Skip to main content

พ.ค.​ 67

Submitted by krishrong on

31 พ.ค.

  • วันนี้วันกินอาหาร ตื่น 6:00น
  • นั่งสมาธิตอนเช้า ไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่
  • วันนี้หน้ามีผื่นอีกแล้ว
  • ปัญหาด้านภาษาอังกฤษของเราในตอนนี้คือ อ่านได้ ฟังออก พอเขียนได้ แต่พอจะอ้าปากพูด กลับนึกคำพูดไม่ออก
    • ต้องฝึกคิดภาษาอังกฤษในใจ
  • วันนี้อ่านหนังสือได้ไม่ดีอีกแล้ว
    • อาการสมาธิสั้นเริ่มกลับมาจริงๆแฮะ หยิบของ วางของ วนไปๆมาๆ เริ่มไม่เป็นระบบ
  • อาการชอบเหม่อลอย มันเป็นอาการหนึ่งของสมาธิสั้น เพราะ ในหัวไม่สามารถตัดความคิดจากปัจจัยรอบด้านที่เข้ามา(ต่างจากคนปกติ) สมองจึงต้องพยายาม process ข้อมูลทั้งหมด พอเหน็ดเหนื่อยก็จะตัดขาดตัวเอง และเหม่อลอย รวมถึงชอบทำหน้าอึน หน้าผากย่น
  • เรื่องสมาธิสั้น มี2 ทางเลือก คือ ฝึกสมาธิให้ได้ กับ ดื่มกาแฟ
  • ตอนนี้เริ่มใช้ทางลัด เริ่มไปดูคลิปสัมภาษณ์ คนที่เขาประสบความสำเร็จ ดูว่าเขาทำอะไร ทำอย่างไร ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
  • อย่าท้อถอยเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี อย่าให้ภาพลวงตาที่ไม่ดี มาหลอกให้เราหมดกำลังใจในการพัฒนาตนเอง
    • เรื่องเพื่อนบ้านมหาประลัย พยายามอย่าไปคิดถึงมัน เพราะ ถ้าคิดตามเหตุผล อย่างไรก็ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะ มันผิดกฏหมายอยู่แล้ว ต่อให้นินทาอะไรเรา มันก็เป็นเพียงเหมือนขยะสังคม ที่ปลิวไปปลิวมาเท่านั้น ไม่มีค่าพอให้ใส่ใจ
      • ที่สำคัญคือ มันเป็นแค่ทางเดินผ่านเข้า-ออกเท่านั้น เราจะพบเจอกันเพียงในช่วงเวลาที่สั้นมากๆ
      • ถึงจุดหนึ่งเราจะย้ายออกไป และจะไม่ต้องเจอขยะเหล่านั้นอีก
      • ขยะเหล่านั้น มันเทียบไม่ได้เลยกับอนาคตของเรา หรือ อดีตที่เราเคยสั่งสมพัฒนาตนเองมา
  • วันนี้ไปงานสัมนาแถวสยาม เลยไม่ได้ทำตาม routine ที่วางไว้
    • อ่านข่าว reuter อย่างเดียว ตึงมือพอสมควร ต้องค่อยๆอ่าน ค่อยๆทำความเข้าใจ
      • ดูไม่ได้ความอะไรเท่าไหร่ เพราะ ความรู้พื้นฐานก็ยังไม่ดีพอ

30 พ.ค.

  • วันนี้วันอด IF 16/32 ตื่น 6:00น
  • นั่งสมาธิเช้า, ก่อนนอน ครั้งละ 10 นาที
    • วันนี้อ่านหนังสือได้ดีแฮะ ไม่ได้มีปัญหาสายตาแต่อย่างใด มองใกล้ไกลไม่มีปัญหา สรุปว่าไม่เกี่ยวกับปัญหาสายตา แต่เกี่ยวกับสมาธิสั้น
    • ดูคลิปนี้คืออาการสมาธิสั้นตรงเผงเลย เป็นมาตั้งแต่เด็ก https://www.youtube.com/watch?v=b5qWEZ-7nHU 
    • วันนี้อ่านหนังสือได้ดีจริงๆแฮะ สรุปว่านั่งสมาธิช่วยให้ดีขึ้น แก้ไขสมาธิสั้นโดยตรง
  • วันนี้มาวัดปทุมวนาราม เข้าใจเลยว่าทำไม ทำบุญกับพระพุทธศาสนาถึงได้บุญเยอะ เพราะ ความสงบ ความเข้าใจธรรม เป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง จึงเป็นบุญอย่างยิ่ง
    • รู้สึกว่าความเพียรพยายาม ความลำบากที่เรารู้สึกว่าหนักหนา มันดูกระจอกเล็กน้อยไปเลย ถ้าเทียบกับบุญเหล่านี้
    • คิดว่า ถ้าอนาคตเรารวยแล้ว จะทำบุญเยอะๆเลย
  • เริ่มอ่านหนังสือ 10:00น
  • สรุปว่าการเทรด ยังคงเจ๊งอยู่ แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มอีก เช่นว่า การเทรดสั้นน่าจะดีกว่าเทรดยาว เพราะ โอกาสได้กำไรมันมากกว่าการทนถือยาว ที่ไม่รู้ว่าจะมีปัจจัยอะไรในอนาคตเข้ามา ให้กลายเป็นขาดทุนบ้าง
  • ตอนนี้ขาย Crypto ที่ All in ออกไปหมดแล้ว ข้อผิดพลาดคือ
    • เทรดในสิ่งที่เราไม่รู้ เรายังไม่ได้ศึกษา Crypto ใดๆเลย
    • เทรด ด้วยการ All in โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง(ตำราบอกว่า แม้จะเรียกกันว่า All in แต่จริงๆคือลงด้วยเงินแค่ 5% ของทั้งหมด)
  • ช่วงนี้รู้สึกว่าอัตตาลดลงหน่อย ไม่ได้คิดว่าตัวเองดีเด่นกว่าคนอื่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา ที่ยังต้องล้มลุกคลุกคลาน เผชิญกับปัญหา ความผิดพลาด เหมือนคนอื่นๆ
    • แม้อัตตาคิดว่าตัวเองดีเด่นจะลดลง แต่ความตั้งใจในการอ่านหนังสือยังเท่าเดิมนะ และ อาจจะเพิ่มขึ้นๆด้วย
  • วันนี้อ่านหนังสือได้ดีจริงๆนะ สิ่งที่ทำในวันนี้คือ
    • ทำบุญ วัดปทุม จิตใจผ่องใส
    • นั่งสมาธิตอนเช้า และ ก่อนนอน 10 นาที
    • ลืมตาในน้ำสะอาด เยอะๆตอนเช้า เพราะ ตื่นมาคันตายิบๆๆ
    • กินโยเกิร์ต ช่วยปรับสมดุลในลำไส้ ช่วยลดการอักเสบ/ภูมิแพ้ที่เป็น เพราะ อาจมีสาเหตุหนึ่งมาจาก antigen ที่ผลิตจากเชื้อไม่ดีในลำไส้
    • เมื่อวานเพิ่มช่วงเวลากินอาหารเป็น 16 ชม น่าจะทำให้มีพลังงานมากขึ้นด้วย

29 พ.ค.

  • วันนี้กินอาหารปกติ(IF 36/12) ตื่น 6:00น
  • ปัจจัยที่อาจทำให้สมองเบลอ คิดอะไรไม่ออก เมื่อวานตอนเย็นๆ รวมถึงประสิทธิภาพการอ่านลดลง
    • กินอาหารน้อยเกินไป จนพลังหมดในวันที่อด(Fasting)
    • ปัญหากล้ามเนื้อตาขณะมองใกล้
    • ปัญหาภูมิแพ้ หน้ามีผื่น และ ตาแห้ง คันตาทั้งวัน
    • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ไม่มีสมาธิ
    • ไม่ได้ดื่มกาแฟ
    • คิดว่าปัญหาใหญ่สุดน่าจะเป็นการกินอาหารน้อยไป ได้รับพลังงานไม่พอสำหรับ 2 วัน(วันละ 1500x2= 3000kcal) เพราะ เมื่อเช้ากินอาหารไป ก็รู้สึกว่าสมองกลับมามีความคิดทำงานได้ดังปกติ
  • สาเหตุหนึ่งที่เราทะเลาะกับแม่ น่าจะเป็นเพราะ คำพูดของแม่ จี้ใจดำของเรา เพราะ เราก็ยังคงประสบกับความล้มเหลวอยู่เลยในทุกวันนี้ ถ้าเราสำเร็จจริง ใครว่าอะไรเราก็ไม่โกรธหรอก มีแต่ตัวเราที่ไม่ยอมรับความจริงเลยโมโห
    • "คนรวย ใยต้องทะเลาะ" ที่ทะเลาะ เพราะ ยังจนอยู่นั่นแหละ
    • เรายังพยายามไม่มากพอ เลิกโทษคนรอบข้างเสียทีเถอะ
  • ผู้มีศีลย่อมเป็นที่รัก
  • วันนี้มาอ่านหนังสือที่มหาลัย ได้เริ่มอ่านจริงๆก็ 11:00น
    • วันนี้อ่านหนังสือ สมาธิดีพอสมควรเลยแฮะ หลังจากที่เปลี่ยนมานั่งในที่ ที่ไม่ค่อยมีคนเห็น แปลกดีนะ
      • หรือว่าปัญหาที่อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง เวลาอยู่กับคนเยอะๆ เป็นเพราะเรามีสมาธิสั้นนะ?
  • ถ้าอาการตาแห้งและผื่นที่หน้าไม่หาย อาจต้องเปลี่ยนรูปแบบการกินอาหาร
    • เปลี่ยนมากินวันละมื้อ - น้ำตาลในเลือดที่สูงตลอดวัน อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย
    • เปลี่ยนมากินอาหารมังสวิรัติ(กินไข่ได้) - ไขมันสัตว์​ อาจมี antigen, allergen บางอย่างที่ทำให้เกิดการอักเสบภูมิแพ้
  • น่าจะต้องกลับมาฝึกนั่งสมาธิใหม่
  • ปัญหาเรื่องการอ่านหนังสือที่แย่ลงของเรา อาจจะไม่ใช่อะไรเลยดังที่ไล่เรียงมาข้างต้น อาจจะเป็นที่ภาวะสมาธิสั้นมากกว่า
    • เพราะ วันนี้อ่านหนังสือได้จนถึงดึก(โดยไม่ได้ทำอะไรพิเศษ) โดยต้องอ่านในที่ๆไม่มีคนเยอะ เพราะ เงียบและไม่มีสิ่งรบกวน
      • มองใกล้ มองไกลไม่ได้มีปัญหาอะไร
      • กินอาหาร ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
      • ตาแห้ง ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
      • แต่ก็ยังคงเหลือการยุกยิก และเต็มไปด้วยความวอกแวก อ่านหนังสือไปก็อยากจะไปทำอย่างอื่นไปด้วย

28 พ.ค.

  • วันนี้วันอด (IF 36/12) ตื่น 6:30น
  • เหมือนตอนนอน จะมีนอนกรน และ อาจมีภาวะอุดกลั้นทางเดินหายใจ
    • เหมือนเรามีปัญหาการ growth ที่ผิดปกติ คือ เป็น growth หลังหมดวัยเจริญเติบโตไปแล้ว ซึ่งจะมีผลทำให้ ขากรรไกรล่าง ขยายตัว การสบฟันเปลี่ยน รวมถึง tongue tissue ก็ขยายตัว ทำให้ลิ้นโตขึ้น ส่งผลให้มีการอุดกลั้นทางเดินหายใจได้ง่าย
      • ต้องหลีกเลี่ยงการนอนหงาย เพราะ จะทำให้ลิ้นตกไปด้านหลังและอุดกลั้นทางเดินหายใจขณะหลับ
  • วันนี้กลับมาใส่แว่น แล้วอ่านหนังสือจากหน้าจอด้วยการมองไกลระยะสุดช่วงแขนเหมือนเดิม หลังจากที่ลองไม่ใส่แว่นสักพักเพื่อลดค่าการเพ่งของตาลง แต่ก็พบว่าทำให้ไม่สามารถรับรู้สิ่งแวดล้อม รวมถึงประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือก็ลดลง รู้สึกมองอะไรก็ไม่ชัดเจน
    • พอใส่แว่นแล้วอ่านหนังสือได้มีสมาธิเลยนะ ไม่อ่านไปก็วอกแวกไป เผลอไปทำอย่างอื่น เหมือนช่วงไม่ใส่แว่นแล้ว
      • อ่านพระไตรปิฎกได้(ช่วงก่อนหน้า จะอ่านแบบเบลอมากๆ ไม่รู้เนื้อความเลย)
  • ตอนนี้เริ่มได้แนวทางการหาเงินจากการเทรดของตัวเองแล้ว(อ่านข่าว reuters, วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่ได้ข้อมูลจากข่าว และ เข้าเทรดด้วย TA เพื่อให้ได้ leverage สูงสุด) แต่ก็จะยังอ่านตำราการเงินต่อ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น รวมถึงมีช่องทางในการทำเงินจากความรู้มากขึ้น
    • แต่เริ่มรู้สึกมีอิสระในชีวิตมากขึ้น รู้สึกว่ามีความหวังในการเรียนต่อ programming มากขึ้น(กำลังจะมีเงินทุนไปเรียนต่อแล้วว!)
  • การฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษ เริ่มเฉื่อยชาลงนะ
  • ช่วงนี้มีผื่นผิวลอก(Seborrheic dermatitis) ขึ้นหน้าอีกแล้ว เป็นเพราะอะไรกันนะ?
    • กินเนื้อสัตว์ -> ภูมิแพ้(Sjogren's syndrome) ตาแห้ง-คันตา ปากแห้ง หน้ามีผื่น
      • อาการทางตาส่วนใหญ่ในวันนี้คือ คัน ระคายเคืองตา น่าจะมาจากภูมิแพ้
    • ช่วงเวลาอดน้อยเกินไป - > ปรับเป็นกินวันละมื้อ?
    • แต่เอาจริงๆ ถ้าใช้โฟมหน้าหน้าที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid จะหาย เพราะ ช่วยลดเชื้อที่ผิวหน้าได้ แต่อาจแก้ที่ปลายเหตุ
  • อ่านข่าว reuters 3 ชม แต่ไม่ได้สาระเท่าไหร่ เริ่มล้าตั้งแต่ 1:30 ชม เวลาทำ routine อะไร ถ้าไม่ใช่เพราะสมาธิดี ไม่ควรยื้อจนเกิน 1 ชม
  • คิดไปคิดมา ถ้าเราจะมีปัญหาสายตาเยอะขนาดนี้ เราลาออกจากงานเก่า(ใช้สายตาทำงานละเอียดเป็นเวลานาน) ก็ดีแล้วแหละ ไม่อย่างนั้นยุ่งแน่ๆ
  • เหมือนปัญหาหลักๆในตอนนี้ จะเป็นเรื่องตาแห้ง มากกว่า กล้ามเนื้อตานะ เพราะ ตกเย็นรู้สึกว่าตาแห้งมากๆ
  • สรุปว่าวันนี้ก็อ่านหนังสือไม่ได้ดีเท่าไหร่
    • น่าจะเป็นเรื่องพลังงานไม่พอละมั้ง เพราะ ตอนเย็นๆ สมองจะว่าง(Brain fog) อาจต้องพยายามคำนวณพลังงานให้ได้ 3000kcal
    • รู้สึกว่าใส่แว่นดีกว่าไม่ใส่นิดหน่อย
    • เรื่อง routine ควรไม่ควรทดเวลาฟุ้งซ่าน พอครบเวลาก็เปลี่ยนไปกิจกรรมต่อไปเลย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เลิกนิสัย ชอบออกนอกลู่นอกทางเสียที

27 พ.ค.

