Skip to main content

เทรด เม.ย. 67

Submitted by krishrong on

24 เม.ย.

  • ตอนนี้เรายังคงเทรดแบบเมากราฟอยู่ คือ ยังคงหลงตามการวิ่งของกราฟและ Technical analysis ไม่ได้วิเคราะห์จาก Fundamental
    • จำกัดเวลาดูกราฟ แล้วที่เหลือไปอ่านข่าว
  • Trade economic news ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันดูเป็นการพนัน อีกอย่างคือ เราไม่มีทางเร็วเท่า bot
  • trade Central bank meeting พอทำได้ โดยต้องศึกษาแนวทางของแต่ละประเทศก่อน อ่าน report ของ central bank นั้นๆ ย้อนหลังเยอะๆ จะทำให้เราพอวิเคราะห์ได้ว่า เขากำลังจะดำเนิน Money policy อย่างไรต่อ
    • bot ไม่สามารถทำได้ เพราะ เป็นคำพูด ไม่ใช่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ
  • เหมือนเราไม่รู้ว่าปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในขณะนั้นมากที่สุด น่าจะต้องอ่านข่าวเยอะๆ ให้ครอบคลุมที่สุดเท่าที่จะทำได้
    • แต่เทรดน้อยลง เหลือสัปดาห์ละครั้ง(อ่านข่าวเยอะขึ้น)ใช้ risk ครั้งละ 2% ในสัปดาห์ให้ อ่านข่าว ศึกษา และ รวบรวมข้อมูล ให้ได้มากที่สุด และเทรดเพียง 1 ครั้ง ตามข้อสรุปที่เราคิดว่ามีผลกับตลาดมากที่สุด เหมือนฝึกอ่านข่าวเศรษฐกิจ แล้วสอบวิเคราะห์ในทุกสัปดาห์

23 เม.ย.

  • อ่านข่าว reuter ให้กดไปที่ market จะมีหมวดหมู่ย่อย พวก currencies ด้วย มีบทวิเคราะห์ที่อ่านแล้วได้ความรู้พอสมควรเลย
    • เวลาอ่านให้อ่านแยกเป็นหมวด จะจับทิศทางง่ายขึ้น เช่น emerging market, asia, europe, us, currencies, commodities เป็นต้น(อย่าอ่านหน้ารวม เพราะจะงงว่าอะไรอยู่หมวดไหน)

22 เม.ย.

  • อ่านข่าวของนักข่าวคนนี้ วิเคราะห์ดี https://www.reuters.com/authors/vidya-ranganathan/ 
  • เราจะไม่ใช้ Technical analysis การเทรด จะใช้เพียงแค่ เพื่อลดความเสี่ยง และเพื่อให้ได้ leverage สูงสุด ในการหาจุดเข้า, SL, TP เท่านั้น เพราะ ปัจจัยต่างๆในชีวิตจริง ไม่ได้ส่งผลมาทำให้มีกราฟสวยๆตามตำราแต่อย่างใด อย่ามั่วคิดว่าทุกอย่างในชีวิต จะส่งผลมายังกราฟสวยๆ ให้เราทำนายอนาคตโดยใช้เพียงความรู้จากตำราtechnical analysisได้
  • อ่านเจอเกี่ยวกับ kelly criterion บางที การใช้ risk reward ที่ 1:2 น่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในการเทรด เมื่อคำนวณกับ win rate

21 เม.ย.

  • SNB มักจะดูเรื่องของ price stability ในการ import/export เป็นปัจจัยหลักในการเข้ามาควบคุมค่าเงิน CHF, รองลงมาคือinflation(ซึ่งน้อยอยู่แล้ว)

20 เม.ย.

  • ว่าจะเลิกเทรด Crypto จะโฟกัสเฉพาะที่เราศึกษามาคือ Forex โฟกัสหลายตัว ต่อให้ได้กำไรจาก forex เงินก็ไหลออกทางอื่นที่เราไม่ถนัด
    • อะไรที่เราไม่มีความรู้ คือการพนัน(ถ้าเรามีความรู้เรื่องนั้นจริง จึงจะเป็นการลงทุน หรือ การเทรด) ต่อให้พนันได้เงินมา สุดท้ายก็ต้องถูกเอากลับคืนไป จากผลของความไม่รู้

19 เม.ย.

