29 ก.พ. 67
- วันนี้อยู่ที่หอพัก ไม่ได้ไปอ่านหนังสือที่มหาลัย
- ข้อเสีย คือ อยู่คนเดียว มีความเป็นส่วนตัวมาก ไม่มีใครมาคอยดูว่าเราทำอะไรอยู่ ก็มักจะแอบไปดูการ์ตูน หรือทำเรื่องเหลวไหล ไม่ได้ทำตามกิจวัตรประจำวัน หรือ ทำตามวินัยที่เคยกำหนดเอาไว้ คือ การอ่านหนังสือแบบที่ทำเป็นประจำ
- จริงๆ น่าจะต้องฝึกควบคุมตัวเองเยอะๆเลย หวังว่า การ Fasting ก็น่าจะช่วยพัฒนาทักษะส่วนนี้ได้นะ(พัฒนาเรื่องการใช้เหตุผล และ การหักห้ามใจ) แต่ทั้งนี้ก็ยังคงอาจต้องเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปนะ เพราะ เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยได้ภายในวันสองวันเป้นแน่ จนกว่าจะเห็นข้อดี ข้อเสีย ของสิ่งต่างๆ เช่น การเถลไถล ข้อดี - ช่วยคลายเครียด, ข้อเสีย - หากเถลไถลมากไป จะไม่ได้พัฒนาตนเอง เป็นต้น บางทีเหนื่อยมากคิดอะไรไม่ออก ก็พักบ้าง แต่จะเถลไถลจนลืมเวลาก็ไม่ได้ และฝึกมากเข้าๆ อาจสามารถมีสมาธิ และสนุกกับงานได้โดยไม่ต้องเถลไถลเลย
- ข้อดี คือ
- เทรดได้อย่างมีสมาธิมากขึ้น เพราะ ไม่มีใครรบกวน
- เหมือนกับว่าถ้าเป็น day trader วันนึงใน forex อย่างมาก ก็มี 1-2 order ที่เรามั่นใจ ถ้าถูกเพียง 1 ก็ได้กำไร ดีกว่าลงเยอะเป็นสิบ(ตัวที่มั่วก็ลงด้วย) แม้จะถูก 1 ตัวเท่ากัน แต่ขาดทุน 9 มันก็จะได้แต่ขาดทุนยับเยินแทน
- ถึงอากาศจะร้อนชื้น แต่ก็พอมีสมาธิได้อยู่นะ
- ทำอาหารกินเอง ได้ dense and rich nutrition ทำให้ลดจำนวนมื้อที่ต้องกินลงได้อีก รวมถึงลดช่วงเวลาการกินลงไปอีกด้วย เหลือ 9 ชม แล้วอดต่อยาวๆ อีก 39 ชม.
- เทรดได้อย่างมีสมาธิมากขึ้น เพราะ ไม่มีใครรบกวน
- ข้อเสีย คือ อยู่คนเดียว มีความเป็นส่วนตัวมาก ไม่มีใครมาคอยดูว่าเราทำอะไรอยู่ ก็มักจะแอบไปดูการ์ตูน หรือทำเรื่องเหลวไหล ไม่ได้ทำตามกิจวัตรประจำวัน หรือ ทำตามวินัยที่เคยกำหนดเอาไว้ คือ การอ่านหนังสือแบบที่ทำเป็นประจำ
- เทคนิคการทำสมาธิส่วนตัว คือ keyword ว่า ระลึกรู้ลมหายใจเนืองๆ
- เอาจริงๆ ก็เคยแอบคิดนะว่า ถ้าไม่มีโอกาสได้เรียนต่อด้านคอม จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ตอนนี้กำลังได้เจอกับปัญหานั้น!
- ทางเลือก?
- คิดเสียว่ามีเวลาพัฒนาตนเองมากขึ้น ให้กำหนดเป้าหมายที่ยากขึ้น ใหญ่ขึ้น
- การเงิน ยังยับเยิน ไม่มีรายได้ประจำ แต่สบายใจขึ้น เพราะ เหรียญคริปโต ที่ลงทุนไว้ ราคากำลังขึ้น ทำให้พอมีเวลาให้หายใจ พัฒนาตนเองต่อ
- แต่การเทรด ยังทำเงินไม่ได้ ขาดทุนตลอด
- แต่การลงทุนระยะยาว เป็นสิ่งที่สามารถทำได้นะ แม้เราจะไม่มีความรู้มากมายก็ยังทำได้เลย(ลงทุนกับธุรกิจที่ผลิตสินค้าและบริการที่ เราใช้อยู่ทุกวัน)
- ทางเลือก?
- ตอนนี้อาจไม่ต้องกังวลเรื่องเงินมากนักแล้ว เนื่องจากลงทุนคริปโตได้เงินมาก้อนหนึ่งให้พอต่อเวลาสำหรับพัฒนาตนเองได้ 1 ปี และ อยู่อย่างประหยัดต่อไปแบบนี้
- หลังจากวิเคราะห์ตนเอง เกี่ยวกับการศึกษาสิ่งที่ชอบ พบว่าเราเห็นโอกาสและทางเลือกมากมายในเรื่องที่เราชอบและชำนาญ เช่น ด้านคอมพิวเตอร์ เราจะมีสัญชาติญาณบางอย่างที่ทำให้เราจับทางได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น ส่วนในเรื่องที่เราไม่ชำนาญ เรามองเห็นโอกาสยากมากๆ เช่น การเทรด เราไม่มีสัญชาติญาณในเรื่องเงิน กำไร-ขาดทุนเท่าไหร่ เป็นต้น ดังนั้น เราจะเน้นศึกษาสิ่งที่เราชอบเป็นหลัก จะดีที่สุด ทุกๆคนไม่มีใครเหมือนกัน แนวทางทำเงินที่ถนัดของคนหนึ่ง อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนก็ได้ แต่กลับกัน แนวทางอาชีพของอีกคน ก็อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนเช่นกัน
- วันนี้เดินจงกรมในห้อง กลับไปกลับมาสักพัก ก็เกิดไอเดีย
- แพลตฟอร์มของ Fastwork อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ เพราะ เหมือนเป็นการเอาคนทำงานคล้ายๆกันจำนวนมาก มาแข่งกันในตลาดเดียวกัน เป็นการเพิ่มการแข่งขันกันเองในตลาดที่มีลูกค้าจำกัด ซึ่งทำให้โอกาสการได้งานของแต่ละคนลดลง
- จะทำให้ Freelance แต่ละคน ถูกมองเหมือนกัน เป็นเพียงหน่วยย่อยหนึ่ง สำหรับสร้างผลงานตามที่จ้าง ซึ่งไม่ได้มีความต่างกันเท่าไหร่ คนที่เคยถูกจ้างและได้รับรีวิว(ที่ดี) ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการจ้างจากลูกค้ารายอื่นต่อ ส่วนคนที่ไม่เคยถูกจ้างและไม่เคยรับรีวิว ก็จะไม่ถูกจ้างต่อไป(เว้นเสียแต่จะลดค่าจ้างของตัวเองลง แบบลดแลกแจกแถม ซึ่งก็ทำให้การแข่งขันสูงขึ้นไปอีก และรายได้ก็ถูกกดลงไปอีก)
- สิ่งที่พอจะแก้ไขได้คือ ต้องมี story ของแต่ละคน เช่น ข้อมูล ประวัติการศึกษา, portfolio เป็นต้น หรือแม้แต่ให้แต่ละคนสามารถสร้าง content ของตนเองได้ เช่น บทความให้ความรู้ หรือ แม้แต่ diary ของตนเอง ฯลฯ เพื่อเพิ่มโอกาสการได้รับการจ้าง และถูกมองว่าแต่ละคนมีความแตกต่างกันแบบ individual ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือสร้างผลงานหนึ่งๆเหมือนๆกัน(เป็นเพียง unit เล็กๆ ไม่ต่างกัน)
- อาจแก้ไขด้วยการ ผนวกความเป็น social media เข้าไปด้วย เหมือน เอา ระบบ Fastwork ผสมกับ Facebook, twitter รวมถึง linkedin มาผสมกัน
- แพลตฟอร์มของ Fastwork อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ เพราะ เหมือนเป็นการเอาคนทำงานคล้ายๆกันจำนวนมาก มาแข่งกันในตลาดเดียวกัน เป็นการเพิ่มการแข่งขันกันเองในตลาดที่มีลูกค้าจำกัด ซึ่งทำให้โอกาสการได้งานของแต่ละคนลดลง
- การฝึกพิมพ์สัมผัส ทีแรกเข้าใจว่าแค่พยายามวางมือบนตำแหน่งมาตรฐานแล้วพิมพ์เยอะๆ มันจะพิมพ์ได้เร็วขึ้นเอง แต่จริงๆไม่ถูกทั้งหมด เพราะ ถ้าฝึกแบบถูกหลักการ จะพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วกว่า การทำแบบฝึกหัดจะทำให้เราวางมือ ขยับนิ้วอย่างถูกต้องได้มากกว่า
- แต่หลักการจริงๆคือ ทุกครั้งที่พิมพ์ตัวอักษร 1 ตัว ต้องเลื่อนนิ้วนั้นกลับมาที่ตำแหน่งแป้นเหย้า(ตำแหน่งมาตรฐาน)ก่อนเสมอ แล้วค่อยพิมพ์ตัวถัดไป
28 ก.พ. 67
- เมื่อวานพยายามกินให้ได้ในเวลา 13 ชม วันนี้ตื่นมาก็ไม่ได้รู้สึกอ่อนเพลียแต่อย่างใด รวมถึงผื่นที่หน้าก็ไม่ได้ขึ้นเหมือนตอนกินในช่วง 16 ชม
- ดูต่อว่าวันนี้จะอ่านหนังสือได้มีสมาธิไหม
- ตอนประมาณบ่ายสาม ก็เริ่มตื้อๆ อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว แสดงว่าการกินมากกว่า 12 ชม กับการเบลอตอนบ่ายไม่เกี่ยวกัน
- อาจเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาไปบริจาคเลือด แล้วก็กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่เพียงพอ(กินแต่อาหารข้างนอก ไม่ได้ดูแลโภชนาการให้ดี) ทำให้โลหิตจางและอ่อนเพลียง่าย?
- อาจต้องปรับมาทำอาหารเอง โดยเน้น dense and rich nutrition มากขึ้น
- อาจเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาไปบริจาคเลือด แล้วก็กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่เพียงพอ(กินแต่อาหารข้างนอก ไม่ได้ดูแลโภชนาการให้ดี) ทำให้โลหิตจางและอ่อนเพลียง่าย?
- ตอนประมาณบ่ายสาม ก็เริ่มตื้อๆ อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว แสดงว่าการกินมากกว่า 12 ชม กับการเบลอตอนบ่ายไม่เกี่ยวกัน
- ดูต่อว่าวันนี้จะอ่านหนังสือได้มีสมาธิไหม
- ทำไมเราไม่มีโอกาสได้ศึกษาในสิ่งที่ชอบแบบจริงๆจังๆสักทีนะ มีแต่ข้อจำกัดนู่นนี่นั่นตลอด?
- ตอนนี้มีข้อจำกัดเรื่องการเงิน เลยทำให้ ไปศึกษาเรื่องการเทรด เพื่อจะหาเงิน?
- ทำไมไม่หาเงินจากการทำสิ่งที่ชอบไปเลยล่ะ???
- เผลอๆ สุดท้ายแม้จะเทรดได้เงิน ก็ไม่มีโอกาสได้ศึกษาสิ่งที่ชอบอยู่ดี เพราะ ก็ต้องเอาเวลาไปหาเงิน???
- มันจะคุ้มค่ากับเวลามากกว่าไหม หากเราจะทำสิ่งชอบให้ได้เงินไปด้วย???
- งง กับชีวิตเหมือนกันนะ?
- ตอนนี้มีข้อจำกัดเรื่องการเงิน เลยทำให้ ไปศึกษาเรื่องการเทรด เพื่อจะหาเงิน?
