31 ม.ค. 67
- วันนี้วันอด อ่านหนังสือได้ต่อเนื่องมาก อีกปัจจัยหนึ่งคือ เมื่อวานไม่ได้กินเยอะเกินไป แต่จะแบ่งแต่ละมื้อแบบพอดีๆ มื้ออาหารที่กินคือ
- ข้าวโอ๊ต1 ชาม , ข้าวราดแกง 3จาน, ขนมปัง กับนม และขนม เทียบเท่า 2 จาน
- ช่วงนี้เริ่มเกิดสติ วันละ 1-2 ครั้งแล้ว โดยมากจะเป็นการนึกได้ว่าลืมลมหายใจไปนานทั้งวัน
- พระไตรปิฎก เป็นตำรามหัศจรรย์ เพียงแค่อ่าน ชีวิตจะค่อยๆดีขึ้น
- ถ้าอยากทำอะไรให้สำเร็จ ให้ทำตัวรู้ไม่เยอะ แต่รู้เท่าที่กำลังจะทำ เช่น ใช้คอม แต่เปิดอย่างอื่นหรือโหลดเกมไม่เป็น เปิดเป็นแต่หนังสือที่กำลังศึกษา
- พอกลับมาที่หอพัก จะไม่ค่อยมีแรงอ่านหนังสือแล้ว อาจเป็นเพราะ สิ่งแวดล้อมไม่ค่อยทำให้เกิดสมาธิเท่าไหร่ สิ่งที่เราจะทำ น่าจะเป็นอะไรที่เราชอบ เช่น การอ่านตำรา programming เป็นต้น
30 ม.ค. 67
- เคยติดในหลักความคิดบางอย่าง เช่น การปราถนาพุทธภูมิ เป็นต้น ทำให้เนิ่นช้าในการฝึกพัฒนาเจริญสติ(ไม่ยอมปฏิบัติ ปล่อยเวลาล่วงเลย ด้วยข้ออ้างว่าต้องสั่งสมบารมีต่างๆก่อน แต่จริงๆคือขาดสติ ไม่เจริญสติ) แล้วก็ได้ลองใช้โยนิโสมนสิการ(คิดพิจารณาโดยแยบคายด้วยเหตุผล) จากการอ่านพระไตรปิฎกมาว่า ผู้ที่มีบุญบารมีสั่งสมมามาก อย่างเช่นโพธิสัตว์ เวลาตั้งจิตอธิษฐานใดๆ จะสัมฤทธิ์ผล โดยส่วนตัวเลยลองตั้งจิตอธิษฐานบางอย่างดู ปรากฏว่า ไม่สัมฤทธิ์ผล แสดงว่า การปราถนาพุทธภูมิของเรา ไม่ใช่ความปราถนาที่แท้จริงอันแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน และอาจยังเป็นความคิดด้วยกิเลส ที่ก่อให้เกิดความเนิ่นช้าในการเจริญสติ(ติดอยู่กับความปราถนานี้มาหลายสิบปี)
- ถามว่าการตั้งความปราถนานี้มีแต่ข้อเสียหรือไม่?
