Skip to main content

กพ. 67

Submitted by krishrong on

29 ก.พ. 67

  • วันนี้อยู่ที่หอพัก ไม่ได้ไปอ่านหนังสือที่มหาลัย
    • ข้อเสีย คือ อยู่คนเดียว มีความเป็นส่วนตัวมาก ไม่มีใครมาคอยดูว่าเราทำอะไรอยู่ ก็มักจะแอบไปดูการ์ตูน หรือทำเรื่องเหลวไหล ไม่ได้ทำตามกิจวัตรประจำวัน หรือ ทำตามวินัยที่เคยกำหนดเอาไว้ คือ การอ่านหนังสือแบบที่ทำเป็นประจำ
      • จริงๆ น่าจะต้องฝึกควบคุมตัวเองเยอะๆเลย หวังว่า การ Fasting ก็น่าจะช่วยพัฒนาทักษะส่วนนี้ได้นะ(พัฒนาเรื่องการใช้เหตุผล และ การหักห้ามใจ) แต่ทั้งนี้ก็ยังคงอาจต้องเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปนะ เพราะ เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยได้ภายในวันสองวันเป้นแน่ จนกว่าจะเห็นข้อดี ข้อเสีย ของสิ่งต่างๆ เช่น การเถลไถล ข้อดี - ช่วยคลายเครียด, ข้อเสีย - หากเถลไถลมากไป จะไม่ได้พัฒนาตนเอง เป็นต้น บางทีเหนื่อยมากคิดอะไรไม่ออก ก็พักบ้าง แต่จะเถลไถลจนลืมเวลาก็ไม่ได้ และฝึกมากเข้าๆ อาจสามารถมีสมาธิ และสนุกกับงานได้โดยไม่ต้องเถลไถลเลย
    • ข้อดี คือ
      • เทรดได้อย่างมีสมาธิมากขึ้น เพราะ ไม่มีใครรบกวน 
        • เหมือนกับว่าถ้าเป็น day trader วันนึงใน forex อย่างมาก ก็มี 1-2 order ที่เรามั่นใจ ถ้าถูกเพียง 1 ก็ได้กำไร ดีกว่าลงเยอะเป็นสิบ(ตัวที่มั่วก็ลงด้วย) แม้จะถูก 1 ตัวเท่ากัน แต่ขาดทุน 9 มันก็จะได้แต่ขาดทุนยับเยินแทน
      • ถึงอากาศจะร้อนชื้น แต่ก็พอมีสมาธิได้อยู่นะ
      • ทำอาหารกินเอง ได้ dense and rich nutrition ทำให้ลดจำนวนมื้อที่ต้องกินลงได้อีก รวมถึงลดช่วงเวลาการกินลงไปอีกด้วย เหลือ 9 ชม แล้วอดต่อยาวๆ อีก 39 ชม.
  • เทคนิคการทำสมาธิส่วนตัว คือ keyword ว่า ระลึกรู้ลมหายใจเนืองๆ
  • เอาจริงๆ ก็เคยแอบคิดนะว่า ถ้าไม่มีโอกาสได้เรียนต่อด้านคอม จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ตอนนี้กำลังได้เจอกับปัญหานั้น!
    • ทางเลือก?
      • คิดเสียว่ามีเวลาพัฒนาตนเองมากขึ้น ให้กำหนดเป้าหมายที่ยากขึ้น ใหญ่ขึ้น
    • การเงิน ยังยับเยิน ไม่มีรายได้ประจำ แต่สบายใจขึ้น เพราะ เหรียญคริปโต ที่ลงทุนไว้ ราคากำลังขึ้น ทำให้พอมีเวลาให้หายใจ พัฒนาตนเองต่อ
      • แต่การเทรด ยังทำเงินไม่ได้ ขาดทุนตลอด
      • แต่การลงทุนระยะยาว เป็นสิ่งที่สามารถทำได้นะ แม้เราจะไม่มีความรู้มากมายก็ยังทำได้เลย(ลงทุนกับธุรกิจที่ผลิตสินค้าและบริการที่ เราใช้อยู่ทุกวัน)
  • ตอนนี้อาจไม่ต้องกังวลเรื่องเงินมากนักแล้ว เนื่องจากลงทุนคริปโตได้เงินมาก้อนหนึ่งให้พอต่อเวลาสำหรับพัฒนาตนเองได้ 1 ปี และ อยู่อย่างประหยัดต่อไปแบบนี้
  • หลังจากวิเคราะห์ตนเอง เกี่ยวกับการศึกษาสิ่งที่ชอบ พบว่าเราเห็นโอกาสและทางเลือกมากมายในเรื่องที่เราชอบและชำนาญ เช่น ด้านคอมพิวเตอร์ เราจะมีสัญชาติญาณบางอย่างที่ทำให้เราจับทางได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น ส่วนในเรื่องที่เราไม่ชำนาญ เรามองเห็นโอกาสยากมากๆ เช่น การเทรด เราไม่มีสัญชาติญาณในเรื่องเงิน กำไร-ขาดทุนเท่าไหร่ เป็นต้น ดังนั้น เราจะเน้นศึกษาสิ่งที่เราชอบเป็นหลัก จะดีที่สุด ทุกๆคนไม่มีใครเหมือนกัน แนวทางทำเงินที่ถนัดของคนหนึ่ง อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนก็ได้ แต่กลับกัน แนวทางอาชีพของอีกคน ก็อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนเช่นกัน
  • วันนี้เดินจงกรมในห้อง กลับไปกลับมาสักพัก ก็เกิดไอเดีย
    • แพลตฟอร์มของ Fastwork อาจจะยังไม่ตอบโจทย์​ เพราะ เหมือนเป็นการเอาคนทำงานคล้ายๆกันจำนวนมาก มาแข่งกันในตลาดเดียวกัน เป็นการเพิ่มการแข่งขันกันเองในตลาดที่มีลูกค้าจำกัด ซึ่งทำให้โอกาสการได้งานของแต่ละคนลดลง
      • จะทำให้ Freelance แต่ละคน ถูกมองเหมือนกัน เป็นเพียงหน่วยย่อยหนึ่ง สำหรับสร้างผลงานตามที่จ้าง ซึ่งไม่ได้มีความต่างกันเท่าไหร่ คนที่เคยถูกจ้างและได้รับรีวิว(ที่ดี) ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการจ้างจากลูกค้ารายอื่นต่อ ส่วนคนที่ไม่เคยถูกจ้างและไม่เคยรับรีวิว ก็จะไม่ถูกจ้างต่อไป(เว้นเสียแต่จะลดค่าจ้างของตัวเองลง แบบลดแลกแจกแถม ซึ่งก็ทำให้การแข่งขันสูงขึ้นไปอีก และรายได้ก็ถูกกดลงไปอีก)
      • สิ่งที่พอจะแก้ไขได้คือ ต้องมี story ของแต่ละคน เช่น ข้อมูล ประวัติการศึกษา, portfolio เป็นต้น หรือแม้แต่ให้แต่ละคนสามารถสร้าง content ของตนเองได้ เช่น บทความให้ความรู้ หรือ แม้แต่ diary ของตนเอง ฯลฯ เพื่อเพิ่มโอกาสการได้รับการจ้าง และถูกมองว่าแต่ละคนมีความแตกต่างกันแบบ individual ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือสร้างผลงานหนึ่งๆเหมือนๆกัน(เป็นเพียง unit เล็กๆ ไม่ต่างกัน)
      • อาจแก้ไขด้วยการ ผนวกความเป็น social media เข้าไปด้วย เหมือน เอา ระบบ Fastwork ผสมกับ Facebook, twitter รวมถึง linkedin มาผสมกัน
  • การฝึกพิมพ์สัมผัส ทีแรกเข้าใจว่าแค่พยายามวางมือบนตำแหน่งมาตรฐานแล้วพิมพ์เยอะๆ มันจะพิมพ์ได้เร็วขึ้นเอง แต่จริงๆไม่ถูกทั้งหมด เพราะ ถ้าฝึกแบบถูกหลักการ จะพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วกว่า การทำแบบฝึกหัดจะทำให้เราวางมือ ขยับนิ้วอย่างถูกต้องได้มากกว่า
    • แต่หลักการจริงๆคือ ทุกครั้งที่พิมพ์ตัวอักษร 1 ตัว ต้องเลื่อนนิ้วนั้นกลับมาที่ตำแหน่งแป้นเหย้า(ตำแหน่งมาตรฐาน)ก่อนเสมอ แล้วค่อยพิมพ์ตัวถัดไป

28 ก.พ. 67

  • เมื่อวานพยายามกินให้ได้ในเวลา 13 ชม วันนี้ตื่นมาก็ไม่ได้รู้สึกอ่อนเพลียแต่อย่างใด รวมถึงผื่นที่หน้าก็ไม่ได้ขึ้นเหมือนตอนกินในช่วง 16 ชม
    • ดูต่อว่าวันนี้จะอ่านหนังสือได้มีสมาธิไหม
      • ตอนประมาณบ่ายสาม ก็เริ่มตื้อๆ อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว แสดงว่าการกินมากกว่า 12 ชม กับการเบลอตอนบ่ายไม่เกี่ยวกัน
        • อาจเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาไปบริจาคเลือด แล้วก็กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่เพียงพอ(กินแต่อาหารข้างนอก ไม่ได้ดูแลโภชนาการให้ดี) ทำให้โลหิตจางและอ่อนเพลียง่าย?
          • อาจต้องปรับมาทำอาหารเอง โดยเน้น dense and rich nutrition มากขึ้น
  • ทำไมเราไม่มีโอกาสได้ศึกษาในสิ่งที่ชอบแบบจริงๆจังๆสักทีนะ มีแต่ข้อจำกัดนู่นนี่นั่นตลอด?
    • ตอนนี้มีข้อจำกัดเรื่องการเงิน เลยทำให้ ไปศึกษาเรื่องการเทรด เพื่อจะหาเงิน?
      • ทำไมไม่หาเงินจากการทำสิ่งที่ชอบไปเลยล่ะ???
      • เผลอๆ สุดท้ายแม้จะเทรดได้เงิน ก็ไม่มีโอกาสได้ศึกษาสิ่งที่ชอบอยู่ดี เพราะ ก็ต้องเอาเวลาไปหาเงิน???
      • มันจะคุ้มค่ากับเวลามากกว่าไหม หากเราจะทำสิ่งชอบให้ได้เงินไปด้วย???
    • งง กับชีวิตเหมือนกันนะ?
  • ชีวิตในช่วงนี้เหมือนเป็นขาลง เนื่องจากออกจากงาน ไม่มีรายได้ เงินเก็บก็ร่อยหรอไปเรื่อยๆ แถมจะเรียนต่อก็สมัครสอบไม่ทัน แต่เราเชื่อว่ามันไม่เป็นแบบนี้ตลอดไป มันอาจจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพราะ เราเชื่อว่าความรู้ที่เราพยายามสั่งสมมา สุดท้ายจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมากมาย (จนอาจจะคาดไม่ถึง) เพียงแต่ช่วงนี้ที่กำลังจะเปลี่ยนสายงาน จะต้องพยายาม และเหนื่อยมากกว่าปกติ อาจรวมถึงความลำบากหลายๆอย่างที่จะต้องประสบในช่วงนี้ด้วย
  • ในวันที่กินอาหาร จะทำอาหารกินเองแล้ว เนื่องจาก กินอาหารข้างนอก แล้วได้สารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้อ่านหนังสือไม่ได้ดังเดิม พอหมดแรงก็ได้แต่นั่งเฉยๆ พิจารณาชีวิตไปเรื่อยๆ เท่านั้น ต่อให้ไปมหาลัยก็ไม่ได้ช่วยอะไร
  • นิยายที่อ่านช่วงนี้ คือ David Ives - A Story of St. Timothy's by Arthur Stanwood Pier โหลดได้จาก https://www.gutenberg.org/ebooks/73016 
    • เนื้อเรื่อง ไม่ใช่เรื่องรักๆใคร่ๆ น้ำเน่า แต่เป็นเรื่องของเด็กหนุ่ม ที่ทางบ้านมีพ่อเป็นหมอครอบครัว แต่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย และ กำลังจะเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมแพทย์ St. Timothy เพื่อไปเรียนต่อ Harvard เป็นศัลยแพทย์ ในเรื่องมีแง่คิดดีๆมากมาย แสดงถึงความเข้าใจโลกของผู้เขียน
    • อ่านแทนการเล่น social media