- ชีวิตในช่วงนี้เหมือนเป็นขาลง เนื่องจากออกจากงาน ไม่มีรายได้ เงินเก็บก็ร่อยหรอไปเรื่อยๆ แถมจะเรียนต่อก็สมัครสอบไม่ทัน แต่เราเชื่อว่ามันไม่เป็นแบบนี้ตลอดไป มันอาจจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพราะ เราเชื่อว่าความรู้ที่เราพยายามสั่งสมมา สุดท้ายจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมากมาย (จนอาจจะคาดไม่ถึง) เพียงแต่ช่วงนี้ที่กำลังจะเปลี่ยนสายงาน จะต้องพยายาม และเหนื่อยมากกว่าปกติ อาจรวมถึงความลำบากหลายๆอย่างที่จะต้องประสบในช่วงนี้ด้วย
- ในวันที่กินอาหาร จะทำอาหารกินเองแล้ว เนื่องจาก กินอาหารข้างนอก แล้วได้สารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้อ่านหนังสือไม่ได้ดังเดิม พอหมดแรงก็ได้แต่นั่งเฉยๆ พิจารณาชีวิตไปเรื่อยๆ เท่านั้น ต่อให้ไปมหาลัยก็ไม่ได้ช่วยอะไร
- นิยายที่อ่านช่วงนี้ คือ David Ives - A Story of St. Timothy's by Arthur Stanwood Pier โหลดได้จาก https://www.gutenberg.org/ebooks/73016
- เนื้อเรื่อง ไม่ใช่เรื่องรักๆใคร่ๆ น้ำเน่า แต่เป็นเรื่องของเด็กหนุ่ม ที่ทางบ้านมีพ่อเป็นหมอครอบครัว แต่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย และ กำลังจะเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมแพทย์ St. Timothy เพื่อไปเรียนต่อ Harvard เป็นศัลยแพทย์ ในเรื่องมีแง่คิดดีๆมากมาย แสดงถึงความเข้าใจโลกของผู้เขียน
- อ่านแทนการเล่น social media
27 ก.พ. 67
- ปัจจัยที่ทำให้อ่านหนังสือได้ดี
- Alternate day fasting(อดวันเว้นวัน) กินไม่เกิน 12 ชม ในวันที่กิน วันที่อดจะมีสมาธิดีมาก
- ฝึกสมาธิ กลับมาระลึกรู้ลมหายใจบ่อยๆ สมาธิเหมือนเป็นของวิเศษ ทำให้ใช้สมองได้เต็มประสิทธิภาพ
- อากาศไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่ชื้น เหมาะสม
- อ่านในพื้นที่มีความเป็นส่วนตัว มีที่กั้น เงียบไม่มีเสียงรบกวน
- อ่านไปด้วยทำสรุปเนื้อหาสำคัญไปด้วย จะทำให้กลับมาทวน รวมถึงทำ active recall ได้ง่าย จำได้ดี และ ยาวนาน
- แม้จะทำให้อ่านช้าลง แต่หากเทียบกับประโยชน์ที่ได้ ก็คุ้มค่าที่จะทำ ดีกว่าอ่านไปลืมไป
- ปัจจัยที่ไม่ช่วยเรื่องการอ่านหนังสือเท่าไหร่
- ใส่แว่น ไม่ใส่แว่น ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถึงจุดหนึ่งก็จะล้า และอ่านไม่รู้เรื่องเหมือนกันอยู่ดี(อันนี้ปัญหาส่วนตัวเกี่ยวกับกล้ามเนื้อตา คนปกติไม่มีผลอยู่แล้ว)
- ฟังเพลง แม้จะช่วยให้ไม่เครียด และ สมองไม่ล้าเร็ว แต่ก็รบกวนสมาธิในการจดจ่อกับเนื้อหา หรือคิดแบบลึกซึ้ง
- อ่านจาก e-reader ไม่ต่างจากอ่านจากหน้าจอมากเท่าไหร่ ถ้าเป็นจอความละเอียดสูงๆ
- เมื่อวานไม่ได้นั่งสมาธิ วันนี้สมาธิสั้นอีกแล้ว มันรู้สึกว่าสมาธิไม่เต็มเหมือนเคย โฟกัสกับอะไรได้ไม่นาน เหมือนรถที่เครื่องยนต์ทำงานมากเกินกว่าปกติ สิ้นเปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ และไม่นานพลังงานก็หมด
- อ่านนิยายต่างประเทศ จนไม่อยากดู social media แล้ว ได้ประโยชน์มากกว่าเยอะเลย แถมสนุกเหมือนกัน
- นี่เป็นทางออกจากการเสียเวลาเปล่ากับ social media สินะ
- พอแก่ขึ้น(มีวุฒิภาวะมากขึ้น?)เราก็ไม่อยากสนใจคนรอบข้างแล้ว แค่เราทำตัวเราให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว
- เหมือนเราจะไม่เหมาะกับการเทรดแบบ scalping ใน TF เล็กๆ 5m เพราะต้องดูกราฟตลอด และจะเทรดแต่ละครั้งต้องวิเคราะห์เยอะ ทำให้เสียสมาธิในการอ่านหนังสือ ไปเทรดแบบ run trend ใน TF 1h น่าจะดีกว่า
- เริ่มเห็นกำไรแล้ว! จากการเทรดแบบ run trend ใน TF 1h (เริ่มมีหวังละ กับความรู้ที่พอได้อ่านมา)
- อย่าเพิ่งหวังกำไรจากการเทรดเลยตอนนี้ อ่านตำราให้เข้าใจทั้งหมดก่อนดีกว่า
- รู้สึกเสียดายโอกาส ที่กราฟวิ่งไปแล้ว แต่มันก็เป็นเพราะเราไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้มีวินัยในการดูกราฟ ต้องกำหนดช่วงเวลาดูกราฟของทุกวันแล้ว
- หลักการเทรดที่อ่านจากหนังสือมา มันเอาไปดูหุ้นได้ด้วยแฮะ
- ถ้าเรามีความรู้ในสิ่งไหน เราก็จะมองเห็นโอกาสในสิ่งๆนั้นมากขึ้นๆ ยิ่งอ่านหนังสือมากขึ้น ก็มีความรู้มากขึ้น ก็ยิ่งเห็นโอกาสมากขึ้น
- ภาษาอังกฤษเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสาร แต่ประโยชน์จริงๆ คือ ช่วยให้เข้าถึงความรู้ที่มีคุณภาพ ที่ดีที่สุดในศาสตร์ต่างๆ เพราะ ความรู้ส่วนใหญ่จะบันทึกในภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง หรือแม้แต่มุมมองการมองโลกก็จะกว้างขึ้นด้วย เพราะ ได้เห็นสังคม วัฒนธรรม และ ความคิดอีกหลายรูปแบบ
- การวิเคราะห์ตัวเอง หรือ วิเคราะห์สิ่งต่างๆ ต้องมีพื้นฐานความรู้รองรับ ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่วิเคราะห์วนไปวนมา อาจจะไม่เจอคำตอบเลยก็ได้ เพราะ การวิเคราะห์โดยที่ไม่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้นๆ จะเจอปัจจัยรบกวนมากมาย ที่ทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อน, อีกทั้งเรามักจะคิดได้เท่าที่เรามีความรู้หรือประสบการณ์
- ต้องอ่านหนังสือเยอะๆ
26 ก.พ. 67
- ตื่นมา หน้ามีผื่นขึ้น แสดงถึงการอักเสบในร่างกาย เพราะเมื่อวานกินเกิน 12 ชม(กิน 6-21.00น) แต่จะดูต่อว่าวันนี้มีแรงอ่านได้ทั้งวันไหม จากการกินให้ได้ 6 มื้อ
- กิน 6มื้อ นักกีฬาก็กินแบบนี้นะ ตัวอย่างคือ Cristiano Ronaldo เคยฟังคลิปเขาเล่า, แต่สำหรับเรา เราไม่ได้ออกกำลังกายเยอะ แต่เราทำ fasting กินวันเว้นวัน
- สรุปว่าก็ยังไม่มีแรงอ่านทั้งวัน ตกบ่ายสมองจะตื้อ หมายความว่าเงื่อนไข เรื่องการกินให้มากพอไม่เกี่ยว
- ตอนนี้ก็เหลือเงื่อนไขสุดท้าย คือ การจำกัดเวลาที่กินอาหารให้อยู่ในช่วงไม่เกิน 12 ชม จะทำให้ช่วงเวลาการเกิด ketosis เร็วขึ้น มีสมาธิเร็วขึ้น
- ฟังเพลงก็ช่วยได้นิดหน่อย แต่ไม่เท่าไหร่
- นั่งในที่ส่วนตัว ไม่มีเสียงรบกวน ก็ช่วยพอสมควร
- เทรดก็ยังเจ๊งอยู่ แต่หลังจากที่ได้อ่านหนังสือก็เห็นอะไรมากขึ้น
- ขาดทุน เพราะ โลภ overtrade, เข้าไม่รอสัญญาณ confirm
- กำไร เพราะ ความรู้ รอสัญญาณเข้าเทรด
- รู้หนึ่งเหมือนรู้ทั้งหมด แม้จะเกิดได้ แต่ไม่ได้เกิดเสมอไป และ ในความเป็นจริง เกิดได้ยากมาก ขนาดอัจฉริยะ อย่าง Bill Gates, Elon Musk ยังต้องอ่านหนังสือตั้งมากมายกว่าเราเสียอีก
- เราเข้าใจหลังจากได้อ่านตำราเทรด ทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไรได้ ที่ไม่เคยเห็น ซึ่งมันไม่ได้ยากหรือซับซ้อนอะไรมาก แต่ถ้าจะสร้างองค์ความรู้นี้ด้วยตนเองจากการสังเกต ทดลองด้วยตัวคนเดียว แบบให้ได้เหมือนในตำรา การเพียรพยายามทั้งชีวิต อาจจะยังไม่สามารถรู้ด้วยตนเองได้เลย
- พยายามอ่านหนังสือเยอะๆ หลายๆศาสตร์ที่เราคิดว่าเราเข้าใจด้วยตัวเองได้ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ อย่างน้อยมันต้องมีความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องในศาสตร์นั้นๆ สำหรับนำมาคิดต่อยอด ไม่หลงไปผิดทาง การศึกษาจึงจำเป็นสำหรับทุกๆศาสตร์ ไม่เว้นแม้แต่การบริหารเงิน สุขภาพ ภาษา ธรรมะ ความเข้าใจตนเอง เป็นต้น
- ถ้าไม่อ่านหนังสือ หาความรู้ เราจะเหมือนกบในกะลา คิดว่าตัวเองรู้แล้ว เก่งแล้ว ทั้งๆที่จริงๆเราไม่รู้อะไรเลย
- น่าจะทำบทความ สรุปหนังสือแต่ละเล่มที่อ่าน
- การเทรด คือการโฟกัสกับโอกาสในปัจจุบัน การลงทุนคือการโฟกัสกับโอกาสในอนาคต ซึ่งคนละหลักการแยกกัน อย่าเอามาใช้ปนกัน ต้องแยกส่วนให้ดีนะ!
- การเรียนรู้ทีละอย่างอาจจะไม่ work อาจจะเรียนรู้หลายๆอย่างพร้อมๆกัน
- มันเป็นเรื่องน่าสมเพชนะ ที่จะมีความคิดว่า เราไม่สามารถเรียน programming หรือ algorithm หรือ mathematic ด้วยตนเองได้ เพราะ ลองมาคิดๆดู วิชาเหล่านี้ไม่น่ามีปัญหา หากจะเรียนรู้ด้วยตนเอง มันทำได้อยู่แล้ว!