- ก็ไม่เชิงนะ เพราะ ช่วงที่เราคิดว่าจะตั้งใจ เพียรพยายามบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้คน มันจะเกิดพลังขึ้นมาในจิตใจจริงๆ โดยเป็นพลังที่มีลักษณะพิเศษ คือ พลังใจนี้สามารถเกิดขึ้นเองได้เรื่อยๆ แบบไม่มีวันหมด ไม่เหมือนกับแรงบันดาลใจทั่วๆไปที่ต้องคอยกระตุ้นตัวเองเรื่อยๆ ทำให้สามารถทำต่อได้เรื่อยๆ อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
- ก็ได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราคิดและทำอะไรเพื่อผู้อื่นจากใจจริง ไม่ใช่การทำเพื่อตัวเอง จะเกิดพลังใจพิเศษบางอย่างขึ้นกับเรา ทำให้เราสามารถทำบางสิ่งที่มหัศจรรย์ให้กับโลกได้
- ก็ไม่เชิงนะ เพราะ ช่วงที่เราคิดว่าจะตั้งใจ เพียรพยายามบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้คน มันจะเกิดพลังขึ้นมาในจิตใจจริงๆ โดยเป็นพลังที่มีลักษณะพิเศษ คือ พลังใจนี้สามารถเกิดขึ้นเองได้เรื่อยๆ แบบไม่มีวันหมด ไม่เหมือนกับแรงบันดาลใจทั่วๆไปที่ต้องคอยกระตุ้นตัวเองเรื่อยๆ ทำให้สามารถทำต่อได้เรื่อยๆ อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
- ได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่ง คือ การอ่านพระไตรปิฎก เป็นอะไรที่ดีมากๆ ทุกคำ มีความหมายลึกซึ้ง มีประโยชน์กับชีวิตมากมาย ควรอ่านทุกคน ไม่จำกัดอายุ การศึกษา เพศ
- ข้อคิดอีกอย่างหนึ่ง คือ พยายามดำรงชีวิตด้วยการคิดพิจารณาโดยแยบคาย ด้วยการคิดพิจารณาด้วยเหตุผล อย่าใช้ศรัทธาอย่างเดียว และที่สำคัญคือ อย่างมงาย
- ถามว่าการตั้งความปราถนานี้มีแต่ข้อเสียหรือไม่?
- ต่อจากนี้ ก็ต้องไปปฏิบัติ ฝึกเจริญสติต่อแล้วล่ะ
- อันนี้ได้แนวคิดดีมากเลย https://www.youtube.com/watch?v=tyULhH7mR2g
29 ม.ค. 67
- เมื่อคืนกินมื้อดึกเยอะเกินไป(กินธัญพืชแต่กะปริมาณผิด) เลยทำให้นอนดึก และตื่นมาอ่อนเพลีย และง่วง ส่งผลต่อสมาธิในการอ่าน
- เพิ่งรู้ว่า การกินธัญพืชบ่อยๆ อาจทำให้เกิด aflatoxin toxicity ได้
- ถ้าฟังเพลงขณะทำโจทย์เลขไปด้วย จะทำให้ทำโจทย์ได้อย่างต่อเนื่องยาวนานโดยไม่ล้า ช่วยลดความเครียดและช่วยให้สมองได้พักไปในตัว
- ช่วงเดินไปมหาลัย-กลับหอพัก 30 นาที เป็นการออกกำลังกายแบบ HIIT ไปด้วยในตัวเลยนะ เพราะ ตอนข้ามถนน จะต้องมีการกระโดด มีการวิ่งบ้าง เป็นช่วงสั้นๆ สลับเดิน มันดีต่อสุขภาพและสมองมากๆ
- ช่วงเดินกลับบ้านก็จะฝึกฟังภาษาอังกฤษไปด้วย โดยเปิด youtube ในเรื่องที่สนใจ คือ เทคโนโลยี หรือ สุขภาพ
- วันนี้ทำเลขได้ 46 หน้า
- ช่วงนี้รู้สึกความคิดมีพลัง สามารถทำอะไรต่อมิอะไร อยากจะคิด หรือ อยากจะอ่านอะไรได้หมด ไม่อ่อนเพลียเหมือนเก่า น่าจะเกิดจากการเดินวันละ 1-2 ชม. นี่แหละ ทำให้สุขภาพดี
- กลับหอพักมาก็ยังอยากจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ เช่น ทำโจทย์เลขต่อ หรือ ฝึกเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม หรือ อ่านตำรา หาความรู้ที่สนใจ เช่น ตำราเทรด, อัพเดตความรู้เรื่องสุขภาพ เพื่อนำมาพัฒนาตนเอง
28 ม.ค. 67
- วันนี้ตะลุยโจทย์ไปประมาณ 70-80 ข้อ ภายใน 4 ชม
- ควรทำให้ได้ วันละ 200 ข้อ ถึงจะอ่านได้ครบทุกเนื้อหานะ
- การฝึกทำโจทย์เลข เหมือนเป็นการเตรียมความพร้อม เพื่อต่อไปยังการฝึกโจทย์ programming เลยแฮะ
- หลักการคือ ยิ่งฝึกทำโจทย์เยอะ ก็จะยิ่งเห็นวิธีการแก้ปัญหาหลากหลายรูปแบบมากขึ้นๆ หากจะเรียน programming จริงๆ ก็อย่าลืมนะ เพราะ มันสำคัญมาก
- ฝึกทำโจทย์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- เหมือนการกินทุก 3 ชั่วโมง มันจะย่อยไม่ทันแฮะ แล้วเหมือนจะรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ สมาธิไม่ค่อยจดจ่ออยู่กับตำรามากนัก(สมาธิไม่ลึก ไม่แนบแน่น) เหมือนลนๆง่าย ควรเว้นมื้อละ 4 ชม 5 มื้อ แบบเดิม จะดีกว่าไหมนะ?
