดได้จริง เรียกอีกอย่างว่า Free capital

สำหรับคนทั่วไป(retail trader) Free capital ก็น่าจะเป็นเงินที่ "ต่อให้เสียไป ชีวิตก็ไม่เดือดร้อน" โดยคำนวณจากเงินทั้งหมด หักค่าอยู่ค่ากิน ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเงินสำรองฉุกเฉิน ออกไป ที่เหลือจึงค่อยนำมาเป็นทุนในการเทรด

โดยในตำรา จะมีหลักการควบคุมความเสี่ยงดังนี้

  1. จำกัดการขาดทุนต่อเดือน(%risk limit) อยู่ที่ 10% ของ Free capital ถ้าขาดทุนเกินนี้ ในเดือนนั้นๆจะหยุดเทรด และกลับมาวิเคราะห์ตัวเอง หาข้อมูลเพิ่มเติม และค่อยไปเทรดใหม่ในเดือนถัดไป
  2. มีเป้ากำไรรายเดือน อยู่ที่ 2 เท่าของความเสี่ยงที่นำมาลงในเดือนนั้น หรือก็คือ ทำให้เงิน 10% ของ Free capital ที่นำมาเสี่ยงในแต่ละเดือน เพิ่มเป็น 2 เท่า หรือ 20% หากเทรดถึงเป้ากำไรในเดือนนั้นแล้ว ให้ลดความเสี่ยงการเทรดลง เพื่อคงกำไรไว้ (เพราะ มีแนวโน้มที่จะคืนกำไรให้ตลาด)
    • ข้อดีของการแบ่งรายเดือน คือ
      • มีความยืดหยุ่นในการใช้ risk ซึ่งในตำราจะไม่ใช้ risk คงที่ แต่จะแปรผันตามความมั่นใจในความเป็นไปได้และข้อมูลในแต่ละการเทรด มีข้อมูลมาก มั่นใจมาก ก็ใช้ risk เยอะ แต่ถ้ามีข้อมูลนิดหน่อย มั่นใจไม่มาก ก็ใช้ risk น้อย การแบ่งประเมิน risk รายเดือน ทำให้ใช้ประโยชน์จาก dynamic risk ที่ต่างกันไปในแต่ละการเทรด ได้ยืดหยุ่นและเต็มที่มากกว่า
      • ข่าวการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ นโยบาย หรือ การประเมินต่างๆ มักจะอยู่ที่ต้นเดือน และปลายเดือน การเทรดในช่วงดังกล่าวจึงมีโอกาสทำกำไรได้ดีกว่า
      • ช่วงที่ไม่ข่าวอะไรมาก ก็จะเป็นการพักผ่อนไปในตัว(refresh)จากความเครียดต่างๆ หรือหาข้อมูลเพิ่มเติม จะทำให้ช่วงที่ต้องจริงจังทำได้ดีขึ้น(การมีเวลาพักก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเทรดดีขึ้น)
    • จริงๆ จะแบ่งเป้าเป็นรายวัน สัปดาห์ หรือ ปี ก็ได้ แต่มีข้อเสียคือ
      • รายวัน จะแบ่งถี่เกินไป ทำให้ risk limit จำกัด บางวันไม่ได้มีโอกาสให้เทรด ก็ไม่ได้ใช้ risk นั้นที่แบ่งมา ส่วนวันที่มีโอกาสเทรด risk ที่ใช้ก็น้อยเกินไป
      • รายปี จะนานเกินไป ไม่ได้ประเมินตัวเอง
      • รายสัปดาห์ ก็พอได้ โดยแบ่ง risk limit อยู่ที่ สัปดาห์ละ 2% (แต่ระบบการเทรดของ ผู้เขียนหนังสือ จะเหมาะกับรายเดือนมากกว่า เพราะ ปรับแต่งความเสี่ยงตามโอกาสที่เกิดขึ้นได้หลากหลายมากกว่า)
        • เทรดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใช้ risk ครั้งละ 2% โดยในสัปดาห์ให้พยายามอ่านข่าว ศึกษา หาข้อมูล ให้ได้มากที่สุด จนได้ข้อสรุปที่คิดว่ามีผลต่อตลาดมากที่สุดในสัปดาห์นั้น แล้วจึงเทรดตามข้อสรุปนั้น
        • โดยส่วนตัวคิดว่าจะเหมาะกับมือใหม่ (และ ตัวเอง) ที่อ่านข่าวยังไม่ชำนาญ การเทรดสัปดาห์ละครั้ง จะทำให้มีเวลาอ่านข่าว ศึกษา และ รวบรวมข้อมูลมากขึ้น เหมือนอ่านเตรียมสอบวิเคราะห์ข่าวประจำสัปดาห์
    • ถ้าเทรดได้กำไร หมายความว่า Free capital จะเพิ่มขึ้น และ สามารถใช้ความเสี่ยงมากขึ้น ใน % risk เท่าเดิม กลับกันหากขาดทุน ก็จะใช้ความเสี่ยงลดลง ใน % risk เท่าเดิม
  3. การทำ Trading diary
    • สำคัญมาก ต้องทำทุกคน(ไม่มี professional trader คนไหนไม่ทำ)
    • ถ้านำข้อมูลมาพล็อตกราฟ (ไม่ได้ทำเพื่อความเท่) จะใช้วิเคราะห์การเทรดของตัวเองได้หลากหลายประเด็นมากๆ(ไปอ่านเพิ่มเติมในตำรา)
    • ตัวอย่าง สามารถดูได้จากหนังสือ หรือ ของตัวเอง
    • หลักๆ คือ บันทึก สาเหตุการเข้าเทรด, %risk ที่ใช้, ขาดทุนหรือกำไร(P&L), ฯลฯ (แนะนำให้ทำตามหนังสือ)
  4. การกำหนดขนาด position
    • การเทรดแต่ละครั้ง ไม่ได้ใช้ความเสี่ยงคงที่(dynamic risk) แต่ขึ้นอยู่กับระดับความมั่นใจและข้อมูลที่มีในการเทรด(levels of conviction) ซึ่งในตำราจะแบ่งเป็นดาว 1,3,5ดาว
      • 1 star = มั่นใจน้อย ใช้ risk 1%
      • 3 star = มั่นใจกลาง ใช้ risk 3%
      • 5 star = มั่นใจมาก ใช้ risk 6%
      • * ระดับความมั่นใจเกิดจาก หลายๆปัจจัยรวมกัน(convictions) เช่น Fundamental, correlative/cross-market asset, technical analysis, sentiment&position, news, central bank เป็นต้น ยิ่งมีปัจจัยรวมกันมาก จะยิ่งได้ star มากขึ้น
      • * สำหรับ 5 star ผู้เขียนเรียกว่าเป็น "โอกาสทอง" ซึ่งในปีที่เทรดได้ดี ก็ยังพบไม่เกิน 10 ครั้ง หมายความว่าส่วนใหญ่ใช้ risk 1,3% ไปนะ นอกจากนี้จะใช้ risk แบบ 6% ก็ต่อเมื่อ ได้กำไรจากการเทรดมามากจำนวนหนึ่งแล้วด้วยนะ(ถ้ายังขาดทุนเยอะ จะพยายามลด risk ลง ไม่ใช้ risk เยอะเท่านี้ แม้จะเป็นระดับ 5 stars)
    • ส่วนใหญ่ผู้เขียน จะเปิด position แค่ 1 position เท่านั้น จะไม่เปิด position ทีนึงเยอะ ต่อให้เปิดเป็น basket(bull/bearish สกุลเงินหนึ่ง แต่เปิดposition กระจายไปหลายๆสกุลเงิน) ก็จะไม่เกิน 3-4 position และ risk ทั้งหมด นับรวมเป็นการเทรดเดียวกัน(เช่น risk ทั้งหมดรวมกัน ไม่เกิน 3%)