27 ก.พ.​ 67

  • ปัจจัยที่ทำให้อ่านหนังสือได้ดี
    • Alternate day fasting(อดวันเว้นวัน) กินไม่เกิน 12 ชม ในวันที่กิน วันที่อดจะมีสมาธิดีมาก
    • ฝึกสมาธิ กลับมาระลึกรู้ลมหายใจบ่อยๆ สมาธิเหมือนเป็นของวิเศษ ทำให้ใช้สมองได้เต็มประสิทธิภาพ
    • อากาศไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่ชื้น เหมาะสม
    • อ่านในพื้นที่มีความเป็นส่วนตัว มีที่กั้น เงียบไม่มีเสียงรบกวน
    • อ่านไปด้วยทำสรุปเนื้อหาสำคัญไปด้วย จะทำให้กลับมาทวน รวมถึงทำ active recall ได้ง่าย จำได้ดี และ ยาวนาน
      • แม้จะทำให้อ่านช้าลง แต่หากเทียบกับประโยชน์ที่ได้ ก็คุ้มค่าที่จะทำ ดีกว่าอ่านไปลืมไป
  • ปัจจัยที่ไม่ช่วยเรื่องการอ่านหนังสือเท่าไหร่
    • ใส่แว่น ไม่ใส่แว่น ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถึงจุดหนึ่งก็จะล้า และอ่านไม่รู้เรื่องเหมือนกันอยู่ดี(อันนี้ปัญหาส่วนตัวเกี่ยวกับกล้ามเนื้อตา คนปกติไม่มีผลอยู่แล้ว)
    • ฟังเพลง แม้จะช่วยให้ไม่เครียด และ สมองไม่ล้าเร็ว แต่ก็รบกวนสมาธิในการจดจ่อกับเนื้อหา หรือคิดแบบลึกซึ้ง
    • อ่านจาก e-reader ไม่ต่างจากอ่านจากหน้าจอมากเท่าไหร่ ถ้าเป็นจอความละเอียดสูงๆ
  • เมื่อวานไม่ได้นั่งสมาธิ วันนี้สมาธิสั้นอีกแล้ว มันรู้สึกว่าสมาธิไม่เต็มเหมือนเคย โฟกัสกับอะไรได้ไม่นาน เหมือนรถที่เครื่องยนต์ทำงานมากเกินกว่าปกติ สิ้นเปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ และไม่นานพลังงานก็หมด
  • อ่านนิยายต่างประเทศ จนไม่อยากดู social media แล้ว ได้ประโยชน์มากกว่าเยอะเลย แถมสนุกเหมือนกัน
    • นี่เป็นทางออกจากการเสียเวลาเปล่ากับ social media สินะ
  • พอแก่ขึ้น(มีวุฒิภาวะมากขึ้น?)เราก็ไม่อยากสนใจคนรอบข้างแล้ว แค่เราทำตัวเราให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว
  • เหมือนเราจะไม่เหมาะกับการเทรดแบบ scalping ใน TF เล็กๆ 5m เพราะต้องดูกราฟตลอด และจะเทรดแต่ละครั้งต้องวิเคราะห์เยอะ ทำให้เสียสมาธิในการอ่านหนังสือ ไปเทรดแบบ run trend ใน TF 1h น่าจะดีกว่า
    • เริ่มเห็นกำไรแล้ว! จากการเทรดแบบ run trend ใน TF 1h (เริ่มมีหวังละ กับความรู้ที่พอได้อ่านมา)
  • อย่าเพิ่งหวังกำไรจากการเทรดเลยตอนนี้ อ่านตำราให้เข้าใจทั้งหมดก่อนดีกว่า
  • รู้สึกเสียดายโอกาส ที่กราฟวิ่งไปแล้ว แต่มันก็เป็นเพราะเราไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้มีวินัยในการดูกราฟ ต้องกำหนดช่วงเวลาดูกราฟของทุกวันแล้ว
  • หลักการเทรดที่อ่านจากหนังสือมา มันเอาไปดูหุ้นได้ด้วยแฮะ
  • ถ้าเรามีความรู้ในสิ่งไหน เราก็จะมองเห็นโอกาสในสิ่งๆนั้นมากขึ้นๆ ยิ่งอ่านหนังสือมากขึ้น ก็มีความรู้มากขึ้น ก็ยิ่งเห็นโอกาสมากขึ้น
  • ภาษาอังกฤษ​เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสาร แต่ประโยชน์จริงๆ คือ ช่วยให้เข้าถึงความรู้ที่มีคุณภาพ ที่ดีที่สุดในศาสตร์ต่างๆ เพราะ ความรู้ส่วนใหญ่จะบันทึกในภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง หรือแม้แต่มุมมองการมองโลกก็จะกว้างขึ้นด้วย เพราะ ได้เห็นสังคม วัฒนธรรม และ ความคิดอีกหลายรูปแบบ
  • การวิเคราะห์ตัวเอง หรือ วิเคราะห์สิ่งต่างๆ ต้องมีพื้นฐานความรู้รองรับ ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่วิเคราะห์วนไปวนมา อาจจะไม่เจอคำตอบเลยก็ได้ เพราะ การวิเคราะห์โดยที่ไม่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้นๆ จะเจอปัจจัยรบกวนมากมาย ที่ทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อน, อีกทั้งเรามักจะคิดได้เท่าที่เรามีความรู้หรือประสบการณ์
    • ต้องอ่านหนังสือเยอะๆ

26 ก.พ.​ 67

  • ตื่นมา หน้ามีผื่นขึ้น แสดงถึงการอักเสบในร่างกาย เพราะเมื่อวานกินเกิน 12 ชม(กิน 6-21.00น) แต่จะดูต่อว่าวันนี้มีแรงอ่านได้ทั้งวันไหม จากการกินให้ได้ 6 มื้อ
    • กิน 6มื้อ นักกีฬาก็กินแบบนี้นะ ตัวอย่างคือ Cristiano Ronaldo เคยฟังคลิปเขาเล่า, แต่สำหรับเรา เราไม่ได้ออกกำลังกายเยอะ แต่เราทำ fasting กินวันเว้นวัน
    • สรุปว่าก็ยังไม่มีแรงอ่านทั้งวัน ตกบ่ายสมองจะตื้อ หมายความว่าเงื่อนไข เรื่องการกินให้มากพอไม่เกี่ยว
      • ตอนนี้ก็เหลือเงื่อนไขสุดท้าย คือ การจำกัดเวลาที่กินอาหารให้อยู่ในช่วงไม่เกิน 12 ชม จะทำให้ช่วงเวลาการเกิด ketosis เร็วขึ้น มีสมาธิเร็วขึ้น
      • ฟังเพลงก็ช่วยได้นิดหน่อย แต่ไม่เท่าไหร่
      • นั่งในที่ส่วนตัว ไม่มีเสียงรบกวน ก็ช่วยพอสมควร
  • เทรดก็ยังเจ๊งอยู่ แต่หลังจากที่ได้อ่านหนังสือก็เห็นอะไรมากขึ้น
    • ขาดทุน เพราะ โลภ overtrade, เข้าไม่รอสัญญาณ confirm
    • กำไร เพราะ ความรู้ รอสัญญาณเข้าเทรด
  • รู้หนึ่งเหมือนรู้ทั้งหมด แม้จะเกิดได้ แต่ไม่ได้เกิดเสมอไป และ ในความเป็นจริง เกิดได้ยากมาก ขนาดอัจฉริยะ อย่าง Bill Gates, Elon Musk ยังต้องอ่านหนังสือตั้งมากมายกว่าเราเสียอีก
    • เราเข้าใจหลังจากได้อ่านตำราเทรด ทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไรได้ ที่ไม่เคยเห็น ซึ่งมันไม่ได้ยากหรือซับซ้อนอะไรมาก แต่ถ้าจะสร้างองค์ความรู้นี้ด้วยตนเองจากการสังเกต ทดลองด้วยตัวคนเดียว แบบให้ได้เหมือนในตำรา การเพียรพยายามทั้งชีวิต อาจจะยังไม่สามารถรู้ด้วยตนเองได้เลย
    • พยายามอ่านหนังสือเยอะๆ หลายๆศาสตร์ที่เราคิดว่าเราเข้าใจด้วยตัวเองได้ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ อย่างน้อยมันต้องมีความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องในศาสตร์นั้นๆ สำหรับนำมาคิดต่อยอด ไม่หลงไปผิดทาง การศึกษาจึงจำเป็นสำหรับทุกๆศาสตร์ ไม่เว้นแม้แต่การบริหารเงิน สุขภาพ ภาษา ธรรมะ ความเข้าใจตนเอง เป็นต้น
    • ถ้าไม่อ่านหนังสือ หาความรู้ เราจะเหมือนกบในกะลา คิดว่าตัวเองรู้แล้ว เก่งแล้ว ทั้งๆที่จริงๆเราไม่รู้อะไรเลย
  • น่าจะทำบทความ สรุปหนังสือแต่ละเล่มที่อ่าน
  • การเทรด คือการโฟกัสกับโอกาสในปัจจุบัน การลงทุนคือการโฟกัสกับโอกาสในอนาคต ซึ่งคนละหลักการแยกกัน อย่าเอามาใช้ปนกัน ต้องแยกส่วนให้ดีนะ!
  • การเรียนรู้ทีละอย่างอาจจะไม่ work อาจจะเรียนรู้หลายๆอย่างพร้อมๆกัน
  • มันเป็นเรื่องน่าสมเพชนะ ที่จะมีความคิดว่า เราไม่สามารถเรียน programming หรือ algorithm หรือ mathematic ด้วยตนเองได้ เพราะ ลองมาคิดๆดู วิชาเหล่านี้ไม่น่ามีปัญหา หากจะเรียนรู้ด้วยตนเอง มันทำได้อยู่แล้ว!
  • วันนี้อ่านหนังสือเทรด ก็แทบจะง่วงหลับอีกแล้ว มาคิด Function, algorithm การทำงานของโปรแกรม น่าสนุกกว่าเยอะเลย
  • วันนี้ลองเขียนโปรแกรมดู ก็ยังเขียนได้ดีพอควร และแก้ปัญหาได้เร็วกว่าแต่ก่อน อาจจะเป็นเพราะเคยผ่านมาพอสมควร แต่อีกอย่างหนึ่งก็น่าจะเป็นกระบวนการคิดที่พัฒนาขึ้นด้วย คิดว่าที่พัฒนาได้เร็วน่าจะเป็นผลจากการ Fasting นะ เพราะ แต่ก่อนวัยรุ่นยังโง่กว่านี้เยอะ (แม้ตอนนี้ก็จะยังโง่อยู่ แต่ก็พัฒนาขึ้นมาก)
  • ฝึกพิมพ์สัมผัส เว็บนี้ดีมาก https://www.thaiedu.net/ 