- บางที เราคิดว่าวันนี้ทำได้เท่านี้ พยายามได้เท่านี้ ก็ดีพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง ชีวิตมันก็ไม่ได้รอเรานะ โอกาสมันจะหลุดมือเราไปเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนกัน บางทีสำหรับเรา เราอาจคิดว่ามันพอแล้ว แต่มันอาจจะยังไม่พอในความเป็นจริงก็ได้นะ
27 ม.ค. 67
- เปลี่ยนมาเดินไปมหาลัยแล้ว ขี่จักรยานออกไปหน้าซอย แล้วเดินต่อประมาณ 40-50 นาที
- เดินทำให้สมาธิดีขึ้นมากเลยนะ สามารถคิดโจทย์เลยในใจได้เลย
- เดินไปกลับ รวมประมาณ 10 km
- การฝึกแก้โจทย์เลข ก็เป็นการฝึกโจทย์ algorithm รูปแบบหนึ่ง
- ฝึกฟังภาษาอังกฤษ ให้เริ่มฟังจาก เรื่องที่เรามีความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว หรือ เรื่องที่เราสนใจ จะทำให้ต่อติดได้ง่ายกว่าการฟังเรื่องทั่วไป ที่เราไม่ได้สนใจ เพราะ ถ้าเป็นเรื่องทั่วไป เรามักไม่เกิดความสนใจและทำให้ฟังเรื่อยเปื่อย ไม่เกิดประโยชน์
- หลังจากที่ปรับเปลี่ยนวิธีการกิน เป็น 5มื้อ ในวันที่กินอาหาร โดยเว้นมื้อละ 4 ชั่วโมง แต่ละมื้อก็กินแบบพอดีๆปกติ ไม่ต้องเพิ่มอะไรพิเศษเท่าไหร่ แล้วอีกวันก็อด ตอนนี้ก็มีแรงอ่านหนังสือทั้งวันอยู่นะ
- แต่ก็จะมีหมดแรง สมองตื้อๆบ้าง ตอน2ทุ่มของอีกวัน น่าจะเพิ่มเป็น 6 มื้อ ก็จะพอดี
- โดยหากกิน 6 มื้อ ใน1วัน จะมีเวลากิน 6-22.00น ประมาณ 16 ชม ถ้านับง่ายๆ คือ กินเว้นมื้อละ 3 ชม คือ 6, 9, 12, 15, 18, 21.00น ก็จะได้ 6 มื้อพอดี วิธีนี้น่าจะโอเคแหละ
- แต่ก็จะมีหมดแรง สมองตื้อๆบ้าง ตอน2ทุ่มของอีกวัน น่าจะเพิ่มเป็น 6 มื้อ ก็จะพอดี
26 ม.ค. 67
- วันนี้มาอ่านหนังสือที่หอสมุดของมหาลัย อ่านได้ดีมาก โดยปัจจัยแวดล้อม มีดังนี้
- อากาศถ่ายเท อุณหภูมิเหมาะสม ไม่ร้อนไม่หนาว
- แสงมาจากหลอดไฟหลายดวง ส่งจากที่ไกลๆ(ได้แสงขนาน เป็นธรรมชาติ)
- ที่นั่งสบาย นั่งได้นาน ไม่เกิดความปวดเมื่อยให้เสียสมาธิ
- มีน้ำดื่มฟรี ทำให้ไม่ขาดน้ำ
- อีกปัจจัยที่มาที่สาธารณะแล้วอ่านหนังสือได้ดีคือ จะทำตัวสบายๆแบบอยู่คนเดียวไม่ได้?