  • แผนการเทรด Forex
    • เทรด forex ด้วยการใช้ risk แบบเต็มที่(แบบที่ผ่านการคำนวณและลดความเสี่ยงมาอย่างเหมาะสมแล้ว) กำไรก็เต็มที่อย่างเหมาะสมเช่นกัน 
    • ใช้ risk สัปดาห์ละ 2% ของ Free capital (เงินที่เสียได้อย่างไม่เดือดร้อน) = 12000 บาท จะได้ว่า risk 4$(160 บาท ต่อสัปดาห์) Target อยู่ที่ 2 เท่า ของ risk ที่ลงไป คือ 8$ ถ้าถึง Target ในสัปดาห์แล้ว อาจเทรดต่อโดย ลดความเสี่ยงลง
  • การเทรดโดยใช้ Technical analysis อย่างเดียว เหมือนกับ การเป็นหมอดูที่ใช้สถิติเป็น เพราะ อาศัยหลักสถิติกับกราฟ pattern ในการ 'เดา' ว่าจะขึ้นหรือลง ซึ่งต่างจากนักวิเคราะห์ ที่ใช้ความรู้ การวิเคราะห์ ประเมินทิศทางจริงๆ ไม่ได้เดาแบบอาศัยหลักสถิติอย่างเดียว
  • Trade BTC ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว แล้วเข้าแล้วเทรดโดยใช้ TF ใหญ่ คือ TF 1d ค่อนข้าง work แฮะ
    • จะต่างจาก Forex ตรงที่ Forex จะมีตำราที่สอนว่าปัจจัยที่ ส่งผลโดยตรงในระยะสั้นมีอะไรบ้าง เช่น money policy, commodity, interested rate จนเราสามารถจับจังหวะใน TF ระยะสั้นได้ แต่เราไม่สามารถจับปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงในระยะสั้น ของ BTC ได้ ทำให้ต้องเทรดในภาพรวมระยะยาวแทน
    • ส่งผลมายังการควบคุมความเสี่ยง ที่อาจต้องมีจุด stop loss ไกลๆ เพราะไม่รู้ว่ากราฟระยะสั้น จะเป็นแบบไหน
    • รวมถึงการเพิ่มไม้เทรดระยะสั้นก็ยาก เพราะ ส่งผลโดยตรงกับการคุมความเสี่ยง(ความเสี่ยงเพิ่ม) และ ปัจจัยพื้นฐาน ที่ drive ราคาในระยะสั้น(เพื่อดีดราคาให้ห่างจาก stop loss)
  • เผลอกระโดดเข้าไปเทรด CHF เพราะ เนื่องจากกราฟกระชากแรง เข้าใจว่ามีข่าวอะไรของ SNB สรุปคือ ยังไม่มีอะไร
    • แค่การบรรยายความสำเร็จของการรักษาค่าเงินของตัวเองในอดีตที่ผ่านมา แต่ก็พอเป็น clue ว่า จะทำอย่างไรต่อในอนาคต ส่วนใหญ่เขาจะ focus เรื่อง ของ price stability เนื่องจากการเป็นประเทศเล็กๆ การส่งออก/นำเข้า หากค่าเงินไม่เสถียร เช่น แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ หรือ อ่อนค่าลงเรื่อยๆ ก็จะส่งผลต่อ price stability อย่างแน่นอน
    • กำไรที่ได้มา 2 เท่า ของเมื่อวาน หายหมด จากการทุ่ม all in(ของ risk ทั้ง week) แล้วกราฟ CHF ดีดกลับ และ เผลอๆก็กำลังจะขาดทุนแทน ใน week นี้!!
    • สรุปว่า อ่านข่าวผิด จริงๆเป็นผลจากข่าวสงคราม israel กับ iran มากกว่า ส่วน SNB ยังคงนโยบาย short sell ค่าเงินตัวเองอยู่
    • เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ากระโดดเข้าตามกราฟ ถ้ายังไม่ชัวร์เรื่องข้อมูล อย่าเพิ่งเข้า
    • สรุปว่าวันนี้ปิดออกมาก่อนทั้งหมด และ ขาดทุน 5$ ใน week นี้ หยุดเทรดใน week นี้แล้ว เนื่องจากถึง risk limit ที่ตั้งไว้
  • การเทรด ที่ดี ต้องมีช่วงเวลารีเซตตัวเอง มีเวลาพักผ่อนจิตใจ จะทำให้ละคลาย bias ในการเทรด ที่ยึดติดอยู่ได้ เช่น รีเซตใหม่ทุกสัปดาห์ เพราะ ตลาด เปลี่ยนแปลงเสมอ ความเห็นที่มีอิทธิพลในตลาดสัปดาห์นี้ อาจถูกแทนที่ด้วยความเห็นหรือปัจจัยอื่นที่มีอิทธิพลมากกว่าในสัปดาห์ถัดมาก็ได้

16 เม.ย.

  • หลังจากที่เปลี่ยนมาเทรด Crypto ใน TF ที่ใหญ่ขึ้น แบบเช่น 1d 1w และ ตอนนี้เริ่มพลิกกลับมากำไรตามแผนแล้ว จากตอนแรกขาดทุน(unrealized PNL) อยู่หลายวัน
    • เทรดยากเพราะ กราฟดูกระชาก ในTF ใหญ่ ในTF เล็กก็จับจังหวะไม่ได้ เพราะ ฉะนั้น ก็เทรดในTF ใหญ่ดีกว่า
  • Forex ขาดทุนยับเยิน สกุลเงินกลุ่ม EUR, AUD, NZD ลงยับเยิน ส่วน CHF กลับแข็งค่าขึ้น น่าจะเป็นเพราะภาวะสงคราม คนเลยอยากเก็บสกุลเงินที่มั่นคงจริงๆ
    • ส่วนหนึ่งที่ขาดทุนเยอะ เพราะ ไม่ได้ใช้การเข้าเทรดแบบ Technical ทำให้ Risk เยอะ
    • อีกสาเหตุหนึ่งคือ เทรดทั้งๆที่ไม่ได้อ่านข่าว ไม่มีข้อมูล ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเทรดมั่ว แบบการพนัน(แถมยังเป็นนักพนันปลายแถว เพราะไม่ได้เข้าแบบ Technical ที่เสี่ยงต่ำ)
  • เงินเฟ้อ คือการที่เงินมีมูลค่าลดลง หมายความว่า เงินจำนวนเท่าเดิม ซื้อสินค้าได้น้อยลง หรือ อีกอย่างคือ สินค้าราคาแพงขึ้น ต้องใช้จำนวนเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าเดิม
    • ตัวชี้วัดที่ใช้ คือ ราคาสินค้าในช่วงเวลานั้นๆ เช่น Consumer price index
    • วิธีแก้วิธีหนึ่ง คือ Central bank ขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้คนอยากเก็บเงินในสกุลนั้นๆมากขึ้น เมื่อความต้องการมากขึ้น มูลค่าของสกุลเงินนั้นๆ ก็สูงขึ้น(แข็งค่าขึ้น) พอเงินแข็งค่าก็มีโอกาสที่จะซื้อของจากประเทศอื่นได้ด้วยต้นทุนที่น้อยลง แต่มีอีกด้านคือ เศรษฐกิจในประเทศก็จะชะลอตัว เพราะ ดอกเบี้ยเงินกู้ก็สูงขึ้นเช่นกัน แต่ถ้าเศรษฐกิจในประเทศดี แข็งแกร่ง อันนี้ก็ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แม้จะชะลอตัวนิดหน่อย ประชาชนก็ยังอยู่กันได้

15 เม.ย.