25 ก.พ.​67

  • น่าจะเพิ่มกิจกรรม อ่านนิยาย วันละ 30 นาที หลังจากที่ได้ลองอ่านก็เจอศัพท์ดีๆ สำนวณการพูดในชีวิตประจำวันเยอะเลย ซึ่งจะต่างกับสำนวณการเขียน textbook
  • เข้าใจปัจจัยที่ทำให้ใช้ ereader อ่านหนังสือได้ทุกเวลาแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ขณะเดิน คือ ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ ประมาณ 7-10 mm เพื่อลดการเพ่งและการโฟกัสของตา  เทคนิคนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้สามารถอ่านหนังสือได้ตลอดเวลาได้ด้วย
    • แต่ก่อนที่อ่าน textbook หรืออ่านพระไตรปิฎก ด้วย ereader จบหลายร้อยหลายพันหน้า ก็ทำแบบนี้แหละ
    • แต่ถ้าเป็นหน้าจอคอม ก็ปรับให้ใหญ่เท่าที่จะมากได้ แต่อย่ามากเกิน วัดจากการที่ยังสามารถกวาดสายตาจากซ้ายไปขวา ได้โดยที่ยังไม่ลำบาก
      • (ความเห็นส่วนตัว)โดยระยะกวาดสายตา ไม่ควรเกินกระดาษ A4 เมื่อเทียบกับความกว้างของกระดาษ A4 เมื่อมองจากความห่าง 1 ช่วงแขน
      • คือจะอยู่ห่างจากหน้าจอเท่าไหร่ก็แล้วแต่ จะขยายตัวอักษรหรือหน้ากระดาษเท่าไหร่ก็ได้ แต่ความกว้างของหน้ากระดาษบนจอที่เหมาะสม ให้เทียบกับความกว้างของกระดาษ A4 เมื่อถือในระยะสุดช่วงแขน
  • วันนี้สมาธิดีขึ้นแฮะ น่าจะเป็นเพราะ เมื่อวานเป็นวันอด เลยได้ฟื้นฟูตัวเอง แต่ก็แสดงว่า วันที่กินอาหาร ไม่ควรกินเกิน 12 ชม หรือเปล่านะ ไม่อย่างนั้นจะเสียสุขภาพ
    • ฟังหลวงพ่อปราโมทย์ การปฏิบัติไม่ได้เน้นที่สมาธิ ถ้าฝึกสมาธิผิดจะกลายเป็นโมหะ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อการปฏิบัติ
    • การอ่านนิยาย หรือ อ่านหนังสือเยอะๆ มีส่วนช่วยให้สมาธิดีขึ้นหรือเปล่านะ? น่าจะเป็นการฝึกสมาธิอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำได้ง่ายๆ แม้จะไม่ได้สมาธิลึก แต่ก็ไม่อันตรายในการทำให้เกิดโมหะ และเพียงพอที่จะอยู่กับโลกและใช้ทำงานได้ดี
  • วันนี้เริ่มอ่านนิยายอังกฤษแล้ว อ่านทั้งวัน ในเวลาว่าง ทุกครั้งจะหยิบ ereader มาอ่าน ตอนกินข้าวก็ด้วย รู้สึกเพลิดเพลินดีมาก สิ่งสำคัญคือการขยายตัวอักษรให้ใหญ่ๆ เพื่อให้สายตาไม่ต้องทำงานหนัก
  • วันนี้ลองกิน 6 มื้อ ปกติ ดูว่าพรุ่งนี้เป็นวันอด จะมีแรงอ่านหนังสือได้ทั้งวันไหม
  • สิ่งสำคัญในตอนนี้คือ อ่านๆๆ หนังสือให้ได้มากที่สุด และ อีกอย่างคือ หาวิธีหาความรู้ในด้านต่างๆ แต่ก็ต้องเริ่มจากการมีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้นๆ ซึ่งก็ล้วนมีรากฐานจากการอ่านๆๆ ไม่ใช่จากการสรุปจากวีดีโอใน youtube นะ
    • การมีทักษะในการหาความรู้นั้นสำคัญมากๆ

24 ก.พ.​ 67

  • ถ้ามีคนรบกวนสมาธิเรา แต่เราไม่ได้ใส่ใจอะไร แล้วอยู่กับการเรียนต่อไป เราก็ยังคงมีสมาธิเหมือนเดิม แต่หากเราไปหงุดหงิดกับสิ่งเหล่านั้น เราจะเกิดความคิดปรุงแต่งต่างๆนานา แล้วเราจะเสียสมาธิเอง และเสียสมาธิไปกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆง่ายขึ้น
  • วันนี้เป็นวันอดไม่มีแรงอ่านหนังสืออีกแล้ว น่าจะต้องกลับมากิน 6 มื้อ ในวันกินอาหาร ช่วงก่อนหน้าที่กินจนน้ำหนักขึ้น น่าจะขึ้นเพราะมวลกล้ามเนื้อ (เดิน และปั่นจักรยานเยอะ) ไม่ใช่ไขมัน ดังนั้น หมายความว่า ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องลดน้ำหนักหรอก ก็กินให้ได้6 มื้อ ในวันที่กินอาหาร เพื่อให้ได้เฉลี่ย 3 มื้อต่อวัน ตามปกติ
  • ภาษาแมว https://youtube.com/shorts/ca13IKFYTUA?si=iL9Qb9zTGYnEIL5L 
    • "xu" ชู่ว.. can you plese stop doing this?
    • "Si" ซี่.. stop it now I am getting mad!
    • "ke" คี..(ออกเสียงแบบไม่มี ค. มีแต่เสียงลม) stop it or I will kill you!
    • https://youtube.com/shorts/ca13IKFYTUA?si=iL9Qb9zTGYnEIL5L 
  • วันนี้กลับบ้านเร็ว แต่ทำไมรู้สึกไม่รู้จะทำอะไรนะ

23 ก.พ.​ 67

  • วันนี้นั่งสมาธิตอนเช้า แต่ไม่ค่อยมีสมาธิมากเท่าไหร่
  • วันหนึ่ง อาจจะศึกษาได้ 2 อย่าง ตอนเช้า เป็นวิชาหลัก(Major) พอกลับมาอยู่ที่หอพัก เป็นวิชาเสริม(Minor)
  • หลังจากได้ลองศึกษาเรื่องการเทรด ก็รู้สึกว่ายิ่งล่องลอยมากขึ้น อาจเป็นเพราะไม่ใช่สิ่งที่ชอบ เลยทำให้สมองไม่เอามาคิดในเวลาว่าง ในเวลาว่างก็เลยตกอยู่ในสภาวะสมองโล่ง เอ๋อๆ ถ้าเทียบกับเวลาที่เราทำงานที่ชอบ หรือ เรียนในสิ่งที่ชอบ ก็จะยังเก็บมาคิดในเวลาว่าง เช่น โปรเจคที่ทำจะต้องปรับปรุงอะไรอีก หรือ คิดแก้โจทย์ programming ในใจ เราอาจจะต้องกลับไปอ่าน programming สินะ
    • น่าสนใจเหมือนกัน หากจะทดลองดูว่า การศึกษาในสิ่งที่ชอบอย่างเดียว และ จริงจัง จะเปลี่ยนชีวิตไปในทิศทางไหน
    • แต่ประเด็นอาจไม่ใช่เพราะไม่ได้ศึกษาสิ่งที่ชอบหรอก แต่เพราะ ไม่ได้เพียรพยายามมากพอ ต่อให้สิ่งที่เราศึกษาไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ แต่ถ้าเราเพียรพยายามมากพอเราก็จะไม่รู้สึกล่องลอยแบบนี้
      • แต่ในการศึกษาในสิ่งที่ชอบเป็นตัวช่วยอย่างมาก ทำให้ความเพียรพยายามของเราง่ายขึ้น เพราะ ทำในสิ่งที่ชอบ ทำให้เราสามารถจดจ่อ มีสมาธิกับเนื้อหาได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์ และทำได้นานโดยไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย
  • ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถอ่านหนังสือ หาความรู้ได้ตลอดเวลา เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน
    • อ่านในสิ่งที่ชอบ จะอ่านได้ตลอดเวลา
    • การอ่านหนังสือจะช่วยทำให้สมาธิดีขึ้นไหมนะ หรือ ต้องฝึกสมาธิก่อน ถึงจะอ่านหนังสือได้ดี
      • คิดว่าเป็นคนละอย่างกัน ต้องทำควบคู่กันไป
        • การอ่านจะฝึกให้สมองแข็งแรงขึ้น เหมือนเวลาเราออกกำลังเพื่อฝึกกล้ามเนื้อ ทำให้ทนทานขึ้น ทำงานได้นานขึ้น
        • ส่วนสมาธิ จะช่วยให้จดจ่อกับเนื้อหาได้ดีขึ้น เหมือนเวลาเราเล่นกีฬา เช่น แบตมินตัน เราสามารถตบลูกได้ตรงจังหวะทำให้ลูกตบมีประสิทธิภาพ หยอดลูกหน้าเน็ตได้พอดีแม่นยำ เป็นต้น
  • วันนี้ได้เดินผ่านคณะแพทย์จุฬาฯ ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ความเพียรพยายามของเราลดลงมาก ถ้าเทียบกับการเรียนแพทย์ ต้องมีความอดทน ทั้งทางกายและใจ อ่านหนังสือตลอดเวลาไม่มีเวลาพัก(บางที แม้แต่ตอนกินข้าวก็ยังต้องอ่าน)
    • อาจจะเป็นความเพียรพยายามที่ทำให้เรายังคงรู้ว่าเราเป็นใคร ไม่ใช่เรารู้ว่าเราเป็นใคร ถึงค่อยเพียรพยายาม เพราะ จริงๆ มันไม่มีใครเลยอยู่แล้ว ความคิด ความจำ ร่างกาย มันเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งของสภาวะธรรมหนึ่งๆ มารวมกัน เกิดแล้วก็ดับ
    • ความเพียงพยายามก็ไม่เที่ยง ช่วงหนึ่งขยัน ช่วงหนึ่งก็กลับขี้เกียจได้ ช่วงหนึ่งเพียรมาก อีกช่วงเวลาหนึ่งก็อาจเพียรน้อยได้
      แต่อย่างไรก็จะต้องเพียรพยายามให้ถึงที่สุด
  • หลังจากที่ได้ลองมาหลากหลายวิธี การเจริญสติเป็นหนทางเดียวในการพัฒนาชีวิต พยายามเจริญสติไว้ เป็นงานหลักของชีวิต
    • การที่เราพยายามแสวงหาความสำเร็จในชีวิต ก็เหมือนการถูกจูงจมูกเข้ามาเล่นเกมส์ชีวิต ซึ่งสุดท้ายก็จบลงที่การตาย และ สูญเสียทุกสิ่งที่เราแสวงหามา(แต่มันก็มีคุณค่า มีประโยชน์แบบโลกๆ อยู่ในการกระทำเหล่านั้น)
    • วิธีการที่ฉลาดที่สุด คือ ทำตามโลกได้ แต่อย่าหลงโลก ให้เจริญสติเป็นงานหลัก ส่วนทางโลก ก็ทำตามเหตุให้ถึงที่สุด คือ มีความรักในสิ่งที่ทำ ความเพียร ความอดทน สติปัญญา ส่วนผลก็ยอมรับตามเหตุปัจจัย
  • ถึงวันนี้จะพูดเรื่องการศึกษาในสิ่งที่ชอบ แต่ก็จะยังคงศึกษาเรื่องการเทรดตามแผนนะ เพราะ กำหนดเวลาไว้ 1 สัปดาห์เท่านั้น (จนถึงสักวันพุธหน้า)
    • ช่วงนี้ก็อ่าน programming ในเวลาว่างแทน(นอกเหนือจาก 8 ชม. หลัก ที่ศึกษาเรื่องการเทรด)