  • วันนี้วันกินอาหารปกติ(IF 36/12) ตื่น 5:30น
  • วิธีฝึกให้นอนได้น้อยลง
    • สวดมนต์ก่อนนอน โดยบอกกับร่างกายตัวเองว่าจะตื่นเช้า และตั้งใจว่าจะลุกขึ้นจากเตียงทันที ที่รู้สึกตัว
    • ไม่รีบลดเวลานอนในทันที แต่ใช้การบอกกับร่างกายให้ค่อยๆลดเวลานอนลงเรื่อยๆ เพื่อให้ร่างกายยังคงปรับตัวตามได้ทัน และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • ยิ่งดูการ์ตูน อาจทำให้สมาธิแย่ลง? เพราะ สมองเสพติด dopamine จากความบันเทิงเหล่านั้น และจะทำให้กิจกรรมทั่วไป เช่น อ่านหนังสือ ได้รับความสนใจ การfocus ลดลง
    • วิธีการทำให้ชีวิตดีขึ้น จึงเป็นการเลิกดูการ์ตูน ใชีชีวิตที่ราบเรียบ
  • วันนี้มาอ่านหนังสือที่มหาลัย เริ่มอ่านหนังสือ 9.00น
  • เริ่มฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษ​ เริ่มคิดจากประโยคง่ายๆเกี่ยวกับ activity ที่ทำอยู่ในขณะนั้น
  • อาจจะต้องกลับมาใส่แว่น เพราะ ปัญหากล้ามเนื้อตาขณะมองใกล้ยังคงมีอยู่ ซึ่งทำให้ต้องมองไกลตอนอ่านหนังสือ ปัญหาคือ สายตาเอียง ทำให้มองเห็นไม่ชัด แม้จะมองไกลเพียงระยะสุดช่วงแขน

26 พ.ค.

  • วันนี้วันอด(IF 36/12) ตื่น 7:00น (เมื่อวานดื่มกาแฟตอนบ่ายๆ เลยนอนไม่หลับถึงเที่ยงคืน)
    • นอนดึก วันนี้พิมพ์สัมผัสคล่องน้อยลง, รู้สึกร่างกายลำบาก
  • วันนี้มาอ่านหนังสือนอกบ้าน ดื่มกาแฟ
  • ไหว้พระบรมสารีริกธาตุ วัดบวรนิเวศวิหาร จิตใจสงบ จิตได้สัมผัสบุญกุศล กลับมาดูจิตได้ ในรอบหลายเดือน
    • แต่ก่อน ดูจิตได้วันละหลายครั้ง และกำลังสติค่อยๆลดลงเหลือวันละครั้ง หลายวันครั้ง และที่สุด คือ เดือนละไม่กี่ครั้ง และหลายๆเดือนครั้ง...
  • เริ่มอ่านหนังสือ 11:00น
    • เผลอไปดูการ์ตูน จนถึง 13:00น
    • กลับมาอ่าน reuters ถึง 14:00น เหมือนข่าวเศรษฐกิจ กับข่าวสงคราม ใช้ศัพท์กันคนละชุด ต้องฝึกอ่านคนละแบบ
    • อ่าน programming ถึง 15:45น นานกว่า 1 ชม เพราะ เถลไถลเยอะ
    • อ่าน language ถึง 17:00น
    • อ่าน finance ต่อถึง 19.00น
    • วันนี้ The best คือ ตำรา Be fluent เนื้อหาดีมาก เปิดโลก เทคนิคการเรียนภาษา
  • อยากลองฝึกตัวเองให้นอนน้อยลง เหลือวันละ 4 ชม
    • อาจต้องใช้เวลาฝึก 1 เดือน จนกว่าร่างกายจะปรับตัวได้ แต่ก็จะทำให้สามารถพักผ่อนน้อยได้ไปตลอด
    • อาจมีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ถ้าทำร่วมกับ Fasting อาจลดความเสี่ยงลงได้บ้าง?
  • ช่วงนี้ยังคงติดการ์ตูน ดูทีนึงหลายชั่วโมง เวลาอ่านหนังสือยังอ่านไม่นานเท่านี้เลย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่แปลกที่จะไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งๆที่ยอมเสียอะไรในชีวิตไปหลายๆอย่าง จากการออกจากงานประจำที่มีรายได้มั่นคง
    • สิ่งที่น่าสังเกตคือ ช่วงมัธยมที่เตรียมสอบเข้ามหาลัย เราไม่ได้ดูการ์ตูน หรือ สิ่งบันเทิงใดๆ แม้แต่น้อย ในตอนนี้ก็ต้องทำแบบนั้นเหมือนกัน
    • ดูการ์ตูนแล้วมันได้อะไรนักหนา ได้ประโยชน์เท่าการอ่านหนังสือไหม?

25 พ.ค.

  • วันนี้วันกินอาหาร(IF 36/12) ตื่น 5:30น
  • คำนวณพลังงาน หากไม่ได้ใช้แรงเยอะ
    • อ่านหนังสือ/กิจกรรมเบาๆ วันละ 16 ชม ใช้พลังงาน 70kcal/hr = 1120 kcal/วัน
    • นอน 8ชม ใช้พลังงาน 40 kcal/hr = 320 kcal/วัน
    • รวมต่อวันใช้พลังงาน 1440kcal => กินให้พอ 2 วัน ต้องให้ได้พลังงาน 2880 kcal
    • ข้าว 1 จาน ได้พลังงาน 400-500 kcal => ต้องกิน 6-7 จานในวันที่กินอาหาร ก็ประมาณมื้อละ 2 จาน
  • วันนี้มาอ่านหนังสือนอกบ้าน(co working space) เริ่มอ่าน 10:30น
    • เหมือนเริ่มอ่านจริงๆจะเป็น 11:00น
    • อ่าน reuter
  • เหมือนอาการกล้ามเนื้อตาเริ่มเกิดขึ้นอีก เพราะ ตาล้าง่ายโฟกัสไม่ค่อยได้ แม้จะไม่ใส่แว่นเพื่อลด accommodation เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตาเกิด over convergence แล้ว
    • ต้องเพิ่มการมองให้ไกลขึ้นด้วย(แม้จะถอดแว่น) เพื่อไม่ให้ reflex ขณะมองใกล้ทำงาน(eye convergence)
  • ข้อดีของการเทรด คือ เป็นงานที่ได้อ่านข่าว และ ศึกษาความรู้รอบตัวตลอดเวลา และได้ใช้ความคิดวิเคราะห์ ไขปัญหา เหมือนแก้ puzzle ซึ่งถ้าทำถูกก็ได้เงิน
    • ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าต้องหาความรู้ใหม่ทุกเวลา เพราะ ความรู้พื้นฐานก็ยังต้องใช้ประกอบในการวิเคราะห์อยู่เสมอ เพียงแต่มีความรู้ใหม่ในปัจจุบันเข้ามาประกอบด้วย
    • โดยส่วนตัวไม่ชอบอาชีพที่ทำซ้ำเดิม หรือ specific ในงานมากขึ้นๆ เราชอบเก่งหลายๆอย่าง รู้รอบด้านมากกว่า(จะพัฒนาตนเองอย่างไหนก็ดีเหมือนกัน อันนี้แล้วแต่คนชอบ)
    • programming ก็ชอบนะ แต่รอหาเงินอีกแป็บนึง
  • มาที่ co working space เห็นเด็กมัธยม อ่านหนังสือเตรียมสอบมหาลัย อย่างตั้งใจมากๆ รวมถึงคนเก่งๆเพียบเลย มันทำให้รู้สึกว่า การอ่านหนังสือของเราและระดับความพยายามในตอนนี้มันตื้นเขินมากๆ(ความเพียร ย่อหย่อนมากๆ)
    • โลกนี้กว้างใหญ่ กว่าที่เราจะนึกว่าเราเก่งพอแล้ว
    • เราในตอนนี้ เป็นคนประมาท คิดว่าตัวเองเก่ง ย่อหย่อนในความเพียรพยายาม
    • เราเป็นเพียงคนกระจอกๆ ธรรมดาๆ แค่ได้พยายามทำก็ดีมากแล้ว
  • เราควรจะอ่านหนังสือทุกเวลาทุกนาที เพราะ ทุกนาทีที่ตื่นอยู่ ถ้าเราเปลี่ยนเป็นความเข้าใจสัก 1 อย่าง/1 นาที(พยายามอ่านหนังสือ ทุกนาที) ใน 1 วัน เราก็จะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น 720- 960 อย่าง
    • ไม่ห้ามเรื่องการดูการ์ตูน แต่พยายามเสริมความตั้งใจ กำลังใจ ความเพียรพยายาม สุดท้ายจะเลิกดูการ์ตูนไปเอง
  • ดื่มกาแฟตอนบ่าย สมาธิกลับมาดีขึ้น ดีกว่าตอนเช้ามาก คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป (1 กระป๋อง 15 บาท)
    • ช่วงไม่ได้ดื่มกาแฟ ต้องใช้ความพยายาม ดันตัวเองให้อ่านหนังสือแทบตาย แต่พอดื่มกาแฟ ก็โฟกัสได้ง่ายๆโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรมากเลย
  • จริงๆ ปัญหาชีวิตที่เราเจอ เช่น ทะเลาะกับแม่ เป็นต้น ถ้ามองจาก มุมมองของบุคคลที่ 3 มันจะแก้ไขได้ง่ายๆเลย แต่ที่แก้ไม่ได้ เพราะ เรามีอีโก้สูงนั่นแหละ
    • มีวิธีแก้หลากหลายมาก เช่น ทำหูทวนลม, ให้แม่ดื่มกาแฟทุกเช้า(ช่วยให้การใช้เหตุผลทำงานได้ดีขึ้น) เป็นต้น ซึ่งเป็นความอดทนทางกายภาพ(ง่ายๆ)
    • แต่เรื่องอีโก้(ego) และ ทิฏฐิ(ความเห็นที่ไม่ลงรอย) ถ้าจะแก้ง่ายๆ ก็เพียงแค่ทำเป็นไม่รับรู้ แต่เรากลับไม่สามารถทำได้ ทั้งที่เป็นเพียงการอยู่เฉยๆ?
  • ปัญหาของเราในตอนนี้คือ ขาดความเพียรพยายาม จงมีความเพียรในทุกอิริยาบถ(เคยอ่านเจอในพระไตรปิฎก)
    • ช่วงก่อนหน้านี้เราใช้ปัญญาในการหาวิธีพัฒนาตนเอง แต่ที่ขาดคือความเพียรพยายาม
    • วิธีการเพิ่มความเพียรพยายามคือ
      • อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง ให้คิดว่าตัวเราเองไม่เก่ง ไม่ได้ดีเด่นกว่าคนอื่นใดๆ สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าเราอะไรได้ หรือ เคยทำอะไรมา แต่สิ่งสำคัญคือ ตอนนี้เรากำลังทำอะไร และ มีความตั้งใจในการพัฒนาตนเองแค่ไหน
      • อีกวิธีคือ เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เห็นคนเก่งกว่าเราเยอะๆ มันจะทำให้เราสะเทือนใจเลยว่า โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ ที่เราคิดว่าตัวเองเก่ง จริงๆ มีคนเก่งกว่าเราอยู่มากมายมหาศาล ยังมีอะไรให้เราพัฒนาอีกมาก ที่เราพัฒนาตัวเองมา มันยังเป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
      • ทั้งนี้ คนเก่ง กับ คนดีไม่เหมือนกันนะ ให้เลือกคบคนดีเท่านั้น
  • ความเปลี่ยนแปลงของเรา(พัฒนาขึ้น) ในด้าน ทักษะทางคณิตศาสตร์ / logic
    • กลับมาอ่านตำรา programming สามารถเข้าใจ และ คำนวณเลขฐานต่างๆได้ง่ายขึ้น แบบเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ต้องใช้ความพยายามอะไรมากเหมือนเมื่อก่อนเลย
    • อ่านตำรา finance สามารถพิสูจน์ สูตรทางคณิตศาสตร์ได้เอง โดยที่ยังไม่ต้องกลับไปเปิดตำราเลข
    • เป็นความเปลี่ยนแปลงหลังจากทำ Alternate day Fasting มาสักระยะหรือเปล่านะ?!
      • เพราะ แต่ก่อนไม่เคยพัฒนาตัวเองได้เร็วเท่านี้
  • เอาจริงๆ พออ่านตำรา finance ไป ก็เริ่มพบว่า เราชอบ programming มากกว่า ความรู้สึกมันต่างกัน
    • programming เวลาอ่าน จะเหมือนอ่านตำรา สำหรับชีวิต เหมือนชีวิตเรา กับ programming มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่
    • finance เวลาอ่าน จะเหมือน อ่านตำราความรู้รอบตัวเสริม
    • เป็นความรู้สึก แต่ในความเป็นจริงก็ยังคงทำตามแผนนะ

24 พ.ค.

  • วันนี้วันอด ตื่น 5:30น
  • ยังคงจะไปอ่านหนังสือข้างนอก แม้จะอยู่ห้องคนเดียวโดยไม่มีใครรบกวนก็ได้ เพราะ ที่ห้องมีฝุ่นเยอะ และร้อน ไม่สบายตัว
  • วันนี้กลับมาอ่านหนังสือได้แล้ว
    • ที่เมื่อวานอ่านหนังสือไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะ กินอาหารเยอะในคราวเดียว ทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง(กินธัญพืช หมดหม้อ(1.5 ลิตร) ในคราวเดียว เพราะ ต้องการออกเดินทางไปข้างนอก)
  • เริ่มอ่านหนังสือ 8:42น
  • ช่วงนี้ไม่ได้ดื่มกาแฟมา 1 สัปดาห์ เหมือน อาการท้องเสีย บ่อยๆก็หายไปด้วย คงจะเป็นเพราะว่า กาแฟกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ ลำไสใหญ่ ดูดซึมน้ำและเกลือแร่น้อยกว่าปกติ เลยดูเหมือนท้องเสีย
  • อ่าน reuter ยังไม่สามารถอ่านได้เกิน 1 ชม เกินกว่านี้จะเหนื่อย แต่ถ้าถือว่าเป็นการฝึก ก็ทำได้นะ ฝึกอ่านให้ได้ มากกว่า 1 ชม
  • เคยอ่านเจอว่า มีการทดลอง เอาหนูใส่ลงในกล่อง ที่มีน้ำท่วมเกินกว่าจะยืนถึง กล่องหนึ่งปิดฝามืดสนิท อีกกล่องเปิดฝาไว้ ทิ้งไว้ข้ามคืน
    • พบว่าหนูกล่องที่เปิดฝาทิ้งไว้ ยังคงพยายามว่ายน้ำอยู่ แต่หนูในกล่องที่ปิดสนิทจมน้ำตาย
    • เหมือนงานวิจัยสรุปว่า การที่หนูยังคงรู้สึกว่ามีทางออก ที่จะทำให้มันรอดชีวิตได้ มันก็จะยังคงพยายามว่ายน้ำต่อไปเรื่อยๆ กลับกัน หนูที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหวัง ก็จะหยุดว่ายและยอมตาย ทั้งๆที่จริงๆยังสามารถอดทนสู้ต่อไปได้
    • สมมุติว่า ถ้าเราเจอกับสถานการณ์ มืดแปดด้านในชีวิต จะยังคงสู้ต่อหรือไม่? เราเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาเหนือกว่าหนู อย่างไรก็ต้องพยายามต่อไปจนถึงที่สุด
  • เหมือนว่าช่วงนี้ สายตาทนต่อการอ่านหนังสือได้น้อยลง ล้าง่ายขึ้น ไม่สามารถอ่านได้ทั้งวันเหมือนช่วงก่อนหน้า

23 พ.ค.