  • เราไม่รู้ว่าราคา BTC ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยหลักอะไร จึงจับจังหวะที่ราคาจะขึ้นหรือลงไม่ได้(อย่าง Forex จะมีจังหวะที่มีการประกาศข่าว Economic จะเป็นจังหวะหลักที่ราคาขึ้นลง) ดังนั้นจึงเทรดใน TF ใหญ่ อย่างน้อย 1d ไปเลย

14 เม.ย.

  • BTC ร่วงอีกแล้ว คราวนี้ร่วงจริงๆ ในสัปดาห์ร่วงจาก 72000 ถึง 62000
    • ทำไมเราถึงหาจุดเข้าเทรดไม่ได้?
      • เทรดใน TF 1 h จะใช้ stoploss แคบเกินไป เทรดใน TF 1d จะใช้ Stop loss กว้างเกินไป
      • เทรดใน TF 1d/1week น่าจะเหมาะ สำหรับ Crypto
    • อีกสาเหตุที่เราหาจุดเข้าไม่ได้ เพราะ
      • Time horizon ของ Crypto มันนานกว่า Forex เช่น Forex กราฟวิ่งทุกวัน แต่ Crypto หลายๆวันวิ่งทีนึง เปิด position นึง รอนานหลายวัน กว่ากราฟจะวิ่งจริงๆ
      • โดยช่วง sideway จะกว้าง เสี่ยงต่อการขาดทุนเยอะ (โดยเฉพาะคนทุนน้อย) และ เป็นแบบ random และไม่มี range ที่ชัดเจน
    • ความรู้สึกลึกๆอย่างหนึ่งที่เราไม่กล้าถือ crypto ด้วยทุนเยอะ ถ้าเทียบกับหุ้น tech america เพราะ
      • หุ้น tech เรามีความเชื่อมั่นในบริษัท เพราะ มีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง เกิดประโยชน์กับชีวิตเราจริงๆ เราจึงรู้ว่าต่อให้ถือยาว มันก็ไม่ได้เจ๊งอะไรขนาดนั้น
      • Crypto ยังไม่ได้เกิดเป็น Mass adaption จริงๆ สาเหตุที่ราคาขึ้นกันตอนนี้ เหมือนการรีบไปเก็งกำไรกันไว้ก่อน ก่อนที่อนาคตราคามันจะแพงขึ้น
      • การเทรด Crypto จึงมีความเสี่ยงสูง เพราะ เป็นเรื่องของอารมณ์ Greed and Fear มากกว่าประโยชน์ในเชิง Fundamental จริงๆ ทำให้คาดเดาได้ยาก ส่วนใหญ่ที่เทรด จะเป็นการเอาเงินให้ตลาดมากกว่า
    • สรุป การเทรด Crypto ขาดทุนไป 20$ ใน TF 1h => not work! , แล้วลองคิดดู หากเทรดใน TF ใหญ่ เช่น TF day/week ก็ขาดทุนเท่าๆกัน ในระยะเวลาเท่ากัน แต่Time horizon มันเหมาะสมกว่า ยังมีโอกาสได้กำไรมากกว่านะ เพราะ ฉะนั้น เทรดใน TF ใหญ่ ดีกว่า
      • ยอมเทรดใน TF ใหญ่ แล้วขาดทุนก้อนนึง ครั้งเดียว แต่มีโอกาสได้กำไร ยังดีกว่า เทรด TF เล็กๆ ขาดทุนเล็กๆไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้อะไรกลับมา
      • ถ้าคำนวณ risk เหมาะสม แล้วเข้า position แล้ว ห้ามปิด จนกว่าจะโดน cut loss หรือ Take profit(คำนวณแล้วว่าหากขาดทุนส่วนนั้นไป ยังยอมรับได้ ไม่เป็นอะไร)
  • มือใหม่ เวลาเทรด ให้พยายามลดความเสี่ยง -> Technical analysis ใช้เพื่อลดความเสี่ยงการขาดทุน ไม่ได้ใช้เพื่อเพิ่ม leverage!!!
  • ราคาจริงๆของ BTC ก็ลองคำนวณแบบโง่ ด้วยสัดส่วนง่ายๆของ นักเก็งกำไร(ซื้อไว้เฉยๆ แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดๆตากมัน) กับคนที่ใช้ประโยชน์จากมันจริงๆ ถ้าเทียบจากความรู้สึก อย่างน้อยๆ ก็เกิน 50% ที่มาจากการเก็งกำไรแต่ไม่ได้ใช้งานจริง หมายความว่าราคาที่เหมาะสม(equilibrium price)ในปัจจุบัน มันจะลงไปครึ่งหนึ่งก่อน(น่าจะไปถึงสัก 35000$) จากนักลงทุนที่ panic sell แล้วหากมีคนใช้งานเพิ่มในอนาคต ราคาก็จะค่อยๆไต่กลับขึ้นมา
    • โดยส่วนตัวยังเชียร์ Cardano เพราะ เป็นโปรเจคที่ ดูมีอนาคตที่สุด จากมุมมองของคนเขียนโค้ดเป็นเล็กน้อย แม้จะขายออกมาแล้ว ก็กำลังรอช้อนซื้อมันประมาณหนึ่ง

13 เม.ย.