22 ก.พ. 67

  • ตกลงตอนนี้เราต้องการอะไรนะ คนรอบข้างต้องการ "การวางแผนอนาคตที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรม" ของเรา ส่วนเราต้องการ"พลังใจที่จะทำต่อ" ต่อให้มันเป็นการหลอกตัวเองก็เถอะ? อุตส่าห์ทำอะไรมาตั้งเยอะ เพียงแค่การสมัครสอบไม่ทัน เพราะมัวไปอ่านหนังสืออยู่ ก็ทำให้เราต้องเปลี่ยนสิ่งที่อ่าน/พยายามศึกษามาตลอด และ เพียงเพราะคนรอบข้างบอกว่าไม่มีอนาคต อย่างนั้นน่ะหรอ??
    • ประเด็นคือ ไม่มีรายได้​ การทำตามความฝันก็แทบไม่ต้องนึกถึง แต่พอมีเงิน ก็ขี้เกียจทำตามความฝัน เพราะ ไม่ได้เงิน และ "ดูเหมือน"ไม่มีอนาคต จะทำไปทำไม? จริงหรือไม่กันนะ!?
    • เหมือนตอนนี้เรา เปรียบได้กับเจ้าของบริษัทหนึ่ง ที่ตัดสินใจผิดพลาด ผู้ถือหุ้นก็พยายามเข้ามาควบคุมการตัดสินใจให้เป็นไปในทางที่เขาต้องการ พยายามทำให้เราสูญเสียการควบคุมตัวเราเองไป
    • บางคำแนะนำ ดูดี ดูมีเหตุผล แต่จริงๆมาจากคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ในการตัดสินใจ มักจะทำให้เราเสียเวลาหลงเชื่อ กว่าจะไหวตัวทัน ก็เสียเวลา เสียแรงใจไปเยอะ ไม่มีใครรู้จักตัวเรามากที่สุด และรักตัวเรามากที่สุด เท่าตัวเราเอง ต้องเชื่อมั่นตัวเองไว้ เชื่อมั่นในความรู้ความเข้าใจที่เราพยายามสั่งสมมามากมาย อย่าไปฟังความเห็นของคนไม่รู้จริง(เผลอๆ ไม่รู้อะไรสักอย่าง) แต่แต่งคำพูดให้ดูดี แนบเนียน เหล่านั้น ที่พยายามแสวงหาประโยชน์จากเรา
      • แม้แต่ปัญหาชีวิตง่ายๆ เขาเองก็ยังไม่มี"ปัญญา"มากพอ ในการมองปัญหาของเขาเองให้ออก แต่เขากลับจะมา จัดแจง พยายามควบคุมชีวิตเรา
      • อันนี้เป็น สูตรสำเร็จ วิถีปกติของ คนรู้น้อย ทั้งหลาย
    • ปัญหาจริงๆ คือ อย่าคิดเหมือนคนทั่วไป ถึงแม้จะไม่มีใครเชื่อใจเรา แต่ให้เราเชื่อใจในตัวเอง
      • คนทั่วไป จะทำอะไร ก็จะนึกถึงการหางาน เทรนด์ตลาดในปัจจุบันเป็นอันดับแรก แต่สิ่งเหล่านี้มันเหมือนเป็นการถูกจูงจมูกไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด แล้วใครเป็นคนจูงจมูกคนอื่นล่ะ???
      • เชื่อใจในตัวเอง คือ ทำในสิ่งที่เรารัก เช่น ตัวเราเอง อ่านตำราคอม สามารถอ่านได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ แม้จะเต็มไปด้วยคำสั่งมากมาย ที่'คนทั่วไป' หรือ มนุษย์มนา ไม่อ่านกัน เรากลับรู้สึกอยากเรียนรู้และสนุกกับมัน แต่พอไปอ่านตำราเทรด หรือ ตำราความรู้อื่นๆ ที่คนทั่วไปอ่านกัน ก็แทบจะง่วงตลอด เป็นต้น มันก็แสดงให้เราเห็นอยู่แล้วว่า เราจะก้าวหน้าได้ด้วยสิ่งไหน รักสิ่งไหน ทำสิ่งนั้น ไม่ต้องตามเทรนด์ สุดท้ายเราอาจกลายเป็นผู้สร้างเทรนด์เสียเอง
  • วันนี้ตื่นสายอีกแล้ว ถ้าเราไม่ได้ใช้แรงกายมาก อาจจะลองนอนวันละ 4 ชั่วโมงดู ก็ดีนะ
    • ถ้าหากไม่มีสิ่งกระตุ้นจากภายนอก แล้วทำให้เฉื่อยชา ก็กระตุ้นตัวเอง เร่งความเพียร ด้วยการนอนให้น้อยลง
    • นั่งสมาธิตอนเช้าไม่ทัน เพราะ ตื่นสาย เลยไปนั่งบนรถสองแถว แต่ก็มึนๆ โมหะเยอะ เพราะ ไม่ค่อยมีสติ
  • จริงๆมีอีกทางเลือกหนึ่งคือ เทรด หาเงินให้ได้สัก 10 ล้าน แล้วไปเรียนต่อต่างประเทศ
  • เมื่อคืนกินมื้อดึก ตอน 2-3 ทุ่ม ตื่นมาเลยไม่สดชื่น ต้องพยายามกินก่อน 6 โมงเย็น
  • วันนี้ไม่ได้อ่านตำรา programming อ่านตำราเทรด ทำให้รู้อย่างหนึ่งว่า
    • ความชอบ ไม่ได้ทำให้สำเร็จในสิ่งๆหนึ่ง ในสิ่งที่เราต้องการ แต่เป็นวินัยในการทำอย่างต่อเนื่องต่างหาก
      • ตัวอย่างคือ ตัวเองไม่ได้ชอบการเทรด แต่กำหนดให้ตัวเองต้องอ่านมัน ไปเรื่อยๆ ทีละหัวข้อๆ ก็อ่านจบจริงๆ และได้ความรู้เอาไปใช้ได้จริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้ชอบอะไรนัก(กลางๆ ไม่ได้ชอบหรือเกลียด)
  • สาเหตุที่เราเฉี่อยชา เพราะ เราไม่ได้กำหนดเป้าหมายระยะสั้น เช่นว่า
    • ภายใน 1 สัปดาห์ จบตำราเทรด พร้อมหาเงิน
    • ภายใน 3 เดือน จบ algorithim + Java พร้อมทำงาน เป็นต้น
    • ภายใน 1 สัปดาห์​ เรียนพิมพ์สัมผัส
    • ภายใน 1 สัปดาห์​ ฝึก english listening
    • ภายใน 1 สัปดาห์​ ฝึก english speaking

21 ก.พ. 67

  • เมื่อเช้านั่งสมาธิ นั่งได้ประมาณ ​15-20 นาที ผลที่ได้คือ สามารถมีสติรู้ตัวได้มากขึ้นในชีวิตประจำวัน การอ่านหนังสือก็ดีขึ้น
  • นิสัยที่ไม่ดีบางอย่าง การจะเปลี่ยนแปลง บางทีอาจต้องมีสติยับยั้ง และฝืนตัวเอง
    • ฝืนใจเอาเวลาว่างมาอ่านหนังสือ แทนที่จะดูการ์ตูนเรื่อยเปื่อย
      • การฝืนใจแรกๆก็จะไม่ได้ perfect นะ คือ ไม่ได้มีสมาธิอยู่กับเนื้อหาเต็มที่ จิตใจกระสับกระส่าย อยากจะออกไปดูการ์ตูน แต่ให้ลองทำไปเรื่อยๆ จนตนเองสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น และ จะยอมรับมันเอง 
    • เคล็ดลับในการเปลี่ยนนิสัยคือ การทำ alternate day fasting เพราะ ทำให้เกิด neuroplasticity สูงขึ้น สามารถเรียนรู้และเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีได้(สมองส่วนที่ทำหน้าที่ในการใช้เหตุผล และการหักห้ามใจ มีการพัฒนาขึ้น ความสามารถในการควบคุมตัวเองดีขึ้น)
  • อ่าน textbook หอสมุด แต่ก็ทำให้หนังสือของเขาเก่าขึ้น มันจะดีไหมนะ หรือเราจะอ่านจาก ereader แทนดี แต่อ่านจาก ereader มีข้อเสียที่ เราไม่สามารถพลิกหน้าไปมา ย้อนกลับไปดูเนื้อหาเก่าได้ง่าย การเชื่อมโยงความเข้าใจจะน้อยกว่า
  • เพิ่งรู้ว่ามีรถสองแถวอยู่หน้าหอพัก สามารถไปได้ถึงมหาลัย โดยเดินอีกนิดหน่อย และค่าเดินทางเพียงเที่ยวละ 8 บาท เพิ่งรู้ว่าการใช้ขนส่งสาธารณะมันง่ายจริงๆ 555 รู้อย่างนี้ ก็ไม่เสียเวลาเดินทางเป็นชั่วโมงมาร่วมเดือน แถมยังเหนื่อยกับการเดินทางอีก
  • เหมือนกับว่า การจะเรียนตามหลักสูตร computer science ต้องมีเลขด้วย
    • https://github.com/ossu/computer-science 
    • จะทำอย่างไรดีนะ น่าจะต้องเรียนคู่กันไปทั้ง Mathematics, Algorithm, Linux, Network
    • แต่ต่อให้เราทุ่มเทแค่ไหน ถ้าไม่มี degree หรือ certificated โอกาสในการทำงานก็ยังน้อยกว่าคนที่มี degree อยู่ดี เพราะ ความรู้ที่เราได้มันไม่มีเกณฑ์หรือ มาตรฐานมารับรอง แต่ก็ช่างมันเถอะ ยังไงก็ทำในสิ่งที่ชอบให้ดีที่สุด
    • อีกวิธีคือเทรด หาเงิน เพื่อให้เลือกสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าได้ และครอบครัวไม่ต้องลำบาก และมีอิสรภาพทางการเงินระดับหนึ่งก็ไปเรียนชิวๆ
  • หอพักรูหนู: ฝุ่น ร้อน ชื้น อากาศไม่ถ่ายเท(มีหน้าต่างบานเดียว) คับแคบ อยู่แล้วเหนียวเหนอะหนะตัวตลอด เจ้าของไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ไม่ค่อยได้มาดูแล
  • ตั้งแต่ที่เราไม่ได้เตรียมตัวสอบเรียนต่อ รู้สึกเหมือนความอยากเรียนรู้ในสิ่งต่างๆลดลง ทั้งๆที่เวลาน่าจะมากขึ้น แต่สิ่งที่เรียนรู้ได้ในแต่ละวันมันลดลง ถึงแม้ว่าจะได้ศึกษาในสิ่งที่ชอบ แต่มันดูทื่อๆลง ในความรู้เรื่องอื่นๆ
    • เป็นเพราะ เราไม่ได้มีสิ่งกระตุ้นการเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ เหมือนวันๆก็เรียนตามแผนเท่านั้น ไม่ได้มีความท้าทาย บีบคั้นใดๆ ไม่ได้เจอใคร ไม่ได้เห็นไอเดียใหม่ๆ

20 ก.พ. 67

  • ช่วงนี้เริ่มเทรดได้กำไรบ้าง หลังจากที่อ่านตำรามากขึ้นๆ จริงๆ อ่านแค่เล่มเดียว คือ The 10 Essentials of Forex Trading - The Rules for Turning Trading Patterns Into Profit 2007 สอนครบ เขียนดี จบภายใน200กว่าหน้า
    • อย่างไรต่อให้ได้กำไร ก็ยังคงเป็นนักเทรดมือสมัครเล่นนะ เพราะ เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เราไม่ได้ชอบศาสตร์ด้านการเงิน แม้จะสามารถพอเรียนรู้ให้เข้าใจได้แต่ก็ไม่ได้ลึก ไม่เหมือนกับการเรียนด้าน programming ที่เราชอบ เราจะพยายามเรียนรู้ให้เข้าใจทุกซอกทุกมุม และ ลึกซึ้งในทุกด้าน ซึ่งต้องอาศัยการศึกษาจริงจัง มากมาย(อ่านตำรามากกว่า 10 เล่ม >10000หน้า)
  • ทำอย่างไรให้สามารถศึกษาด้าน programming เร็วขึ้นนะ
  • (ต่อจากเมื่อวาน) ทั้งนี้ พ่อแม่ ก็ยังเป็นคน ซึ่งยังมีกิเลส ไม่ใช่ว่าจะคิดหรือตัดสินใจได้ถูกทุกอย่าง(หลายๆเรื่องก็ผิดด้วย ตามระดับความเข้าใจในชีวิตที่มี) ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเราจะคิดเห็นไม่ตรงกับพวกท่านนะ เพียงแต่เราอย่าไปคิด หรือ ทำอะไรที่เป็นอกุศลกับพวกท่าน ลองมองในมุมมองของพ่อแม่ดู จะช่วยให้เข้าใจพวกเขามากขึ้น
  • พอเปลี่ยนมานั่งที่ ที่มีความเป็นส่วนตัว ก็มีสมาธิขึ้นมาก ต่างจากนั่งในห้องโถงรวม แบบจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย หมายความว่าต่อจากนี้ จะนั่งแต่ที่ส่วนตัว
    • ข้อเสียคือต้องแบกเสื้อกันหนาวไปด้วย เพราะ อากาศจะหนาวเหน็บต่างกันแบบลิบลับ
  • เริ่มคิดว่า น่าจะต้องศึกษาอย่างอื่นร่วมด้วย เพราะ ศึกษา linux อย่างเดียวไม่น่ารอด
    • Algorithm
      • อ่าน text ในคอม
    • ทดลองออกแบบ เว็บ, ทำ HTML, CSS template
    • ศึกษา Javascript
      • อ่าน text ในคอม
    • พิมพ์สัมผัส
    • Native english
      • อ่านตำราแกรมมา
      • อ่านนิยาย, manga