    • อย่าไปคอยแต่ risk/reward ที่ได้ 1:3 เพราะ 1:1 และ 1:2 ก็ทำกำไรได้ไม่ต่างกัน ตัวแปรอีกตัวที่สำคัญเท่ากัน ที่ต้องพิจารณาด้วย คือ โอกาสการชนะ หรือ probability ของ win/loss ซึ่งหาก RR ต่ำ W/L ก็จะสูงขึ้น เมื่อนำมาคำนวณ Expected value ก็ยังคงได้กำไร(บางที อาจจะได้มากกว่า RR สูงๆแต่ W/L ต่ำๆ เสียอีก) เช่น (ค่าที่ได้เป็นค่าสมมตินะ)
      • RR 1:1* W/L 60/40 จะได้ Expected value = 1x60- 1x40= กำไร 20
      • RR 1:2 W/L 50/50 จะได้ Expected value = 2x50 - 1x50 = กำไร 50
      • RR 1:3 W/L 30/70 จะได้ Expected value = 3x30 - 1x70 = กำไร 20
      • * สาเหตุที่ win/loss ของ RR 1:1 คือ 60% ไม่ใช่ 50% มาจากการเทรดที่ใช้การวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจตามความเป็นจริง(Fundamental) ทำให้มีโอกาสถูกมากกว่าการสุ่มโยนหัวก้อย
      • ** ตำราแนะนำว่า อย่าลำเอียงพยายามทำ Expected value ให้สูงนัก ให้นำข้อมูลมาจาก Trading diary ของเราเอง
    • การกำหนด stop loss มีหลายวิธี
      • ใช้ Technical analysis + 20% ของ ระยะที่กราฟวิ่งเฉลี่ยในแต่ละวัน(average daily range)
        • ประโยชน์เดียวของ Technical analysis คือ การใช้เพื่อรอจังหวะในการเข้าเทรด เพื่อให้ได้จุดเข้าที่มี stop loss แคบที่สุด(อย่างเหมาะสม) เพื่อให้สามารถใช้ leverage ได้มากที่สุด
        • โดยเมื่อได้จุด SL ที่เหมาะสม ให้เพิ่มไปอีก 20% ของ ระยะที่กราฟวิ่งเฉลี่ยในแต่ละวัน(Leave some extra room) เป็นการวาง stop loss ให้ไกลขึ้นจากคนส่วนใหญ่ เพื่อป้องกันการเกิด stop loss run
        • เช่น วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆในโลกความเป็นจริงแล้ว ได้ Bearish EURUSD -> จากนั้นใช้ TA หาจุดเข้าที่เหมาะสม -> ได้ resistance zone ด้านบน เป็นจุดที่เกิด Double top และมีการหลุดเทรนด์ไลน์ -> โดยจุด stop loss จะวางเหนือ resistance zone นั้น โดยบวกเพิ่มไปอีก 20 pip เนื่องจาก daily range ของ EURUSD คือ 100 pip
      • ใช้ Average day range
        • ตลาดเต็มไปด้วย noise ที่คาดเดาไม่ได้ ดังนั้น ในการเทรดส่วนใหญ่ มีโอกาสน้อยมากที่เราจะสามารถใช้ stop loss แคบๆ(10-20 pip)ในการเทรดได้ นอกเสียจากเราจะเทรด breakout หรือ ข่าวประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ
        • ผู้เขียนตำรามักจะใช้ stop loss ระยะ 1 ช่วงวัน(1 day range) จากจุดเข้าเทรด(entry point) คำแนะนำเพิ่มเติมคือ
          • ในการเทรดระยะสั้น ใช้ stop loss ในระยะ 1.2 เท่า ของ average day range
          • ในการเทรดระยะกลาง ใช้ stop loss ในระยะ 2.5 เท่า ของ average day range