  • สรุปว่า BTC ลง ไม่ขึ้น ในTF day ไม่ผ่านแนวต้าน ซึ่งเป็นแนวที่มีคนสนใจ เพราะ กำลัง halving เหมือน slingshort reversal ที่ในตำราบอกเลย
    • แต่ทำไม่เราไม่สามารถเทรดให้ได้กำไรสักที?
      • เทรดใช้ TF 1h โดยกราฟหลอกไป-มาตลอด
      • เหมือนจะต้องใช้ TF day เป็นอย่างน้อยสินะ
    • อารมณ์ตอนถือ TF day จะเป็นอย่างไรนะ?
      • ห้ามเปลี่ยน position ลงแล้วลงเลย ตำราบอกว่าหลังจากที่เราเข้าorderไปแล้ว การวิเคราะห์ของเราจะแย่ลง เพราะ จะเกิดอารมณ์ตามตลาดเป็นส่วนใหญ่
      • จะรู้สึกว่าโดนลากยาวได้ง่าย ยิ่งพอร์ตทุนน้อย ยิ่งโดนลากเยอะ
    • อีกวิธีหนึ่ง คือ พยายามมองอย่างเป็นกลาง ที่เราbias ลง จริงๆอาจจะกำลังอยู่ในช่วง sideways ก็ได้ ซึ่งเกิดได้ทั้งขึ้นและลง
  • อีกความเห็นหนึ่งที่มองว่า technical analysis ใช้ไม่ได้จริง https://www.youtube.com/watch?v=egjfIuvy6Uw 
  • ข่าว CNN อ่านง่ายกว่า reuter นะ

11 เม.ย.

  • สรุป ที่ว่าBTCจะลง ตอนนี้ก็ไม่ลงแล้ว ดีที่จำกัดความเสี่ยงไว้ ไม่หน้ามืดหวังกำไรอย่างเดียวจนลืมคิดถึงการขาดทุน
    • Crypto เป็นอะไรที่เราประเมินไม่ได้ เราน่าจะหยุดเทรดไปก่อนนะ ควรไปศึกษามันให้ดีก่อน
    • แต่ตำราก็บอกไว้อยู่นะว่า การอาศัยจังหวะเล่นกับ sentiment มันมีโอกาสเสี่ยงเยอะ เพราะ มันเป็นการสวนเทรนด์
  • Forex ตอนนี้เทรดแบบ long term ตาม Fundamental โดยไม่มีจุด TP
    • คิดว่าไม่ดีเท่าไหร่นะ เพราะ การเทรด long term กำไรน้อย และ ยังเสี่ยงกับการถูก cut loss หลายครั้ง (คือ กำไรน้อย แถมขาดทุนเยอะกว่า) หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงทาง Fundamental กลางคัน ก็อาจจะไม่ได้กำไรเลย ทั้งๆที่ถือ position มานาน แถมยังอาจจะขาดทุน
    • เทรด long term ไม่ได้มั่นคงจริงๆ เทรดระยะสั้นตามข่าวเรื่อยๆ มั่นคงกว่า
  • เวลาเริ่มเทรดตลาดใหม่ ให้เริ่มลองเทรดด้วยเงินน้อยๆก่อนเสมอ เพื่อลองดูว่าความรู้ของเราใช้กับตลาดนั้นได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ต้องกลับไปหาความรู้ก่อน อย่าเทรดด้วยเงินเยอะ ทั้งๆที่เราไม่รู้ว่าเรารู้ถูกแน่หรือเปล่า ซึ่งไม่ต่างกับการเอาเงินไปละลายทิ้ง
  • สิ่งสำคัญในการเทรดคือ การจำกัดความเสี่ยง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ในปัจจุบัน ต่างจากกำไร ที่เป็นเรื่องของอนาคต ไม่รู้ว่าเราจะได้หรือไม่ การจำกัดความเสี่ยงในปัจจุบันจึงสำคัญกว่าการเพ้อฝันถึงกำไรในอนาคต ซึ่งลดได้ 2 แบบ คือ 
    • ลดขนาด position - แนะนำวิธีนี้ในกรณีที่เพิ่งเข้าเทรดใหม่ๆ กราฟยังวิ่งไม่ไกล หรือ ตลาดมี volatility สูง โดยที่เราไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปตามแผนไหม
    • ขยับ stop loss - แนะนำ ในกรณีที่รันเทรนด์มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว เพื่อกันกำไรส่วนหนึ่งไว้, ไม่แนะนำในกรณีที่ เพิ่งเปิด position แต่ตลาดยังวิ่งไม่ไกล เพราะ จะทำให้เสียแผนการเทรด โดยเฉพาะในตลาดที่มี volatility สูง มักจะขยับมาโดน stop loss เสมอๆ
  • เป็นอย่างที่ตำราว่าไว้ คือ ถ้าช่วง volume สูง กราฟจะกระชาก และ ให้เข้าเทรด หลังจากในช่วงที่ volume น้อยลงแล้ว
    • หากจะเพิ่มไม้เทรด หรือ จะสวนเทรนด์ ก็ต้องเพิ่ม/เปิด order ในช่วงที่ volume สงบลง
    • แต่เหมือนเจอเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ในTF 1 h หลังจากที่ผ่านช่วง peak volume สูงๆ BTC จะมีการกลับตัวเสมอๆ เช่น ถ้า Peak volume เขียวเยอะ ต่อไปกราฟจะลง, ถ้า Peak volume แดงเยอะ ต่อไปกราฟจะขึ้น
      • กลยุทธ์ คือ 
        • ในช่วง volume เบาลง ให้เฝ้ารอสัญญาณแท่งเทียนกลับตัว หากมีให้เข้าสวนเทรนด์(ใช้ risk ต่ำๆนะ เพราะ volatility น่าจะเยอะ)
        • แต่ถ้า Risk reward ไม่น่าสนใจ ก็ไม่ต้องเข้าทุกครั้งก็ได้นะ
  • Hedge fund ไม่ใช้ Technical analysis เป็นเครื่องมือหลักในการเทรดนะ https://www.youtube.com/watch?v=f19bfHpCths 

10 เม.ย.