19 ก.พ.​67

  • ช่วงนี้อ่านได้ค่อนข้างช้า ต้องเร่งแล้ว
    • การเรียน function ทางด้าน programming ไม่ต่างจากการเรียนทฤษฎีบท คณิตศาสตร์เลย ส่วน algorithm ทาง programming ก็ไม่ต่างจาก การเรียนแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งต้องมีการฝึกฝนแก้ปัญหาจนชำนาญ
  • เมื่อวานหลังจากที่ได้ลองลดเวลาอยู่มหาลัย และกลับหอพักเร็วขึ้น ก็มีเวลาจัดการธุระส่วนตัว และ มีเวลาอ่านตำราเทรดแล้ว ส่วนproductivityโดยรวมดูเหมือนจะดีขึ้นนะ
  • อ่านหนังสือในที่มีคนเยอะๆมักจะเสียสมาธิ(ลานนั่งรวม) โดยเฉพาะนั่งหันหน้าเข้าหากัน ถ้าเลี่ยงไปอ่านในที่ห้ามใช้เสียงและมีฉากกั้นจะดีกว่า
  • หลายๆครั้งที่เราพยายามอะไรไปมากมาย พัฒนาตนเองไปเยอะ แต่ชีวิตก็ยังไม่ไปไหน อาจต้องลองสังเกตตัวเองว่า เรายังมีอะไรที่ทำไม่ถูกต้องหรือไม่ เช่น การตอบแทนผู้มีพระคุณโดยเฉพาะพ่อแม่ โดยส่วนตัวจะทะเลาะกับแม่ แล้วบางทีก็เผลอว่าแม่ไปบ้าง ซึ่งมันเป็นบาปที่หนัก มันจะประทับลงในจิตใจ จิตใจกระสับกระส่าย ไม่สงบเหมือนดังปกติ ทำให้เราทำอะไร ก็ไม่ประสบความสำเร็จ,​ รวมไปถึงการผิดศีล 5 อย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่งเป็นนิจ เป็นต้น
    • บางทีการจะประสบความสำเร็จ อาจจะไม่ต้องแสวงหาอะไรมากก็ได้ เพียงแค่คิดอยากจะตอบแทนพระคุณ ก็จะเกิดกำลังใจและหาหนทางประสบความสำเร็จได้เอง
    • ทั้งนี้ พ่อแม่ ก็ยังเป็นคน ซึ่งยังมีกิเลส ไม่ใช่ว่าจะคิดหรือตัดสินใจได้ถูกทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเราจะคิดเห็นไม่ตรงกับพวกท่านนะ เพียงแต่เราอย่าไปคิด หรือ ทำอะไรที่เป็นอกุศลกับพวกท่าน ลองมองในมุมมองของพ่อแม่ดู จะช่วยให้เข้าใจพวกเขามากขึ้น

18 ก.พ. 67

  • เพื่อไม่ให้ทำงานมากเกินไปจนเสีย balance เพราะ ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรือ ไม่มีเวลาจัดการชีวิตด้านอื่น จน productivity โดยรวมลดลง น่าจะกำหนดเวลาที่แน่นอน ในการไปมหาลัย คือ ออกจากที่พัก 8.00น กลับ 18.00 น(ไม่มากไปกว่านี้) เดินทางไปกลับ รวม 2 ชม มีเวลาอ่านหนังสือ 8 ชม
    • กลับมาบ้าน ก็จัดการธุระส่วนตัวอื่นๆ มีเวลาก็อ่านหนังสือต่อ จะเป็น programming หรือ สาขาอื่นๆอะไรก็ได้ตามสมควร เช่น เทรด ภาษาอังกฤษ​ ฯลฯ
  • ถาม google gemini มาเกี่ยวกับเรื่องการเรียน computer engineering ด้วยตนเอง https://g.co/gemini/share/09a300c9e897 พบว่า จริงๆ ถ้าเรียนตามหลักสูตรได้จะดีกว่า
    • อาจจะจริงเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ทั้งหมด บางคนที่เก่งๆ ก็สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองแล้วมาตั้งบริษัทได้เลย ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ถ้าเรียนตามระบบได้ก็จะดี

17 ก.พ. 67

  • ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้สังเกตตัวเองว่า ในเวลาว่าง เราเอาเวลาไปทำอะไร หากมันไม่เกิดประโยชน์ ให้พยายามหาวิธีเปลี่ยนแปลง
  • วันนี้ไปบริจาคเลือด ชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่าน้ำหนักขึ้นแฮะ จาก 45 มา 50 กก. แสดงว่าที่ทำ alternate day fasting แล้วรู้สึกไม่มีแรงในวันที่อดอาหารนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับการที่เรากินไม่พอนะ แต่น่าจะเกิดจากสมองล้าจากการไม่ได้ฝึกสมาธิมากกว่า
    • วันที่กินอาหาร เคยกินวันละ 6-8 มื้อ แม้จะกินวันเว้นวัน น้ำหนักก็ขึ้นได้
  • เมื่อเช้าดูหนัง การดูหนังมันเป็น ตัวกิเลส โมหะ เป็นส่วนใหญ่เลยนะ เพราะ ระหว่างดูเพลิน จะไม่รู้สึกตัวเลย ถึงแม้การดูหนังจะเหมือนการรับรู้ข้อมูลอย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากการอ่านหนังสือ (มีพอมีประโยชน์บ้าง แต่เน้นความบันเทิงมากกว่า)ก็เถอะ
    • แต่ไม่ใช่ว่าการไม่ดูหนังจะทำให้ สติเจริญขึ้นนะ อันนี้ต้องเกิดจากการเจริญสติปัฏฐานอีกที
  • ดูใน facebook แล้ว รู้สึกทัศนคติของคนส่วนใหญ่ที่เป็น programmer ในไทย มักจะอัพ skill เพื่อเงินเดือนเป็นหลัก มักจะคุยกันแต่ว่าภาษาไหนเงินเดือนดี บริษัทให้เงินเดือนเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับต่างประเทศ ที่จะมีพวกที่ชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งจริงๆ เช่น geek และ อยากทำประโยชน์จากการเขียนโปรแกรมของตนเอง จนเขียนโปรแกรม opensource, freeware ต่างๆ เป็นงานอดิเรก
  • วันนี้ลองพยายามอ่านตำราเทรดดู ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบอยู่ดี ผลที่ได้ก็คือ อ่านไปง่วงไป ทั้งๆทีจริงๆเนื้อหาหรือศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้มันไม่ได้ยากเลย อีกทั้งยังมีแค่ 200 หน้า ถ้าเทียบกับตำรา programming ที่มีเป็นพันหน้า
    • ความมั่นคงที่แท้จริง น่าจะเกิดจากการทำในสิ่งที่เราถนัด ซึ่งสิ่งที่เราถนัดมักจะเกิดจากสิ่งที่เราชอบ ถ้ารู้ว่าเราชอบอะไร ให้มุ่งไปในทางนั้นอย่างไม่ลดละ เพราะนั่นคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด
    • อาจเป็นเพราะเมื่อเช้าไม่ได้กินกาแฟด้วย หรือไม่ก็เป็นเพราะเมื่อเช้าไม่ได้เดินออกกำลังกาย(นั่ง BTS มา)
  • วันนี้ง่วงตอนบ่าย เป็นเพราะ ลองเดินทางด้วย BTS ​และไม่เดิน หรือเป็นเพราะไม่ได้ดื่มกาแฟนะ
  • วันนี้เริ่มอยากอ่านตำราโปรแกรมมิ่ง ตอนกลับจากมหาลัยมาอยู่ห้องแล้ว(ปกติถ้าเป็นตำราวิชาอื่นจะไม่อยากอ่าน อยากดูแต่การ์ตูน)
  • ปัญหาของเราในช่วงนี้ที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรงทำอะไร ไม่ได้เกิดจากการกินอาหารไม่พอ(น้ำหนักตัวขึ้นมา 5 กก) แต่เพราะ เราไม่ค่อยได้พักผ่อนจิตใจด้วยการทำสมาธิ ทำให้จิตไม่ได้พัก ไม่มีกำลัง ส่วนหนึ่งคือ กิจวัตรประจำวันที่ไม่เอื้อต่อสมาธิ เช่น อินเทอร์เน็ต,​ การไปมหาลัยแต่เช้าและกลับดึก จนไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน
    • วิธีแก้คือ จำกัดเวลาอยู่มหาลัย ไม่เกิน 6 โมงเย็น
  • เรื่องเงินล้านแรก คงไม่น่ากล้ารับประกัน เพราะ หลังจากวิเคราะห์ตนเองแล้ว เราไม่ได้มีนิสัยรักเงินเท่าไหร่ คนกลุ่มที่มีนิสัยรักเงินจะชอบการลงทุน หรือชอบการหาเงินตั้งแต่เด็ก แต่เราชอบคอมพิวเตอร์ ชอบศึกษาการทำงานของโปรแกรมตั้งแต่เด็ก มากกว่า ถ้าตั้งเป้าหมายด้านคอม เช่นว่า จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Network security, programming หรือสิ่งใดๆที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อย่างนี้พอกล้ารับประกันอยู่
    • แต่ชีวิตที่ลำบาก เพราะ ยังไม่มีเงิน สักที ก็เป็นปัญหาได้เหมือนกันนะ
    • เอาจริงๆมันก็น่าตลกนะ มันจะไปยากตรงไหนนะ กับเงินเพียงแค่นี้ เราเรียนมาตั้งเยอะ ความรู้ก็ไม่น้อย ทำไมจะหาเงินไม่ได้ การเทรดมันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก

16 ก.พ. 67

  • ทำอย่างไรจึงจะมีเงินล้านแรก
    • เทรด - ไม่ต้องใช้ปัจจัยทางกายภาพ, แต่ใช้ mental effort เยอะ,​ต้องเรียนรู้เหมือนศาสตร์อื่นๆ เช่น วิศวกรรม, การแพทย์ เป็นต้น ซึ่งใช้เวลาเรียนกันอย่างน้อย 4 ปี อ่านตำราตามลำดับ
    • ทำในสิ่งที่ชอบ - อาจต้องใช้เวลาหน่อย ตามความรู้ที่มี แต่ก็เป็นทางที่มันคง เพราะ ด้วยสามารถ ด้วยความชอบ ของเราเอง จะเป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ
  • วันที่ Fasting จะหนาวง่าย วันที่กินอาหารจะร้อนง่าย
  • เมื่อวานกิน 5 มื้อ วันนี้ไม่ค่อยมีแรงอ่านหนังสือ หรือเราจะเปลี่ยนมาเป็นกินก่อนเที่ยงทุกวันดู ดีไหมนะ
  • ดูเหมือนสมาธิจะมีผลต่อการอ่านมากๆเลย วันนี้ลองนั่งตรงที่ ที่มีคนพลุกพล่าน และ มีเสียงคนคุยกันจอแจ ก็พบว่าอ่านหนังสือไม่มีสมาธิ ทำความเข้าใจเนื้อหาไม่ได้เลย แต่พอเปลี่ยนมานั่งในที่ห้ามใช้เสียง และมีที่กั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว ก็กลับมาเข้าใจเนื้อหาที่อ่านได้อย่างดี
  • วิธีการอ่านไปด้วยทำสรุปไปด้วย ได้ผลดีมากๆ เพราะ เนื้อหาทุกจุดที่มีความสำคัญ ต้องผ่านสมองและสองมือของเราพิมพ์สรุป
  • กับเพียงแค่จัดการกิจวัตรประจำวันทั่วไป ก็เหนื่อยแล้ว เราควรทำอย่างไรดีนะ?!! กลับจากมหาลัย ตอน 1 ทุ่ม ถึงหอพัก 2 ทุ่ม ธุระส่วนตัว อาบน้ำ ล้างกระติกน้ำ ซักผ้าวันเว้นวัน
  • ลองงดดูหนัง เสพสิ่งบันเทิงดูว่าเวลาในชีวิตจะมากขึ้นไหม แล้วจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ไหม
    • เริ่มเอาเวลาที่มากขึ้น 30 นาที มาวิเคราะห์ตนเอง ด้วยเหตุและผล เกี่ยวกับเรื่องการเสียเวลาชีวิต และแผนการณ์ต่อไป
    • เววลาที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย วันละ 30 นาที จากการงดดูหนัง จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยการเอามาวิเคราะห์ตรวจสอบตนเองอยู่เสมอๆ

15 ก.พ. 67

  • อ่านหนังสือจากกระดาษ หรือ จากหน้าจอ E-ink อย่างไรก็อ่านได้ดีกว่า หน้าจอ ถึงจะเป็นจอ Macbook pro ก็เถอะ
  • วันนี้เริ่มอ่านตำราภาษาอังกฤษได้ไหลลื่นขึ้นแฮะ(จำนวนหน้าเพิ่มมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้ความพยายามในการอ่าน มากเท่าวันก่อนๆ) เป็นเพราะ Alternate day fasting หรือเปล่านะ ทำให้มี neuroplasticity สูง สามารถปรับเปลี่ยนskillตาม environment
    • ไม่ใช่ เป็นเพราะ ได้เริ่ม ฝึกสมาธิ เช้า-เย็นต่างหาก

14 ก.พ. 67

  • จริงๆก็เจ็บปวดเหมือนกันนะ กับการที่ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ หมายความว่าเรา ไม่มีโอกาสได้มีเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาในสาย programming
    • แต่อย่างไรก็ตาม หากเราพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งอย่างไร เราก็จะได้เจอกับคนเก่งๆ ทำงานด้วยแน่นอน
  • ปัญหาของการไม่ได้มีข้อกำหนด หรือ สิ่งกระตุ้นในชีวิต เช่น การสอบ, การเรียน ทำให้เราล่องลอยพอสมควร และเฉื่อยชา ต้องอาศัยวินัยและการควบคุมตัวเอง
  • การศึกษา Linux programming น่าจะต้องจบภายใน 1 เดือน ตกบทละ 2 วัน
  • อ่านไปด้วยทำสรุปไปด้วย ข้อดีคือ ทำให้เราสามารถทวนเนื้อหาได้ง่าย ไม่ต้องตามไปไล่อ่านใหม่ และ การที่กลับไปทวนได้ง่ายทำให้จำได้ดีขึ้น