  • วันนี้ตื่น 5:30 น ช่วงนี้เทรด เลยตื่นเช้าแฮะ และ ปฏิเสธความช่วยเหลือจากผู้อื่น เลยขยันเป็นพิเศษ เพราะต้องยืนด้วยลำแข้ง ความรู้ และ ความสามารถของตนเอง
  • วันนี้กินอาหาร(IF 36/12)
  • วันนี้มาอ่านหนังสือแถวมหาลัย
    • เริ่มอ่านจริงๆตอน 12:00น
  • เหมือนเราจะต้องฝึกใช้งานภาษาอังกฤษ แม้เริ่มแรกจะติดๆขัดๆ และไม่ทันใจ แต่ก็ต้องใช้งานจริงๆบ้างละ เพราะ เหมือนการอ่านอย่างเดียว แม้จะพอได้คำศัพท์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ใช้งานจริงได้ดีขึ้นแต่อย่างใด
    • ระบบการพูด/เขียน/สร้างประโยค กับ ระบบการอ่าน/ฟัง/รับข้อมูลมันน่าจะคนละระบบกัน ต้องฝึกแยก(ถึงแม้จะใช้ฐานข้อมูลคำศัพท์เดียวกันก็เถอะ)
  • กินข้าวเหนียวตอนกลางวัน เลยง่วงตอนอ่านหนังสือ
  • วันนี้ลัดมาอ่านหนังสือการเงินเลย เพราะ เมื่อวานทำ routine อย่างอื่นครบ แต่อ่านการเงินแค่นิดเดียว
    • กำลังอ่านบทการคำนวณ interest rate ซ้ำ ซึ่งที่อ่านเล่มเดิม เพราะ ไปลองอ่านเล่มอื่น ไม่มีเล่มไหนอธิบายดีเท่าเล่มนี้แล้ว จึงไม่มีทางเลือก ต้องยึดเล่มนี้เป็นหลักไปจนจบ ถ้าไม่เข้าใจ ก็อ่านซ้ำเอา ซึ่งก็ได้รายละเอียด และ ความเข้าใจมากขึ้นๆ
  • การเรียนรู้ของเด็ก จะดีกว่าผู้ใหญ่ตรงที่ เด็กพอเรียนรู้หรือเข้าใจอะไรได้สัก 1 อย่าง จะเหมือนมีความสุขเกิดขึ้น(เกิดการหลั่ง dopamine) แต่ผู้ใหญ่จะไม่ค่อยมีเท่าไหร่
  • ช่วงที่ กินอาหารหรือพลังงานสะสมเพียงพอ จะพิมพ์สัมผัสได้คล่อง แต่ช่วงที่เจออากาศหนาว หรือ ไม่ได้กินอาหาร จะพิมพ์ช้าลง เพราะ มือเย็น นิ้วชา หรือ ไม่มีแรงพิมพ์
  • เมื่อเช้าทะเลาะกับแม่อีกแล้ว หนักพอควร เราเองก็คุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้
  • วันนี้อ่านตำราการเงิน สมาธิไม่ค่อยอยู่กับการอ่านเลย ไม่รู้เป็นเพราะ
    • เป็นวันกินอาหารหรือเปล่านะ(กินมาก ทำให้ต้องใช้พลังงานในการย่อย สมองไม่ทำงาน)
    • หรือเพราะกินข้าวเหนียวก่อนอ่านหนังสือ
    • เหมือนตาแห้งด้วย
    • หรือทะเลาะกับแม่ ทำให้เกิดความเครียด

22 พ.ค.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน(IF 36/18) อาการอาหารเป็นพิษหายแล้ว ไม่ท้องเสีย ลำไส้ไม่แปรปรวน
  • วันนี้มาอ่านหนังสือนอกบ้าน(co working space)
    • มีสมาธิดีมากเลยแฮะ สมาธิดีกว่าอ่านในบ้านเยอะ
  • เรียนรู้หลายๆอย่างใน 1 วัน โดยอาศัยการกำหนดเป็น routine ดีกว่าเรียนรู้วันละอย่าง เพราะ จะช่วยคงสภาพ neuroplasticity ได้ดีและหลากหลายกว่า ถ้าเรียนรู้แค่อย่างเดียว ผ่านไปนานๆ ทักษะอย่างอื่นอาจจะลืม
  • routine วันนี้
    • 2:30 ชม อ่าน reuter 2 ข่าวใหญ่ๆ อ่านไปหาข้อมูลเพิ่มเติมไปด้วย
    • 1 ชม อ่านพระไตรปิฎก ลึกซึ้งมากๆ อ่านแล้วทำให้ความคิดถึงแต่การเทรดลดลง มีสมาธิกับชีวิตมากขึ้น
    • 1 ชม อ่าน programming
    • 30 นาที อ่าน Becoming fluent (language)
  • ช่วงนี้สายตาสามารถอ่านหนังสือได้ทั้งวันแล้ว โดยต้องไม่ใส่แว่น(มองไกลไม่เห็น) เพื่อลดการเพ่ง (accommodation) ที่จะส่งผลต่อไปยังกล้ามเนื้อตาที่ทำให้เกิด over convergence
  • เรายังไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้แบบ native
    • วันนี้มีฝรั่งถามทาง แต่เราไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษ โดยที่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เราพูดโดยทันที แต่เรายังคงต้องมานึกแกรมม่าและแปลคำศัพท์ในใจ
    • อาจเป็นเพราะ เรายังไม่เคยได้ใช้งานภาษาอังกฤษจริงๆ แบบใช้ในการโต้ตอบจริงๆ(real life communication) และ ตอนนี้ภาษาอังกฤษยังคงเป็นเพียงเครื่องมือ ในการถอดความหนังสือต่างประเทศที่เราอ่านเฉยๆ

21 พ.ค.

  • วันนี้วันกินอาหารปกติ (IF 36/12)
  • แม่ยังคงชวนทะเลาะ ชวนเถียงด้วยเรื่องเดิม เอาจริงๆถ้าเราปล่อยชิลๆ แล้วอ่านหนังสือหาความรู้ไปตามปกติ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้
  • เสียเวลาชีวิตอันมีค่าไปฟรีๆกับความบัดซบของเพื่อนบ้านมหาประลัย (อันธพาลสุดๆ)
    • เสียเวลาไปครึ่งวัน
    • ถ้าเลือกซื้อบ้าน ต้องดูสิ่งแวดล้อมด้วย แนะนำบ้านเดี่ยวเท่านั้น
  • วันนี้สมาธิในการอ่านหนังสือกลับมาแล้ว หลังจากอาการอาหารเป็นพิษดีขึ้นในวันที่ 4
  • ตำราการเงิน finanical market and institution ของ mishkin ดีที่สุด(สลับกลับมาอ่านเล่มเดิมอีกแล้ว)
    • แต่บทคำนวณ interest rate ต้องอ่านซ้ำหลายรอบหน่อยนะ เพราะ จะค่อนข้างยาก และเข้มข้นเลยทีเดียว

20 พ.ค.

  • สรุปว่า ยังคงท้องเสียอยู่ จนถึงวันนี้(วันที่3)
  • เมื่อวานไม่ได้อ่านหนังสือต่อ รู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมของเรากำลังถูกพยายาม invade โดยแม่ ที่พยายามให้เรากลับไปทำงานเก่า
    • เหมือนไม่อยากจะทำอะไรเลย ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน (วันนี้วันที่ 20 แล้วนะ!)
    • เหมือนอยู่ๆเราก็อยากจะกลับไปทำงานเก่าแบบงงๆ แบบไม่มีเหตุผลสุดๆ
      • แม่ใช้วิธีการ ด่าอย่างไม่มีเหตุผล เพื่อเป็นอุปสรรคทุกทางที่เราจะไปตามความฝันของเรา แต่เปิดช่องให้ผ่อนคลาย ให้รู้สึกว่าถ้าเลือกกลับไปทำงานเก่า สภาพแวดล้อมที่ตึกเครียดทุกวันจากการโดนด่า จะหายไป
      • ด่าเพื่อเป็นอุปสรรคทุกทาง(ทางที่แม่ไม่ต้องการให้เราเป็น) อีกทางนึง เปิดช่องหนีให้ดูดี สบายใจ น่าเข้าหา(ซึ่งเป็นทางที่แม่ต้องการ)
        • เป็นวิธีการที่พบได้ในหมู่คนพาล
    • ต้องทำอะไรสักอย่างไหมนะ?
      • ปัญหาเดียวเลยคือการที่เราต้องเจอแม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแปรรบกวน ที่พยายามเจาะและควบคุมระบบความคิดเรา
      • พยายามหลบหน้าก็ยาก(แม่ก็ตามเจออยู่ดี) พยายามต่อต้านก็บาป กลืนไม่เข้า คายไม่ออก
      • อาจจะต้องใช้ชีวิตข้างนอกบ้าน เป็นส่วนใหญ่ กลับมาเพียงเพื่อมานอน
  • วันนี้วันอด(IF 36/12)
  • เมื่อวานไม่ได้อ่านหนังสือเลย ไม่มีกำลังใจ อากาศร้อน ท้องเสีย
    • ดูการ์ตูนทั้งวัน - ต่อให้มันสอนอะไรเราบางอย่างได้ แต่มันมีสาระมันไม่มากพอ ที่จะคุ้มกับเวลาดู ที่เสียไปมหาศาลนะ
      ถูกแม่กดดันจนต้องหนีไปดูการ์ตูนทั้งวัน และ ขาดความกระตือรือร้น อยากนอนเฉยๆทั้งวัน
      • สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทางออกของปัญหา ถ้าอยากจะชนะปัญหานี้ ต้องรักตัวเอง ต้องทำเพื่อตัวเอง ต้องอ่านหนังสือเยอะๆ
        • การดูการ์ตูน และ การหมดกำลังใจไม่อยากทำอะไร คือการยอมแพ้และ ยอมให้เขาควบคุมบงการความคิดในที่สุด
      • วิธีการควบคุมความคิดคน คือ ปิดทางหนี หรือพยายามสร้างอุปสรรคทุกทาง แล้วให้เหลือทางออกทางเดียว ที่ตกแต่งให้ดูดี ซึ่งเป็นทางที่ต้องการ
    • ถ้าอยากได้คำสอน ก็อ่านจากพระไตรปิฎกเอา วันละ 1 ชม
  • วันนี้อาจจะต้อง break routine ไม่ได้อ่าน programming, english แล้วข้ามไปอ่านการเงิน เพราะ ไม่ได้อ่านมานาน
  • 12:20น หลังการอด(Fasting) ชม.ที่ 18 ก็เริ่มกลับมามีสมาธิอ่านหนังสือได้เอง หลังจากติดการ์ตูนไปช่วงเช้า
  • ดูเหมือนการอยู่บ้าน จะไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าที่ควรในการทำให้เกิด productivity นะ?
    • ต่อให้ปิดห้อง ก็ไม่รู้สึกสงบใจได้เท่าไหร่เลย
    • รอบข้างก็มีแต่เพื่อนบ้านที่คอยจ้องเล่นงาน เอาเปรียบ หาทางกลั่นแกล้ง
    • อาจจะต้องกลับไปอ่านหนังสือนอกบ้านเหมือนเดิม
  • ตกเย็นเริ่มอาการดีขึ้นอีกบ้าง ลำไส้ไม่โครกครากอีกแล้ว ไม่ท้องเสียเป็นว่าเล่นแล้ว
    • ร่างกายหายแปรปรวน ก็เริ่มสามารถมีสมาธิกลับมาอ่านหนังสือได้แล้ว
  • โดยส่วนตัวรู้สึกว่า programming จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ ได้มากกว่า การเงิน/การเทรดซึ่งต้องคอยเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงในโลกความเป็นจริง
    • แต่ในแง่การเรียนรู้ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ เพราะ ใช้เหตุผล การคำนวณมาก ไม่ได้เน้นท่องจำ เหมือนกัน 
    • programming จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาที่มีในชีวิตจริง หรือ ทำให้ชีวิตดีขึ้น ง่ายขึ้น
    • finance/trade จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ ในการลดความเสี่ยงจากการเสื่อมมูลค่าของเงิน และ เพิ่มความมั่งคั่งของตนเอง

19 พ.ค.

  • วันนี้กินอาหาร เมื่อวานอาหารเป็นพิษ
  • ดีที่เรียน programming ไปด้วย เพราะ เอามาช่วยคำนวณอัตราดอกเบี้ย ในการเรียนเรื่องการเงินได้
  • เมื่อวานไปงานseminar programming ก็ได้เห็นอะไรใหม่ๆเยอะเลย

18 พ.ค.

  • วันนี้อาหารเป็นพิษ อาเจียน ท้องเสียหนัก
    • รู้สึกกลัวความตาย ตอนที่อาเจียนแล้วจมูกถูกอุดตันหายใจไม่ออก แสบจมูก ทรมาน
    • ปวดหัว ปวดท้อง
    • น่าจะเป็นเวรกรรมจากการด่าว่าแม่ แม่เราตอนคลอดเราน่าจะทรมานกว่านี้หลายเท่า
    • ทรมาน หายใจไม่ออก(complete obstruct) แค่นี้ว่าน่ากลัวแล้ว การรับผลบาป ในนรกจะน่ากลัวขนาดไหน
  • จะเลิกด่าว่าแม่แล้ว ใครมาบอกว่าแม่เราไม่ดี เราจะไม่เชื่อคนๆนั้นแล้ว แม่เรามีพระคุณกับเรามาก แค่คลอดเราเพื่อให้เราได้เกิดมาก็ไม่รู้จะทรมานแค่ไหนแล้ว จะมีใครยอมทรมานเพื่อเราได้ขนาดนี้
    • พ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดจึงมีพระคุณต่อเรามาก อย่างหาประมาณมิได้
  • ตอนมีชีวิต ทำชั่วแล้วอาจมีคนเชียร์เรา แต่ตอนตาย เรารับกรรมคนเดียวนะ คนเชียร์เขาไม่มารับกรรมกับเรานะ
  • ต่อให้ขณะที่มีชีวิตอยู่ เราดิ้นรนแสวงหามาแค่ไหน พอได้มาไม่ทันจะใช้ ก็อาจตายก่อนแบบไม่ทันตั้งตัวก็ได้นะ ดังนั้นพยายามอย่าทำบาป ทำความดีเยอะๆ ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงมันไม่มีค่าเลย ตอนตายมันมีเพียงบุญเท่านั้นที่ช่วยเราได้
  • การตายที่ทรมานมากอย่างหนึ่ง คือ การตายจากการขาดอากาศหายใจ เพราะ ลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ของสติที่ดีอย่างหนึ่ง
    • ตอนมีชีวิตอยู่ต้องใช้ลมหายใจให้คุ้มค่า โดยการนำมาเป็นเครื่องอยู่ของสติ และ มีความสุขในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นตอนตาย หายใจไม่ออกจะเสียดายลมหายใจในชีวิตนี้แน่ๆ
  • กินยาธาตุน้ำขาวไป เหมือนจะดีขึ้นทันที placebo effect?
  • แต่ก่อนไม่เคยเจ็บป่วยหนักแบบนี้ แต่อาการเจ็บป่วยทางกายมากมายเริ่มหลังจากช่วงกลับมาอยู่บ้าน พออยู่ใกล้แม่ การทะเลาะกับแม่ ก็หนักขึ้น บ่อยขึ้น ด่าว่าแม่
    • อาการบาดเจ็บก็อย่างเช่น
      • อยู่ๆก็โดนบาดนิ้วจนทะลุเล็บฉีก เลือดสาด ต้องดึงปลายเล็บส่วนที่ฉีกออก ลำบากไปหลายวัน
      • อยู่ๆก็กินอาหารแล้วเจออาหารไม่สะอาด ทั้งๆที่เป็นร้านประจำของมหาลัย จนอาหารเป็นพิษ อาเจียน ท้องเสีย ทรมาน
    • วิธีการป้องกันคือ
      • หลีกเลี่ยงคือ อยู่ห่างแม่ หลีกเลี่ยงที่จะทำให้มีเหตุให้ต้องทะเลาะ ด่าว่าแม่
      • ถ้าอยู่ห่างไม่ได้ ต้องหยุดใช้ถ้อยคำไม่ดีกับแม่ ถ้าอธิบายแล้วแม่ไม่เข้าใจก็หยุด เงียบ ไม่ต้องเถียงอะไรเพิ่มต่อ ปลีกตัวออกมาจากสถานที่นั้น
  • สรุปว่าวันนี้ไม่ได้ Fasting เพราะ กินเกลือแร่ อาหารอ่อนๆเล็กน้อย ท้องเสียจนถึงเย็น กินยาธาตุน้ำขาวแล้วดีขึ้นบ้าง

17 พ.ค.