  • เมื่อวานเผลอเข้าAll-in crypto ตามอารมณ์ เนื่องจากเผลอเอาเงินเก็บไว้ในพอร์ตเยอะ ก็เลยใส่หมดตัว!!
    • ปรากฏว่ากราฟกลับตัวลงแทน และเริ่มขาดทุนประมาณหนึ่ง(เป็นเงินเยอะอยู่ สำหรับเราในตอนนี้ ~ 3000บ ซึ่งในระยะปั้นพอร์ต กว่าจะกลับคืนมา 3000 คงอีกนานเลย ซื้อชุดโต๊ะ-เก้าอี้อ่านหนังสือดีๆของ ikea ได้ตั้ง 2 ชุด)
    • ตำรา The Art of currency trading บอกว่า อย่าคิดว่าตลาดจะกลับตัวตามความคิดเรา นักเทรดที่ดีต้องยอมตัดขาดทุน และมักจะขาดทุนเล็กๆหลายๆครั้ง แต่ได้กำไรก้อนใหญ่เพียงไม่กี่ครั้ง
    • สุดท้ายยอม cut loss ตามตำราบอก และตลาดก็ลงต่อฮวบๆๆ
    • สิ่งที่ได้เรียนรู้
      • เงินทุน: เราไม่มีทางควบคุมอารมณ์ได้ อย่าใส่เงินเก็บของเราไว้ในพอร์ตสำหรับเทรด แบ่งอย่างชัดเจนเฉพาะส่วนที่จะใช้เทรด
      • cut loss: ยอมเป็นคนขี้แพ้ และตัดขาดทุนทันที หากมันไม่เป็นไปตามความคิดเรา อย่าคิดว่าตลาดจะเป็นตามความคิดเรา
      • อ่านหนังสือ หาความรู้เยอะๆ
  • ตำรา The Art of currency trading เป็นตำราที่เขียนมาดีจริงๆ จากการอ่าน รู้สึกว่าคนเขียนเป็นคนรอบคอบ เขียนอย่างตั้งใจ มีคำตอบในแทบทุกประเด็นที่จะเจอในการเทรด มันเป็นตำราที่มหัศจรรย์จริงๆ
  • เนื่องจาก crypto ค่อนข้าง low volatility ไม่วิ่งพล่านเยอะ สัปดาห์นึงวิ่งทีนึง ไม่วิ่งทุกวันแบบ Forex จึงเทรดแบบใช้ risk สูงขึ้น เป็น 5% ต่อครั้ง ใน TF ใหญ่ เช่น ทุน 30$ ก็จะเทรดไม่เกิน 1.5$ ต่อครั้ง ในTF 4h/1d และเปิด run trend ทีนึงยาวๆ อาจจะเป็น 1-2 เดือน
    • อาจจะเริ่มด้วย risk 5% ก่อน ถ้าได้ขาดทุน:กำไร = 1:1 แล้ว ยังสามารถ run trend ต่อได้ ก็หาจังหวะเพิ่มอีก order และขยับ stop loss ตามมา ให้อยู่ที่ 5%
    • เทคนิคการเพิ่มไม้เทรด คือ ให้เพิ่มหลังจากที่ peak volume ในช่วงนั้นลดลงแล้ว แสดงถึงตลาดเริ่มกลับมานิ่ง ค่อยเข้า อย่าไปเข้าตอนที่ volume ช่วงนั้นสูง เพราะ จะถูกลาก เสี่ยงขาดทุนเยอะ
    • กรณีสวนเทรนด์ : ไม่เพิ่มไม้เทรด เท่าไหร่เท่านั้น
  • สรุปตลาด Crypto ลง แบบที่คาดไว้ เมื่อวันที่ 8 เม.ย. คือ จะเอาเงินทุนจากไหนมาซื้อต่อ

9 เม.ย.

  • การเทรดไม่ใช่การพนัน เป็นเพียงการย้ายเงินของเราไปในสิ่งที่เราคิดว่า ดีกว่า และ จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งใครๆก็มีสิทธิ์ทำได้ โดยอาศัยการวิเคราะห์จากความรู้และข้อมูลที่เรามี
    • แต่ถ้าย้ายเงินไปในสิ่งที่เราไม่มีความรู้ ข้อมูลไม่เพียงพอในการวิเคราะห์(แล้วยังดันทุรังจะย้ายไป) โดยอาศัยเพียงความเชื่อ และ ความน่าจะเป็น อันนี้จึงจะเป็นการพนัน
      • ในโลกความเป็นจริง ความน่าจะเป็นที่มีโอกาสผิดพลาดนั้น มหาศาล
    • การย้ายไปเก็บมูลค่าในสินทรัพย์ที่จะเพิ่มขึ้น เป็นเกมที่สามารถชนะได้ทุกคน ไม่ได้มีใครแข่งกับใคร คนที่แพ้คือเจ้าของสินทรัพย์ที่มีมูลค่าลดลง
  • ตลาด Crypto volatilty ต่ำกว่า Forex กราฟจะไม่ได้ sideway กว้าง อาจต้องใช้ position ที่ใหญ่ขึ้น แต่ลดความถี่ในการเทรด trade ลง และ Trade ใน TF 1 day
  • ลองพยายามอ่านข่าวเศรษฐกิจ พบว่าอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง น่าจะต้องไปศึกษา เศรษฐศาสตร์พื้นฐานก่อนด้วย(Fundamental economics)
  • ช่วงนี้ก็ตามข่าวและเทรดแบบกิ๊กก๊อกไปก่อน
  • ปัญหาตอนนี้ คือ แบ่งเงินไปกองไหนเยอะ กองนั้นก็จะใช้ฟุ่มเฟือย เช่น
    • เอาเงินออกจากกองเทรด Crypto Future จนเงินเหลือน้อย - ก็เทรดในความเสี่ยงน้อย
    • เอาเงินไปใส่ใน spot เยอะ - ก็เทรดทีนึงเยอะ คลิกไม่กี่คลิก ก็ซื้อ ก็ขาย ก็ขาดทุนเยอะใน 1 วัน
    • เอาเงินไปใช่ใน Forex น้อย - ก็เทรดกำไรนิดๆหน่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์(ยังไม่ใส่เยอะ เพราะ ยังต้องปั้นสะสมพอร์ตเอง)
    • เอาเงินไปใส่กองชีวิตประจำวันเยอะ - ก็เริ่มช้อปปิ้งเยอะ เพราะ คิดว่าของมันจำเป็นต้องใช้ เช่น โต๊ะอ่านหนังสือ เพื่อให้อ่านหนังสือได้มีสมาธิ โดยไม่มีปัญหาทางสรีระศาสตร์(Ergonomic) อาหารการกินที่มีคุณภาพมากขึ้น เป็นต้น
      • คิดว่าเอาไปใส่กองนี้ดีที่สุดนะ เพราะ มันจะทำให้เราใช้เงินเพื่อพัฒนาชีวิต ไม่ใช้เงินไปกับการพนัน
  • เผลอใส่เงินไว้เยอะในพอร์ต crypto เห็นราคาขึ้น ก็รีบเลยรีบตาม(ไม่ได้ทำตามแผนการลงทุน) แล้วกราฟดันลง ลากทีเดียวขาดทุนเยอะ(เทรดทั้งเดือนยังชดเชยไม่ได้เลย) หนังสือบอกให้ cut loss ยอมแพ้ เลยตัดขาดทุนออกมาก่อน
    • App binance ทำให้ซื้อ-ขายง่ายมาก จนบางทีเผลอใจไปกับตลาด (ซึ่งต้องมีแน่ๆ ยิ่งเป็นมือใหม่) ใส่ทีเดียวหมดพอร์ด All-in สะดวกสบาย แค่คลิกเดียว
    • แนะนำให้เอาเงินกองหลัก แยกไว้ห่างๆ อีกที่หนึ่ง เช่น เอาไป USDT ไปฝากแยกไว้ ไม่ใช้