- วันนี้อ่านหนังสือเทรด ก็แทบจะง่วงหลับอีกแล้ว มาคิด Function, algorithm การทำงานของโปรแกรม น่าสนุกกว่าเยอะเลย
- วันนี้ลองเขียนโปรแกรมดู ก็ยังเขียนได้ดีพอควร และแก้ปัญหาได้เร็วกว่าแต่ก่อน อาจจะเป็นเพราะเคยผ่านมาพอสมควร แต่อีกอย่างหนึ่งก็น่าจะเป็นกระบวนการคิดที่พัฒนาขึ้นด้วย คิดว่าที่พัฒนาได้เร็วน่าจะเป็นผลจากการ Fasting นะ เพราะ แต่ก่อนวัยรุ่นยังโง่กว่านี้เยอะ (แม้ตอนนี้ก็จะยังโง่อยู่ แต่ก็พัฒนาขึ้นมาก)
- ฝึกพิมพ์สัมผัส เว็บนี้ดีมาก https://www.thaiedu.net/
25 ก.พ.67
- น่าจะเพิ่มกิจกรรม อ่านนิยาย วันละ 30 นาที หลังจากที่ได้ลองอ่านก็เจอศัพท์ดีๆ สำนวณการพูดในชีวิตประจำวันเยอะเลย ซึ่งจะต่างกับสำนวณการเขียน textbook
- เข้าใจปัจจัยที่ทำให้ใช้ ereader อ่านหนังสือได้ทุกเวลาแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ขณะเดิน คือ ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ ประมาณ 7-10 mm เพื่อลดการเพ่งและการโฟกัสของตา เทคนิคนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้สามารถอ่านหนังสือได้ตลอดเวลาได้ด้วย
- แต่ก่อนที่อ่าน textbook หรืออ่านพระไตรปิฎก ด้วย ereader จบหลายร้อยหลายพันหน้า ก็ทำแบบนี้แหละ
- แต่ถ้าเป็นหน้าจอคอม ก็ปรับให้ใหญ่เท่าที่จะมากได้ แต่อย่ามากเกิน วัดจากการที่ยังสามารถกวาดสายตาจากซ้ายไปขวา ได้โดยที่ยังไม่ลำบาก
- (ความเห็นส่วนตัว)โดยระยะกวาดสายตา ไม่ควรเกินกระดาษ A4 เมื่อเทียบกับความกว้างของกระดาษ A4 เมื่อมองจากความห่าง 1 ช่วงแขน
- คือจะอยู่ห่างจากหน้าจอเท่าไหร่ก็แล้วแต่ จะขยายตัวอักษรหรือหน้ากระดาษเท่าไหร่ก็ได้ แต่ความกว้างของหน้ากระดาษบนจอที่เหมาะสม ให้เทียบกับความกว้างของกระดาษ A4 เมื่อถือในระยะสุดช่วงแขน
- วันนี้สมาธิดีขึ้นแฮะ น่าจะเป็นเพราะ เมื่อวานเป็นวันอด เลยได้ฟื้นฟูตัวเอง แต่ก็แสดงว่า วันที่กินอาหาร ไม่ควรกินเกิน 12 ชม หรือเปล่านะ ไม่อย่างนั้นจะเสียสุขภาพ
- ฟังหลวงพ่อปราโมทย์ การปฏิบัติไม่ได้เน้นที่สมาธิ ถ้าฝึกสมาธิผิดจะกลายเป็นโมหะ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อการปฏิบัติ
- การอ่านนิยาย หรือ อ่านหนังสือเยอะๆ มีส่วนช่วยให้สมาธิดีขึ้นหรือเปล่านะ? น่าจะเป็นการฝึกสมาธิอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำได้ง่ายๆ แม้จะไม่ได้สมาธิลึก แต่ก็ไม่อันตรายในการทำให้เกิดโมหะ และเพียงพอที่จะอยู่กับโลกและใช้ทำงานได้ดี
- วันนี้เริ่มอ่านนิยายอังกฤษแล้ว อ่านทั้งวัน ในเวลาว่าง ทุกครั้งจะหยิบ ereader มาอ่าน ตอนกินข้าวก็ด้วย รู้สึกเพลิดเพลินดีมาก สิ่งสำคัญคือการขยายตัวอักษรให้ใหญ่ๆ เพื่อให้สายตาไม่ต้องทำงานหนัก
- วันนี้ลองกิน 6 มื้อ ปกติ ดูว่าพรุ่งนี้เป็นวันอด จะมีแรงอ่านหนังสือได้ทั้งวันไหม
- สิ่งสำคัญในตอนนี้คือ อ่านๆๆ หนังสือให้ได้มากที่สุด และ อีกอย่างคือ หาวิธีหาความรู้ในด้านต่างๆ แต่ก็ต้องเริ่มจากการมีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้นๆ ซึ่งก็ล้วนมีรากฐานจากการอ่านๆๆ ไม่ใช่จากการสรุปจากวีดีโอใน youtube นะ
- การมีทักษะในการหาความรู้นั้นสำคัญมากๆ
24 ก.พ. 67
- ถ้ามีคนรบกวนสมาธิเรา แต่เราไม่ได้ใส่ใจอะไร แล้วอยู่กับการเรียนต่อไป เราก็ยังคงมีสมาธิเหมือนเดิม แต่หากเราไปหงุดหงิดกับสิ่งเหล่านั้น เราจะเกิดความคิดปรุงแต่งต่างๆนานา แล้วเราจะเสียสมาธิเอง และเสียสมาธิไปกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆง่ายขึ้น
- วันนี้เป็นวันอดไม่มีแรงอ่านหนังสืออีกแล้ว น่าจะต้องกลับมากิน 6 มื้อ ในวันกินอาหาร ช่วงก่อนหน้าที่กินจนน้ำหนักขึ้น น่าจะขึ้นเพราะมวลกล้ามเนื้อ (เดิน และปั่นจักรยานเยอะ) ไม่ใช่ไขมัน ดังนั้น หมายความว่า ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องลดน้ำหนักหรอก ก็กินให้ได้6 มื้อ ในวันที่กินอาหาร เพื่อให้ได้เฉลี่ย 3 มื้อต่อวัน ตามปกติ
- ภาษาแมว https://youtube.com/shorts/ca13IKFYTUA?si=iL9Qb9zTGYnEIL5L
- "xu" ชู่ว.. can you plese stop doing this?
- "Si" ซี่.. stop it now I am getting mad!
- "ke" คี..(ออกเสียงแบบไม่มี ค. มีแต่เสียงลม) stop it or I will kill you!
- https://youtube.com/shorts/ca13IKFYTUA?si=iL9Qb9zTGYnEIL5L
- วันนี้กลับบ้านเร็ว แต่ทำไมรู้สึกไม่รู้จะทำอะไรนะ
23 ก.พ. 67
- วันนี้นั่งสมาธิตอนเช้า แต่ไม่ค่อยมีสมาธิมากเท่าไหร่
- วันหนึ่ง อาจจะศึกษาได้ 2 อย่าง ตอนเช้า เป็นวิชาหลัก(Major) พอกลับมาอยู่ที่หอพัก เป็นวิชาเสริม(Minor)
- หลังจากได้ลองศึกษาเรื่องการเทรด ก็รู้สึกว่ายิ่งล่องลอยมากขึ้น อาจเป็นเพราะไม่ใช่สิ่งที่ชอบ เลยทำให้สมองไม่เอามาคิดในเวลาว่าง ในเวลาว่างก็เลยตกอยู่ในสภาวะสมองโล่ง เอ๋อๆ ถ้าเทียบกับเวลาที่เราทำงานที่ชอบ หรือ เรียนในสิ่งที่ชอบ ก็จะยังเก็บมาคิดในเวลาว่าง เช่น โปรเจคที่ทำจะต้องปรับปรุงอะไรอีก หรือ คิดแก้โจทย์ programming ในใจ เราอาจจะต้องกลับไปอ่าน programming สินะ
- น่าสนใจเหมือนกัน หากจะทดลองดูว่า การศึกษาในสิ่งที่ชอบอย่างเดียว และ จริงจัง จะเปลี่ยนชีวิตไปในทิศทางไหน
- แต่ประเด็นอาจไม่ใช่เพราะไม่ได้ศึกษาสิ่งที่ชอบหรอก แต่เพราะ ไม่ได้เพียรพยายามมากพอ ต่อให้สิ่งที่เราศึกษาไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ แต่ถ้าเราเพียรพยายามมากพอเราก็จะไม่รู้สึกล่องลอยแบบนี้
- แต่ในการศึกษาในสิ่งที่ชอบเป็นตัวช่วยอย่างมาก ทำให้ความเพียรพยายามของเราง่ายขึ้น เพราะ ทำในสิ่งที่ชอบ ทำให้เราสามารถจดจ่อ มีสมาธิกับเนื้อหาได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์ และทำได้นานโดยไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย
- ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถอ่านหนังสือ หาความรู้ได้ตลอดเวลา เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน
- อ่านในสิ่งที่ชอบ จะอ่านได้ตลอดเวลา
- การอ่านหนังสือจะช่วยทำให้สมาธิดีขึ้นไหมนะ หรือ ต้องฝึกสมาธิก่อน ถึงจะอ่านหนังสือได้ดี
- คิดว่าเป็นคนละอย่างกัน ต้องทำควบคู่กันไป
- การอ่านจะฝึกให้สมองแข็งแรงขึ้น เหมือนเวลาเราออกกำลังเพื่อฝึกกล้ามเนื้อ ทำให้ทนทานขึ้น ทำงานได้นานขึ้น
- ส่วนสมาธิ จะช่วยให้จดจ่อกับเนื้อหาได้ดีขึ้น เหมือนเวลาเราเล่นกีฬา เช่น แบตมินตัน เราสามารถตบลูกได้ตรงจังหวะทำให้ลูกตบมีประสิทธิภาพ หยอดลูกหน้าเน็ตได้พอดีแม่นยำ เป็นต้น
- คิดว่าเป็นคนละอย่างกัน ต้องทำควบคู่กันไป
- วันนี้ได้เดินผ่านคณะแพทย์จุฬาฯ ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ความเพียรพยายามของเราลดลงมาก ถ้าเทียบกับการเรียนแพทย์ ต้องมีความอดทน ทั้งทางกายและใจ อ่านหนังสือตลอดเวลาไม่มีเวลาพัก(บางที แม้แต่ตอนกินข้าวก็ยังต้องอ่าน)
- อาจจะเป็นความเพียรพยายามที่ทำให้เรายังคงรู้ว่าเราเป็นใคร ไม่ใช่เรารู้ว่าเราเป็นใคร ถึงค่อยเพียรพยายาม เพราะ จริงๆ มันไม่มีใครเลยอยู่แล้ว ความคิด ความจำ ร่างกาย มันเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งของสภาวะธรรมหนึ่งๆ มารวมกัน เกิดแล้วก็ดับ
- ความเพียงพยายามก็ไม่เที่ยง ช่วงหนึ่งขยัน ช่วงหนึ่งก็กลับขี้เกียจได้ ช่วงหนึ่งเพียรมาก อีกช่วงเวลาหนึ่งก็อาจเพียรน้อยได้
แต่อย่างไรก็จะต้องเพียรพยายามให้ถึงที่สุด
- หลังจากที่ได้ลองมาหลากหลายวิธี การเจริญสติเป็นหนทางเดียวในการพัฒนาชีวิต พยายามเจริญสติไว้ เป็นงานหลักของชีวิต
- การที่เราพยายามแสวงหาความสำเร็จในชีวิต ก็เหมือนการถูกจูงจมูกเข้ามาเล่นเกมส์ชีวิต ซึ่งสุดท้ายก็จบลงที่การตาย และ สูญเสียทุกสิ่งที่เราแสวงหามา(แต่มันก็มีคุณค่า มีประโยชน์แบบโลกๆ อยู่ในการกระทำเหล่านั้น)
- วิธีการที่ฉลาดที่สุด คือ ทำตามโลกได้ แต่อย่าหลงโลก ให้เจริญสติเป็นงานหลัก ส่วนทางโลก ก็ทำตามเหตุให้ถึงที่สุด คือ มีความรักในสิ่งที่ทำ ความเพียร ความอดทน สติปัญญา ส่วนผลก็ยอมรับตามเหตุปัจจัย
- ถึงวันนี้จะพูดเรื่องการศึกษาในสิ่งที่ชอบ แต่ก็จะยังคงศึกษาเรื่องการเทรดตามแผนนะ เพราะ กำหนดเวลาไว้ 1 สัปดาห์เท่านั้น (จนถึงสักวันพุธหน้า)
- ช่วงนี้ก็อ่าน programming ในเวลาว่างแทน(นอกเหนือจาก 8 ชม. หลัก ที่ศึกษาเรื่องการเทรด)
22 ก.พ. 67
- ตกลงตอนนี้เราต้องการอะไรนะ คนรอบข้างต้องการ "การวางแผนอนาคตที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรม" ของเรา ส่วนเราต้องการ"พลังใจที่จะทำต่อ" ต่อให้มันเป็นการหลอกตัวเองก็เถอะ? อุตส่าห์ทำอะไรมาตั้งเยอะ เพียงแค่การสมัครสอบไม่ทัน เพราะมัวไปอ่านหนังสืออยู่ ก็ทำให้เราต้องเปลี่ยนสิ่งที่อ่าน/พยายามศึกษามาตลอด และ เพียงเพราะคนรอบข้างบอกว่าไม่มีอนาคต อย่างนั้นน่ะหรอ??
- ประเด็นคือ ไม่มีรายได้ การทำตามความฝันก็แทบไม่ต้องนึกถึง แต่พอมีเงิน ก็ขี้เกียจทำตามความฝัน เพราะ ไม่ได้เงิน และ "ดูเหมือน"ไม่มีอนาคต จะทำไปทำไม? จริงหรือไม่กันนะ!?
- เหมือนตอนนี้เรา เปรียบได้กับเจ้าของบริษัทหนึ่ง ที่ตัดสินใจผิดพลาด ผู้ถือหุ้นก็พยายามเข้ามาควบคุมการตัดสินใจให้เป็นไปในทางที่เขาต้องการ พยายามทำให้เราสูญเสียการควบคุมตัวเราเองไป
- บางคำแนะนำ ดูดี ดูมีเหตุผล แต่จริงๆมาจากคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ในการตัดสินใจ มักจะทำให้เราเสียเวลาหลงเชื่อ กว่าจะไหวตัวทัน ก็เสียเวลา เสียแรงใจไปเยอะ ไม่มีใครรู้จักตัวเรามากที่สุด และรักตัวเรามากที่สุด เท่าตัวเราเอง ต้องเชื่อมั่นตัวเองไว้ เชื่อมั่นในความรู้ความเข้าใจที่เราพยายามสั่งสมมามากมาย อย่าไปฟังความเห็นของคนไม่รู้จริง(เผลอๆ ไม่รู้อะไรสักอย่าง) แต่แต่งคำพูดให้ดูดี แนบเนียน เหล่านั้น ที่พยายามแสวงหาประโยชน์จากเรา
- แม้แต่ปัญหาชีวิตง่ายๆ เขาเองก็ยังไม่มี"ปัญญา"มากพอ ในการมองปัญหาของเขาเองให้ออก แต่เขากลับจะมา จัดแจง พยายามควบคุมชีวิตเรา
- อันนี้เป็น สูตรสำเร็จ วิถีปกติของ คนรู้น้อย ทั้งหลาย
- ปัญหาจริงๆ คือ อย่าคิดเหมือนคนทั่วไป ถึงแม้จะไม่มีใครเชื่อใจเรา แต่ให้เราเชื่อใจในตัวเอง
- คนทั่วไป จะทำอะไร ก็จะนึกถึงการหางาน เทรนด์ตลาดในปัจจุบันเป็นอันดับแรก แต่สิ่งเหล่านี้มันเหมือนเป็นการถูกจูงจมูกไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด แล้วใครเป็นคนจูงจมูกคนอื่นล่ะ???