  • วันนี้วันกินอาหาร หลังจากอดมา 42 ชม (IF42/6)
    • พิมพ์สัมผัสคล่องขึ้นนิดนึงนะ แต่วันก่อนหน้าทำไมพิมพ์แล้วไม่คล่องเท่าเก่าก็ไม่รู้
  • การแบ่งกิจกรรมในแต่ละวันเป็น routine มันดีมาก ทำให้สามารถเรียนรู้หลายอย่างไปด้วยกันได้
    • ถ้าเรียนรู้ทีละอย่าง skill ที่ไม่ได้ใช้นานจะฝ่อไป การเรียนรู้หลายๆอย่างพร้อมกันจะช่วยกระตุ้น ให้ยังคงใช้งานได้ดีทุก skill
  • ดูคลิป อ.ลอย จริงๆเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่ง่ายเลย ถึงว่าทำไมอ่านเองหลายๆบทเข้าใจยาก
  • วันนี้มามหาลัย ใช้เวลาเดินทาง ขาไป1:30 ชม ขากลับอีก 1:30 ชม สรุปเสียเวลาเดินทางไป 3 ชม เอาไปอ่านหนังสือได้หลายวิชาอยู่นะ
    • แต่สาเหตุที่มาเพราะ ที่บ้านไม่มีอะไรกิน
    • มีฝุ่นเยอะ ระคายเคืองจมูก
  • ตอนนี้เราพอจะควบคุมสถานการณ์ เวลาเจอคุณป้า toxic ได้แล้ว หลักๆคือไม่ต้องพูดหรือเถียงให้เหนื่อย เพราะ มันเป็นการให้ความรู้(reward) กับเขา มันทำให้เขาเข้าใจผิดว่าถ้าใช้คำพูดถากถางเรา แล้วเขาจะได้ความรู้ จากการพยายามอธิบาย(จนเหนื่อย)จากเรา
  • นับเป็นช่วงเวลาที่อ่าน/ทำงาน ดีกว่า นับปริมาณงานที่ได้ เพราะ การบริหารจัดการในชีวิตมันข้องเกี่ยวอยู่กับเวลา ส่วนผลงานมันได้ไม่เท่ากันในแต่ละวันอยู่แล้ว นับแค่ว่าเรามีวินัยทำตามตารางเวลามากแค่ไหนจะดีกว่า
    • อย่าไปดูที่ผลงานมากนัก - ผลงานมักขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ทั้งควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ซึ่งต้องค่อยๆปรับแก้ไปในระยะยาว ไม่ใช่ดูรายวัน
    • ดู routine ที่ทำ ดีกว่า ดูผลงานที่ทำได้ เพราะ routine ในปัจจุบัน จะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ในระยะยาว
  • ถึงหอสมุดจริงๆตอน 13:00น เริ่มอ่านจริงๆตอน 14:45 น
    • อ่านข่าว reuter จบตอน 16:20 น อ่านได้ 1 ข่าว
  • วันนี้วันกินอาหาร รู้สึกโฟกัสได้ยาก I feel that my mind is so messy; it is quite hard to focus.
    • ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ กินเยอะ
    • อีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะกินข้าวขาว แป้งขัดสี/แปรรูป
  • ถาม google gemini ว่าตำราการเงินเล่มไหนดีกว่า https://g.co/gemini/share/962d725ccd9d 
    • เหมือน ตำราของ Financial Markets and Institutions (Eakins, Mishkin) จะลงลึกในรายละเอียดมากกว่า
    • สรุปว่า จะเปลี่ยนกลับมาอ่านเล่มเดิม
  • เรื่อง programming ถ้าเราอยากสร้างระบบ อย่างจริงจัง น่าจะต้องเรียนอีกเยอะ Javascript อย่างเดียวไม่พอนะ
    • data structure&algorithm
    • security
    • network security
    • AI
    • etc.
  • พยายามคิดว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นเรื่องธรรมดา เช่น ขณะกินข้าว ก็ดู youtube รายการที่มีสาระไปด้วย
    • สิ่งที่เราทำจนกลายเป็นความเคยชิน จะกลายเป็นนิสัย และกลายเป็นปัจจัยไปสู่ความสำเร็จในอนาคตของเรา
  • วิธีการควบคุมความเก่งของเราให้ใช้ได้อย่างเต็มที่
    • ให้คิดว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ผิดแปลกอะไร ใครที่ฝึกมาเรื่อยๆก็จะทำได้(ซึ่งมันก็ปกติจริงๆ) เช่น
      • อ่านตำราภาษาต่างประเทศได้คล่อง
      • ดู youtube รายการต่างประเทศตอนกินข้าว
      • ฟังเพลงภาษาอังกฤษ​ แบบไม่ต้องดูเนื้อ
      • พิมพ์สัมผัสได้
  • เหมือนกับว่าสายตาเรา พองดใส่แว่น(มองไกลไม่ชัด)มาสักพัก จะทำให้อาการกล้ามเนื้อตาดีขึ้น ตอนนี้สามารถอ่านหนังสือได้ตลอดเวลาที่ต้องการแล้ว(แบบไม่ใส่แว่น)

16 พ.ค.

  • ถ้าอยู่กับคนที่พยายามด่าเรา พูดถากถางเราตลอดเวลา productivity เราจะตกต่ำ
    • กลับมาที่บ้าน 16 วันแล้ว การอ่านหนังสือไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
      • อยากจะนอนทั้งวันให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เพราะ ตื่นมาก็จะได้ยิน คำพูดว่าเราไร้ประโยชน์ ​เหมือนขยะสังคม จากคุณป้าสุดประเสริฐท่านหนึ่ง(ที่วันๆ เอาแต่เชื่อฮวงจุ้ย จนไม่กล้าติดนาฬิกาในบ้าน ตอนทำอาหารก็ไม่รู้เวลา)
      • คุณป้ากำลังทำลายประโยชน์อย่างใหญ่หลวงของชีวิตหนึ่งๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต(ประโยชน์จากการหาความรู้)
    • ต่อให้เราทำดีกับเขา คิดดีกับเขา แต่เขาก็อาจจะไม่ได้คิดดีกับเรา
      • สิ่งที่เราทำได้คือ พยายามป้องกันตัว รักษาตัวให้ดี ด้วยการพบเจอและมีปฏิสัมพันธ์กับเขาให้น้อยที่สุด
      • ต่อให้เขาทำดีกับเรา ก็อย่าเชื่อ เพราะ เขาอาจจะหวังผลอะไรอยู่ก็ได้
    • มีศัตรูเป็นบัณฑิต ยังดีกว่ามีมิตรเป็นคนพาล https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=44
      • แม้มิตรพาลนั้นจะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม
      • การมีมิตรเป็นคนโง่ ย่อมนำความฉิบหายมาให้แก่เราในอนาคต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
      • แม้เราจะมีศัตรูเป็นบัณฑิต เราก็ยังได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากวิธีการคิดของเขา ย่อมทำให้เราเจริญขึ้นๆ
    • เราจะอยู่บ้านต่อ เพื่อให้คนพาลมาชำแหละชีวิตเราตามใจเขา มันดีไหมนะ?
      • คงไม่ดีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ใช้วิธีปิดประตู ไม่พบเจอหน้า แม้กระทั่งกิจกรรมเล็กๆน้อยๆที่ต้องพบปะ ก็งดไป เช่น การชงกาแฟ เป็นต้น
  • วันนี้วันอดข้ามวัน(IF 42/6) ไม่ได้ดื่มกาแฟ
  • น่าจะต้องอ่านพระไตรปิฎกทุกวันละ อ่านทุกเช้า น่าจะดี เพราะ ระหว่างวันจะขี้เกียจอ่าน
  • อย่าไปสนใจเป้าหมาย สนใจสิ่งที่เราทำอยู่ในทุกวัน เพราะ เราบอกไม่ได้หรอกว่าเราจะไปถึงเป้าหมายแบบที่เราคิดหรือเปล่า แต่สิ่งที่เราทำทุกวันจะเป็นตัวขับเคลื่อนเราไปข้างหน้า สิ่งที่เราลงมือทำอย่างไรก็มีผลแน่ (แต่เป้าหมายเป็นเพียงความเพ้อฝัน ไม่ได้ช่วยให้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำทุกวันมากกว่า)
  • หลังจากที่กำหนด routine ก็ทำให้สามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น แต่อีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการ Fasting มากกว่า 18 ชม ที่ทำให้สมองทำงานได้ไหลลื่น
  • อ่านหนังสือไปด้วยสรุปสาระสำคัญไปด้วย น่าจะดีสำหรับอ่านในคอม เพราะ ถ้าจะย้อนกลับมาอ่านเนื้อหาเก่า จะทำได้ยากกว่าอ่านจากหนังสือจริง การทำสรุป จะทำให้ย้อนกลับมาอ่านและเชื่อมโยงเนื้อหาได้ดีขึ้น เร็วขึ้น เข้าใจมากขึ้น ลดการเข้าใจตกหล่นโดยไม่จำเป้น
  • เหมือนกับว่า ตาม routine เราจะอ่านตำราอื่นๆจบภายใน 3 ชม แล้วได้อ่านการเงินต่อ แต่กลับกลายเป็นว่า เราใช้เวลามากกว่า 7 ชม กว่าจะได้อ่านการเงิน ก็ 17.00น
    • สรุปว่าเราเอาเวลาไปเถลไถลเยอะเลย เช่น ดูการ์ตูน เป็นต้น
  • พอจะจับทางได้ 1 อย่าง ในเรื่องของคุณป้า toxic คือ เวลาที่เขาบอกเราว่าให้ไปทำงาน (ทั้งๆที่เราอธิบายเขาไปเป็น หลายร้อยรอบแล้ว ว่าเรามีปัญหาที่ทำให้ทำงานตามที่เรียนมาไม่ได้) เหมือนเขารู้สึกว่าได้รับ reward อย่างหนึ่ง คือ
    • ใช้คำพูดโง่ๆ 1 ประโยค แต่จะทำให้เราต้องใช้พลังงานไปกับการ อธิบาย 5 ประโยค ซึ่งการอธิบายของเราทำให้เขาได้รับแง่คิด มุมมองใหม่ๆ จึงเป็นเหตุให้ เขาอยากกระตุ้นให้เราอธิบายเรื่อยๆ
    • ต่อไปเราจะเงียบไม่อธิบายอะไรให้เขาฟังแล้วม่อย่างนั้นเขาจะติดใจ และใช้วิธีการทำร้ายจิตใจเรา เพื่อให้ตัวเองได้ความรู้เพิ่ม ซึ่งวิธีการของเขามันจะทำให้เราจิตใจย่ำแย่ลงๆเรื่อยๆๆ
    • วันนี้อ่านหนังสือได้ดีมาก จากการที่ปิดห้องไม่ไปเจอหน้าคุณป้า toxic แต่พอตอนเย็นเจอหน้ากัน ก็โดนเขาถากถางไปอีก
    • เหมือนเขาสบายใจ จนไม่รู้สึกว่ากำลังใช้คำพูดทำร้ายคนอื่น
  • สรุปว่า สำหรับคุณป้า toxic เมื่อเขาถากถางเรา เราจะเงียบ ไม่พยายามอธิบายใดๆเพื่อให้เขาเข้าใจมากขึ้นไปกว่านี้(เพราะ มันดูเป็นการให้ reward เขา ด้วยความรู้ฟรีๆ และจะทำให้เขาอยากใช้วิธีการทิ่มแทงเรา ด้วยคำพูดเหล่านี้ต่อ)
    • เราต้องแกล้งดูการ์ตูน ให้เขาโกรธตายไปเอง

15 พ.ค.

  • วันนี้กินอาหาร จะลองกินภายใน 6 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน(IF 42/6)
    • คำนวณ calories อยู่ที่ 2600kcal
  • เหมือนการเงินที่เราศึกษาอยู่ไม่ค่อยจะใช้ความคิดสร้างสรรค์เท่าการเขียนโปรแกรม
  • วันนี้ไม่ไปมหาลัย อ่านหนังสือที่บ้าน
    • สรุปว่าวันนี้ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ เพราะ เผลอหลับยาว ไม่ได้ดื่มกาแฟ
    • แล้วก็ดูการ์ตูนไม่ค่อยอ่านหนังสือด้วย
      • สาเหตุหนึ่งของการ procrastination คือ ความเครียด
    • หรือการอยู่บ้าน จะไม่ work แฮะ?!
  • สิ่งที่เราเคยเชื่อคือ มนุษย์สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด
  • ตั้งแต่กลับบ้านมานี่ยับเยินเลยนะ โดนกดดันให้ไปหาเงินตลอด ไม่มีเงินเดือน=ไม่มีคุณค่า
    • ถ้าวันๆเจอแต่คนที่มีทัศนคติดี สร้างสรรค์ มันก็คงทำให้เรามีความคิดดีขึ้น
    • แต่ถ้าวันๆเจอแต่คำพูดเดิมซ้ำๆ มันก็คงทำให้ความคิดเราเปลี่ยนไปในทางแย่ลง
      • ต่อให้เป็นแม่เรา ถ้าเขาเก่งจริง วิธีการของเขาถูกต้องจริง เขาก็คงประสบความสำเร็จไปนานแล้ว ไม่ต้องมาคอยกดดันเรา ให้ไปหาเงินในวิธีที่เขาคิดว่าถูกหรอก