8 เม.ย.

  • เรื่องการเทรด crypto ของเรายังเข้าข่ายพนันอยู่ดี เพราะ เราเทรดด้วยความที่ ยังไม่มีความรู้มากพอเกี่ยวกับมัน อารมณ์เราก็ถูกเหวี่ยงไปตามกราฟ ไม่อยู่กับเหตุและผล ซึ่งกราฟจะมองว่ามันขึ้นหรือลงก็ได้ 
    • แต่บางทีถ้า 
      • หาเหตุผลที่เหมาะสมในการขึ้นไม่ได้ คนกำลัง hype ถึง harving ของ BTC ที่กำลังจะมาถึง แต่สำหรับเรา คิดว่ามันไม่ make sense
      • ราคาขึ้นแล้วอยู่โซนนี้มานานแล้ว อาจจะหมดแรงซื้อ?
      • แล้วทาง Technical analysis มีสัญญาณ Bearlish เช่น sling shot(แสดงถึง rejection) ที่แท่งเทียนปิด day
      • ประกอบกับ เป็นโซนราคา All time high เดิมที่เป็น แนวราคาที่เป็นจุดสนใจของผู้คน(ที่เกิดแท่งเทียน bearish rejection)
      • จะลอง bet(พนัน) short ก็ได้ ถ้า risk ไม่ได้เยอะ
    • สรุปว่าเจ๊ง กราฟสวนทางกับที่เรามองไว้ สาเหตุที่เรามองผิดทาง อาจเป็นเพราะเรายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของ Crypto ทำให้เราประเมินผิด และ ถ้ายังคงไม่รู้ ก็อาจจะประเมินผิดอยู่เรื่อยๆ
      • บางทีเรามีความรู้จากตลาดอื่น ซึ่งปัจจัยหลักจากตลาดอื่น อาจไม่ใช่ปัจจัยหลักในตลาดนี้ ทำให้ที่เรามองไว้ไม่ได้มีผลนัก
      • จะไม่เป็นการพนันก็ต่อเมื่อ เรารู้จักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของมัน
  • แต่วันนี้เทรดสกุลเงิน ยังคงตามข่าว CHF ที่จะอ่อนค่าลง, และ ข่าว NZD ที่ไม่ลดดอก, USD ที่อาจยังไม่ลดลอกเบี้ยในปีนี้
  • บางทีเวลาเรามีทุนก้อนใหญ่ ให้แบ่งออกเป็นหลายๆกองเล็กๆ สำหรับการลงทุนแต่ละอย่าง จะดีกว่ารวมเป็นกองใหญ่กองเดียว เพราะ
    • มันจะทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงในแต่ละกองได้ง่ายขึ้น เช่นว่า ว่ากองไหนกำไร กองไหนขาดทุน ส่วนไหนเป็นเงินห้ามยุ่ง ส่วนไหนควรทำให้งอกเงย ส่วนไหนควรพักก่อน เพราะขาดทุนมากเกินไป เป็นต้น
    • มันจะไม่ทำให้เราถูกตัวเลขหลอก เช่น เห็นว่าทุนเราเยอะ เลยเทรดหนัก โดยไม่รู้ตัวว่า กำไรที่หาได้กำลังน้อยกว่าการขาดทุน และเงินค่อยๆหมดไปเรื่อยๆแล้ว แต่ถ้าเราทำเป็นกองเล็กๆ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
  • การเทรดใดๆ ถ้าเทรดด้วยเหตุผล มันก็แค่ว่าผลลัพธ์เป็นไปตามที่เราคาดการณ์หรือไม่ ไม่ต้องมีความรู้สึกของการลุ้น ถ้ายังมีการลุ้นว่าจะได้หรือไม่ แสดงว่ามันยังมีความรู้สึกของการเสี่ยงโชค มันคือการพนัน
    • ผลลัพธ์ของการเทรด มันถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนที่เราวิเคราะห์การเทรดแล้ว ส่วนจะกำไรหรือตัดขาดทุน เป็นเรื่องของการบริหารความเสี่ยง
    • ไม่ต้องดูกราฟบ่อยด้วย เอาเวลาไปทำอย่างอื่น การดูกราฟบ่อย เหมือนเป็นการเสพติดการพนันอย่างหนึ่ง

7 เม.ย.