- เชื่อใจในตัวเอง คือ ทำในสิ่งที่เรารัก เช่น ตัวเราเอง อ่านตำราคอม สามารถอ่านได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ แม้จะเต็มไปด้วยคำสั่งมากมาย ที่'คนทั่วไป' หรือ มนุษย์มนา ไม่อ่านกัน เรากลับรู้สึกอยากเรียนรู้และสนุกกับมัน แต่พอไปอ่านตำราเทรด หรือ ตำราความรู้อื่นๆ ที่คนทั่วไปอ่านกัน ก็แทบจะง่วงตลอด เป็นต้น มันก็แสดงให้เราเห็นอยู่แล้วว่า เราจะก้าวหน้าได้ด้วยสิ่งไหน รักสิ่งไหน ทำสิ่งนั้น ไม่ต้องตามเทรนด์ สุดท้ายเราอาจกลายเป็นผู้สร้างเทรนด์เสียเอง
- วันนี้ตื่นสายอีกแล้ว ถ้าเราไม่ได้ใช้แรงกายมาก อาจจะลองนอนวันละ 4 ชั่วโมงดู ก็ดีนะ
- ถ้าหากไม่มีสิ่งกระตุ้นจากภายนอก แล้วทำให้เฉื่อยชา ก็กระตุ้นตัวเอง เร่งความเพียร ด้วยการนอนให้น้อยลง
- นั่งสมาธิตอนเช้าไม่ทัน เพราะ ตื่นสาย เลยไปนั่งบนรถสองแถว แต่ก็มึนๆ โมหะเยอะ เพราะ ไม่ค่อยมีสติ
- จริงๆมีอีกทางเลือกหนึ่งคือ เทรด หาเงินให้ได้สัก 10 ล้าน แล้วไปเรียนต่อต่างประเทศ
- เมื่อคืนกินมื้อดึก ตอน 2-3 ทุ่ม ตื่นมาเลยไม่สดชื่น ต้องพยายามกินก่อน 6 โมงเย็น
- วันนี้ไม่ได้อ่านตำรา programming อ่านตำราเทรด ทำให้รู้อย่างหนึ่งว่า
- ความชอบ ไม่ได้ทำให้สำเร็จในสิ่งๆหนึ่ง ในสิ่งที่เราต้องการ แต่เป็นวินัยในการทำอย่างต่อเนื่องต่างหาก
- ตัวอย่างคือ ตัวเองไม่ได้ชอบการเทรด แต่กำหนดให้ตัวเองต้องอ่านมัน ไปเรื่อยๆ ทีละหัวข้อๆ ก็อ่านจบจริงๆ และได้ความรู้เอาไปใช้ได้จริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้ชอบอะไรนัก(กลางๆ ไม่ได้ชอบหรือเกลียด)
- ความชอบ ไม่ได้ทำให้สำเร็จในสิ่งๆหนึ่ง ในสิ่งที่เราต้องการ แต่เป็นวินัยในการทำอย่างต่อเนื่องต่างหาก
- สาเหตุที่เราเฉี่อยชา เพราะ เราไม่ได้กำหนดเป้าหมายระยะสั้น เช่นว่า
- ภายใน 1 สัปดาห์ จบตำราเทรด พร้อมหาเงิน
- ภายใน 3 เดือน จบ algorithim + Java พร้อมทำงาน เป็นต้น
- ภายใน 1 สัปดาห์ เรียนพิมพ์สัมผัส
- ภายใน 1 สัปดาห์ ฝึก english listening
- ภายใน 1 สัปดาห์ ฝึก english speaking
21 ก.พ. 67
- เมื่อเช้านั่งสมาธิ นั่งได้ประมาณ 15-20 นาที ผลที่ได้คือ สามารถมีสติรู้ตัวได้มากขึ้นในชีวิตประจำวัน การอ่านหนังสือก็ดีขึ้น
- นิสัยที่ไม่ดีบางอย่าง การจะเปลี่ยนแปลง บางทีอาจต้องมีสติยับยั้ง และฝืนตัวเอง
- ฝืนใจเอาเวลาว่างมาอ่านหนังสือ แทนที่จะดูการ์ตูนเรื่อยเปื่อย
- การฝืนใจแรกๆก็จะไม่ได้ perfect นะ คือ ไม่ได้มีสมาธิอยู่กับเนื้อหาเต็มที่ จิตใจกระสับกระส่าย อยากจะออกไปดูการ์ตูน แต่ให้ลองทำไปเรื่อยๆ จนตนเองสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น และ จะยอมรับมันเอง
- เคล็ดลับในการเปลี่ยนนิสัยคือ การทำ alternate day fasting เพราะ ทำให้เกิด neuroplasticity สูงขึ้น สามารถเรียนรู้และเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีได้(สมองส่วนที่ทำหน้าที่ในการใช้เหตุผล และการหักห้ามใจ มีการพัฒนาขึ้น ความสามารถในการควบคุมตัวเองดีขึ้น)
- ฝืนใจเอาเวลาว่างมาอ่านหนังสือ แทนที่จะดูการ์ตูนเรื่อยเปื่อย
- อ่าน textbook หอสมุด แต่ก็ทำให้หนังสือของเขาเก่าขึ้น มันจะดีไหมนะ หรือเราจะอ่านจาก ereader แทนดี แต่อ่านจาก ereader มีข้อเสียที่ เราไม่สามารถพลิกหน้าไปมา ย้อนกลับไปดูเนื้อหาเก่าได้ง่าย การเชื่อมโยงความเข้าใจจะน้อยกว่า
- เพิ่งรู้ว่ามีรถสองแถวอยู่หน้าหอพัก สามารถไปได้ถึงมหาลัย โดยเดินอีกนิดหน่อย และค่าเดินทางเพียงเที่ยวละ 8 บาท เพิ่งรู้ว่าการใช้ขนส่งสาธารณะมันง่ายจริงๆ 555 รู้อย่างนี้ ก็ไม่เสียเวลาเดินทางเป็นชั่วโมงมาร่วมเดือน แถมยังเหนื่อยกับการเดินทางอีก
- เหมือนกับว่า การจะเรียนตามหลักสูตร computer science ต้องมีเลขด้วย
- https://github.com/ossu/computer-science
- จะทำอย่างไรดีนะ น่าจะต้องเรียนคู่กันไปทั้ง Mathematics, Algorithm, Linux, Network
- แต่ต่อให้เราทุ่มเทแค่ไหน ถ้าไม่มี degree หรือ certificated โอกาสในการทำงานก็ยังน้อยกว่าคนที่มี degree อยู่ดี เพราะ ความรู้ที่เราได้มันไม่มีเกณฑ์หรือ มาตรฐานมารับรอง แต่ก็ช่างมันเถอะ ยังไงก็ทำในสิ่งที่ชอบให้ดีที่สุด
- อีกวิธีคือเทรด หาเงิน เพื่อให้เลือกสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าได้ และครอบครัวไม่ต้องลำบาก และมีอิสรภาพทางการเงินระดับหนึ่งก็ไปเรียนชิวๆ
- หอพักรูหนู: ฝุ่น ร้อน ชื้น อากาศไม่ถ่ายเท(มีหน้าต่างบานเดียว) คับแคบ อยู่แล้วเหนียวเหนอะหนะตัวตลอด เจ้าของไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ไม่ค่อยได้มาดูแล
- ตั้งแต่ที่เราไม่ได้เตรียมตัวสอบเรียนต่อ รู้สึกเหมือนความอยากเรียนรู้ในสิ่งต่างๆลดลง ทั้งๆที่เวลาน่าจะมากขึ้น แต่สิ่งที่เรียนรู้ได้ในแต่ละวันมันลดลง ถึงแม้ว่าจะได้ศึกษาในสิ่งที่ชอบ แต่มันดูทื่อๆลง ในความรู้เรื่องอื่นๆ
- เป็นเพราะ เราไม่ได้มีสิ่งกระตุ้นการเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ เหมือนวันๆก็เรียนตามแผนเท่านั้น ไม่ได้มีความท้าทาย บีบคั้นใดๆ ไม่ได้เจอใคร ไม่ได้เห็นไอเดียใหม่ๆ
20 ก.พ. 67
- ช่วงนี้เริ่มเทรดได้กำไรบ้าง หลังจากที่อ่านตำรามากขึ้นๆ จริงๆ อ่านแค่เล่มเดียว คือ The 10 Essentials of Forex Trading - The Rules for Turning Trading Patterns Into Profit 2007 สอนครบ เขียนดี จบภายใน200กว่าหน้า
- อย่างไรต่อให้ได้กำไร ก็ยังคงเป็นนักเทรดมือสมัครเล่นนะ เพราะ เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เราไม่ได้ชอบศาสตร์ด้านการเงิน แม้จะสามารถพอเรียนรู้ให้เข้าใจได้แต่ก็ไม่ได้ลึก ไม่เหมือนกับการเรียนด้าน programming ที่เราชอบ เราจะพยายามเรียนรู้ให้เข้าใจทุกซอกทุกมุม และ ลึกซึ้งในทุกด้าน ซึ่งต้องอาศัยการศึกษาจริงจัง มากมาย(อ่านตำรามากกว่า 10 เล่ม >10000หน้า)
- ทำอย่างไรให้สามารถศึกษาด้าน programming เร็วขึ้นนะ
- (ต่อจากเมื่อวาน) ทั้งนี้ พ่อแม่ ก็ยังเป็นคน ซึ่งยังมีกิเลส ไม่ใช่ว่าจะคิดหรือตัดสินใจได้ถูกทุกอย่าง(หลายๆเรื่องก็ผิดด้วย ตามระดับความเข้าใจในชีวิตที่มี) ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเราจะคิดเห็นไม่ตรงกับพวกท่านนะ เพียงแต่เราอย่าไปคิด หรือ ทำอะไรที่เป็นอกุศลกับพวกท่าน ลองมองในมุมมองของพ่อแม่ดู จะช่วยให้เข้าใจพวกเขามากขึ้น
- พอเปลี่ยนมานั่งที่ ที่มีความเป็นส่วนตัว ก็มีสมาธิขึ้นมาก ต่างจากนั่งในห้องโถงรวม แบบจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย หมายความว่าต่อจากนี้ จะนั่งแต่ที่ส่วนตัว
- ข้อเสียคือต้องแบกเสื้อกันหนาวไปด้วย เพราะ อากาศจะหนาวเหน็บต่างกันแบบลิบลับ
- เริ่มคิดว่า น่าจะต้องศึกษาอย่างอื่นร่วมด้วย เพราะ ศึกษา linux อย่างเดียวไม่น่ารอด
- Algorithm
- อ่าน text ในคอม
- ทดลองออกแบบ เว็บ, ทำ HTML, CSS template
- ศึกษา Javascript
- อ่าน text ในคอม
- พิมพ์สัมผัส
- Native english
- อ่านตำราแกรมมา
- อ่านนิยาย, manga
- Algorithm
19 ก.พ.67
- ช่วงนี้อ่านได้ค่อนข้างช้า ต้องเร่งแล้ว
- การเรียน function ทางด้าน programming ไม่ต่างจากการเรียนทฤษฎีบท คณิตศาสตร์เลย ส่วน algorithm ทาง programming ก็ไม่ต่างจาก การเรียนแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งต้องมีการฝึกฝนแก้ปัญหาจนชำนาญ
- เมื่อวานหลังจากที่ได้ลองลดเวลาอยู่มหาลัย และกลับหอพักเร็วขึ้น ก็มีเวลาจัดการธุระส่วนตัว และ มีเวลาอ่านตำราเทรดแล้ว ส่วนproductivityโดยรวมดูเหมือนจะดีขึ้นนะ
- อ่านหนังสือในที่มีคนเยอะๆมักจะเสียสมาธิ(ลานนั่งรวม) โดยเฉพาะนั่งหันหน้าเข้าหากัน ถ้าเลี่ยงไปอ่านในที่ห้ามใช้เสียงและมีฉากกั้นจะดีกว่า
- หลายๆครั้งที่เราพยายามอะไรไปมากมาย พัฒนาตนเองไปเยอะ แต่ชีวิตก็ยังไม่ไปไหน อาจต้องลองสังเกตตัวเองว่า เรายังมีอะไรที่ทำไม่ถูกต้องหรือไม่ เช่น การตอบแทนผู้มีพระคุณโดยเฉพาะพ่อแม่ โดยส่วนตัวจะทะเลาะกับแม่ แล้วบางทีก็เผลอว่าแม่ไปบ้าง ซึ่งมันเป็นบาปที่หนัก มันจะประทับลงในจิตใจ จิตใจกระสับกระส่าย ไม่สงบเหมือนดังปกติ ทำให้เราทำอะไร ก็ไม่ประสบความสำเร็จ, รวมไปถึงการผิดศีล 5 อย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่งเป็นนิจ เป็นต้น
- บางทีการจะประสบความสำเร็จ อาจจะไม่ต้องแสวงหาอะไรมากก็ได้ เพียงแค่คิดอยากจะตอบแทนพระคุณ ก็จะเกิดกำลังใจและหาหนทางประสบความสำเร็จได้เอง
- ทั้งนี้ พ่อแม่ ก็ยังเป็นคน ซึ่งยังมีกิเลส ไม่ใช่ว่าจะคิดหรือตัดสินใจได้ถูกทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเราจะคิดเห็นไม่ตรงกับพวกท่านนะ เพียงแต่เราอย่าไปคิด หรือ ทำอะไรที่เป็นอกุศลกับพวกท่าน ลองมองในมุมมองของพ่อแม่ดู จะช่วยให้เข้าใจพวกเขามากขึ้น
18 ก.พ. 67