14 พ.ค.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน(IF 32/16)
  • มาอ่านหนังสือที่มหาลัย
    • เมื่อวานอ่าน An Introduction to financial markets and institutions ถึงหน้า 48(7 หน้า)
    • บางบท ก็อธิบายเสียยาว ทั้งๆที่เป็นเนื้อหาส่วนที่ง่าย จนบางทีก็น่าเบื่อ
    • เป้าหมายของเราในตอนนี้คือ พยายามอ่าน financial market and institution ให้จบเร็วที่สุด(จบแบบเข้าใจนะ) เพราะ จะเป็นทางเชื่อมต่อไปยังเนื้อหาในโลกการเงินส่วนอื่นๆ
    • วันนี้อ่านหนังสือได้ 11 หน้า น้อยไปไหมนะ
  • ดูการ์ตูนจบ(ยอดนักปรุงโซมะ-Food Wars!: Shokugeki no Soma) เหมือนเราต้องประสบกับการพลัดพรากเลยแฮะ นับจากนี้ จะไม่มีเรื่องราวอะไรเพิ่มเติมจาก ตัวละครที่เรารัก อีกต่อไปแล้ว และมันจะเก็บอยู่ในความทรงจำของเรา
    • เป็นเรื่องราวการพัฒนาตัวเองของพ่อครัว (ยูกิฮิระ โซมะ) ที่จากตอนเริ่มแรก ที่แม้ถือว่าทำอาหารเก่ง แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ เขาจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านความท้าทายต่างๆ ที่จะขัดเกลาความคิดสร้างสรรค์ ความละเอียดอ่อนในการทำอาหาร มากขึ้นๆ จนกลายเป็นเชฟที่เก่งมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ซึ่งถ้าเขาไม่ออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เขาก็คงไม่ได้พัฒนามากแบบนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่แค่พระเอกคนเดียวที่ได้พัฒนาฝีมือ เพื่อนๆรอบตัวเขา ก็พัฒนาขึ้นด้วยเช่นกัน
    • มันเป็นเรื่องราวที่มีชีวิตชีวาดีมาก เป็นการพัฒนาตนเองของคนๆหนึ่ง
    • ชีวิตจริง อย่าคิดว่าความสามารถในปัจจุบันของเราคือดีที่สุดแล้ว ความสามารถในปัจจุบันที่เราภาคภูมิใจ มันจะยังพัฒนาได้อีก ซับซ้อนขึ้นไปได้อีก ละเอียดขึ้นไปได้อีก ถ้าเราออกไป ผ่านประสบการณ์มากขึ้น เรียนรู้มากขึ้น ฝึกฝนมากขึ้น ผ่านความท้าทายมากขึ้น เราจะยิ่งตกผลึก และ สามารถพัฒนาขึ้นไปได้อีก
    • เหมือนในปัจจุบันที่เราภาคภูมิใจ กับความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของเรา ที่ทำให้เราเข้าถึงความรู้จากตำราดีๆมากมายได้ มันก็เป็นเพียงรับความรู้ดีๆ เข้ามาเก็บในหัว แต่ถ้าเราขัดเกลาต่อไป เรียนรู้ต่อไป มันจะกลายเป็นความชำนาญ ตกผลึก ละเอียดอ่อน เกิดคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆได้
  • วันนี้ไม่มีสมาธิเท่าไหร่ในช่วงเช้า แต่เริ่มมีสมาธิดีขึ้น หลังการอดไป 18 ชม
    • ถ้าช่วงเวลาการกินนานเกินไป(feeding time - 16ชม) ก็มีผลทำให้ร่างกายเสื่อมถอยลงไหมนะ
  • รู้สึกว่าชีวิตคนอื่น อาจไม่ได้โชคดีเท่าเรา เลิกบ่นกับสิ่งแวดล้อมแย่ๆเถอะ ถึงมันจะ toxic บางทีคนอื่นอาจจะกำลังเผชิญความ toxic มากกว่าเราก็ได้
  • มีวิธีพักสายตา เวลาสายตาเริ่มโฟกัสไม่ได้ หลังอ่านหนังสือไปนานๆ คือ หลับตาสัก 3-4 นาที (อาจจะเปิดเพลงฟังจนจบ 1 เพลง) พอลืมตาขึ้นมา จะอ่านหนังสือต่อได้อย่างดีเลย
  • ตอนนี้เรื่องการเงิน เรายังอยู่ในร่องในรอย ตามแผนการที่วางไว้ไหมนะ?
    • เราอ่านตำราแบบเดียวกัน วนไปมา 3 เล่ม ไปไม่ถึงไหนเสียที
      • เราอาจจะยึดตำราเล่มใดเล่มหนึ่ง แล้วอ่านเล่มนั้นจนจบ
      • รู้สึกเหมือนกับว่า การอ่านตำราเหล่านี้เป็นการผลาญเวลาโดยเปล่าประโยชน์มากๆ อ่านมาตั้งนาน หลายบท ไม่ได้แก่น สาระอะไรเลย มีแต่น้ำ
    • มันจะทำเงินให้เราได้จริงหรือไม่? จะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปไหม ไม่ใช่ว่าเรียนเท่าไหร่ก็ไม่พอ ต้องเรียนอีกหลายปีนะ?
    • จริงๆ มันมีปัญหาที่ติดการ์ตูน เสียเวลาไปหลายวันด้วยแหละ ช่วง2-3วันที่ผ่านมาไม่ได้อ่านหนังสือเลย
    • จริงๆเราต้องมุ่งเป้าเพียงอย่างเดียว คือ forex ไม่ต้องสนใจ commodity, etc
  • เห็นพนักงานทำความสะอาดมหาลัย ต้องเก็บขวดพลาสติกแยกขาย - > เขายังลำบากกว่าเราเยอะเลยนะ
  • หลังจากนี้ น่าจะไม่ได้ไปมหาลัยแล้ว เพราะ
    • ตอนนี้ที่บ้านอากาศไม่ร้อนแล้ว(ฤดูฝน)
    • ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอาหาร โดยรวมสูงกว่า ค่าน้ำ-ค่าไฟ ถ้าอ่านหนังสือที่บ้าน
    • ไม่ต้องเหนื่อยและเสียเวลาหลายชั่วโมงกับการเดินทาง
    • ควบคุมโภชนาการได้ดีขึ้น(ทำอาหารกินเองที่บ้าน)

13 พ.ค.

  • วันนี้กินอาหารปกติ เมื่อวานอดมา 32 ชม(IF 32/16) น้ำหนัก 47.9(ลดลงอีกแล้ว)
    • รู้สึกเหมือนสมาธิจะดีขึ้นเลยแฮะ หลังจากที่เมื่อวานอดมา 32 ชม
  • ตั้งแต่ที่กลับบ้านมา ไม่สามารถอ่านหนังสือได้ดีเลย ทะเลาะกับแม่ ด้วยเหตุผลเดิมตลอด(ทั้งๆที่อธิบายไปแล้ว มันก็น่าจะจบ แต่วันต่อมาก็ยกเหตุผลเดิมมาอีก WTF! สมองเสื่อมปะเนี่ย!)
    • การที่เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ห่วย มีคนห่วยๆ มันก็ทำให้ชีวิตบัดซบได้นะ แทนที่จะอยู่ดีๆ พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดี วันๆ กลับพยายามหาเรื่องมาทะเลาะกันเอง สุดท้ายก็ฉิบหายกันเอง!
    • แม่เชื่อเพื่อนของเขา ที่ก็ไม่ได้รู้ห่าเหวอะไรเลย เอาลูกพี่ลูกน้องมาเป็นตัวอย่าง WTF! ปกติตัวอย่างของเรามีแต่คนเก่งๆ ระดับโลก แต่วิสัยทัศน์ของคุณป้าท่านนี้(แม่) คือ เอาลูกพี่ลูกน้อง ที่ไม่ได้มีความสามารถอะไรเลยมาเป็นตัวอย่างให้เรา
      • มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำงานอะไร มันขึ้นอยู่กับว่างานนั้นใครเป็นคนทำมากกว่า
        • ถ้าเก่งจริง อาชีพธรรมดาๆ ก็ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ สร้างประโยชน์แท้จริงให้กับโลกได้
  • แทนที่เราจะได้ตื่นมาอ่านหนังสือ พัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ตามแผนกำหนดการณ์ที่วางไว้ กลับต้องเอาชีวิตส่วนหนึ่งไปคอยคิดเหตุผลที่จะโต้แย้ง คุณป้าที่ไม่มีการศึกษา ที่พยายามเอาเหตุผลของคนข้างบ้าน ของเพื่อนป้า มาโต้แย้งเรา 🤮(ตัวอย่างก็คือ ที่บ่นไปข้างต้น)
    • ถ้ารักชีวิต ต้องพยายามออกห่างจากคุณป้า toxic
    • ชีวิตปกติ ที่จะสามารถพัฒนาไปเรื่อยๆได้ แต่กลับมีคุณป้า พยายามมาเป็นอุปสรรคให้กัน โดยไม่จำเป็นซะอย่างนั้น
      • ขัดขากันเองก็สะดุดล้มกันเอง แทนที่จะมองไปข้างหน้าด้วยกัน กลับมีคนหนึ่งในทีม ที่จ้องแต่พวกเดียวกัน และ ขัดขาเมื่อมีโอกาส
    • รู้สึกขยะแขยง ที่ความรู้อันมีคุณค่า ที่เราอุตส่าห์ศึกษามามากมาย ต้องถูกคุณป้า toxic เหล่านี้ ดูถูก ด้อยค่า จนไม่เหลือชิ้นดี ทั้งๆที่ตัวคุณป้า toxic เหล่านั้น ไม่ได้มีความรู้อะไรสักอย่างเลย
    • น่าขยะแขยงจริงๆ
  • หยุดคิดถึงกลุ่มคนบัดซบพวกนั้นได้แล้ว!!! แม้กระทั่งแม่เราเอง พวก"ใช้ปัญญาไม่ได้"เหล่านี้ ไม่มีค่าพอที่จะมาอยู่ในความคิดของเรา
  • อยากรู้เหมือนกันว่าช่วงนี้ที่เราถดถอย เป็นเพราะ กินอาหารไม่พอ หรือ อยู่กับคนห่วยๆ สิ่งแวดล้อมห่วยๆกันนะ
    • น่าจะสิ่งแวดล้อมแหละ
  • วิธีการเมื่อต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมห่วยๆ คนห่วยๆ คือ ปล่อยเบลอ ตัดการรับรู้จากสิ่งเหล่านั้น ทำสิ่งที่เราชอบต่อไป
  • วิธีการทำให้เลิกติดเกมส์หรือการ์ตูน คือ
    • พยายามออกมาสู่โลกของความเป็นจริง สาเหตุหนึ่งที่เอาแต่ดูการ์ตูน คือ ไม่อยากรับรู้โลกของความเป็นจริง เช่น ต้องอ่านตำราที่ไม่ชอบ หรือ คนรอบข้างคอยทำให้หมดกำลังใจ คอยกดดันแบบผิดๆ เป็นต้น
    • เก็บตาไว้อ่านหนังสือเถอะ แทนที่จะเอาตาไปดูการ์ตูนจนตาแฉะ เอาทรัพยากรของกล้ามเนื้อตาที่มีจำกัดมาอ่านหนังสือเถอะ
  • ระหว่างตำราที่เก่า แต่อธิบายแก่น(core concept) ได้ดี กับ ตำราใหม่ ที่มีเนื้อหา และ เครื่องมือดีๆเยอะ แต่อธิบายแก่นไม่ละเอียด จะเลือกอ่านอย่างไหน ถ้าเวลามีจำกัด
    • อย่างไรก็ต้องเข้าใจแก่นให้ได้ก่อน ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย อย่างไรในอนาคตสามารถหาเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว ถ้าไม่เข้าใจแก่น อย่างอื่นๆก็สูญเปล่า
  • เราควรจะสร้างความมั่นคงทางการเงิน ด้วยวิธีไหนดีนะ?
    • ทางเลือก
      • ศึกษาเรื่องการเงิน จนมีอิสระภาพทางการเงิน
      • ศึกษาในสิ่งที่ชอบ และทำเป็นอาชีพ จนมีความมั่นคงทางการเงิน
    • โดยส่วนตัวคิดว่า ทุกอาชีพ มีโอกาสสร้างรายได้เท่าเทียมกัน เพียงแต่ต่างกันในกระบวนการ อิสรภาพทางการเงิน ความมั่งคั่ง อาจจะไม่จำเป็นต้องมาจากความรู้ด้านการเงินเสมอไป(ไม่อย่างนั้น ทุกคนบนโลก ก็จะต้องศึกษาด้านการเงินกันเพียงอย่างเดียว)
    • ไม่มีอาชีพใดที่มั่นคงมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทุกอาชีพมีความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเสมอ อย่าหวังว่าจะทำอะไรอย่างหนึ่งไปได้ตลอดชีวิต
      • อย่างเช่น ระบบการเงิน ก็ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบ มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆเสมอ ทั้งดีและไม่ดี ยังสามารถวิกฤติเศรษฐกิจและสามารถพังพินาศได้ ยังมีเครื่องมือททางการเงินใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตามการพัฒนาของการสื่อสาร เทคโนโลยี เป็นต้น
    • แต่ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลมากกว่า จะเลือกเรียนอะไรถึงจะถูก เพราะ บางคนอาจมีสิ่งที่ชอบหลายอย่าง จะเรียนรู้หลากหลายก็ไม่แปลก และที่สำคัญ ไม่มีการเรียนรู้ใดที่สูญเปล่า มันจะสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้เสมอ แม้กระทั่งการเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ชอบ ต่อให้เลือกผิด มันก็ยังเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตได้

12 พ.ค.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน เมื่อวานกินอาหารในช่วง 16 ชม
  • เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 92 (4 หน้า)
    • ติดการ์ตูน ดูจนถึงเที่ยงคืน วันนี้จะหยุดดูแล้ว และตั้งใจอ่านหนังสือ
    • หวังว่าเมื่อสายตาเราเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว เราจะใช้มันได้อย่างคุ้มค่า ในการเปลี่ยนมันเป็นความรู้ให้ได้มากที่สุด
  • เราเริ่มจะสามารถใช้วิธีการเชิงบังคับให้ตัวเองอ่านหนังสือได้แล้ว
    • แต่ก่อนที่ทำไม่ได้ เพราะ เรามีปัญหาสายตา ถ้ายิ่งบังคับ มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น และจะเครียดเปล่าๆ เลยอ่านบ้าง พักบ้าง
    • แต่ตอนนี้สายตาเราดีขึ้น, สมาธิดีขึ้น capabilityโดยรวม สำหรับการอ่านหนังสือดีขึ้น ถ้ายังมัวเอาเวลาและศักยภาพที่มีไปดูการ์ตูนเหมือนเก่า จะเสียดายของมาก จึงถึงเวลาที่จะต้องเริ่มบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือ ตามวินัยและแผนที่วางไว้ได้แล้ว
  • ให้ Gemini แนะนำ textbook เกี่ยวกับ financial market and institution ให้ https://g.co/gemini/share/5b148dd865de ได้ Well-regard textbook มา 2 เล่ม (รู้งี้ไม่มัวไปงมหาใน reddit แล้ว)
    • เพิ่งรู้ด้วยว่ามันอยู่ในหลักสูตร MBA
  • เริ่มสับสนเรื่องการเลือกหนังสือ หลังจากพบว่า หนังสือที่อ่านอยู่มีการอธิบายที่ไม่ละเอียด-เข้าใจง่ายพอ ทำให้เริ่มไม่แน่ใจว่าควรอ่านต่อไป แล้วอาจไปเจอกับความยากในการทำความเข้าใจในอนาคต หรือ จะเปลี่ยนเล่ม ที่อาจจะดีขึ้น แต่ก็ต้องอ่านใหม่หมด (ซึ่งอ่านเล่มเก่ามาแล้วครึ่งเดือน)
    • แม้จะอ่านใหม่ ก็ไม่ต่างจากการทบทวน อย่างไรก็เป็นเนื้อหาที่เคยอ่านมาแล้ว ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยากหรอก
    • สรุปว่าเปลี่ยนได้เลย ต่อให้แต่ละเล่ม จะมีข้อเสียที่ทำให้ต้องเปลี่ยนไปอ่านเล่มอื่นอีกในอนาคต เพราะ เนื้อหาที่เราอ่านมา ก็เข้าใจอยู่ ถ้าจะเปลี่ยนเล่ม แล้วอ่านเพิ่มก็ใช้เวลาไม่นานหรอก
  • วันนี้เหมือนกินอาหารไม่พอ แล้วทำให้ไม่มีแรงอ่านเท่าไหร่ แรงจะหยิบของก็ยังไม่ค่อยมี
    • ปัญหาอีกอย่างคือ นั่งในที่คนเดินไปมา และ เหมือนจะเป็นจุดที่คนสนใจได้ง่าย เลยไม่มีสมาธิอ่านเท่าไหร่
  • สรุปว่า วันนี้ก็ติดการ์ตูนเหมือนเดิม ดูการ์ตูนเกือบทั้งวัน ไปมหาลัยเหมือนย้ายที่ดูการ์ตูนเฉยๆ
    • สภาพเราตอนนี้ดูไม่จืดเลยนะ ไม่ใช่คนที่มีความฝันและกำลังเพียรพยายามเพื่อมันอย่างเต็มที่ แน่นอน
    • แต่ถ้าเทียบปริมาณการอ่าน ก็ถือว่าเนอะกว่าเก่านิดหน่อย วันนี้อ่านได้ถึงหน้า 98(6 หน้า) รวมกับเล่มใหม่อีก 2 หน้า
  • เหมือนการชมตัวเอง จะให้ผลดีกว่าในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนะ (ดีกว่าการกดดัน หรือ บังคับ หรือ ลงโทษตัวเอง)
    • เช่นว่า ชมตัวเองที่อ่านหนังสือได้เยอะขึ้นกว่าเมื่อวาน 1 หน้า มันทำให้อยากอ่านเพิ่มจริงๆนะ

11 พ.ค.