- อาจต้องลองไปอยู่ในที่ไม่ค่อยมีคน แล้วดูว่า เราจะยังอ่านได้ดีไหม
25 ม.ค. 67
- ปัญหาเรื่องการบริหารเวลา
- ไม่ใช่ว่าดูนาฬิกาบ่อยๆ แล้วจะทำให้เราใช้เวลาได้มีประโยชน์มากขึ้น คุ้มค่ามากขึ้น หรือ ช่วยให้เราทำอะไรได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด เพราะ หลายๆอย่าง มีช่วงเวลาของมันที่ต้องใช้ ไม่สามารถเร่งตามใจอยากของเราได้ เช่น การอ่านหนังสือทำความเข้าใจตำรา เป็นต้น
- สิ่งสำคัญคือ เราเอาเวลาไปทำอะไรมากกว่า ซึ่งวิธีที่จะแก้ไขปัญหาของ การเอาเวลาไปทำสิ่งไร้สาระ คือ การมีสติรู้ตัว
- เหมือนการอดวันเว้นวัน จะทำให้ได้พลังงานไม่เพียงพอแก่การอ่านหนังสือ !!! สังเกตได้จากการที่นอนตื่นสาย รู้สึกไม่อยากทำอะไร
- ปัญหาในตอนนี้คือ จะทำอย่างไรให้ได้มีพลังงานเพียงพอ คือ มีจำนวนมื้อที่กินใน 1 สัปดาห์ให้ได้มากที่สุด โดยที่ยังคงได้ประโยชน์การอดมากที่สุด คือ มีจำนวนวันที่สามารถอดแบบต่อเนื่อง (มากกว่า 24 ชม.ขึ้นไป) มากที่สุด และ อาจรวมถึงความคุ้มค่า ทั้งเงิน และเวลาที่เสียไปกับเรื่องอาหาร(แต่อาจเอาไว้พิจารณาเป็นอันดับท้ายๆ)
- จำนวนมื้อที่ต้องการ เพื่อให้เพียงพอกับการอ่านหนังสือ คือ เฉลี่ย 3 มื้อต่อวัน * 7 วัน = 21 มื้อ ต่อสัปดาห์
- กินอาหาร 1 มื้อใช้เวลาย่อย 4 ชม. ใน 1 วัน
- วิธี 1 กิน 16 ชม 5 มื้อ วันเว้นวัน
- มีช่วงเวลากินที่มากที่สุดที่เป็นไปได้ คือ 6-22.00น ประมาณ 16ชม ก็ได้ประมาณ 5 มื้อ(6,10,14,18,22.00น) = กินตั้งแต่ตื่นยันก่อนนอน
- ช่วงเวลาการกินยาวนานเกินไป(เกิน12 ชม) จะส่งผลต่อสุขภาพไหมนะ? ควรให้มากสุดไม่เกิน 12 ชม หรือเปล่า?
- หากอีกวัน อด ก็จะได้เวลาอดอยู่ที่ 32 ชม
- แต่เอาจริงๆ เมื่อเฉลี่ยจำนวนมื้อ ก็จะได้เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 มื้อ ต่อวัน จะพอไหมนะ?