- เพื่อไม่ให้ทำงานมากเกินไปจนเสีย balance เพราะ ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรือ ไม่มีเวลาจัดการชีวิตด้านอื่น จน productivity โดยรวมลดลง น่าจะกำหนดเวลาที่แน่นอน ในการไปมหาลัย คือ ออกจากที่พัก 8.00น กลับ 18.00 น(ไม่มากไปกว่านี้) เดินทางไปกลับ รวม 2 ชม มีเวลาอ่านหนังสือ 8 ชม
- กลับมาบ้าน ก็จัดการธุระส่วนตัวอื่นๆ มีเวลาก็อ่านหนังสือต่อ จะเป็น programming หรือ สาขาอื่นๆอะไรก็ได้ตามสมควร เช่น เทรด ภาษาอังกฤษ ฯลฯ
ถาม google gemini มาเกี่ยวกับเรื่องการเรียน computer engineering ด้วยตนเองhttps://g.co/gemini/share/09a300c9e897พบว่า จริงๆ ถ้าเรียนตามหลักสูตรได้จะดีกว่า- อาจจะจริงเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ทั้งหมด บางคนที่เก่งๆ ก็สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองแล้วมาตั้งบริษัทได้เลย ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ถ้าเรียนตามระบบได้ก็จะดี
17 ก.พ. 67
- ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้สังเกตตัวเองว่า ในเวลาว่าง เราเอาเวลาไปทำอะไร หากมันไม่เกิดประโยชน์ ให้พยายามหาวิธีเปลี่ยนแปลง
- วันนี้ไปบริจาคเลือด ชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่าน้ำหนักขึ้นแฮะ จาก 45 มา 50 กก. แสดงว่าที่ทำ alternate day fasting แล้วรู้สึกไม่มีแรงในวันที่อดอาหารนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับการที่เรากินไม่พอนะ แต่น่าจะเกิดจากสมองล้าจากการไม่ได้ฝึกสมาธิมากกว่า
- วันที่กินอาหาร เคยกินวันละ 6-8 มื้อ แม้จะกินวันเว้นวัน น้ำหนักก็ขึ้นได้
- เมื่อเช้าดูหนัง การดูหนังมันเป็น ตัวกิเลส โมหะ เป็นส่วนใหญ่เลยนะ เพราะ ระหว่างดูเพลิน จะไม่รู้สึกตัวเลย ถึงแม้การดูหนังจะเหมือนการรับรู้ข้อมูลอย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากการอ่านหนังสือ (มีพอมีประโยชน์บ้าง แต่เน้นความบันเทิงมากกว่า)ก็เถอะ
- แต่ไม่ใช่ว่าการไม่ดูหนังจะทำให้ สติเจริญขึ้นนะ อันนี้ต้องเกิดจากการเจริญสติปัฏฐานอีกที
- ดูใน facebook แล้ว รู้สึกทัศนคติของคนส่วนใหญ่ที่เป็น programmer ในไทย มักจะอัพ skill เพื่อเงินเดือนเป็นหลัก มักจะคุยกันแต่ว่าภาษาไหนเงินเดือนดี บริษัทให้เงินเดือนเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับต่างประเทศ ที่จะมีพวกที่ชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งจริงๆ เช่น geek และ อยากทำประโยชน์จากการเขียนโปรแกรมของตนเอง จนเขียนโปรแกรม opensource, freeware ต่างๆ เป็นงานอดิเรก
- วันนี้ลองพยายามอ่านตำราเทรดดู ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบอยู่ดี ผลที่ได้ก็คือ อ่านไปง่วงไป ทั้งๆทีจริงๆเนื้อหาหรือศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้มันไม่ได้ยากเลย อีกทั้งยังมีแค่ 200 หน้า ถ้าเทียบกับตำรา programming ที่มีเป็นพันหน้า
- ความมั่นคงที่แท้จริง น่าจะเกิดจากการทำในสิ่งที่เราถนัด ซึ่งสิ่งที่เราถนัดมักจะเกิดจากสิ่งที่เราชอบ ถ้ารู้ว่าเราชอบอะไร ให้มุ่งไปในทางนั้นอย่างไม่ลดละ เพราะนั่นคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด
- อาจเป็นเพราะเมื่อเช้าไม่ได้กินกาแฟด้วย หรือไม่ก็เป็นเพราะเมื่อเช้าไม่ได้เดินออกกำลังกาย(นั่ง BTS มา)
- วันนี้ง่วงตอนบ่าย เป็นเพราะ ลองเดินทางด้วย BTS และไม่เดิน หรือเป็นเพราะไม่ได้ดื่มกาแฟนะ
- วันนี้เริ่มอยากอ่านตำราโปรแกรมมิ่ง ตอนกลับจากมหาลัยมาอยู่ห้องแล้ว(ปกติถ้าเป็นตำราวิชาอื่นจะไม่อยากอ่าน อยากดูแต่การ์ตูน)
- ปัญหาของเราในช่วงนี้ที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรงทำอะไร ไม่ได้เกิดจากการกินอาหารไม่พอ(น้ำหนักตัวขึ้นมา 5 กก) แต่เพราะ เราไม่ค่อยได้พักผ่อนจิตใจด้วยการทำสมาธิ ทำให้จิตไม่ได้พัก ไม่มีกำลัง ส่วนหนึ่งคือ กิจวัตรประจำวันที่ไม่เอื้อต่อสมาธิ เช่น อินเทอร์เน็ต, การไปมหาลัยแต่เช้าและกลับดึก จนไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน
- วิธีแก้คือ จำกัดเวลาอยู่มหาลัย ไม่เกิน 6 โมงเย็น
- เรื่องเงินล้านแรก คงไม่น่ากล้ารับประกัน เพราะ หลังจากวิเคราะห์ตนเองแล้ว เราไม่ได้มีนิสัยรักเงินเท่าไหร่ คนกลุ่มที่มีนิสัยรักเงินจะชอบการลงทุน หรือชอบการหาเงินตั้งแต่เด็ก แต่เราชอบคอมพิวเตอร์ ชอบศึกษาการทำงานของโปรแกรมตั้งแต่เด็ก มากกว่า ถ้าตั้งเป้าหมายด้านคอม เช่นว่า จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Network security, programming หรือสิ่งใดๆที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อย่างนี้พอกล้ารับประกันอยู่
- แต่ชีวิตที่ลำบาก เพราะ ยังไม่มีเงิน สักที ก็เป็นปัญหาได้เหมือนกันนะ
- เอาจริงๆมันก็น่าตลกนะ มันจะไปยากตรงไหนนะ กับเงินเพียงแค่นี้ เราเรียนมาตั้งเยอะ ความรู้ก็ไม่น้อย ทำไมจะหาเงินไม่ได้ การเทรดมันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก
16 ก.พ. 67
- ทำอย่างไรจึงจะมีเงินล้านแรก
- เทรด - ไม่ต้องใช้ปัจจัยทางกายภาพ, แต่ใช้ mental effort เยอะ,ต้องเรียนรู้เหมือนศาสตร์อื่นๆ เช่น วิศวกรรม, การแพทย์ เป็นต้น ซึ่งใช้เวลาเรียนกันอย่างน้อย 4 ปี อ่านตำราตามลำดับ
- ทำในสิ่งที่ชอบ - อาจต้องใช้เวลาหน่อย ตามความรู้ที่มี แต่ก็เป็นทางที่มันคง เพราะ ด้วยสามารถ ด้วยความชอบ ของเราเอง จะเป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ
- วันที่ Fasting จะหนาวง่าย วันที่กินอาหารจะร้อนง่าย
- เมื่อวานกิน 5 มื้อ วันนี้ไม่ค่อยมีแรงอ่านหนังสือ หรือเราจะเปลี่ยนมาเป็นกินก่อนเที่ยงทุกวันดู ดีไหมนะ
- ดูเหมือนสมาธิจะมีผลต่อการอ่านมากๆเลย วันนี้ลองนั่งตรงที่ ที่มีคนพลุกพล่าน และ มีเสียงคนคุยกันจอแจ ก็พบว่าอ่านหนังสือไม่มีสมาธิ ทำความเข้าใจเนื้อหาไม่ได้เลย แต่พอเปลี่ยนมานั่งในที่ห้ามใช้เสียง และมีที่กั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว ก็กลับมาเข้าใจเนื้อหาที่อ่านได้อย่างดี
- วิธีการอ่านไปด้วยทำสรุปไปด้วย ได้ผลดีมากๆ เพราะ เนื้อหาทุกจุดที่มีความสำคัญ ต้องผ่านสมองและสองมือของเราพิมพ์สรุป
- กับเพียงแค่จัดการกิจวัตรประจำวันทั่วไป ก็เหนื่อยแล้ว เราควรทำอย่างไรดีนะ?!! กลับจากมหาลัย ตอน 1 ทุ่ม ถึงหอพัก 2 ทุ่ม ธุระส่วนตัว อาบน้ำ ล้างกระติกน้ำ ซักผ้าวันเว้นวัน
- ลองงดดูหนัง เสพสิ่งบันเทิงดูว่าเวลาในชีวิตจะมากขึ้นไหม แล้วจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ไหม
- เริ่มเอาเวลาที่มากขึ้น 30 นาที มาวิเคราะห์ตนเอง ด้วยเหตุและผล เกี่ยวกับเรื่องการเสียเวลาชีวิต และแผนการณ์ต่อไป
- เววลาที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย วันละ 30 นาที จากการงดดูหนัง จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยการเอามาวิเคราะห์ตรวจสอบตนเองอยู่เสมอๆ
15 ก.พ. 67
- อ่านหนังสือจากกระดาษ หรือ จากหน้าจอ E-ink อย่างไรก็อ่านได้ดีกว่า หน้าจอ ถึงจะเป็นจอ Macbook pro ก็เถอะ
- วันนี้เริ่มอ่านตำราภาษาอังกฤษได้ไหลลื่นขึ้นแฮะ(จำนวนหน้าเพิ่มมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้ความพยายามในการอ่าน มากเท่าวันก่อนๆ) เป็นเพราะ Alternate day fasting หรือเปล่านะ ทำให้มี neuroplasticity สูง สามารถปรับเปลี่ยนskillตาม environment
- ไม่ใช่ เป็นเพราะ ได้เริ่ม ฝึกสมาธิ เช้า-เย็นต่างหาก
14 ก.พ. 67
- จริงๆก็เจ็บปวดเหมือนกันนะ กับการที่ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ หมายความว่าเรา ไม่มีโอกาสได้มีเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาในสาย programming
- แต่อย่างไรก็ตาม หากเราพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งอย่างไร เราก็จะได้เจอกับคนเก่งๆ ทำงานด้วยแน่นอน
- ปัญหาของการไม่ได้มีข้อกำหนด หรือ สิ่งกระตุ้นในชีวิต เช่น การสอบ, การเรียน ทำให้เราล่องลอยพอสมควร และเฉื่อยชา ต้องอาศัยวินัยและการควบคุมตัวเอง
- การศึกษา Linux programming น่าจะต้องจบภายใน 1 เดือน ตกบทละ 2 วัน
- อ่านไปด้วยทำสรุปไปด้วย ข้อดีคือ ทำให้เราสามารถทวนเนื้อหาได้ง่าย ไม่ต้องตามไปไล่อ่านใหม่ และ การที่กลับไปทวนได้ง่ายทำให้จำได้ดีขึ้น
13 ก.พ. 67
- แม้เราจะหมดสิทธิ์เรียนต่อในปีนี้ เนื่องจากสมัครสอบไม่ทัน แต่ช่วงที่เตรียมตัวอ่านหนังสือสอบทำให้เราได้ฝึกและรู้อะไรหลายๆอย่าง เกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง
- ฝึกสมาธินั้นเป็นหัวใจสำคัญ ทำให้สมองไม่ล้าง่าย ความคิดมีพลัง เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ดี รวมถึงมีความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียในการแก้ปัญหาดีๆ ต่อให้เก่งและมีสติปัญญาดีแค่ไหน แต่ก็จะมีวันที่สมองล้า ไม่มีสมาธิได้ ซึ่งถ้าฝึกสมาธิทุกวัน สมองจะมีพลังทุกวัน
- ฝึกสมาธิทุกวัน หลังตื่น-ก่อนนอน