  • วันนี้กินอาหารปกติ(IF 36/12) ดื่มกาแฟ 1 shot
  • วันนี้ อ่านหนังสือโดยไม่ใส่แว่น
    • อ่านได้ดี สบายตาขึ้น อ่านหนังสือผ่านตาได้แบบชิลๆเลย ความรู้สึกเหมือนสมัยก่อนที่ตายังดีๆ อ่านหนังสือได้เรื่อยๆทั้งวัน
    • แต่นึกๆดู​ อาการกล้ามเนื้อตา ตอนนี้เบาลงกว่าเมื่อก่อน แต่ก่อน แม้จะถอดแว่นอ่านหนังสือ ก็ยังอ่านไม่ค่อยได้ แสดงว่า ตอนนี้กล้ามเนื้อตาเริ่มคลายตัวลงบ้างแล้ว(อาการ over convergence ขณะมองใกล้ ลดลง)
      • ถ้ากล้ามเนื้อตากลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่ ก็คงสามารถใส่แว่นอ่านหนังสือได้(ถ้าอยากจะใส่นะ)
    • เหมือนพอสายตาดีขึ้น การติดการ์ตูน(anime)ก็มากขึ้นด้วย เพราะ สามารถมองเห็นได้ดีขึ้น ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับการรับรู้ข้อมูลได้มากขึ้นทางตา
    • ถอดแว่นอ่านหนังสือดีขึ้นจริงๆนะ อ่านหนังสือได้ชิลๆเลย
  • เมื่อวานอ่านหนังสือ Financial market and institution (Mishkin)ได้ถึงหน้า 88 (มีทบทวนของเก่าด้วย)
  • ถ้าเรื่องการเงิน เราศึกษาด้วยตัวเองได้ บางทีเรื่อง วิศวะคอม เราก็อาจศึกษาด้วยตัวเองได้ไหมนะ?
    • แต่ถ้าอยากเรียนให้ professional เรียนตามหลักสูตรน่าจะได้ความรู้ตามลำดับและครบถ้วนมากกว่า
  • อกาสทั้งหลาย เกิดจากความรู้ในตัวเรา ต่อให้เราอยู่ใกล้คนเก่งมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหยิบยื่น หรือ ถ่ายทอดโอกาสให้กับเราได้ เราจะสร้างโอกาสให้กับตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเรามีความรู้ ส่วนการแสวงหา network อาจจะไม่ได้สำคัญเท่าแสวงหาความรู้ให้ตัวเอง
  • วันนี้มาฟังบรรยายเกี่ยวกับ programming บางทีการที่เราได้รู้ว่าเราไม่รู้อะไรมันก็ดีเหมือนกัน มันช่วยกระตุ้นให้เราอยากศึกษามากขึ้น
  • วันไหนที่อ่านหนังสือน้อย วันนั้นจะนอนหลับยาก วันไหนที่อ่านหนังสือเยอะ จะนอนหลับง่าย
  •  

10 พ.ค.

  • วันนี้วันอด (หลังจากไม่ได้อดมาในรอบ 1 สัปดาห์ เนื่องจากกลับมากินอาหารที่บ้าน แล้วมัน calories ไม่พอ จนน้ำหนักลด)
  • วันนี้มาอ่านหนังสือที่มหาลัย
  • เนื่องจากตอนนี้หาแว่นสายตายาวมาลองใช้ดูไม่ได้ ก็ถอดแว่นอ่านหนังสือไปก่อน
    • อ่านหนังสือได้ดีขึ้นอยู่นะ ไหลลื่นขึ้นเลย
    • ไม่ได้ดื่มกาแฟ, ไม่ได้ Fasting เมื่อวาน และยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิด ketosis
    • สรุปว่า วันนี้อ่านหนังสือได้ดี เพราะ ถอดแว่นอ่านหนังสือ
  • เรื่องการแก้แค้น
    • ไม่จำเป็นต้องทำอะไรหรอก เพราะ สุดท้าย ชีวิตของแต่ละคน ก็จะเป็นไปตามสิ่งที่ตนกระทำ อย่างมากก็เพียงแค่หลีกเลี่ยง หรือป้องกันตัวเอง จากสิ่งไม่ดีในระยะสั้นที่เขาก่อให้กับเรา
    • ส่วนในระยะยาวไม่ต้องหาทางแก้แค้นใดๆ เพราะ...
      • ถ้าเขาทำไม่ดี สุดท้ายชีวิตเขาก็จะนำตัวเองไปสู่ความล้มเหลว
      • ถ้าเราขยันอ่านหนังสือ หาความรู้ พยายามพัฒนาตนเอง ไม่ยอมแพ้ สุดท้ายเราก็จะประสบความสำเร็จ ในเส้นทางที่เราหวังไว้
      • เจอมานักต่อนักแล้ว...

9 พ.ค.

  • วันนี้กินอาหารปกติ ไม่ได้อด
  • เริ่มอ่านหนังสือ 14.35น
  • ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อด และอ่านหนังสือไม่ดีเท่าไหร่เลย น่าจะมาจากการกินอาหารที่มีโภชนาการไม่มากพอ เนื่องจากถูกบังคับให้งดธัญพืช และกินข้าวราดแกงปกติ ประกอบกับน้ำหนักลดเยอะ เลยงดการอดไปก่อน
    • อาหารไม่พอ ก็ไม่ได้อด
    • ไม่ได้อด ก็ไม่ได้สมาธิ
    • ไม่ได้สมาธิ ก็ไม่ได้อ่านหนังสือ และ พัฒนาตนเอง
  • ว่าจะลองหาแว่นสายตายาว +0.5 diopter ใส่ตอนอ่านหนังสือ เพราะ optometrist เคยบอกว่า ปัญหากล้ามเนื้อตาเหล่เข้ามากกว่าปกติ ถ้าอยากให้อ่านหนังสือได้สบายตาให้เพิ่ม addition จะทำให้การ converdence ลดลง และอ่านได้เหมือนคนปกติ

8 พ.ค.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน IF12/12
    • สรุปว่า วันนี้ไม่ได้อดข้ามวัน เพราะ แรงไม่พอ นั่งอ่านหนังสือ อยู่ๆก็จะหลับ แต่พอกินข้าว ก็กลับมาอ่านหนังสือได้
  • มาอ่านหนังสือที่มหาลัย เริ่มอ่าน 9:30น
    • เมื่อวานอ่านถึงหน้า 14 อ่านได้ 5 หน้า ในเวลา6ชม อ่านได้น้อยมากเลยนะ อาจจะเป็นเพราะ กินข้าวด้วยก็เสียไป 1ชม
  • หลังจากที่เปลี่ยนมากินอาหารปกติ ไม่ได้กินธัญพืชเป็นหลัก ก็พบว่าไม่ได้มีแรงเท่าเดิม ไม่สามารถอดได้นานเท่าเดิม น่าจะเป็นเพราะ สารอาหาร มันไม่ dense เท่าธัญพืช
    • หลายวันมาแล้วที่ไม่สามารถทำ alternate day fasting
    • เริ่มเป็นปัญหาแล้ว เพราะ ความคิดไม่แล่นเหมือนเดิม
    • ตั้งแต่ถูกแทรกแซง จนต้องเปลี่ยนอาหารกลับมากินเหมือนปกติ(งดธัญพืช) รูปแบบการอ่านหนังสือ/ทำงานก็ไม่เหมือนเดิม ความทนทานในการอ่านลดลง อ่อนแอปวกเปียก ไม่มีสมาธิมากขึ้นๆ
  • ในเวลา 1 ปี ถ้ามีทุนพอ ก็สามารถทำลายชีวิตคนได้
    • แกล้งทำเป็นหยิบยื่นเงินทุนให้ แต่มีการเพิ่มเงื่อนไข/ข้อจำกัดบางอย่างในชีวิต ทำให้คนๆนั้นไม่สามารถพัฒนาตนเองได้
      • แทนที่จะได้มีอิสระในการพัฒนาตนเอง แต่ด้วยเงื่อนไขที่ถูกจำกัด กลับทำให้ไม่สามารถพัฒนาได้ และสุดท้ายอนาคตของคนๆนั้น ก็ถูกทำลาย
  • พออาหารไม่สมบูรณ์ -> Fastingก็เป็นเรื่องยาก/ทำไม่ได้
    • พอไม่ได้ Fasting -> ก็สมาธิไม่ดี
    • พอสมาธิไม่ดี -> ก็อ่านหนังสือไม่ได้, พัฒนาตนเองไม่ได้
    • พออ่านหนังสือไม่ได้ -> ก็ไม่มีอนาคต สิ่งที่คาดหวังไว้ ก็ไม่สำเร็จ ชีวิตก็ล้มเหลว
  • วันนี้นั่งเอ๋อทั้งวัน ได้แต่จ้องหน้าจอ ตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้าไม่มีสักตัวที่เข้าหัว, ทักษะการพูดเริ่มแย่ลง, ความคิดไม่ไวหรือคล่องตัวเหมือนเดิม
    • ไม่ได้ทำ Alternate day fasting ติดต่อกัน 4 วันแล้ว
  • น่าจะต้องกลับไปกิน ธัญพืชแบบเดิมแล้ว
  • เมื่อเช้าถูกแม่ยั่วโมโห พอสาแก่ใจเขา ก็จะบอกว่าจบละ ไปได้
    • วิธีการของเขา คือ พยายามทำอย่างไรก็ได้ให้เรา เสียกำลังใจ ไขว้เขว สับสน
    • แม้ว่าเราจะมีเหตุผลที่ดีเพียงไร และเขามีเหตุผลที่ไม่เข้าท่าแค่ไหน ขอแค่ทำให้เราเจ๊งได้เมื่อไหร่ คือความสำเร็จของแม่เรา
    • ช่างเป็นแม่ ที่ปราถนาดีต่อลูกจริงๆ
    • หากเราเป็นบุคคลที่มีศักยภาพ และทำประโยชน์ได้มาก แต่เขาพยายามกำจัดเรา มันก็เป็นเหมือนกำลังปิดกั้นประโยชน์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันจะบาปสักแค่ไหนกันนะ กับการทำความชั่วครั้งนี้
  • ความรู้สึกของเราตอนนี้ คือ ถ้าเจอแบบนี้ทุกวันซ้ำๆ สุดท้ายก็แหลกสลาย
    • สิ่งที่แม่เราทำตอนนี้ เหมือนเป็นยุทธศาสตร์กองโจร ทลายทัพหลวง
      • คือ แม้เรารู้ว่าไม่สามารถสู้เราตรงๆได้ เพราะ เรามีเหตุผลที่ดีพร้อม เข้มแข็ง สมบูรณ์แบบ ทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ความฝัน แรงบันดาลใจ
      • แม่เราเลยใช้วิธีการ พูดสิ่งไม่จริง วันละนิดวันละหน่อย ยั่วโมโหเรา แล้วหนี
      • ทำเรื่อยๆทุกวัน จนกว่าเราจะระเบิด สติแตกไปเอง
    • ทำไม่แม่ ไม่อยากเห็นเราได้ดี มีความสุข กลับต้องการให้เราชีวิตบัดซบ มีแต่ความสิ้นหวัง ??
    • อย่าพยายามเอาคืน แต่ให้พยายามป้องกันตัวเองให้ได้มากที่สุด และทำสิ่งที่เราคิดว่าสมควรทำต่อไป เวลาจะเป็นตัวตัดสิน และทำให้เห็นความต่างชัดเจนขึ้นเอง(ไม่นานหรอก) ระหว่างคนมี่ใช้ชีวิตด้วยสติปัญญาอยู่กับความรู้ กับคนที่ใช้ชีวิตแบบงมงายจมอยู่กับความไม่รู้
  • วิธีการแก้แค้นที่ดีที่สุด
    • ถ้าเขายั่วยุให้เราโกรธ เราต้องไม่โกรธ ถ้าโกรธเราก็เป็นทุกข์ เป็นการทำร้ายตัวเองเปล่าๆ ซึ่งเป็นไปตามแผนของเขา
    • แต่คนที่ทำร้ายเราต้องเจ็บปวด แบบที่เราเผชิญ - ซึ่งจริงๆ เขาต้องเผชิญกรรมที่เขาทำอยู่แล้ว เราไม่ต้องทำอะไรให้เป็นเวรเป็นกรรมของเราเองหรอก
  • เรื่อง programming เราจะทำอย่างไรต่อ? ตอนนี้เหมือนไม่มีกำลังใจอะไรแล้ว
    • ความฝันอันยิ่งใหญ่ ที่ไม่ได้รับการสานต่อ แม้เพียงน้อยนิด
  • ว่าจะกลับมาอ่านตำราการเงินเดิมคือ financial market and institution เพราะ มีคนแนะนำใน reddit และเนื้อหารู้สึกใหม่กว่าอีกเล่มที่อ่านอยู่
  • แผนการอ่านหนังสือ คิดว่าจะให้ความสำคัญกับทุกอย่างเท่าๆกัน ไม่อ่านแต่การเงินแล้ว ดังนี้
    • อ่านข่าว reuter
    • อ่านตำรา finance
    • อ่าน programming
    • อ่าน language
    • อ่าน mathematics

7 พ.ค.