- ลองวิธีนี้ก่อนแล้วกัน วิธีอื่นๆ อาจจะได้ไม่ครบทุกปัจจัยเท่าวิธีนี้แล้วล่ะ
- มีช่วงเวลากินที่มากที่สุดที่เป็นไปได้ คือ 6-22.00น ประมาณ 16ชม ก็ได้ประมาณ 5 มื้อ(6,10,14,18,22.00น) = กินตั้งแต่ตื่นยันก่อนนอน
- วิธี 1 กิน 16 ชม 5 มื้อ วันเว้นวัน
- ปัญหาในตอนนี้คือ จะทำอย่างไรให้ได้มีพลังงานเพียงพอ คือ มีจำนวนมื้อที่กินใน 1 สัปดาห์ให้ได้มากที่สุด โดยที่ยังคงได้ประโยชน์การอดมากที่สุด คือ มีจำนวนวันที่สามารถอดแบบต่อเนื่อง (มากกว่า 24 ชม.ขึ้นไป) มากที่สุด และ อาจรวมถึงความคุ้มค่า ทั้งเงิน และเวลาที่เสียไปกับเรื่องอาหาร(แต่อาจเอาไว้พิจารณาเป็นอันดับท้ายๆ)
- เรื่องการอ่านเลข ที่พบอีกอย่างคือ ถึงแม้บางทีจะไม่เข้าใจ 100% แต่ถ้าลองทำโจทย์ไปก่อน จะค่อยๆเข้าใจมากขึ้นได้เอง เราอาจไม่สามารถเข้าใจทุกประเด็นได้ตั้งแต่เริ่มต้นเสียทีเดียว การทำโจทย์เท่านั้นที่จะทำให้เราเก่งขึ้น
- แต่ก่อน ใช้ Mac OS ได้ไม่คล่อง แต่ตอนนี้ใช้คล่องอย่างรวดเร็ว คีย์ลีดที่เคยรู้สึกไม่สะดวก ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาในการใช้งาน เกิดจาก Neuroplasticity ที่ดีกว่า จากการ Fasting แบบ Alternate day fasting หรือเปล่านะ(ดีกว่า Time restricted fasting ปกติ)
24 ม.ค. 67
- มีอยู่แนวคิดหนึ่ง คือ เราจะแสวงหาความสำเร็จอย่างยิ่งไปเพื่ออะไร หรือ จะสร้างนวัตกรรมเพื่อโลกไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายทุกสิ่งจะถูกลืมเลือนเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดกาล แม้สิ่งเหล่านี้จะจัดว่าเป็นบุญ แต่ก็ยังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ไม่พ้นทุกข์จริงๆอยู่ดี
- ในยุคที่เราได้พบเจอกับคำสอนของพุทธศาสนา เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่มีไม่มาก ที่เราจะสามารถเรียนรู้ตนเองจนเข้าใจความจริงของ กาย-ใจ จนพ้นทุกข์ เราจึงควรให้ความสำคัญกับการศึกษาเรียนรู้กายใจ มากกว่าการทำประโยชน์ภายนอกอื่นๆ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำประโยชน์ภายนอกอะไร เพียงแต่ควรจะเต็มที่กับการแสวงหาปัญญาภายใน คือ การเรียนรู้ตนเอง ให้ได้มากที่สุดก่อน เพราะ ยุคสมัยที่จะมีคำสอนเพื่อความพ้นทุกข์แบบนี้หาได้ยากยิ่ง ส่วนการทำประโยชน์ภายนอก ก็ให้เพียงพอแค่ การสงเคราะห์ตนเองและผู้อื่นให้อยู่สบายแต่พอสมควร เอาไว้ชาติอื่นๆที่ไม่มีพุทธศาสนาค่อยทำแบบเต็มที่ก็ได้ โดยเอาเวลามาพัฒนาสติ เรียนรู้กาย-ใจ ให้ได้มากที่สุด
- ตัดสินใจซื้อ Macbook pro 16 นิ้ว m1 max จาก https://www.houkandbank.com/ ในราคา 72000 บาท ถือว่าคุ้มมากนะ
- จอ 16 นิ้ว, GPU 30 core, Ram 32GB, SSD 1TB !!! สเปคขนาดนี้ แรงกว่า Macbok air m2 มาก ในราคาเท่ากัน!!!
- เป็นอุปกรณ์ที่ Hardware ดีมาก สามารถรองรับกับงานได้ทุกอย่าง(capable) ทั้งงาน Programming, photo, video, music
- รวมถึงการศึกษา เช่น ฝึกฟังภาษาอังกฤษ(ลำโพงดีมาก ฟัง accent ชัด), อ่าน textbook(หน้าจอดี)
- หน้าจอใหญ่ screen real estate เยอะ ทำงานได้ดี productivity สูงกว่าหน้าจอเล็ก แต่น้ำหนักก็เบาพอที่จะถือมือเดียวได้!
- มี port thunderbolt 4 ให้ 3 ports!