- ต่อให้ Textbook เป็นพันหน้า ก็อ่านจนจบได้ โดยส่วนใหญ่ อ่านหนังสือ ให้กำหนดเป้าหมายเป็นช่วงๆ แบ่งเป็นบทๆ เช่นว่า บทนี้กี่สัปดาห์ แล้วอ่านไปเรื่อยๆทีละหัวข้อ จนจบทีละเรื่องย่อยๆ อย่าอ่านหลายอย่างมากเกินไปจนไม่จบสักอย่าง
- พยายามกำหนดแผนเป็นช่วงระยะสั้นๆ ไปเรื่อยๆๆ
- พยายามนึกถึงเป้าหมายของเราไว้ จะทำให้เราไม่เถลไถล เช่น ตอนเตรียมตัวสอบ ก็นึกถึงเป้าหมายของการสอบติด รวมถึงปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ที่จะตามมา เป็นต้น ทำให้ไม่เถลไถลไปทำเรื่องเสียเวลาไม่เกี่ยวข้องอื่นๆ
- ตอนนี้ก็คงจะต้องเร่งศึกษาทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้
- ฝึกสมาธินั้นเป็นหัวใจสำคัญ ทำให้สมองไม่ล้าง่าย ความคิดมีพลัง เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ดี รวมถึงมีความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียในการแก้ปัญหาดีๆ ต่อให้เก่งและมีสติปัญญาดีแค่ไหน แต่ก็จะมีวันที่สมองล้า ไม่มีสมาธิได้ ซึ่งถ้าฝึกสมาธิทุกวัน สมองจะมีพลังทุกวัน
- syllabus course ของ Electrical engineering and computer science ของ MIT https://student.mit.edu/catalog/m6a.html
- อีกอันเป็นลิงค์รวบรวม textbook https://github.com/AB1908/CS-Books/blob/dev/Curriculum.md/#DAPSC
- การเรียน programming principle มักจะเริ่มศึกษาจาก ระบบในอดีต เช่น Linux kernel version แรกๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจระบบการทำงานได้ง่าย เพราะ โปรแกรมรุ่นเก่าจะมีโค้ดไม่กี่พันบรรทัด ไม่ได้ซับซ้อนเหมาะกับการศึกษา ส่วนรุ่นใหม่ๆจะมีการพัฒนามาเรื่อยๆ จนซับซ้อนและมีจำนวนโค้ดมากเกินไป(เป็นแสนบรรทัด)
- แผนการณ์ในตอนนี้คือ อ่านหนังสือในห้องสมุดให้ได้มากที่สุด เพราะ มีหนังสือน่าอ่านมากมาย
- ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องอยู่กับสติ สมาธิ อยู่กับการรู้สึกลมหายใจให้ได้ ตลอดเวลา มันแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตได้
- ถ้าชีวิตพบกับปัญหา แล้วเรายอมแพ้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น มันก็มีแต่พยายามทำต่อไปเรื่อยๆ โอกาสอะไรที่เสียไปก็อย่าไปยึดมัน
- เริ่มเทรดได้กำไรบ้างแล้ว
- จุดเข้า ใช้เส้นMA 25, 50(ดูหน้างาน เส้นไหนเหมาะก็ใช้เส้นนั้น) ใน TF 1h โดยหาก แท่งเทียนปิด ยืนเหนือเส้น ก็long หากปิดใต้เส้น ก็short โดยถือไปเรื่อยๆ
- หรือ ใช้ร่วมกับปัจจัย เทรดตามเทรนด์หลัก ก็จะมีโอกาสถูกมากขึ้นด้วย
- พิจารณาเป็นกลุ่มแท่งเทียน ก็จะชัวร์ขึ้น แต่บางสถานการณ์ กราฟอาจจะตัดขึ้นลงแบบเป็นแท่งเทียนเดี่ยวๆ (มักพบเวลา sideway ในกรอบแคบ)
- จุดออก หากแท่งเทียนกลับมาตัดเส้น MA ก็ออก
- หลักๆคือใช้เส้น MA เป็นตัวหาจุดเข้าจุดออก แต่จะเทรดอย่างไร จริงๆอย่าไปยึดหลักการข้างบนมาก เพราะ ไม่มีหลักตายตัว มีปัจจัยในการเทรดมากมายมหาศาล ซึ่งแตกต่างไปในแต่ละกราฟ การจะใช้หลักการข้างบนไม่มีทางเหมาะกับทุกการเทรด ให้ใช้ MA ประกอบการวิเคราะห์แต่ละกราฟ หน้างานไปเลย(อย่าใช้แบบท่องจำตามหลักการข้างบน)
- จุดเข้า ใช้เส้นMA 25, 50(ดูหน้างาน เส้นไหนเหมาะก็ใช้เส้นนั้น) ใน TF 1h โดยหาก แท่งเทียนปิด ยืนเหนือเส้น ก็long หากปิดใต้เส้น ก็short โดยถือไปเรื่อยๆ
12 ก.พ. 67
- เหมือนตอนนี้เกิดปัญหา คือ สมัครสอบไม่ทัน เนื่องจากไม่ค่อยได้เข้าไปอัพเดตข่าวสาร ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อในด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์แล้ว เพราะ ถ้าจะสมัครใหม่อาจต้องรอปีหน้า ซึ่งคงจะช้าเกินไป เราคิดว่า คงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาระบบการศึกษาแล้วล่ะ(แต่จะสมัครใหม่ปีหน้าไหม คงต้องคิดอีกทีนะ)
- เราน่าจะมาเริ่มศึกษาด้วยตนเองเลย มีตำราต่างประเทศมากมายที่เราสามารถอ่านได้(เนื่องจากฝึกภาษาอังกฤษมาตลอด) ซึ่งสามารถเรียนตาม Syllabus ได้เลย อาจจะทำให้เราเรียนรู้ด้วยตนเองได้เร็วกว่าในมหาลัยก็ได้
- ข้อเสีย
- อาจจะเป็นเรื่องคนรู้จักในวิชาชีพนี้ ซึ่งหากเราเรียนด้วยตนเองจะไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ แต่ถ้าเรามีความสามารถ มีผลงาน(portfolio) คนอื่นก็น่าจะยอมรับเราได้ไม่ยาก
- บางรายละเอียด เราอาจจะไม่ได้เข้าใจเท่าเรียนกับผู้สอน หรืออาจไม่ได้เน้นในบางจุดสำคัญๆ อาจทำให้ไม่ได้รายละเอียดหรือความเข้าใจเท่าเรียนจริงๆ
- ข้อเสีย
- เราน่าจะมาเริ่มศึกษาด้วยตนเองเลย มีตำราต่างประเทศมากมายที่เราสามารถอ่านได้(เนื่องจากฝึกภาษาอังกฤษมาตลอด) ซึ่งสามารถเรียนตาม Syllabus ได้เลย อาจจะทำให้เราเรียนรู้ด้วยตนเองได้เร็วกว่าในมหาลัยก็ได้
- สิ่งที่จะศึกษาด้วยตนเองในเบื้องต้น
- เทรด
- Algorithm
- C++, python
- Linux
- ภาษาอังกฤษ - น่าจะต้องอยู่ในระดับที่ไปอยู่ต่างประเทศได้เลย(Native English)
- พอเข้าใจแล้วว่า สาเหตุที่ช่วงก่อนหน้าอ่านหนังสือได้ดี เพราะ นั่งสมาธิ วันนี้พอลองทำสมาธิก็กลับมาอ่านหนังสือได้ดีขึ้น ไม่ได้เกี่ยวกับ Fasting ทั้งหมด
11 ก.พ.67
- social media หากจะอัพเดตข่าวสาร จริงๆจะมีข่าวสำคัญๆจริงๆ เพียง สัปดาห์ละไม่เกิน 1 ข่าวใหญ่หรอก นอกนั้น90% มักจะมีแต่เรื่องไม่ค่อยมีสาระอะไรเท่าไหร่ มักจะเป้นเรื่องซ้ำๆๆ
- ปัญหาคือ ถ้าเบื่อไม่มีอะไรทำ จะทำอะไรดี ถ้าไม่มีอะไรทำจริงๆ สุดท้ายก็กลับไปเล่นอยู่ดี
- ปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ น่าจะเกิดจากการใช้งานหน้าจอมากกว่า ไม่เกี่ยวกับการกินมื้อดึกขนาดนั้น เพราะ วันที่อด ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน แต่จะใช้งานหน้าจอตอนค่ำเยอะ ในทุกวันที่นอนไม่หลับ
- วันนี้ เปิดโหมด night shift ในคอมหลังพระอาทิตย์ตก ก็กลับมาหลับได้ปกติแล้ว แม้จะกินมื้อดึก
- วัตถุ, ความรู้ จะดีหรือไม่ดี จะราคามากหรือไม่มาก คุณค่าอยู่ที่คนใช้ สิ่งสำคัญคือการพัฒนาจิตใจ
- หลังจากที่ไม่ได้ใส่แว่น แม้เมื่อคืนจะนอนน้อย ก็ไม่ได้มีปัญหาสายตาแล้ว
- หลังจากที่กินอาหาร วันนี้ก็มีแรงอ่านหนังสือ รวมถึงเจริญสติแล้ว กลับมาใช้ความคิดได้เต็มที่สุดๆเหมือนเดิมแล้ว
- เคล็ดลับในการนั่งหลังตรงไม่พิงพนัก คือ ทำความเพียร
- วันนี้ กินอาหารประมาณ 6 มื้อ
10 ก.พ. 67
- วันนี้เป็นวันอด เมื่อวานกินไป 5 มื้อ
- จะลองไม่ใส่แว่น อ่านหนังสือ ดูว่าปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อตาเหล่เข้ามากกว่าปกติ(divergence insufficiency) จะลดลงไหม และจะอ่านหนังสือทั้งวันได้ไหม แบบไม่มีปัญหาสายตามากวนชีวิต
- เวลาที่ไม่ใส่แว่น จะรู้สึกตาเบาๆ เหมือนไม่ได้ใช้สายตาเพ่งจริงจังแบบเมื่อก่อน อาจเป็นเพราะ
- (1) การเพ่งของเลนส์ตา (Accommodation) ลดลง รวมถึง
- (2) Convergence ของ Medial rectus muscles ก็ลดลงด้วย ออกเป็นความรู้สึกขี้เกียจๆนิดนึงนะ แต่จริงๆน่าจะเป็นเพียงความรู้สึกแหละ
- (*) ซึ่งสำหรับเราที่มีค่า AC/A เพียงแค่ 2:1 ซึ่งน้อยกว่าค่าปกติมาก และ มีภาวะ muscle convergence มากกว่าปกติ(too much)ในขณะมองใกล้ การลดค่า Accommodation ลงด้วยการไม่ใส่แว่น ก็จะช่วยลดการเกิดการเหล่เข้าที่มากเกินไป และ เข้าสู่ภาวะปกติได้ง่ายขึ้น
- ข้อมูลอันนี้ได้มาจากการตรวจตาและกล้ามเนื้อตากับนักทัศนมาตรนะ ในระยะยาวหากไม่ดีขึ้น อาจต้องใช้เลนส์ progressive ที่มี addition ประมาณ 100 มั้ง(เท่าที่จำเลขได้)
- มันเป็นการยอมเสียการมองเห็นระยะไกล เพื่ออ่านหนังสือในระยะใกล้
- เวลาที่ไม่ใส่แว่น จะรู้สึกตาเบาๆ เหมือนไม่ได้ใช้สายตาเพ่งจริงจังแบบเมื่อก่อน อาจเป็นเพราะ
- เปิดคอมแล้วเพลิน ไม่อ่านหนังสือ ต่อให้เป็น Macbook ก็เถอะ ก็พยายามเปิดเท่าที่ต้องใช้ และไม่เปิดทิ้งไว้นานๆ ให้พับหน้าจอลง
- ตอนเที่ยงครึ่ง เริ่มมีสมาธิขึ้นมาแล้ว, หลังจากที่เริ่มยอมรับว่ามองอะไรไกลๆไม่เห็น ไม่สามารถรู้อย่างแน่ชัดว่ารอบข้างเขาทำอะไรกัน ก็เริ่มอยู่กับตัวเองแทน
- ไม่ว่านั่งท่าไหน พยายามนั่งหลังตรง อย่าเลื้อย
- ข้อดีของการกำหนดเป้าหมายให้สูง จนแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึง คือ ทำให้เรา อย่างน้อยก็ได้ไปสู่จุดที่สูง แม้จะรองลงมาก็ตาม เหมือนคำพูดที่ว่า ต่อให้ไปไม่ถึงดวงดาว ก็ยังได้ไปถึงดวงจันทร์
- เวลาทำเลข จะได้ประโยชน์มากที่สุดคือ คิดเยอะๆ ใช้ความคิดเยอะๆ ทำความเข้าใจเยอะๆ ต่อให้ถึกเยอะๆก็ไม่ได้อะไร ถ้าไม่เข้าใจก็ได้แค่ความจำ ซึ่งมันจะลืมได้อยู่แล้ว แต่ความเข้าใจจะทำให้เราสามารถพิสูจน์ทฤษฎีบทที่ลืมไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ได้
- อาจจะลองอยู่ในห้อง แล้วกินอาหารมากขึ้นให้เพียงพอดีไหมนะ เหมือนวันนี้จะไม่มีแรงอ่านอีกแล้ว
- สรุปว่าที่เมื่อวานกินไป 5 มื้อ นั้นไม่พอ ต้องอย่างน้อย 6 มื้อ น่าจะพอดีที่สุด
- กินทุก 2 ชั่วโมง ในช่วง 10 ชม ก็จะได้ 6 มื้อ พอดี?