  • วันนี้กินอาหาร เมื่อวาน อด 22 ชม. น้ำหนัก 47 กก.
  • เนื่องจากน้ำหนักลดไปเยอะ ก็น่าจะต้องกลับมากินอาหารปกติสักพัก หยุดการอดไปก่อน
  • วันนี้อ่านหนังสือที่มหาลัย เริ่มอ่านหนังสือ 14.00น หน้า 11
    • อ่านด้วยเทคนิคเดิม คือ มองห่างๆ อย่างน้อย 80 ซม. เพื่อไม่ให้ reflex การมองไกล้ทำงาน และ ขยับมุมไม่ให้หน้าจอมีแสงสะท้อน
  • รู้สึกว่าตั้งแต่ที่กลับมาที่บ้าน มีแต่เอาเวลาไปเถียงกับคนอื่น ไม่ได้มีเวลาพัฒนาตนเอง หรือ พัฒนาความคิดอะไรต่อเลย
    • อยู่กับคนที่ศรัทธาในโลกกะลาอย่างแรงกล้า เริ่มรู้สึกว่าชีวิตมีแต่ความสิ้นหวัง ไม่มีความเป็นไปได้อะไรสักอย่าง แนวทางที่เขาเสนอให้กับเรา ถ้าเขาลองคิดด้วยเหตุผลง่ายๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์พยายามยัดเยียดให้เราทำแบบที่เขาพูดอยู่ดี
    • มองเราเป็นแค่เครื่องมือ เลี้ยงไว้เพื่อ ใช้ทำประโยชน์ให้ชีวิตเขาดีขึ้น หากทำประโยชน์แบบที่เขาต้องการไม่ได้ เราก็ไร้ค่า โดยเขาไม่สนใจว่าเรามีความรู้มากแค่ไหน ทำประโยชน์อย่างอื่นให้กับสังคมได้หรือไม่ หากเขาขาดทุน และไม่ได้ทุนคืน เราก็ไม่มีค่าในการประเมินของเขา ช่างคิดสั้นจริงๆ คิดว่าเรากับเขาผูกกันด้วยพันธะของบุญคุณ เขาจะทำอะไรแย่ๆกับเราก็ได้ อย่างนั้นน่ะหรือ ซึ่งเราคิดว่ามันไม่ใช่หรอก บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป ทำแบบไหนก็ได้แบบนั้น
    • ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพาลไร้ปัญญา ใช้ปัญญาไม่ได้แบบนี้ จุดสิ้นสุดจะเป็นอย่างไรกันนะ
    • ส่วนเราจะทำเป็นคนหูหนวกไปแล้วกันนะ เขาด่าอะไรเรามาเราก็จะยิ้มให้ เหมือนคนปัญญาอ่อนไปเลย แล้วในทุกวันก็ออกจากบ้าน ไปมหาลัย ไม่อยู่ร่วมกัน
    • จริงๆมีแผนชั่วอย่างหนึ่ง เคยอ่านเจอในพระไตรปิฎก คือ เราสามารถไปตีสนิทกับแม่ของศัตรู ได้ เพราะ คนแก่มักหลอกได้ง่ายด้วยคำหวาน ตามโลกไม่ทัน แล้วให้แม่ศัตรู ไปควบคุมศัตรูอีกทีหนึ่ง
      • ตอนนี้ เราอาจจะกำลังถูกทำแบบนั้นอยู่
  • เรื่องการเทรด ถ้ารอให้อ่านตำราการเงินจบ แล้วค่อยมาฝึกอ่านข่าวต่อ คงไม่ทันกินพอดี น่าจะอ่านข่าวไปด้วยเลย วันละ 1 ข่าว ถ้ามีโอกาสก็ฝึกเทรดด้วย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

6 พ.ค.

  • สรุปว่าเมื่อวานย้ายไปห้องส่วนตัวจากคนในบ้าน
  • วันนี้จริงๆเป็นวันอด แต่เนื่องจากเมื่อวานใช้แรงย้ายของไปเยอะ เลยกินมื้อเช้า 1 มื้อ
  • วันนี้มาอ่านหนังสือที่มหาลัย ใช้วิธีการอ่านแบบเดิมคือ พยายามมองไกลๆ อย่างน้อย80cm จากหน้าจอ เพื่อไม่ให้เกิดการเพ่ง และ ไม่กระตุ้นให้ reflex มองใกล้ทำงาน
  • เริ่มอ่านหนังสือตอน 9.00น หน้า 81
    • เหมือนหนังสือที่เราอ่านอยู่จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ (financial market and institution - mishkin) อธิบายไม่ละเอียด ไม่อธิบายพื้นฐานให้เข้าใจ ข้ามขั้น ทำให้งง(เริ่มงงตอน interest rate)
    • จะเปลี่ยนกลับมาอ่านอีกเล่มคือ Financial System and the Economy: Principles of Money and Banking 
  • เหมือนตอนนี้สมาธิพื้นฐานของเราดีขึ้นระดับหนึ่ง มากพอที่จะอ่านหนังสือในที่ๆมีคนพลุกพล่าน ไม่ได้เงียบสงัดได้ โดยสิ่งรอบข้างไม่ได้มีผลกับเราเท่าไหร่
    • อันนี้ยังไม่รวมสมาธิตอน peak นะ (วันไหนที่ Fasting มายาวๆ สมาธิจะดีมากขึ้นไปอีก)
  • ปัญหาตอนนี้ที่เจอคือ มีสมาชิกในบ้านเหมือนคุณป้า ที่การศึกษาไม่สูง แต่คิดว่าตัวเองรอบรู้ทุกอย่าง(แต่ไม่เคยตรวจสอบว่าที่ตัวเองรู้นั้นถูกหรือไม่), ชอบเชื่อสิ่งที่อยู่ใน youtube, คิดว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นผิดทั้งหมด คิดว่าความรู้ที่เราศึกษาเหมือนอากาศ เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ถ้าไม่มีปริญญารับรอง ก็ไร้ประโยชน์ สมัครงานไม่ได้
    • ที่แย่คือ ขยันแสดงความคิดของเขา เพื่อโน้มน้าวเราทุกครั้งที่พบหน้ากัน เจอกันทุกวัน วันละหลายเวลา ก็จะมีคำแนะผิดๆมามอบให้เราเสมอ ด้วยความปราถนาดี เหมือนเขาพยายามเอาน้ำหมักป้าเชง บังคับให้เราดื่มวันละ 3 เวลา จนกว่าเราจะเข้ามาอยู่ลัทธิเดียวกับเขา
    • น่าแปลกตรงที่ เวลาเราพยายามจะอธิบายเหตุผล ที่ถูกต้องให้เขาฟัง เขากลับทำเมิน เหมือนเหม่อๆ ปิดการรับรู้ไปเฉยๆเลย(ทำได้ไง สอนบ้างสิ!) เขาเหมือนมีความลับในใจ แต่ไม่เคยพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขาให้เราฟัง ไม่รู้เป็นเพราะประมวลออกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรือเปล่านะ?
    • การพัฒนาของเรามันชัดเจน เราเปลี่ยนแปลงไปมากจากเมื่อก่อน รู้สึกพูดเร็วขึ้น คิดเร็วขึ้น แก้ปัญหาเก่งขึ้น วางแผนได้ดีขึ้น ทำอะไรเป็นระบบขึ้น รอบคอบขึ้น สมาธิดีขึ้น แต่ทำไมเขาทำเมิน เหมือนไม่เห็นอะไรเลย ถ้าเขาเป็นมิตรที่ดีต่อกันจริง ทำไมไม่ยินดี และ ทำให้ประโยชน์เจริญงอกงามไปด้วยกัน แต่กลับหลับหูหลับตาขัดขวาง การพัฒนาตนเองของเรา แบบไม่สนสี่สนแปด ไม่คิดบ้างหรอว่าทำแบบนี้สุดท้ายตัวเขาก็ฉิบหายด้วย? เพราะ เขาก็ต้องพึ่งพาเราหลายๆอย่าง
    • เราจะทำอย่างไรดี? อยู่แบบนี้เขาไม่มีวันซึมซับประโยชน์ใดๆจากเราหรอก แต่เราจะป้องกันไม่ให้เขาทำร้ายเรา ด้วยการเผยแพร่ความคิดผิดๆได้อย่างไร?
  • วันนี้สรุปว่า สมาธิก็ไม่ได้ดีมาก เพราะ กินมื้อเช้าไป ทำให้วันนี้ทั้งวัน อาจจะไม่เกิด ketosis แล้วก็วันนี้ทั้งวัน เหมือนมึนๆ มีอาการตั้งแต่เมารถตอนเช้า
    • เมื่อเช้ากินเนื้อสัตว์ เหมือนอาหารตาแห้งจะกลับมาอีกแล้วนะ เหมือนหยีตาแล้วอ่านได้ดีขึ้น
  • สัดส่วนปัจจัยที่ส่งต่อประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือ
    • สมาธิ จาก Ketosis 70%
    • สายตา 30% แบ่งได้เป็น 
      • มองไกลๆ ไม่ให้เกิดการเพ่ง(20%)
      • ตาแห้ง (10%)
  • กลับมาอ่านหนังสือได้ตอน 14:30-20.00น(5:30ชม อ่านได้ 8 หน้า) จากการที่
    • ปรับมุมนั่ง ไม่ให้เกิดแสงสะท้อนที่หน้าจอ
    • นั่งมองหน้าจอห่างๆ 80 ซม. เพื่อให้เกิดการเพ่งน้อยที่สุด
  • อ่านหนังสือถึงหน้า 11

5 พ.ค.

  • วันนี้ตื่น 6 โมง เมื่อวานวันอดข้ามวัน วันนี้กินอาหาร(IF36/12)
  • วันนี้อยู่บ้านไม่ได้ไปมหาลัย
  • เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 80(4 หน้า)
  • วันนี้เจอปัญหาเข้าแล้ว เจอคนพาลที่เป็นสมาชิกครอบครัวคนหนึ่ง พยายามล้อเลียนเรา ขณะที่เรากำลังอ่านหนังสือ ทำให้เราจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่สามารถอ่านหนังสือได้อย่างมีสมาธิ
    • เป็นวิธีการล้อเลียนแบบเดียวกับที่เราเคยเจอมาตั้งแต่สมัยอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัย
    • เขาจะใช้วิธีการ ทั้งไม้อ่อน คือ เข้ามาตีสนิท(แต่คิดไม่ซื่อ) สลับกับไม้แข็ง คือ เข้ามาหาเรื่องตรงๆ ทำลายทรัพย์สิน และทำร้ายร่างกาย ใช้สลับกันไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการทุบแล้วนวดๆๆ จนเราไม่ไหวและยอมแพ้ไปเอง
    • อยู่ด้วยแล้วจิตใจไม่สงบ ตั้งแต่ที่เขารังแกเราสมัยก่อน ชีวิตเขาเองก็ไม่ได้มีอะไรดี
    • เขาเป็นคนที่ เราไม่อยากอยู่ด้วยมานานมากแล้ว อยากหลีกเลี่ยงไปห่างๆเท่าที่จะห่างได้

4 พ.ค.

  • วันนี้ตื่น6 โมง เมื่อวานกินอาหาร 3000kcal ในช่วง 16 ชม วันนี้อด 32 ชม
    • ตื่นมาหน้าโทรมมาก น่าจะเกิดจากการกินในช่วง 16 ชม ที่มากเกินไป
  • เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 77(8 หน้า)
    • วันนี้อ่านหนังสือไม่ค่อยได้เลย ได้แต่จ้องหน้าจอ เป็นอะไรไม่รู้
    • เมื่อวาน เปลี่ยนมากินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไม่แน่ใจว่าส่งผลให้ภูมิแพ้กำเริบ(ตาแห้ง ปากแห้ง - sjrogen syndrome)หรือเปล่า
    • หรือเป็นเพราะ ช่วงเวลาการกิน(เมื่อวาน)ยาวนานเกินไป ส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรม และวันนี้สมาธิไม่ดี
      • น่าจะเป็นปัญหาเรื่องสมาธิมากกว่า เพราะ ในวันที่สมาธิดี แม้ตาจะแห้ง ก็ยังหรี่ตาอ่านหนังสือต่อได้ แต่วันนี้อ่านไม่ได้เลย
      • วันนี้รู้สึกว่ามีอาการสมาธิสั้นกลับมาด้วย ทำอะไรจับจด คิดอะไรไม่ต่อเนื่อง
        • เมื่อวานกินมื้อสุดท้ายตอน 20.00น จะมีสมาธิและเข้าภาวะ ketosis จริงๆ ก็หลังจาก Fasting ผ่านไป 18 ชม ก็คือ 14.00 น ของวันนี้
  • น่าจะเป็น Gut leakage จริงๆแหละ เพราะ เมื่อวานมีไข้ วันนี้เจ็บคอ(strep throat?)ด้วย น่าจะมีเชื้อแบคทีเรียจากลำไส้ หลุดเข้ามาในร่างกายผ่านผนังลำไส้ที่รั่ว จากสาร lectin จากการต้มธัญพืชไม่นานพอ
  • เรื่องเกินความคาดหมาย เกิดขึ้นกับเราได้เสมอ วันนี้ไปหอสมุดมหาลัย เพียงแค่ขยับเก้าอี้ นิ้วก็โดนเหล็กบาด ลึก ทะลุเล็บ จนต้องไปทำแผลที่รพ.จุฬา และดึงเล็บส่วนที่โดนตัดออก เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรามีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ(มรณานุสติ) แม้เราจะระวังตัวแค่ไหน หรือคิดวางแผนล่วงหน้าดีแค่ไหน แต่เรื่องเกินความคาดหมาย เกิดกับเราได้เสมอ พยายามทำความดี ละเว้นความชั่วเข้าไว้
  • ฟังเพลงขณะอ่านหนังสือ/ทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง https://www.youtube.com/watch?v=lQpawPFyIis 
  • ไม่รู้ทำไมเราถึงชอบทำหน้าผากย่นตอนที่เพ่งสายตา สิ่งหนึ่งที่เราพบคือ ถ้าอ่านหนังสือหรือดูหน้าจอใกล้ๆจะเป็น วิธีแก้คืออ่านหนังสือหรือดูหน้าจอไกลๆ จะช่วยลดการเพ่งลงได้
    • ปัญหาขณะมองใกล้ น่าจะเกี่ยวกับปัญหากล้ามเนื้อตาที่เป็นอยู่นี่แหละ
    • เพิ่งรู้ว่ากล้ามเนื้อเปลือกตา ก็เลี้ยงผ่าน CN 3 เหมือนกัน คือถ้าระบบกล้ามเนื้อตาในการมองใกล้ผิดปกติ ก็มีโอกาสผิดปกติไปทุกส่วนที่ได้รับการควบคุมจาก CN 3
    • ต้องมองไกล เพื่อไม่ให้ มีการเพ่ง หรือ reflex การมองใกล้ทำงาน(convergence) ซึ่งในคนปกติมองใกล้ได้ไม่เป็นไร(normal convergence) แต่ของเราจะมากกว่าปกติ(too much convergence) นำมาสู่ความรู้สึกของการเพ่งตึง และผิดปกติตั้งแต่ อ่านหนังสือไม่ได้ ไปจนถึงกล้ามเนื้อเปลือกตา, หน้าผากย่น
    • โดยส่วนตัวที่ทดลองแล้ว สามารถอ่านหนังสือได้เรื่อยๆโดยที่หน้าผากไม่ย่น คือ ระยะ 75 ซม.
      • เรื่องการหยีตาขณะอ่านหนังสือ ไม่น่าจะเป็นทางแก้ที่ถูก
  • สิ่งแวดล้อม มีผลกับความคิดและการเรียนรู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขนาดพระ ที่ฝึกนั่งสมาธิ ยังต้องไปอยู่ในที่อันสงัดเลย นับประสาอะไร กับคนธรรมดาอย่างเราที่สิ่งแวดล้อมจะไม่มีผล
    • ถ้าอยู่ท่ามกลางคนพูดคุยกัน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องได้ยินเสียง และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดนึกไปตามคำพูดที่ได้ยิน
    • ถ้าอยู่ท่ามกลางคนพาล เขลา เบาปัญญา ก็จะได้เห็น ได้ยิน ได้รับรู้แต่เรื่องเบาปัญญา มุมมองของเราก็จะตกต่ำ เบาปัญญาตามไปด้วย
    • ถ้าอยู่ท่ามกลางคนเก่ง ก็จะได้เห็น ได้ยิน ได้รับรู้แต่เรื่องชวนให้เกิดปัญญา ได้เห็นการหาความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ การถกเถียง(อย่างสร้างสรรค์) มุมมองของเราก็จะเป็นไปในทางที่อยากจะพัฒนาตนเอง
    • คงต้องเป็นพระอรหันต์ จิตไม่ข้องเกี่ยวกับอะไรแล้ว สิ่งแวดล้อมจึงจะไม่มีผล
  • ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่คนพาล เบาปัญญา คือ อ่านหนังสือเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลา การอ่านหนังสือจะเป็นเหมือนการหลบเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง ที่จะได้เจอกับแนวคิดดีๆ ความรู้ดีๆ ซึ่งเปรียบได้กับสิ่งแวดล้อมที่ดีเต็มไปด้วยแนวคิดของคนเก่งๆ

3 พ.ค.