13 ก.พ. 67

  • แม้เราจะหมดสิทธิ์เรียนต่อในปีนี้ เนื่องจากสมัครสอบไม่ทัน แต่ช่วงที่เตรียมตัวอ่านหนังสือสอบทำให้เราได้ฝึกและรู้อะไรหลายๆอย่าง เกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง
    • ฝึกสมาธินั้นเป็นหัวใจสำคัญ ทำให้สมองไม่ล้าง่าย ความคิดมีพลัง เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ดี รวมถึงมีความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียในการแก้ปัญหาดีๆ ต่อให้เก่งและมีสติปัญญาดีแค่ไหน แต่ก็จะมีวันที่สมองล้า ไม่มีสมาธิได้ ซึ่งถ้าฝึกสมาธิทุกวัน สมองจะมีพลังทุกวัน
      • ฝึกสมาธิทุกวัน หลังตื่น-ก่อนนอน
    • ต่อให้ Textbook เป็นพันหน้า ก็อ่านจนจบได้ โดยส่วนใหญ่ อ่านหนังสือ ให้กำหนดเป้าหมายเป็นช่วงๆ แบ่งเป็นบทๆ เช่นว่า บทนี้กี่สัปดาห์ แล้วอ่านไปเรื่อยๆทีละหัวข้อ จนจบทีละเรื่องย่อยๆ อย่าอ่านหลายอย่างมากเกินไปจนไม่จบสักอย่าง
      • พยายามกำหนดแผนเป็นช่วงระยะสั้นๆ ไปเรื่อยๆๆ
    • พยายามนึกถึงเป้าหมายของเราไว้ จะทำให้เราไม่เถลไถล เช่น ตอนเตรียมตัวสอบ ก็นึกถึงเป้าหมายของการสอบติด รวมถึงปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ที่จะตามมา เป็นต้น ทำให้ไม่เถลไถลไปทำเรื่องเสียเวลาไม่เกี่ยวข้องอื่นๆ
      • ตอนนี้ก็คงจะต้องเร่งศึกษาทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้ 
  • syllabus course ของ Electrical engineering and computer science ของ MIT https://student.mit.edu/catalog/m6a.html
  • การเรียน programming principle มักจะเริ่มศึกษาจาก ระบบในอดีต เช่น Linux kernel version แรกๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจระบบการทำงานได้ง่าย เพราะ โปรแกรมรุ่นเก่าจะมีโค้ดไม่กี่พันบรรทัด ไม่ได้ซับซ้อนเหมาะกับการศึกษา ส่วนรุ่นใหม่ๆจะมีการพัฒนามาเรื่อยๆ จนซับซ้อนและมีจำนวนโค้ดมากเกินไป(เป็นแสนบรรทัด)
  • แผนการณ์ในตอนนี้คือ อ่านหนังสือในห้องสมุดให้ได้มากที่สุด เพราะ มีหนังสือน่าอ่านมากมาย
  • ม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องอยู่กับสติ สมาธิ อยู่กับการรู้สึกลมหายใจให้ได้ ตลอดเวลา มันแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตได้
  • ถ้าชีวิตพบกับปัญหา แล้วเรายอมแพ้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น มันก็มีแต่พยายามทำต่อไปเรื่อยๆ โอกาสอะไรที่เสียไปก็อย่าไปยึดมัน
  • เริ่มเทรดได้กำไรบ้างแล้ว
    • จุดเข้า ใช้เส้นMA 25, 50(ดูหน้างาน เส้นไหนเหมาะก็ใช้เส้นนั้น) ใน TF 1h โดยหาก แท่งเทียนปิด ยืนเหนือเส้น ก็long หากปิดใต้เส้น ก็short โดยถือไปเรื่อยๆ
      • หรือ ใช้ร่วมกับปัจจัย เทรดตามเทรนด์หลัก ก็จะมีโอกาสถูกมากขึ้นด้วย
      • พิจารณาเป็นกลุ่มแท่งเทียน ก็จะชัวร์ขึ้น แต่บางสถานการณ์ กราฟอาจจะตัดขึ้นลงแบบเป็นแท่งเทียนเดี่ยวๆ (มักพบเวลา sideway ในกรอบแคบ)
    • จุดออก หากแท่งเทียนกลับมาตัดเส้น MA ก็ออก
    • หลักๆคือใช้เส้น MA เป็นตัวหาจุดเข้าจุดออก แต่จะเทรดอย่างไร จริงๆอย่าไปยึดหลักการข้างบนมาก เพราะ ไม่มีหลักตายตัว มีปัจจัยในการเทรดมากมายมหาศาล ซึ่งแตกต่างไปในแต่ละกราฟ การจะใช้หลักการข้างบนไม่มีทางเหมาะกับทุกการเทรด ให้ใช้ MA ประกอบการวิเคราะห์แต่ละกราฟ หน้างานไปเลย(อย่าใช้แบบท่องจำตามหลักการข้างบน)

12 ก.พ. 67

  • เหมือนตอนนี้เกิดปัญหา คือ สมัครสอบไม่ทัน เนื่องจากไม่ค่อยได้เข้าไปอัพเดตข่าวสาร ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อในด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์แล้ว เพราะ ถ้าจะสมัครใหม่อาจต้องรอปีหน้า ซึ่งคงจะช้าเกินไป เราคิดว่า คงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาระบบการศึกษาแล้วล่ะ(แต่จะสมัครใหม่ปีหน้าไหม คงต้องคิดอีกทีนะ)
    • เราน่าจะมาเริ่มศึกษาด้วยตนเองเลย มีตำราต่างประเทศมากมายที่เราสามารถอ่านได้(เนื่องจากฝึกภาษาอังกฤษมาตลอด) ซึ่งสามารถเรียนตาม Syllabus ได้เลย อาจจะทำให้เราเรียนรู้ด้วยตนเองได้เร็วกว่าในมหาลัยก็ได้
      • ข้อเสีย
        • อาจจะเป็นเรื่องคนรู้จักในวิชาชีพนี้ ซึ่งหากเราเรียนด้วยตนเองจะไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ แต่ถ้าเรามีความสามารถ มีผลงาน(portfolio) คนอื่นก็น่าจะยอมรับเราได้ไม่ยาก
        • บางรายละเอียด เราอาจจะไม่ได้เข้าใจเท่าเรียนกับผู้สอน หรืออาจไม่ได้เน้นในบางจุดสำคัญๆ อาจทำให้ไม่ได้รายละเอียดหรือความเข้าใจเท่าเรียนจริงๆ
  • สิ่งที่จะศึกษาด้วยตนเองในเบื้องต้น
    • เทรด
    • Algorithm
    • C++, python
    • Linux
    • ภาษาอังกฤษ - น่าจะต้องอยู่ในระดับที่ไปอยู่ต่างประเทศได้เลย(Native English)
  • พอเข้าใจแล้วว่า สาเหตุที่ช่วงก่อนหน้าอ่านหนังสือได้ดี เพราะ นั่งสมาธิ วันนี้พอลองทำสมาธิก็กลับมาอ่านหนังสือได้ดีขึ้น ไม่ได้เกี่ยวกับ Fasting ทั้งหมด

11 ก.พ.​67

  • social media หากจะอัพเดตข่าวสาร จริงๆจะมีข่าวสำคัญๆจริงๆ เพียง สัปดาห์ละไม่เกิน 1 ข่าวใหญ่หรอก นอกนั้น90% มักจะมีแต่เรื่องไม่ค่อยมีสาระอะไรเท่าไหร่ มักจะเป้นเรื่องซ้ำๆๆ
    • ปัญหาคือ ถ้าเบื่อไม่มีอะไรทำ จะทำอะไรดี ถ้าไม่มีอะไรทำจริงๆ สุดท้ายก็กลับไปเล่นอยู่ดี
  • ปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ น่าจะเกิดจากการใช้งานหน้าจอมากกว่า ไม่เกี่ยวกับการกินมื้อดึกขนาดนั้น เพราะ วันที่อด ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน แต่จะใช้งานหน้าจอตอนค่ำเยอะ ในทุกวันที่นอนไม่หลับ
    • วันนี้ เปิดโหมด night shift ในคอมหลังพระอาทิตย์ตก ก็กลับมาหลับได้ปกติแล้ว แม้จะกินมื้อดึก
  • วัตถุ, ความรู้ จะดีหรือไม่ดี จะราคามากหรือไม่มาก คุณค่าอยู่ที่คนใช้ สิ่งสำคัญคือการพัฒนาจิตใจ
  • หลังจากที่ไม่ได้ใส่แว่น แม้เมื่อคืนจะนอนน้อย ก็ไม่ได้มีปัญหาสายตาแล้ว
  • หลังจากที่กินอาหาร วันนี้ก็มีแรงอ่านหนังสือ รวมถึงเจริญสติแล้ว กลับมาใช้ความคิดได้เต็มที่สุดๆเหมือนเดิมแล้ว
  • เคล็ดลับในการนั่งหลังตรงไม่พิงพนัก คือ ทำความเพียร
  • วันนี้ กินอาหารประมาณ 6 มื้อ

10 ก.พ. 67

  • วันนี้เป็นวันอด เมื่อวานกินไป 5 มื้อ
  • จะลองไม่ใส่แว่น อ่านหนังสือ ดูว่าปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อตาเหล่เข้ามากกว่าปกติ(divergence insufficiency) จะลดลงไหม และจะอ่านหนังสือทั้งวันได้ไหม แบบไม่มีปัญหาสายตามากวนชีวิต
    • เวลาที่ไม่ใส่แว่น จะรู้สึกตาเบาๆ เหมือนไม่ได้ใช้สายตาเพ่งจริงจังแบบเมื่อก่อน อาจเป็นเพราะ
      • (1) การเพ่งของเลนส์ตา (Accommodation) ลดลง รวมถึง
      • (2) Convergence ของ Medial rectus muscles ก็ลดลงด้วย ออกเป็นความรู้สึกขี้เกียจๆนิดนึงนะ แต่จริงๆน่าจะเป็นเพียงความรู้สึกแหละ 
      • (*) ซึ่งสำหรับเราที่มีค่า AC/A เพียงแค่ 2:1 ซึ่งน้อยกว่าค่าปกติมาก และ มีภาวะ muscle convergence มากกว่าปกติ(too much)ในขณะมองใกล้ การลดค่า Accommodation ลงด้วยการไม่ใส่แว่น ก็จะช่วยลดการเกิดการเหล่เข้าที่มากเกินไป และ เข้าสู่ภาวะปกติได้ง่ายขึ้น
        • ข้อมูลอันนี้ได้มาจากการตรวจตาและกล้ามเนื้อตากับนักทัศนมาตรนะ ในระยะยาวหากไม่ดีขึ้น อาจต้องใช้เลนส์ progressive ที่มี addition ประมาณ 100 มั้ง(เท่าที่จำเลขได้)
      • มันเป็นการยอมเสียการมองเห็นระยะไกล เพื่ออ่านหนังสือในระยะใกล้
  • เปิดคอมแล้วเพลิน ไม่อ่านหนังสือ ต่อให้เป็น Macbook ก็เถอะ ก็พยายามเปิดเท่าที่ต้องใช้ และไม่เปิดทิ้งไว้นานๆ ให้พับหน้าจอลง
  • ตอนเที่ยงครึ่ง เริ่มมีสมาธิขึ้นมาแล้ว,​ หลังจากที่เริ่มยอมรับว่ามองอะไรไกลๆไม่เห็น ไม่สามารถรู้อย่างแน่ชัดว่ารอบข้างเขาทำอะไรกัน ก็เริ่มอยู่กับตัวเองแทน
  • ไม่ว่านั่งท่าไหน พยายามนั่งหลังตรง อย่าเลื้อย
  • ข้อดีของการกำหนดเป้าหมายให้สูง จนแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึง คือ ทำให้เรา อย่างน้อยก็ได้ไปสู่จุดที่สูง แม้จะรองลงมาก็ตาม เหมือนคำพูดที่ว่า ต่อให้ไปไม่ถึงดวงดาว ก็ยังได้ไปถึงดวงจันทร์
  • เวลาทำเลข จะได้ประโยชน์มากที่สุดคือ คิดเยอะๆ ใช้ความคิดเยอะๆ ทำความเข้าใจเยอะๆ ต่อให้ถึกเยอะๆก็ไม่ได้อะไร ถ้าไม่เข้าใจก็ได้แค่ความจำ ซึ่งมันจะลืมได้อยู่แล้ว แต่ความเข้าใจจะทำให้เราสามารถพิสูจน์ทฤษฎีบทที่ลืมไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ได้
  • อาจจะลองอยู่ในห้อง แล้วกินอาหารมากขึ้นให้เพียงพอดีไหมนะ เหมือนวันนี้จะไม่มีแรงอ่านอีกแล้ว
    • สรุปว่าที่เมื่อวานกินไป 5 มื้อ นั้นไม่พอ ต้องอย่างน้อย 6 มื้อ น่าจะพอดีที่สุด
      • กินทุก 2 ชั่วโมง ในช่วง 10 ชม ก็จะได้ 6 มื้อ พอดี?
      • กิน 3 มื้อ ใหญ่ ให้ได้ปริมาณ 2 เท่า? น่าจะลองวิธีนี้ดูนะ เช่นว่า กินข้าวแล้ว ก็กิน นมกับขนมปัง เสริม เป็นต้น
  • วันนี้ หลังจากที่ลองไม่ใส่แว่นตาดู เพื่อให้กล้ามเนื้อตาทำงานน้อยลง สิ่งที่ได้พบคือ สามารถอ่านหนังสือรอบดึก ได้โดยไม่รู้สึกติดขัดแล้วนะ ปกติสายตาจะไม่สามารถโฟกัสกับการอ่านได้แล้ว เมื่อตกเย็น ตอนนี้ยังทำได้เรื่อยๆ สบายๆ
  • หรือสาเหตุที่เรานอนไม่ค่อยหลับในช่วงนี้ อาจเป็นเพราะ เราใช้งานหน้าจอก่อนนอน โดยไม่เปิด night shift mode ไม่ได้เกี่ยวกับการกินมื้อดึกหรือกินเยอะไปเท่าไหร่นะ!? เพราะ บางคืนไม่ได้กินอะไร ก็ยังนอนไม่หลับ!!!