- กิน 3 มื้อ ใหญ่ ให้ได้ปริมาณ 2 เท่า? น่าจะลองวิธีนี้ดูนะ เช่นว่า กินข้าวแล้ว ก็กิน นมกับขนมปัง เสริม เป็นต้น
- สรุปว่าที่เมื่อวานกินไป 5 มื้อ นั้นไม่พอ ต้องอย่างน้อย 6 มื้อ น่าจะพอดีที่สุด
- วันนี้ หลังจากที่ลองไม่ใส่แว่นตาดู เพื่อให้กล้ามเนื้อตาทำงานน้อยลง สิ่งที่ได้พบคือ สามารถอ่านหนังสือรอบดึก ได้โดยไม่รู้สึกติดขัดแล้วนะ ปกติสายตาจะไม่สามารถโฟกัสกับการอ่านได้แล้ว เมื่อตกเย็น ตอนนี้ยังทำได้เรื่อยๆ สบายๆ
- หรือสาเหตุที่เรานอนไม่ค่อยหลับในช่วงนี้ อาจเป็นเพราะ เราใช้งานหน้าจอก่อนนอน โดยไม่เปิด night shift mode ไม่ได้เกี่ยวกับการกินมื้อดึกหรือกินเยอะไปเท่าไหร่นะ!? เพราะ บางคืนไม่ได้กินอะไร ก็ยังนอนไม่หลับ!!!
9 ก.พ. 67
- เพิ่งรู้ว่าตัวเองก็ย่อยนมวัวไม่ได้ เพราะ ช่วงที่ดื่ม จะเหมือนมีท้องเสียนิดๆตลอด พอเลิกดื่มก็หาย
- ช่วงชีวิตตอนนี้ที่ต้องอ่านหนังสือทั้งวัน วันละ 10 ชม เพื่อเตรียมสอบ จริงๆ รูปแบบชีวิต หรือ นิสัยนี้ เอาไปใช้ในการทำงานในอนาคตได้เลยนะ แบบที่คุณ ท๊อป จิรายุ (bitkub) เคยบอกไว้ https://www.youtube.com/watch?v=NP5l_PkQgOY ว่าเขา ในช่วงเรียนมหาลัย อ่านหนังสือวันละ 12 ชม ทุกวัน จนกลายมาเป็นนิสัยการทำงาน
- วันนี้เป็นวันกินอาหารปกติ ไม่มีสมาธิอ่านหนังสืออีกแล้ว แต่เหมือนจะ มีหลักการอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้อยู่ได้ในทุกที่ทุกสถานการณ์ คือ สำรวมอินทรีย์ คือ สำรวมระวัง ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเป็นไปได้ ก็อย่าไปดู อย่าไปฟัง อย่าไปสนใจ สิ่งรอบข้าง หรืออย่างน้อยถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องคอยมีสติรู้ทันจิตที่ออกนอกไปทางอายตนะ ไม่อยู่กับตัว เพียงเท่านี้เราก็จะมีสมาธิ มากเท่าที่เราจะมีได้ โดยไม่มีการรบกวนจากสิ่งรอบข้าง
- เราจะป้องกันปัจจัยที่เราพอที่จะป้องกันได้ แต่จะมีสมาธิมากแค่ไหนกับการอ่านหนังสือ ก็สุดแท้แต่ ที่เราทำได้ก็คือยอมรับมัน
- การเรียนเลข จะมีสองส่วน ส่วนแรกคือ เรียนรู้ และ อีกส่วนคือทำโจทย์ ในส่วนแรก คือการเรียนรู้ จะค่อนข้างยาก เพราะ เราต้องเรียนรู้และยอมรับสิ่งใหม่ๆ ในส่วนที่สองจะง่ายกว่า เพราะ การทำโจทย์เป็นเพียงการนำสิ่งที่เราได้เรียนรู้ออกมาใช้ให้คล่อง
- สาเหตุหนึ่งที่วันนี้อ่านหนังสือได้ไม่ดี เพราะ มีปัญหาตาแห้งด้วย(แสบตา ส่องกระจกเห็นตาแดง) อาจเป็นเพราะ วันนี้ตื่นเช้าเลยนอนน้อยลงกว่าปกติ แล้วร่างกายปรับตัวไม่ทัน
- ใช้วิธีการพักสายตา ด้วยการหลับตา 10 นาที แล้วดีขึ้นแฮะ แบบตรงจุดมากๆๆ
- ถึงแม้จะเป็นงานที่เราชอบและถนัด ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ชีวิตของเราสุขสบายแต่อย่างใด อย่าคาดหวังความสุขสบายจากการทำงาน ถ้าทำงานแล้วมีแต่ความสุขสบาย แสดงว่าเรากำลังไม่เกิดการพัฒนา
- อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราเสียสมาธิได้ง่าย คือ เสียงรอบข้าง บางทีการใส่หูฟังแบบ ear plug แบบไม่ได้เปิดเพลง เพื่อตัดเสียงรบกวนภายนอก ก็ช่วยให้กลับมาสมาธิดีขึ้นมากเลย
- ที่ไม่เปิดเพลงเพราะ บางทีเพลงทำให้ ความสามารถในการคิดลดลง เพราะ กำลังไปฟังเนื้อเพลงอยู่
- สรุปคือ แค่ปิดหู สมาธิเราก็ดีขึ้นมากๆ
- ปัญหาการอ่านหนังสือในปัจจุบัน
- ช่วงที่ผ่านมาการอ่านหนังสือของเราช้าลงเยอะเลยนะ เป็นเพราะพลังงานเริ่มไม่พอหรือเปล่านะ
- นอกจากนี้เรารู้สึกว่าเราเองค่อนข้างเปราะบางมาก เพียงแค่นอนน้อย หรือ มีปัญหาใดๆ ก็ส่งผลต่อการอ่านของเราอย่างมากมายแล้ว
- แต่ที่ผ่านมา การ Fasting ก็ช่วยให้เราพัฒนาขึ้นนะ เราสามารถทำโจทย์หรือแก้ปัญหา ที่มีความซับซ้อนขึ้นได้
- ควรทำอย่างไรดีนะ?
- สาเหตุที่เราเปราะบาง คิดว่าน่าจะมาจากปัญหาเรื่องของกล้ามเนื้อตา ที่ล้าง่าย มีปัจจัยรบกวนเล็กน้อยก็เกิดปัญหา
- ลองถอดแว่นอ่านหนังสือดีไหมนะ
8 ก.พ. 67
- เหมือนกับว่าการเพิ่ม ช่วงเวลากินเป็น 16 ชม จะค่อนข้างแย่ แม้จะอดอีก 32 ชม เพราะในวันที่กิน 16 ชม อาจจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมมากพอสมควร พออดอีกวัน ก็ได้แค่ฟื้นฟูความทรุดโทรมที่ผ่านมา ดังนั้น การกินในช่วง 12 ชมจะ ดีกว่า
- ลำดับความสำคัญของการหาที่นั่งในหอสมุดกลางของมหาลัย
- ที่นั่งที่เหมาะกับกายสรีระศาสตร์(Ergonimic) สำคัญกว่าที่นั่งที่เป็นส่วนตัว ชั้น 1 โดยเฉพาะโซนด้านหลัง ดีที่สุด(โซนขวาฝั่งร้านกาแฟ) เพราะ เก้าอี้และโต๊ะใหม่ แนะนำโซนริมขอบหน้าต่าง ที่เป็นโต๊ะเดี่ยว เพราะ จะไม่เป็นจุดสนใจ
- นั่งด้วยท่านั่งขัดสมาธิ เพราะ เป็นท่านั่งที่ดีที่สุด ช่วยให้เกิดสมาธิได้ง่ายและไม่ง่วง
- สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าไปเที่ยว ดู ฟัง อย่าไปสนใจคนอื่น หรือสิ่งรอบข้าง สำรวมระวังอยู่กับตัวเอง
- นั่งในที่ ที่ไม่เป็นจุดสนใจ ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตา
- ถ้าทำโจทย์เลข แล้วรู้สึกอึดอัด กดดัน อัดอั้น แสดงว่าเราอาจจะไม่ชอบเลขก็ได้นะ ถึงแม้เราจะทำได้ก็เถอะ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ทำไปเถอะ บางอย่างเราไม่ชอบ อาจจะด้วยประสบการณ์ชีวิตที่สะสมมา แต่ไม่ได้หมายความว่า ความสามารถของเราไม่ได้เหมาะกับด้านนั้น
- วันนี้สมาธิดี สมองแล่น อาจเป็นเพราะ เมื่อวานกินในช่วง 12 ชม โดยปริมาณเทียบเท่า 6 มื้อ
แต่พอสายๆ ก็จะเริ่มตื้อๆ แต่ก็ยังคิดโจทย์ออกนะ ถึงจะช้าลงหน่อย ค่อยๆคิดก็ได้เหมือนกัน ไม่ต้องเร่งมากในวันอด แต่ไม่เถลไถลไปทำอย่างอื่น- ถ้าพยายามเร่ง จะเพิ่ม stress ให้กับ cell ประสาทมากเกินไป จะเกิดผลเสียแทน การเรียนรู้และการพัฒนา จะเกิดเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เครียด ไม่เร่งรัด มีเวลาค่อยๆคิด ค่อยๆทำความเข้าใจ
- อย่าเชื่อความคิดตัวเอง เพราะ มันจะถูกหรือไม่ถูกก็ได้ เช่น บางทีเราว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้อง แต่จริงๆ มันอาจจะไม่ถูกในอีกเหตุผลหนึ่ง หรือ แม้แต่ความเห็นของคนอื่น ที่เขาว่าดีอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ หรือ ที่เขาว่าไม่ดี มันก็ยังมีอีกหลายเหตุผลที่มันไม่เป็นอย่างที่เขาว่า แสดงว่าความคิดปรุงแต่งของเราเอง เป็นอะไรที่เชื่อไม่ได้ บางทีความคิดของเราเองก็หลอกตัวเองได้
- ความคิดจัดว่าเป็น สังขารขันธ์ คือ เกิดจากการปรุงแต่งของความจำ ให้ดูความเป็นไตรลักษณ์ของสังขาร ว่ามัน เกิดดับ ควบคุมไม่ได้ เป็นตามเหตุปัจจัย แปรปรวนเปลี่ยนแปลง และ อย่าไปให้ค่า หรือ ความสำคัญกับสังขารมากนัก
7 ก.พ. 67
- วันนี้วันกินอาหาร จะพยายามกินให้ได้ภายใน 12 ชม งดมื้อดึก ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับแล้วจะเสียสุขภาพแทน
- สรุปว่า วันนี้ กิน 6 มื้อ โดยกินมื้อสุดท้ายตอน 1 ทุ่มครึ่ง แต่สุดท้าย ก็ยังนอนหลับยากอยู่ดี เหมือนอาหารบางส่วนยังย่อยไม่เสร็จ กว่าจะนอนได้ ก็ประมาณ 5 ทุ่ม ครึ่ง ก็ประมาณ 4 ชั่วโมง หลังอาหารมื้อสุดท้าย แสดงว่าควรกินอาหารก่อนเวลานอน อย่างน้อย 4 ชม
6 ก.พ. 67
- วันนี้วันอด เริ่มอ่านหนังสือ 9.15 น สมองไม่ค่อยแล่น เพราะ เมื่อคืนนอนไม่หลับ เนื่องจากกินมื้อดึก
- สมองเริ่มกลับมาแล่นตอน 13.00น เป็นการอดชั่วโมงที่ 15 สมาธิสูงขึ้น จนตัดความสนใจสิ่งรอบข้างได้ระดับหนึ่ง แต่สุดท้าย พออ่านไปได้สักพัก ก็ไม่มีสมาธิอีก เพราะ ความง่วง
- ลองมานั่งอ่านที่ๆมีความเป็นส่วนตัว(มีที่กั้น) พบว่าสมาธิดีขึ้น
- เวลามีความทุกข์ ให้เจริญสติ พยายามอย่าหนีทุกข์ หรือหาทางแก้ทุกข์ ดับทุกข์ เพราะ มันไม่มีอยู่จริง เดี๋ยวทุกข์ก็เกิดได้ใหม่เรื่อยๆ
5 ก.พ. 67
- เมื่อคืนนั่งสมาธิ วันนี้ตื่นขึ้นมารู้สึกมีการรับรู้ที่ละเอียดขึ้น สามารถรับรู้ได้เป็น ทีละอย่างๆ ไม่ใช่มาทีเดียวทั้งหมดแบบที่เคย สรุปว่าที่ผ่านมา รู้สึกฟุ้งซ่าน สาเหตุหนึ่งคือ เราไม่ได้ทำสมาธิ
- วันนี้เป็นวันกินอาหาร ทำโจทย์ได้ตั้งแต่ 11โมง ถึงประมาณ 1 ทุ่ม ร่างกายก็จะเริ่มล้า ไม่สามารถคงสมาธิไว้ได้ สมองจะตื้อ คิดโจทย์ช้า แบบต้องพยายามฝืนคิด แต่ในระหว่างวันก็ถือว่าอ่านหนังสือได้ดีพอควร
- กินมื้อดึก ทำให้นอนหลับยาก และ ไม่หลับ พักผ่อนไม่เต็มที่ ยังไงก็อาจจะต้องจำกัดเวลาการกินอาหารไว้ 12 ชม.