  • เมื่อวานวันอด 44ชม เมื่อคืน นอนหลับไม่สนิท หลับยาก เหมือนมีไข้ เจ็บตามตัว น่าจะเป็นผลจากการ Fasting โดยที่กินอาหาร calories ไม่พอ ทำให้เกิดการสลายกล้ามเนื้อแทน
    • วันนี้วันกินอาหาร จะเพิ่มเวลาเป็น 12 ชม แล้วอด 36 ชม(IF 36/12) และกินให้ได้พลังงานประมาณ 3360 kcal เพื่อให้เพียงพอสำหรับ 2 วัน
    • แต่จริงๆอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับกินอาหารไม่พอ อาจเกิดจาก gut leakage จากการที่ต้มธัญพืชไม่นานพอ(มีอาการท้องอืด มีลมในท้องเยอะมาก ปวดท้อง เจ็บกล้ามเนื้อตามตัว)
      • อีกเหตุผลหนึ่งคือ การ Fasting ไม่น่าจะทำให้เกิดการอักเสบและเจ็บกล้ามเนื้อแต่อย่างใด
  • เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 71(8หน้า)
    • คิดว่าจะอ่านโดยไม่เปลี่ยนวิชาไปมา? เพื่อให้จริงจังกับอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าอ่านหลายอย่าง(แม้เคยลองแล้วก็โอเค) อาจจะไม่สำเร็จสักอย่าง เบื่อ และเลิกไปก่อน
    • วันนี้กินเนื้อสัตว์​เหมือนตาจะแห้งๆ เลยแฮะ ต้องดูว่ามีผื่นขึ้นหน้าไหมด้วย
      • วันนี้ต้องหยีตาอ่านหนังสืออีกแล้ว

2 พ.ค.

  • วันนี้วันอดข้ามวัน 44 ชม.
    • รู้สึกควบคุมตัวเอง มีวินัยดีขึ้น หน่อยนะ สามารถควบคุมตัวเองให้อ่านหนังสือได้ แม้จะรู้สึกอ่อนเพลียจากการอด(ใช้ผลของ neuroplasticity ใน hack สมองให้เรียนรู้นิสัยใหม่ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ใช้ความคิดได้ดีขึ้น)
  • วันนี้ยังคงอ่านหนังสือจากหน้าจออยู่ เพราะ สะดวก โดยลองอ่านหนังสือจากหน้าจอใหญ่
    • อ่านจากหน้าจอ สำหรับการอ่านไม่ได้จริงจัง เน้นความเร็ว หยาบๆ ไม่เน้นเก็บรายละเอียด
    • เมื่อวานอ่าน Financial market and institution ถึงหน้า 63(2 หน้า)
    • วันนี้วันอด(ผ่านมา24 ชมแล้ว) อ่านหนังสือได้ดีขึ้น
      • หรือที่เมื่อวานอ่านหนังสือได้ไม่ดี อาจเป็นเพราะ กินมากเกินไปในคราวเดียว ทำให้สมาธิไม่ดี ไม่ได้เกี่ยวกับสายตา หรือ ความแตกต่างระหว่างการอ่านจากหน้าจอ หรือ อ่านจากหนังสือจริง สักเท่าไหร่?
  • หลังอด บ่าย 3 เหมือนเริ่มไม่มีแรง เหมือนพลังงานที่คำนวณไว้แค่ 2400 kcal จะไม่พอ
    • ถ้าอ่านหนังสือคิดง่ายๆ ชม.ละ 70 kcal x 24 ชม = 1680 kcal ต่อวัน
    • รวมสองวัน = 3360 kcal
    • น่าจะต้องเพิ่มช่วงเวลากิน จาก IF44/4 เป็น IF12/36 เหมือนเดิม
  • https://www.youtube.com/watch?v=zmsjIQFfL2g ฟังคุณ CK ได้ประโยชน์เยอะมาก
    • ถ้าเราไม่ละความพยายาม เราก็จะเก่งแบบเขาได้
  • เหมือนพิมพ์สัมผัสได้คล่องขึ้นเลยแฮะ พยายามฝึกวางมือที่ตำแหน่งมาตรฐานขณะพิมพ์ไปเรื่อยๆ
  • ถ้าเทียบกันระหว่าง ศึกษาด้านคอม กับด้านการเงิน และมีเวลาในชีวิตจำกัด จะเลือกศึกษาอะไรที่จะไม่เสียใจภายหัลง?
    • ศึกษาด้านคอม
    • แต่สาเหตุที่ศึกษาเรื่องการเงิน เพราะ เรียนแล้วมันยังครึ่งๆกลางๆ ความรู้พื้นฐานยังไม่เพียงพอ ที่จะเอาไปใช้วิเคราะห์เศรษฐกิจ จึงคิดว่าจะเรียนต่ออีก 1 เดือน ให้สำเร็จวิชาเอาไปใช้ได้ จากนั้นก็ศึกษาด้านคอมต่อยาวๆ
      • ตำรา finance แม้เรียนแล้วจะรู้สึกหน้าเบื่อ แต่พอลองไปอ่านข่าวเศรษฐกิจ ก็เริ่มสะดุดใจกับอะไรหลายๆอย่างในข่าว ที่แต่ก่อนอ่านแค่ผ่านๆ ไม่เคยสนใจ แสดงว่า แม้จะน่าเบื่อ แต่อ่านแล้วก็ได้ผลนะ

1 พ.ค.

  • เมื่อวานอดข้ามวันมา 36 ชม วันนี้กินอาหารปกติ(IF 44/4)
    • คำนวณ calories อาหารอยู่ที่ 2400 kcal(ชั่งน้ำหนักแห้งของธัญพืชที่กิน 4kcal/1gram)
    • กินตอน 6โมง ถึง 10.00น เริ่มย่อยเสร็จและมีสมาธิอ่านหนังสือ ตอน 16.00น
  • เหมือนวิธีการรุก ก็เป็นหนึ่งในวิธีการตั้งรับที่ดีวิธีหนึ่ง
    • อยู่กับคนที่ชอบ manipulate คนอื่น เราก็ตั้งรับด้วยการ manipulate เขากลับคืน อาจจะแรงไปหน่อย แต่ก็ได้ผลอยู่นะ
      • พอดีกลับมาพักที่บ้าน แล้วอยู่กับคนที่พยายามด่าและเหน็บแนมเราตลอดเวลา เพื่อจะควบคุมบงการ ให้เราทำตามที่เขาบอก เราก็เอาสิ่งไม่ดีที่เขาทำ ตั้งเป็นฉายาที่น่าอับอาย แล้วเรียกแทนชื่อเขาไปเลย ถ้าเขาด่าเราได้ตลอดเวลา เราก็เรียกเขาด้วยฉายาน่าอายได้ตลอดเวลาเช่นกัน
    • ต้องขอบคุณ neuroplasticity ที่สูงขึ้นจากการอดข้ามวัน(Alternate day fasting) ทำให้เราคิดไอเดียป้องกันตัวแบบนี้ได้(แต่ก่อนได้แต่ถูกคนอื่นควบคุม บงการชีวิต โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย)
      • หลังจากที่อดข้ามวันมาเรื่อยๆ สมาธิก็ดีขึ้น ทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น ไม่จับจดซ้ำไปซ้ำ ไอเดียดีๆออกมากขึ้น
  • ทุกวันนี้ เราอ่านหนังสือ พยายามหาความรู้=เพื่อตัวเอง, รักษาวินัยในชีวิต=เพื่อตัวเอง, อดอาหารข้ามวัน=เพื่อตัวเอง, ออกกำลังกาย=เพื่อตัวเอง, พักผ่อน=เพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำให้ใครชม หรือ ภาคภูมิใจ หรือทำเพราะกลัวการด่าว่าจากใครบางคน และไม่ใช่ทำเพื่อให้ใครเอาตัวเรา ไปเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการโม้ให้คนอื่นฟัง เราทำทุกอย่างเพราะเรารักตัวเอง เราเคยเลือกเส้นทางชีวิตผิด เพราะ เชื่อฟังคำของคนอื่น เราจะไม่ทำผิดต่อตัวเองแบบนั้นอีก
  • การรู้จักพักผ่อน คลายความเครียด ก็เป็นส่วนหนึ่งของ productivity ทั้งนี้ต้องทำให้สมดุล ถ้าพักผ่อนมากไปก็เหลวไหลแล้วสินะ
  • ข้อดีของการลงทุนในความรู้อย่างหนึ่ง คือ มันไม่มีวันสูญเปล่า ถึงแม้เราจะไม่ได้ใช้ความรู้นั้นโดยตรงก็ตาม อย่างไรมันก็เป็นประโยชน์กับชีวิตไม่ทางตรงก็ทางอ้อม(เป็นการลงทุนที่ไม่มีวันขาดทุน ใช้เงินน้อย และ คุ้มค่าที่สุด)
  • สรุปวันนี้มาอ่านหนังสือที่มหาลัย เพราะ ประหยัด มีแอร์ มีน้ำดื่มฟรี อากาศดี สมาธิดีกว่า ซึ่งถ้าอยู่บ้านแม้จะเปิดพัดลม ค่าไฟก็ยังแพงกว่า
  • เมื่อวานอ่านหนังสือ Financial market and institution ถึงหน้า61 (4 หน้า)
  • เราจะแบ่งตารางการเรียนรู้ของเราเป็นอย่างไรดีนะ
    • เอาวิชาที่ชอบและเราทำได้ดีไว้ตอนเช้า เพราะ เราสามารถเข้าใจง่าย สนุกแต่ไม่ติดพัน เช่น programming เป็นต้น
    • เอาวิชาที่เราไม่ได้ชอบเท่าไหร่ ไว้ตอนบ่าย เพราะ อ่านแล้วมักจะไม่เข้าใจ ติดพัน และ อาจยืดยาวเกินเวลา เช่น Financial เป็นต้น
    • วิชาแทรก ตอนเย็น เป็นความรู้เสริมที่ควรมีในชีวิต เช่น อ่านวิธีการเรียนภาษา เป็นต้น
  • องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมที่ให้ความรู้สึกสดชื่น
    • อุณหภูมิเหมาะสม เย็น
    • อากาศถ่ายเท ไม่อับ ไม่มีฝุ่น
    • มีน้ำดื่มเย็น สะอาด
  • รู้สึกว่าตำรา Financial market and institution อ่านแล้วอธิบายไม่ค่อยเข้าใจแฮะ หรือจะลองเปลี่ยนเล่มดีไหมนะ
    • เหมือน intro ไม่จบสักที แต่ก็เหมือนจะบอกเนื้อหาทั้งหมดใน intro แล้ว เลยงง ว่าตรงไหนคือควรทำความเข้าใจไปเลย ตรงไหนค่อยไปทำความเข้าใจจริงๆในบทเฉพาะของมันก็ได้
    • แถมคำถามท้ายบท intro ก็เหมือนจะให้วิเคราะห์เศรษฐกิจจริงจังเสียแล้ว เลยงงว่านั้นแค่เนื้อหา intro เราต้องเข้าใจขนาดนั้นเลยเชียวหรือ แล้วถ้าแต่ intro เรายังไม่เข้าใจ เราจะอ่านบทต่อไปเข้าใจไหมเนี่ย
  • ตำรา Javascript The Definitive guide อธิบายดีกว่า Eloquent Javascript
    • อ่าน programming แล้วสติเกิดแฮะ ไม่ง่วงเหมือนอ่านตำรา financial อารมณ์มันแรงพอที่จะทำให้ สติเห็นความต่างของ ขณะที่โฟกัสเนื้อหาที่อ่าน กับ การแอบหลงไปคิดเรื่องอื่น พอรู้ทันการหลงไปคิด ก็กลับมาอ่านต่ออย่างมีสมาธิได้
  • หลังจากนี้จะให้ความสำคัญกับ programming : financial : English language คือ 1:1:0.5 = 6 ชม: 6ชม : 3 ชม
  • เหมือนการอ่านจาก หน้าจอ จะทำให้สายตาไม่ได้ซึมซับ รายละเอียดด้าน grammar ได้ดีเท่าไหร่นะ อ่านจากหน้าจอมา 3 เดือน เหมือน ความสามารถด้านภาษาและไวยากรณ์ถดถอยลง ทั้งๆที่อ่านตำราภาษาอังกฤษทุกวัน?
    • กลับกัน ช่วงที่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ​จาก e-reader หรือ หนังสือจริง กลับทำให้ความสามารถด้านภาษาดีขึ้น
    • สาเหตุน่าจะเป็น เพราะ เวลาอ่านจากหน้าจอ สายตาจะมีภาระมากกว่าปกติ ลำพังแค่โฟกัสที่คำ ให้เข้าใจความหมายก็เต็มกลืนแล้ว เรื่องโครงสร้างไวยากรณ์ในประโยค จึงเป็นเรื่องยากที่จะได้เรียนรู้
  • แต่เริ่มแรก ถ้าจะอ่านจาก e-reader หรือ หนังสือจริง อาจต้องให้สายตาได้ฝึกปรับตัวก่อนนะ จึงจะอ่านได้ดี เพราะ ก่อนหน้านี้ เราอ่านจนสายตาเรา เคยชินกับการอ่านผ่านหน้าจอไปแล้ว
    • รูปแบบการ focus ของสายตาจะต่างกันนะ หน้ากระดาษหนังสือจริง หรือ e-reader จะมีจุดโฟกัสโดยตรงจากแสงธรรมชาติที่สะท้อนเข้าตา แต่ถ้าเป็นหน้าจอ จะเป็น liquid crystal ซึ่งไม่ได้มีโฟกัสที่ชัดๆโดยตรง และมีแสงออกมาสู่ตาเรา(emissive screen) ไม่ใช่แสงจากการสะท้อนตามธรรมชาติ(reflective screen)
    • แต่สำหรับเรา อาจมีอีกปัญหาที่ต้อง concern ด้วย คือ ปัญหากล้ามเนื้อตาทำงานผิดปกติ(มากเกินไป too much convergence) ขณะมองใกล้ ทำให้เวลาอ่านหนังสือหรือใช้สายตาทำงานที่ต้องมองใกล้ๆ จะมีปัญหา ประกอบกับหนังสือส่วนใหญ่จะตัวอักษรค่อนข้างเล็ก และ e-reader ที่ใช้อยู่ ไม่สามารถปรับตัวอักษรได้มากนัก ถ้าต้องมองใกล้ก็จะแย่กว่า การใช้งานหน้าจออ่านหนังสือ ที่สามารถขยายขนาดแล้วมองจากไกลๆได้
    • แปลกดี เหมือนเวลาอ่านจากหน้าจอใช้สายตา กับอ่านจากหนังสือจริง ใช้สายตาคนละระบบกัน
      • พอฝึกอ่านจากหนังสือจริง จะกลับไปอ่านจากหน้าจอไม่ค่อยได้
      • ส่วนถ้าอ่านจากหน้าจอจนชิน ก็จะกลับไปอ่านหนังสือจริงไม่ได้ทันที ต้องฝึก(training)ระบบสายตาใหม่
  • วันนี้พิมพ์สัมผัสได้เร็วขึ้นนิดหน่อยนะ หลังจากอดข้ามวันเมื่อวานมา
Notes

** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags" ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.