9 ก.พ. 67

  • เพิ่งรู้ว่าตัวเองก็ย่อยนมวัวไม่ได้ เพราะ ช่วงที่ดื่ม จะเหมือนมีท้องเสียนิดๆตลอด พอเลิกดื่มก็หาย
  • ช่วงชีวิตตอนนี้ที่ต้องอ่านหนังสือทั้งวัน วันละ 10 ชม เพื่อเตรียมสอบ จริงๆ รูปแบบชีวิต หรือ นิสัยนี้ เอาไปใช้ในการทำงานในอนาคตได้เลยนะ แบบที่คุณ ท๊อป จิรายุ (bitkub) เคยบอกไว้ https://www.youtube.com/watch?v=NP5l_PkQgOY ว่าเขา ในช่วงเรียนมหาลัย อ่านหนังสือวันละ 12 ชม ทุกวัน จนกลายมาเป็นนิสัยการทำงาน
  • วันนี้เป็นวันกินอาหารปกติ ไม่มีสมาธิอ่านหนังสืออีกแล้ว แต่เหมือนจะ มีหลักการอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้อยู่ได้ในทุกที่ทุกสถานการณ์ คือ สำรวมอินทรีย์ คือ สำรวมระวัง ตา หู​จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเป็นไปได้ ก็อย่าไปดู อย่าไปฟัง อย่าไปสนใจ สิ่งรอบข้าง หรืออย่างน้อยถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องคอยมีสติรู้ทันจิตที่ออกนอกไปทางอายตนะ ไม่อยู่กับตัว เพียงเท่านี้เราก็จะมีสมาธิ มากเท่าที่เราจะมีได้ โดยไม่มีการรบกวนจากสิ่งรอบข้าง
    • เราจะป้องกันปัจจัยที่เราพอที่จะป้องกันได้ แต่จะมีสมาธิมากแค่ไหนกับการอ่านหนังสือ ก็สุดแท้แต่ ที่เราทำได้ก็คือยอมรับมัน
  • การเรียนเลข จะมีสองส่วน ส่วนแรกคือ เรียนรู้ และ อีกส่วนคือทำโจทย์ ในส่วนแรก คือการเรียนรู้ จะค่อนข้างยาก เพราะ เราต้องเรียนรู้และยอมรับสิ่งใหม่ๆ ในส่วนที่สองจะง่ายกว่า เพราะ การทำโจทย์เป็นเพียงการนำสิ่งที่เราได้เรียนรู้ออกมาใช้ให้คล่อง
  • สาเหตุหนึ่งที่วันนี้อ่านหนังสือได้ไม่ดี เพราะ มีปัญหาตาแห้งด้วย(แสบตา ส่องกระจกเห็นตาแดง) อาจเป็นเพราะ วันนี้ตื่นเช้าเลยนอนน้อยลงกว่าปกติ แล้วร่างกายปรับตัวไม่ทัน
    • ใช้วิธีการพักสายตา ด้วยการหลับตา 10 นาที แล้วดีขึ้นแฮะ แบบตรงจุดมากๆๆ
  • ถึงแม้จะเป็นงานที่เราชอบและถนัด ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ชีวิตของเราสุขสบายแต่อย่างใด อย่าคาดหวังความสุขสบายจากการทำงาน ถ้าทำงานแล้วมีแต่ความสุขสบาย แสดงว่าเรากำลังไม่เกิดการพัฒนา
  • อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราเสียสมาธิได้ง่าย คือ เสียงรอบข้าง บางทีการใส่หูฟังแบบ ear plug แบบไม่ได้เปิดเพลง เพื่อตัดเสียงรบกวนภายนอก ก็ช่วยให้กลับมาสมาธิดีขึ้นมากเลย
    • ที่ไม่เปิดเพลงเพราะ บางทีเพลงทำให้ ความสามารถในการคิดลดลง เพราะ กำลังไปฟังเนื้อเพลงอยู่
    • สรุปคือ แค่ปิดหู สมาธิเราก็ดีขึ้นมากๆ
  • ปัญหาการอ่านหนังสือในปัจจุบัน
    • ช่วงที่ผ่านมาการอ่านหนังสือของเราช้าลงเยอะเลยนะ เป็นเพราะพลังงานเริ่มไม่พอหรือเปล่านะ
    • นอกจากนี้เรารู้สึกว่าเราเองค่อนข้างเปราะบางมาก เพียงแค่นอนน้อย หรือ มีปัญหาใดๆ ก็ส่งผลต่อการอ่านของเราอย่างมากมายแล้ว
    • แต่ที่ผ่านมา การ Fasting ก็ช่วยให้เราพัฒนาขึ้นนะ เราสามารถทำโจทย์หรือแก้ปัญหา ที่มีความซับซ้อนขึ้นได้
      • ควรทำอย่างไรดีนะ?
      • สาเหตุที่เราเปราะบาง คิดว่าน่าจะมาจากปัญหาเรื่องของกล้ามเนื้อตา ที่ล้าง่าย มีปัจจัยรบกวนเล็กน้อยก็เกิดปัญหา
        • ลองถอดแว่นอ่านหนังสือดีไหมนะ

8 ก.พ. 67

  • เหมือนกับว่าการเพิ่ม ช่วงเวลากินเป็น 16 ชม จะค่อนข้างแย่ แม้จะอดอีก 32 ชม เพราะในวันที่กิน 16 ชม อาจจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมมากพอสมควร พออดอีกวัน ก็ได้แค่ฟื้นฟูความทรุดโทรมที่ผ่านมา ดังนั้น การกินในช่วง 12 ชมจะ ดีกว่า
  • ลำดับความสำคัญของการหาที่นั่งในหอสมุดกลางของมหาลัย
    1. ที่นั่งที่เหมาะกับกายสรีระศาสตร์(Ergonimic) สำคัญกว่าที่นั่งที่เป็นส่วนตัว ชั้น 1 โดยเฉพาะโซนด้านหลัง ดีที่สุด(โซนขวาฝั่งร้านกาแฟ) เพราะ เก้าอี้และโต๊ะใหม่ แนะนำโซนริมขอบหน้าต่าง ที่เป็นโต๊ะเดี่ยว เพราะ จะไม่เป็นจุดสนใจ
    2. นั่งด้วยท่านั่งขัดสมาธิ เพราะ เป็นท่านั่งที่ดีที่สุด ช่วยให้เกิดสมาธิได้ง่ายและไม่ง่วง
    3. สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าไปเที่ยว ดู ฟัง อย่าไปสนใจคนอื่น หรือสิ่งรอบข้าง สำรวมระวังอยู่กับตัวเอง
    4. นั่งในที่ ที่ไม่เป็นจุดสนใจ ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตา
  • ถ้าทำโจทย์เลข แล้วรู้สึกอึดอัด กดดัน อัดอั้น แสดงว่าเราอาจจะไม่ชอบเลขก็ได้นะ ถึงแม้เราจะทำได้ก็เถอะ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ทำไปเถอะ บางอย่างเราไม่ชอบ อาจจะด้วยประสบการณ์ชีวิตที่สะสมมา แต่ไม่ได้หมายความว่า ความสามารถของเราไม่ได้เหมาะกับด้านนั้น
  • วันนี้สมาธิดี สมองแล่น อาจเป็นเพราะ เมื่อวานกินในช่วง 12 ชม โดยปริมาณเทียบเท่า 6 มื้อ
    แต่พอสายๆ ก็จะเริ่มตื้อๆ แต่ก็ยังคิดโจทย์ออกนะ ถึงจะช้าลงหน่อย ค่อยๆคิดก็ได้เหมือนกัน ไม่ต้องเร่งมากในวันอด แต่ไม่เถลไถลไปทำอย่างอื่น
    • ถ้าพยายามเร่ง จะเพิ่ม stress ให้กับ cell ประสาทมากเกินไป จะเกิดผลเสียแทน การเรียนรู้และการพัฒนา จะเกิดเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เครียด ไม่เร่งรัด มีเวลาค่อยๆคิด ค่อยๆทำความเข้าใจ
  • อย่าเชื่อความคิดตัวเอง เพราะ มันจะถูกหรือไม่ถูกก็ได้ เช่น บางทีเราว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้อง แต่จริงๆ มันอาจจะไม่ถูกในอีกเหตุผลหนึ่ง หรือ แม้แต่ความเห็นของคนอื่น ที่เขาว่าดีอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ หรือ ที่เขาว่าไม่ดี มันก็ยังมีอีกหลายเหตุผลที่มันไม่เป็นอย่างที่เขาว่า แสดงว่าความคิดปรุงแต่งของเราเอง เป็นอะไรที่เชื่อไม่ได้ บางทีความคิดของเราเองก็หลอกตัวเองได้
    • ความคิดจัดว่าเป็น สังขารขันธ์ คือ เกิดจากการปรุงแต่งของความจำ ให้ดูความเป็นไตรลักษณ์ของสังขาร ว่ามัน เกิดดับ ควบคุมไม่ได้ เป็นตามเหตุปัจจัย แปรปรวนเปลี่ยนแปลง และ อย่าไปให้ค่า หรือ ความสำคัญกับสังขารมากนัก

7 ก.พ. 67

  • วันนี้วันกินอาหาร จะพยายามกินให้ได้ภายใน 12 ชม งดมื้อดึก ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับแล้วจะเสียสุขภาพแทน
    • สรุปว่า วันนี้ กิน 6 มื้อ โดยกินมื้อสุดท้ายตอน 1 ทุ่มครึ่ง แต่สุดท้าย ก็ยังนอนหลับยากอยู่ดี เหมือนอาหารบางส่วนยังย่อยไม่เสร็จ กว่าจะนอนได้ ก็ประมาณ 5 ทุ่ม ครึ่ง ก็ประมาณ 4 ชั่วโมง หลังอาหารมื้อสุดท้าย แสดงว่าควรกินอาหารก่อนเวลานอน อย่างน้อย 4 ชม

6 ก.พ. 67

  • วันนี้วันอด เริ่มอ่านหนังสือ 9.15 น สมองไม่ค่อยแล่น เพราะ เมื่อคืนนอนไม่หลับ เนื่องจากกินมื้อดึก
  • สมองเริ่มกลับมาแล่นตอน 13.00น เป็นการอดชั่วโมงที่ 15 สมาธิสูงขึ้น จนตัดความสนใจสิ่งรอบข้างได้ระดับหนึ่ง แต่สุดท้าย พออ่านไปได้สักพัก ก็ไม่มีสมาธิอีก เพราะ ความง่วง
  • ลองมานั่งอ่านที่ๆมีความเป็นส่วนตัว(มีที่กั้น) พบว่าสมาธิดีขึ้น
  • เวลามีความทุกข์ ให้เจริญสติ พยายามอย่าหนีทุกข์ หรือหาทางแก้ทุกข์ ดับทุกข์ เพราะ มันไม่มีอยู่จริง เดี๋ยวทุกข์ก็เกิดได้ใหม่เรื่อยๆ

5 ก.พ. 67

  • เมื่อคืนนั่งสมาธิ วันนี้ตื่นขึ้นมารู้สึกมีการรับรู้ที่ละเอียดขึ้น สามารถรับรู้ได้เป็น ทีละอย่างๆ ไม่ใช่มาทีเดียวทั้งหมดแบบที่เคย สรุปว่าที่ผ่านมา รู้สึกฟุ้งซ่าน สาเหตุหนึ่งคือ เราไม่ได้ทำสมาธิ
  • วันนี้เป็นวันกินอาหาร ทำโจทย์ได้ตั้งแต่ 11โมง ถึงประมาณ 1 ทุ่ม ร่างกายก็จะเริ่มล้า ไม่สามารถคงสมาธิไว้ได้ สมองจะตื้อ คิดโจทย์ช้า แบบต้องพยายามฝืนคิด แต่ในระหว่างวันก็ถือว่าอ่านหนังสือได้ดีพอควร
  • กินมื้อดึก ทำให้นอนหลับยาก และ ไม่หลับ พักผ่อนไม่เต็มที่ ยังไงก็อาจจะต้องจำกัดเวลาการกินอาหารไว้ 12 ชม.