  • วันนี้วันหยุดสุดสัปดาห์ เทรด crypto ด้วยหลักว่า วันนี้ปิดทำการ มักไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้มีแรงขึ้นหรือลงเยอะ จึงเทรดsideway ด้วยหลักว่า จะเอาแรงที่ไหนมาขึ้น
    • อีกทั้งเรายังมองว่า USD ยังจะไม่อ่อนค่าลง เพราะ FED ยังต้องการลดเงินเฟ้ออยู่ อาจคงหรือลดอัตราดอกเบี้ยต่อ ยังคง 50/50 ทำให้ BTC ยังคงอยู่ใน sideway หรือไม่ก็ bearish หน่อยๆ ในปีนี้ จนกว่า FED จะลดดอกเบี้ยจริงๆ
  • เราจะเริ่มซื้อ ADA เมื่อ trend กราฟ ADA/BTC กลับมาเป็น uptrend

6 เม.ย.

  • การเทรด ต้องอ่านข่าวก่อน ค่อยเทรด ถ้าวันไหน ไม่อ่านข่าว ไม่แนะนำให้เทรด เพราะ ไม่ต่างกับการเทรดมั่ว
  • สรุป สัปดาห์นี้ได้กำไร หลังอ่าน The Art of currency trading
    • เกิดจากการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดจากหลัก Fundamental โดยพิจารณาข่าวในปัจจุบัน ร่วมกับ ปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง กับค่าเงินสกุลต่างๆ ตามหนังสือบอก
  • มีอีกเทคนิคหนึ่ง คือ ซื้อCrypto ที่ staking แล้วได้ % สูงๆ, ขณะเดียวกัน ก็เปิด short position ขนาดเท่ากัน
    • เราก็จะได้ ดอกเบี้ยจากการ staking ฟรีๆ โดยที่ไม่มีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด แถม เปิด short ยังมักจะได้ funding rate อีก 0.01% ด้วย
    • ในกรณีที่ยังไม่อยากเปิด short ทันที เพราะ ยังมีลุ้นว่าราคาจะยังขึ้นอยู่ สามารถตั้งเป็น stop market order ไว้ได้ ว่าหากราคาลงต่ำกว่าเท่าไหร่ จะให้ระบบเปิด short อัตโนมัติ เพื่อกันการขาดทุนที่เหลือ
  • เวลาที่ทำธุรกรรม ขนาดใหญ่ ไม่ควรใช้ช่องทางที่สามารถทำได้โดยสะดวก เช่น ลากเมาส์ กดไม่กี่คลิก เป็นต้น เพราะ หากจิตใจเราผันผวน บางทีอารมณ์โลภหรือกลัวพาไป เราจะเผลอเปลี่ยนแผนกลางคันได้ง่าย โดยไม่ทันคิดให้รอบคอบ
  • แต่อย่างไรก็ตาม คิดว่าตลาด crypto ยังไม่ใช่เวลานี้? เพราะ ยัง "have no clue" คิดอะไรไม่ออกแฮะ ปกติถ้ามันดี มันก็จะมีเหตุผลรองรับในการเข้าเทรดอยู่แล้ว แต่อันนี้มันมีแต่ความโลภล้วนๆ? มันยังไม่มีเหตุผลมากพอที่ หรือ อีกอย่างคือ เรายังไม่มีความรู้มากพอในด้านนี้ ซึ่งเราต้องไปหาตำราอ่านก่อน
    • Cardano จะได้รับการยอมรับ ก็ต่อเมื่อ IOG ได้ปล่อยให้ community เป็นเจ้าของต่อ ในการอัพเกรดครั้งสุดท้าย?
    • สรุปคือ ออกจาก cardano ก่อนนะ เทรดแค่ Future ก็พอ
  • ตอนนี้ยังอ่านข่าวไม่ค่อยเข้าใจ skill นี้คงยังต้องใช้เวลาฝึก แต่อีกสาเหตุคือ ความรู้พื้นฐานยังไม่พอ ต้องไปอ่าน Fundamental economic ก่อน

5 เม.ย.

  • FED ประกาศจะคงดอกเบี้ยตลอดปี ไม่ลดอัตราดอกเบี้ยลง ถ้าเงินเฟ้อยังคงไม่ลง หรือ ยังคง sideway ต่อไป
    • ทำไม CHF แข็งค่าขึ้นนะ(กลับตัวแรง) แรงกว่าทองเสียหรือ AUDUSD อีก
      • เหมือนเป็นเพราะ CHF มีอัตราเงินเฟ้อต่ำที่สุด จัดว่าเป็น Safe heaven นักลงทุนจึงซื้อเก็บ ในเวลาที่ไม่แน่ใจว่าจะเอาเงินไปไหน ทำให้ CHF ขาดแคลน และแข็งค่าขึ้นไปอีก
      • แต่เรายังคงถือshort CHF ต่อ เพราะ อย่างไรธนาคาร SNB ก็ต้องทุบค่าเงินตัวเองให้อ่อนลง
    • มุมมองของ FED คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ จะยังมีความจำเป็นที่จะทำให้ เงินหายอ่อนค่า ลงอีกนิด
      • USD มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นอีกนิด หรืออย่างน้อยจะ sideway และไม่อ่อนค่าลงในตอนนี้
      • ถ้า USD แข็งค่าอีกนิดคงทำให้ Bitcoin และ crypto ลงได้ แต่ถ้าแข็งค่ามากเกินไป จนสกุลเงินอื่นมีปัญหา แสดงถึงปัญหาของระบบการเงินแบบcentralized จะทำให้ bitcoin ได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีกไหมนะ?
  • หาจังหวะซื้อ Qcomm และ MSFT เพราะ
    • ชิบ ARM laptop มันโหดมาก(Snapdragon X Elite) ช่วงที่ออกขาย น่าจะกำไรโหด
    • MSFT เพราะ laptop มันจองชิบของ Qcomm ก่อนที่ผู้ผลิตเจ้าอื่นจะได้ใช้
  • เตรียมเข้าซื้อหุ้น tesla เพราะ กำลังลง เนื่องจากลดราคา-ลดกำไร EV ของตัวเอง แต่เราคิดว่ามันเป็นแผนระยะยาว ที่จะทำให้บริษัทเติบโตในอนาคต
  • เข้าซื้อหุ้น ชัวร์: inet, ichi ดูอีกนิดไม่ชัวร์เท่าไหร่ sis, mint