4 ก.พ. 67
- วันนี้กลับมามีสมาธิแบบเต็มร้อยแล้ว ทำโจทย์เลขได้คล่องเหมือนเดิม สามารถคิดในใจได้ดีขึ้น มีพลังงานมากพอที่จะใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่ ต้องดูต่อไปว่าจะได้ทั้งวันไหม แต่คิดว่าน่าจะได้ทั้งวัน = ตอนนี้กลับมาเป็นคนปกติแล้ว
- สรุปว่า วันนี้ก็มีสมาธิได้ทั้งวันแหละ ทำโจทย์เลขได้ดีมากเลย ต้องกินให้ได้พลังงานเพียงพอจริงๆแหละ
- แต่พอตกเย็น เหมือนจะมีอาการสมาธิสั้นเริ่มกลับมาแฮะ ไม่แน่ใจว่าอาจเป็นเพราะ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ฝึกสมาธิหรือเปล่านะ
- ลองนั่งสมาธิก่อนนอน 15 นาที ถึงแม้การรู้ลมหายใจจะยังไม่เป็นธรรมชาติและยังคงอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็มีช่วงที่รู้ได้ถูกต้อง นำมาสู่ความผ่อนคลายสลับกับอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถเป็นเครื่องอยู่ได้
- ระหว่างที่นั่งสมาธิ มีภาพและความทรงจำมากมายในวันนี้ แล่นเข้ามาในหัว เหมือนสมองพยายามจะคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ซึ่งโดยปกติในทุกๆวัน ไม่เคยสนใจมันเลย การคิดทบทวนโดยอัตโนมัติ น่าจะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาชีวิตได้ดีขึ้นนะ
- โดยในระหว่างที่มีความคิดมากมายเข้ามา ก็ยังสามารถกลับไปมีสติรู้สึกตัวได้นะ มันจะกลับไประลึกรู้กายที่กำลังหายใจเป็นระยะๆ ไม่ได้อยู่กับความคิดตลอด
- แต่ก็สามารถนั่งให้สงบได้นะ โดยต้องพยายามโฟกัสไปที่ลมหายใจมากขึ้น อย่าไปสนใจความคิด
- ระหว่างที่นั่งสมาธิ มีภาพและความทรงจำมากมายในวันนี้ แล่นเข้ามาในหัว เหมือนสมองพยายามจะคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ซึ่งโดยปกติในทุกๆวัน ไม่เคยสนใจมันเลย การคิดทบทวนโดยอัตโนมัติ น่าจะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาชีวิตได้ดีขึ้นนะ
3 ก.พ.67
- ช่วงนี้รู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิเลย เหมือนอาการสมาธิสั้นกลับมาแล้ว เกิดจากการที่เราได้รับโปรตีนไม่เพียงพอหรือเปล่านะ เพราะ ช่วงที่ไปอ่านหนังสือที่มหาลัย ไม่ค่อยได้กินพวกโปรตีนเยอะเท่าไหร่ เช่น อกไก่ เป็นต้น หรืออาจรวมถึงพลังงานที่ได้รับจากอาหารก็ยังไม่เพียงพอด้วย?
- คำนวณมื้ออาหาร
- ถ้ามีการเดินไปมหาลัยวันละ 2 ชม น่าจะต้องเพิ่มพลังงานเพื่อชดเชยส่วนนี้ด้วย ตก เพิ่มอีกวันละมื้อ เป็น 2 มื้อ
- ปกติอ่านหนังสือทั้งวัน น่าจะต้องกินวันละ 3 มื้อ รวมสองวัน 6มื้อ
- อาจจะต้องกินเผื่อเวลาเจอห้องแอร์ด้วย เพื่อสร้างพลังงานความร้อน อาจเพิ่มอีก 1 มื้อ
- สรุปถ้าจะกินวันเว้นวัน วันที่กิน ต้องกินประมาณ 8 มื้อ ทั้งนี้อย่าลืมโปรตีนและไขมันด้วย อย่าไปเน้นแต่คาร์โบไฮเดรตนะ ก็ตกกินประมาณทุก 2 ชม
- วันนี้ลองอัดโปรตีนเยอะๆ ดูว่าภาวะขาดสมาธิจะหายไป และกลับมาเป็นปกติไหม
- คำนวณมื้ออาหาร
- ทักษะที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิต คือ การคอย Monitor(สังเกต) และ ดูแลร่างกายตัวเองอย่างถูกต้อง เหมือนร่างกายตัวเองเป็นหุ่นตัวหนึ่ง ที่ต้องการอาหาร น้ำ อากาศ ที่เหมาะสม เพียงพอต่อสุขภาพ ไม่มากไปไม่น้อยไป เรามีหน้าที่คอยดูและสังเกตอาการของมัน และดูแลมันอย่างเหมาะสม สิ่งเหล่านี้ บางทีต้องมี การบริหารจัดการ ไปจนถึง การวางแผน เหมือนบริษัทๆหนึ่ง เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่หุ่นยนต์เสียทีเดียวนะ เพราะ ร่างกายเป็นสิ่งมีชีวิต อย่างหนึ่ง มีความแปรปรวนไม่แน่นอนระดับหนึ่งเหมือนกัน
- เราต้องรู้ว่าเราต้องกินเท่าไหร่ ถึงจะพอให้หุ่นตัวนี้เอาไปใช้ทำงานอย่างเพียงพอ
- เราต้องเอาเติมน้ำให้หุ่นตัวนี้อยู่เรื่อยๆ(ดื่มน้ำบ่อยๆ)
- ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่กินสิ่งไม่ดี เช่น ของทอด ของไหม้ๆ เพราะ จะทำให้ลำไส้สกปรก เสี่ยงมะเร็ง เป็นต้น และกินผักกากใยเพื่อทำความสะอาดลำไส้
- ต้องมีการขยับออกกำลังกาย สม่ำเสมอ เพื่อให้สุขภาพดีทั้งร่างกายและสมอง
- รู้จักความรู้ด้านการดูแลสุขภาพบ้าง เช่น การอดอาหาร ทำให้แก่ช้า สมองดี เป็นต้น
- เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องวางมาด จะทำให้เรามีสมาธิอยู่กับตัวเองง่ายขึ้น ไม่ต้องสนใจมุมมองที่คนอื่นมองเรามากนัก เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด จะดีก็เป็นตัวของเรา จะไม่ดี(เ _ี้ย ) ก็เป็นตัวของเรา
- หลังจากที่กินอาหารไป 4 มื้อ ภายในครึ่งวันเช้า ก็ทำให้กลับมามีแรงใช้ความคิดแบบเดิมได้แล้ว ตอนนี้สมองมีพลัง สามารถคิดโจทย์เลขในใจได้อย่างเดิมแล้ว
- สรุปวันนี้กินอาหารไป 8 มื้อ ลองดูพรุ่งนี้ที่เป็นวันอดว่า จะมีสมาธิทั้งวันไหม
2 กพ. 67
- น่าจะต้องปรับมากินมื้อเช้าให้เยอะขึ้น และลดมื้อดึกลง เพราะถ้ากินมื้อดึกมากเกินไปจะนอนไม่หลับ
- วันนี้หลังจากที่เมื่อวานกินเยอะขึ้นให้เพียงพอ ก็สามารถอ่านหนังสือ และ คิดทำความเข้าใจโจทย์เลขได้ดีขึ้นแล้ว รวมถึง "การเข้าใจแล้วจำ" ก็ทำได้ดีขึ้น
- วันนี้สมาธิดีมาก สาเหตุน่าจะมาจากการที่ Fasting แล้วเกิดภาวะ ketosis ไม่ได้เกิดจากการฟังเพลงนะ รวมถึงต้องกินอาหารให้ได้มากพอด้วย
- ถ้าเริ่มอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง สมองตัน ให้ลองมารู้ลมหายใจสักพักเพื่อทำสมาธิ น่าจะช่วยให้กลับมาอ่านเข้าใจได้เหมือนเดิม
- วันนี้ ตกบ่ายๆ ก็เริ่มไม่มีแรงอ่านหนังสือเหมือนเดิม ไม่สามารถคิดโจทย์ในใจได้ พลังความคิดหดหาย อย่างมากคือใช้กระดาษทดช่วย เป็นเพราะอะไรกันนะ หรือ เรายังกินไม่มากพอ? หรือ เราจะเปลี่ยนมากิน 3 มื้อก่อนดีไหมนะ?
- อย่าให้ค่ากับความเห็นของคนอื่น ที่จะมาพยายามกำหนดเรา ว่าเราเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ไม่ควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้ ไม่ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ไม่ว่าความเห็นนั้นจะดีหรือไม่ดี ไม่มีใครมีสิทธิ์ และ มีความสามารถ ถึงขนาดมาเป็นผู้กำหนดค่าของผู้อื่นได้ ตัวเราอย่างไรก็ยังคงเป็นตัวเราเสมอ
1 ก.พ.67
- อยากลองอ่านตำรา programming แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พออ่านก็เข้าใจบ้าง บางจุดก็ยังไม่ได้ลองเขียนโปรแกรมดูตามตำรา ไม่รู้จะเริ่มภาษาไหนก่อน เพราะ ทุกภาษาสำคัญหมด จะเรียนภาษานึงก็ใช้เวลานาน จะเรียนพร้อมกันไปเลยก็กลัวต่อไม่ติดและไม่ต่อเนื่อง?
- น่าจะมี app อ่าน pdf ที่มีการ list รายการตำราที่เราเคยอ่าน จะได้เปิดอ่านย้อนหลังได้ง่าย
- เดือน กพ.แล้ว เหลือเวลาอีก 6 สัปดาห์ จะสอบ ต้องกินให้พอ อ่านหนังสือให้ได้เยอะๆ
- หลังจากได้กินอาหารมื้อที่ 3 จนร่างกายออกจากโหมดจำศีล ก็กลับมามีแรงอ่านหนังสือ/ทำโจทย์เลข ได้ 100%แล้ว แสดงว่า อาหารที่จะออกจากIF ก็มีความสำคัญ ควรเน้นโปรตีน
- วันนี้อ่านหนังสือยัน 1 ทุ่มครึ่ง มีช่วงหนึ่ง ที่สมองรับข้อมูลไม่ได้ blank ไปพักใหญ่ๆ พอกินข้าวก็กลับมาอ่านได้ แสดงว่า การอ่านหนังสือ สิ่งสำคัญคือพลังงาน ที่จะเอามาใช้คิดทำความเข้าใจ(การจดจำก็ต้องใช้พลังงานนะ เพราะ จะจำได้ก็ต้องใช้ความคิดเช่นกัน ทั้งการคิดเชื่อมโยง และการคิดจัดหมวดหมู่ เป็นต้น) ปัจจัยพื้นฐานเลย คือ พลังงาน แต่การฝึกสมาธิเป็นเพียงส่วนเสริมพิเศษอีกอย่าง แต่ถ้าไม่มีพื้นฐานด้านพลังงาน ก็ทำอะไรไม่ได้ สมาธิก็ไม่ได้ช่วยตรงนี้นะ
Add new comment