4 ก.พ. 67

  • วันนี้กลับมามีสมาธิแบบเต็มร้อยแล้ว ทำโจทย์เลขได้คล่องเหมือนเดิม สามารถคิดในใจได้ดีขึ้น มีพลังงานมากพอที่จะใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่ ต้องดูต่อไปว่าจะได้ทั้งวันไหม แต่คิดว่าน่าจะได้ทั้งวัน = ตอนนี้กลับมาเป็นคนปกติแล้ว
    • สรุปว่า วันนี้ก็มีสมาธิได้ทั้งวันแหละ ทำโจทย์เลขได้ดีมากเลย ต้องกินให้ได้พลังงานเพียงพอจริงๆแหละ
  • แต่พอตกเย็น เหมือนจะมีอาการสมาธิสั้นเริ่มกลับมาแฮะ ไม่แน่ใจว่าอาจเป็นเพราะ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ฝึกสมาธิหรือเปล่านะ
  • ลองนั่งสมาธิก่อนนอน 15 นาที ถึงแม้การรู้ลมหายใจจะยังไม่เป็นธรรมชาติและยังคงอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็มีช่วงที่รู้ได้ถูกต้อง นำมาสู่ความผ่อนคลายสลับกับอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถเป็นเครื่องอยู่ได้
    • ระหว่างที่นั่งสมาธิ มีภาพและความทรงจำมากมายในวันนี้ แล่นเข้ามาในหัว เหมือนสมองพยายามจะคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ซึ่งโดยปกติในทุกๆวัน ไม่เคยสนใจมันเลย การคิดทบทวนโดยอัตโนมัติ น่าจะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาชีวิตได้ดีขึ้นนะ
      • โดยในระหว่างที่มีความคิดมากมายเข้ามา ก็ยังสามารถกลับไปมีสติรู้สึกตัวได้นะ มันจะกลับไประลึกรู้กายที่กำลังหายใจเป็นระยะๆ ไม่ได้อยู่กับความคิดตลอด
    • แต่ก็สามารถนั่งให้สงบได้นะ โดยต้องพยายามโฟกัสไปที่ลมหายใจมากขึ้น อย่าไปสนใจความคิด

3 ก.พ.​67

  • ช่วงนี้รู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิเลย เหมือนอาการสมาธิสั้นกลับมาแล้ว เกิดจากการที่เราได้รับโปรตีนไม่เพียงพอหรือเปล่านะ เพราะ ช่วงที่ไปอ่านหนังสือที่มหาลัย ไม่ค่อยได้กินพวกโปรตีนเยอะเท่าไหร่ เช่น อกไก่ เป็นต้น หรืออาจรวมถึงพลังงานที่ได้รับจากอาหารก็ยังไม่เพียงพอด้วย?
    • คำนวณมื้ออาหาร 
      • ถ้ามีการเดินไปมหาลัยวันละ 2 ชม น่าจะต้องเพิ่มพลังงานเพื่อชดเชยส่วนนี้ด้วย ตก เพิ่มอีกวันละมื้อ เป็น 2 มื้อ
      • ปกติอ่านหนังสือทั้งวัน น่าจะต้องกินวันละ 3 มื้อ รวมสองวัน 6มื้อ
      • อาจจะต้องกินเผื่อเวลาเจอห้องแอร์ด้วย เพื่อสร้างพลังงานความร้อน อาจเพิ่มอีก 1 มื้อ
      • สรุปถ้าจะกินวันเว้นวัน วันที่กิน ต้องกินประมาณ 8 มื้อ ทั้งนี้อย่าลืมโปรตีนและไขมันด้วย อย่าไปเน้นแต่คาร์โบไฮเดรตนะ ก็ตกกินประมาณทุก 2 ชม
      • วันนี้ลองอัดโปรตีนเยอะๆ ดูว่าภาวะขาดสมาธิจะหายไป และกลับมาเป็นปกติไหม
  • ทักษะที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิต คือ การคอย Monitor(สังเกต) และ ดูแลร่างกายตัวเองอย่างถูกต้อง เหมือนร่างกายตัวเองเป็นหุ่นตัวหนึ่ง ที่ต้องการอาหาร น้ำ อากาศ ที่เหมาะสม เพียงพอต่อสุขภาพ ไม่มากไปไม่น้อยไป เรามีหน้าที่คอยดูและสังเกตอาการของมัน และดูแลมันอย่างเหมาะสม สิ่งเหล่านี้ บางทีต้องมี การบริหารจัดการ ไปจนถึง การวางแผน เหมือนบริษัทๆหนึ่ง เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่หุ่นยนต์เสียทีเดียวนะ เพราะ ร่างกายเป็นสิ่งมีชีวิต อย่างหนึ่ง มีความแปรปรวนไม่แน่นอนระดับหนึ่งเหมือนกัน
    • เราต้องรู้ว่าเราต้องกินเท่าไหร่ ถึงจะพอให้หุ่นตัวนี้เอาไปใช้ทำงานอย่างเพียงพอ 
    • เราต้องเอาเติมน้ำให้หุ่นตัวนี้อยู่เรื่อยๆ(ดื่มน้ำบ่อยๆ)
    • ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่กินสิ่งไม่ดี เช่น ของทอด ของไหม้ๆ เพราะ จะทำให้ลำไส้สกปรก เสี่ยงมะเร็ง เป็นต้น และกินผักกากใยเพื่อทำความสะอาดลำไส้
    • ต้องมีการขยับออกกำลังกาย สม่ำเสมอ เพื่อให้สุขภาพดีทั้งร่างกายและสมอง
    • รู้จักความรู้ด้านการดูแลสุขภาพบ้าง เช่น การอดอาหาร ทำให้แก่ช้า สมองดี เป็นต้น
  • เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องวางมาด จะทำให้เรามีสมาธิอยู่กับตัวเองง่ายขึ้น ไม่ต้องสนใจมุมมองที่คนอื่นมองเรามากนัก เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด จะดีก็เป็นตัวของเรา จะไม่ดี(เ _ี้ย ) ก็เป็นตัวของเรา
  • หลังจากที่กินอาหารไป 4 มื้อ ภายในครึ่งวันเช้า ก็ทำให้กลับมามีแรงใช้ความคิดแบบเดิมได้แล้ว ตอนนี้สมองมีพลัง สามารถคิดโจทย์เลขในใจได้อย่างเดิมแล้ว
  • สรุปวันนี้กินอาหารไป 8 มื้อ ลองดูพรุ่งนี้ที่เป็นวันอดว่า จะมีสมาธิทั้งวันไหม

2 กพ. 67

  • น่าจะต้องปรับมากินมื้อเช้าให้เยอะขึ้น และลดมื้อดึกลง เพราะถ้ากินมื้อดึกมากเกินไปจะนอนไม่หลับ
  • วันนี้หลังจากที่เมื่อวานกินเยอะขึ้นให้เพียงพอ ก็สามารถอ่านหนังสือ และ คิดทำความเข้าใจโจทย์เลขได้ดีขึ้นแล้ว รวมถึง "การเข้าใจแล้วจำ" ก็ทำได้ดีขึ้น
  • วันนี้สมาธิดีมาก สาเหตุน่าจะมาจากการที่ Fasting แล้วเกิดภาวะ ketosis ไม่ได้เกิดจากการฟังเพลงนะ รวมถึงต้องกินอาหารให้ได้มากพอด้วย
  • ถ้าเริ่มอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง สมองตัน ให้ลองมารู้ลมหายใจสักพักเพื่อทำสมาธิ น่าจะช่วยให้กลับมาอ่านเข้าใจได้เหมือนเดิม
  • วันนี้ ตกบ่ายๆ ก็เริ่มไม่มีแรงอ่านหนังสือเหมือนเดิม ไม่สามารถคิดโจทย์ในใจได้ พลังความคิดหดหาย อย่างมากคือใช้กระดาษทดช่วย เป็นเพราะอะไรกันนะ หรือ เรายังกินไม่มากพอ? ​หรือ เราจะเปลี่ยนมากิน 3 มื้อก่อนดีไหมนะ?
  • อย่าให้ค่ากับความเห็นของคนอื่น ที่จะมาพยายามกำหนดเรา ว่าเราเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ไม่ควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้ ไม่ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ไม่ว่าความเห็นนั้นจะดีหรือไม่ดี ไม่มีใครมีสิทธิ์ และ มีความสามารถ ถึงขนาดมาเป็นผู้กำหนดค่าของผู้อื่นได้ ตัวเราอย่างไรก็ยังคงเป็นตัวเราเสมอ

1 ก.พ.​67

  • อยากลองอ่านตำรา programming แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พออ่านก็เข้าใจบ้าง บางจุดก็ยังไม่ได้ลองเขียนโปรแกรมดูตามตำรา ไม่รู้จะเริ่มภาษาไหนก่อน เพราะ ทุกภาษาสำคัญหมด จะเรียนภาษานึงก็ใช้เวลานาน จะเรียนพร้อมกันไปเลยก็กลัวต่อไม่ติดและไม่ต่อเนื่อง?
    • น่าจะมี app อ่าน pdf ที่มีการ list รายการตำราที่เราเคยอ่าน จะได้เปิดอ่านย้อนหลังได้ง่าย
  • เดือน กพ.แล้ว เหลือเวลาอีก 6 สัปดาห์ จะสอบ ต้องกินให้พอ อ่านหนังสือให้ได้เยอะๆ
  • หลังจากได้กินอาหารมื้อที่ 3 จนร่างกายออกจากโหมดจำศีล ก็กลับมามีแรงอ่านหนังสือ/ทำโจทย์เลข ได้ 100%แล้ว แสดงว่า อาหารที่จะออกจากIF ก็มีความสำคัญ ควรเน้นโปรตีน
  • วันนี้อ่านหนังสือยัน 1 ทุ่มครึ่ง มีช่วงหนึ่ง ที่สมองรับข้อมูลไม่ได้ blank ไปพักใหญ่ๆ พอกินข้าวก็กลับมาอ่านได้ แสดงว่า การอ่านหนังสือ สิ่งสำคัญคือพลังงาน ที่จะเอามาใช้คิดทำความเข้าใจ(การจดจำก็ต้องใช้พลังงานนะ เพราะ จะจำได้ก็ต้องใช้ความคิดเช่นกัน ทั้งการคิดเชื่อมโยง และการคิดจัดหมวดหมู่ เป็นต้น) ปัจจัยพื้นฐานเลย คือ พลังงาน แต่การฝึกสมาธิเป็นเพียงส่วนเสริมพิเศษอีกอย่าง แต่ถ้าไม่มีพื้นฐานด้านพลังงาน ก็ทำอะไรไม่ได้ สมาธิก็ไม่ได้ช่วยตรงนี้นะ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.