  5. เมื่อเปิด position แล้ว จะไม่ไปยุ่งกับมัน หากไม่มีเหตุผลทาง fundamental หรือ ปัจจัยที่มีผลเปลี่ยนแปลงไป
    • ไม่ปิด position ก่อนถึงจุด take profit แม้กราฟจะมาถึง 70-80% ของจุด TP แล้วย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น
      • เพราะ จะทำให้ไม่สามารถประเมิน ระบบ risk/reward ที่ตัวเองใช้อยู่ได้อย่างเหมาะสม เพราะ ข้อมูลคลาดเคลื่อน
      • ภายหลังการเปิด position อารมณ์มักจะมาครอบงำ มากกว่าเหตุผล ซึ่งมักจะทำให้เราประเมินได้ไม่ดีเท่าก่อนหน้า จึงไม่ควรเชื่อตัวเอง และ ยึดตามแผนเดิม(ไม่ยุ่งกับ position ที่เปิดแล้ว)
    • ไม่เลื่อน stop loss ให้ไกลออกไปมากขึ้นจากแผนเดิม
      • ต่อให้กราฟจะวิ่งมาชนแล้วปิดขาดทุน ก็ออกมาก่อน พักอย่างน้อย 4 ชม.ให้ใจเย็นลง (Cooling off period) หากยังคงตามแผนเดิม ค่อยเข้าเทรดใหม่ได้เสมอ แต่อย่างไรก็จะไม่เลื่อน stop loss
      • ข้อดีของการ "ออกมาก่อน(stay flat)" จะทำให้เราไม่มี bias(อารมณ์ครอบงำมากกว่าเหตุผล) ที่มักรู้สึก มีส่วนได้ส่วนเสียไปกับ position ที่เราเปิดอยู่ และจะพิจารณาอะไรได้เป็นกลางมากขึ้น แม้ผลลัพธ์สุดท้ายจะไม่ต่างจากการเลื่อน stop loss ก็ตาม
    • เลื่อน trailing stop(เลื่อนจุด stop loss มาบังทุน)
      • โดยปกติจะไม่เลื่อน trailing stop เพราะ กราฟมักจะมี noise มาโดน และเสียโอกาสทำกำไรตามแผนไป
      • จะเลื่อนเฉพาะ ตอนกราฟวิ่งใกล้ถึงจุด TP 70-80% หรือ มีข่าวเศรษฐกิจ
        • มีข่าวเศรษฐกิจ ที่อาจมีความผันผวนสูง อาจจะกระทบกับ position ที่เปิดอยู่และขาดทุนโดยไม่จำเป็น
        • กราฟวิ่งใกล้ถึงจุด TP(70-80%) หรือ ไกลจากจุด entry point แล้ว 
          • มันคงดูไร้เหตุผล(non-sense) หากว่า กำลังจะได้กำไร แล้วอยู่ๆกลับมาปิดขาดทุนแทน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะเลื่อน stop loss มาบังต้นทุนไว้ โดยการเลื่อน trailing stop สามารถทำได้ 2 วิธีหลักๆ
            • เลื่อนมาบังทุน เพื่อเป็นประกันว่าเทรดนั้น แม้จะไม่ถึงจุด TP แต่ก็ไม่ขาดทุน
            • เลื่อนตาม เส้น EMA โดยเลื่อนน้อยกว่าเส้น 40 pip(ถ้าเลื่อนมากไป จะโดน noise ได้)
    • ไม่เพิ่ม order (แต่ลดขนาด order ได้ ถ้าประเมินภายหลังแล้วมันเยอะไป)
      • เพราะ การเปิด order เพิ่ม จะทำให้ความเสี่ยงเกิน limit ที่เรากำหนดไว้ หรือ ถ้าเลื่อน stop loss มาใกล้ขึ้น ก็มีโอกาสโดน noise และถูก cut loss เสียแผนการเทรด
      • เปิด position เดียว แล้วปล่อยไปจนสิ้นสุดการเทรด