4 เม.ย.

  • เริ่มเทรดได้แล้ว (จากการวิเคราะห์ตามตำราสอน) หลังจากอ่านตำรา The art of currency trading เป็นหลักการที่ Make sense มากๆ เป็นตำราที่สมบูรณ์แบบในตัวมันเอง ขอคารวะคนเขียนจริงๆ
    • การเทรด ไม่ใช่การดูกราฟ แต่เป็นการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลง(ข่าวสาร ข้อมูล) ของสิ่งที่เกิดขึ้นในสิ่งที่เราจะเทรด เช่น ถ้าเป็นสกุลเงิน ก็ต้องวิเคราะห์ เศรษฐกิจ และ นโยบายของประเทศ ปัจจัยอื่นๆในประเทศ ว่ามันน่าจะส่งผลดีหรือผลเสีย แล้วค่อยมาดูกราฟ เพื่อหาตำแหน่งการเข้าเทรดที่คุ้มค่าที่สุด

3 เม.ย.

  • ประเด็น ตอนนี้ ต้องรู้พื้นฐาน Funfamental ของแต่ละประเทศก่อน ว่ามีอะไรโดดเด่นบ้าง
  • ตอนนี้ขาย ADA(cardano) ออกหมดแล้ว เก็บเป็น stable coin ไว้ก่อน เนื่องจากราคาลงเกือบเท่าทุนแล้ว T T (ไม่ได้กำไร)
  • อ่านตำราแล้ว เริ่มเทรดได้มากขึ้น จากการเทรดโดยใช้ fundamental analysis โดยถ้าหาเหตุผลเจอ ก็จะวางแผนเข้าเทรด จากนั้นค่อยใช้ Technical analysis เพื่อหาจุดเข้าที่เหมาะสม leverage ได้เยอะ เช่น
    • SRB(swiss reserve bank) ประกาศว่าค่าเงิน CHF แข็งค่าเกินไป ถ้าเป็นแบบนี้ จะทำให้ค่าเงิน CHF อ่อนค่าลงด้วยการ Short ค่าเงินตัวเอง
      • ถ้านักลงทุนรู้ข่าว ก็ต้อง bearlish และ short ตามๆกันหมด แบบนี้เหมือนธนาคารกลางสวิสซ์ แจกเงินกันฟรีๆเลย เพื่อทำให้ค่าเงินของตัวเองอ่อนลง
  • การอ่านกราฟด้วย technical ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะ กราฟสามารถ "ดูเหมือน" จะขึ้น หรือ "ดูเหมือน" จะลงได้เสมอ จริงๆ มันใช้เป็นเครื่องมือในการหาจุดเข้าเทรดที่ทำให้ได้เปรียบในการ leverage สูงสุดเท่านั้น การอ่านกราฟที่ถูกต้อง คือ ต้องดูว่าขณะนั้น มีปัจจัยทาง Fundamental ใดที่ขับเคลื่อนอยู่ ไม่ว่าจะ มีการaction จริงๆ ของเหตุการณ์ในโลก ซึ่งพบมากใน Forex หรือ จิตวิทยา(การไม่มี action ใดๆ แต่ ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ความโลภ ความกลัว) ซึ่งพบมากใน Crypto
  • ปัจจัยFundamental ของ Forex พอจะมีตำราที่มีคนรวบรวมไว้ ซึ่งดีมากเลย คือ The art of currency trading
  • ปัจจัย Fundamental ของ Crypto เรายังหาไม่เจอ เพราะ ตลาดยังใหม่กว่า ไม่มีใครเขียนตำรารวบรวมปัจจัยไว้ให้ แต่ถ้าคร่าวๆน่าจะเป็น
    • Development and programming ของระบบ
      • ถ้าระบบมีการพัฒนา ออกฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น security, defi, metaverse, gamefi etc
    • ปัจจัยเชิงจิตวิทยา: ความโลภ ความกลัว
    • แต่จริงๆเหมือนมีตำราอยู่นะ เช่น the bitcoin standard, the fiat standard, ตำรารวบรวมความรู้เกี่ยวกับ Crypto ต่างๆ ถ้าเราลองอ่านดูน่าจะมีความรู้ที่กว้างขึ้นๆ
  • ถ้าใช้ Pure Technical analysis มันจะเป็นระบบที่อิหยังวะมากๆ เพราะ เราจะได้แต่จ้องกราฟทั้งวัน แบบไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกบ้าง และหวังว่าจะได้เทรดสักไม้สองไม้ แล้วก็โดนตัดขาดทุน
  • อ่านข่าวเยอะๆๆ ถ้าจะเป็นนักเทรด

2 เม.ย.

  • เมื่อวาน bearish CHF เพราะ ธนาคารกลางสวิตช์ จะshort ค่าเงินตัวเอง เนื่องจากแข็งค่าเกินไป
Notes

** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags" ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.