- ใช้พลังงานน้อย Battery อยู่ได้นาน ไม่ต้องอยู่ใกล้สายชาร์จตลอดเวลา
- สามารถรัน virtual machine ได้ เพราะ ram เยอะ cpu แรง เหมือนมีคอมหลายเครื่องในเครื่องเดียว ใช้ศึกษา Linux ก็ได้
- ราคานี้ เทียบเท่ากับ มอเตอร์ไซค์ 1 คัน อย่างเช่น ถ้าจะทำงานเป็น grab/delivery ก็ต้องลงทุนซื้อมอเตอร์ไซค์ จะทำงานเขียนโค้ด ก็ต้องลงทุนซื้อLaptop ที่มีคุณภาพดี ไม่ต่างกัน
- ประกัน apple care+ คงไม่ซื้อ เพราะ ร้านเขาซ่อมได้ทุกอย่าง เน้นใส่เคส ติดฟิล์มหน้าจอ\
- ถ้าหาวิธีการทุกอย่างแล้ว สมาธิก็ยังไม่ดี ยังไม่สามารถจอจ่อกับการทำงาน/อ่านหนังสือได้นาน ก็ใช้วิธีการ brute force ไปเลย คือ ใช้ความจงใจ ความตั้งใจ ฝืนบังคับตัวเองให้ทำ แบบตรงๆไปเลย เพราะ บางทีอาจเกิดจาก ความอ่อนแอปวกเปียก ของกำลังใจเฉยๆ ไม่ต้องหาวิธีพิเศษใดๆ เพียงแต่ต้องใช้ความเข้มแข็งของจิตใจเท่านั้น
- สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ สติ ความรู้ตัว ที่จะทำให้เรารู้ตัวเองว่า ตอนนี้เราเผลอไปทำอย่างอื่นที่ไม่เหมาะสมแล้ว แล้วก็รีบกลับมาทำงาน/อ่านหนังสือต่อ
- ต่อให้เรามีวัตถุมากมาย ในการช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆในชีวิต(ซึ่งเป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องไม่ดี) ตั้งแต่การเดินทาง ไปจนถึงการเพิ่มโอกาสเข้าถึงความรู้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆที่เราต้องพัฒนา คือ ตัวเราเอง ซึ่งวัตถุภายนอกอาจช่วยไม่ได้ หรือช่วยได้เพียงเล็กน้อยในบางส่วน การพัฒนาตนเอง มักจะเกิดจากการฝึกฝนด้วยตนเอง จนเป็นนิสัย เช่น การมีความรู้ ต้องเกิดจากการลงมือศึกษา(ต่อให้มีวัตถุพร้อม คือ นั่งนอนบนกองหนังสือ หรือ มีอุปกรณ์เข้าถึงความรู้มากมาย แต่ไม่ลงมือศึกษาด้วยตนเอง ก็ไม่เกิดประโยชน์), ความมีวินัย, ความเพียรพยายาม, ความอดทน เป็นต้น
- การพัฒนาชีวิตจริงๆ จึงไม่ใช่การมุ่งที่วัตถุ แต่เป็นการพัฒนาที่ตนเอง (แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธวัตถุนะ แต่เอาวัตถุมาอำนวยความสะดวกในการพัฒนาตนเองอีกที เช่น อุปกรณ์ที่ทำให้เข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้น)
- ปัญหาหลักในตอนนี้คือ ยังไม่สามารถอ่านหนังสือได้ต่อเนื่อง แบบคงที่ จะต้องทำอย่างไรดีนะ?
- วันที่อ่านได้ดี
- จะเป็นวันที่ Fasting(วันอดอาหาร), อ่านหนังสือที่หอสมุดมหา'ลัย มีแอร์เย็นๆ มีน้ำดื่มฟรี
- วันที่อ่านได้ไม่ดี
- จะเป็นวัน Feeding(วันที่กินอาหาร), อ่านหนังสือที่หอพัก อากาศร้อน
- ช่วงไหน กินอาหารน้อยเกินไป ใช้แรงมากเกินไป ก็จะตื้อๆ คิดอะไรไม่ออก
- วันที่อ่านได้ดี
- Alternate day fasting(IF 36/12)
- หลังจากที่ลองทำมาพักใหญ่ๆ รู้สึกว่าสติปัญญามีการพัฒนาดีขึ้น คิดอะไรคล่องแคล่ว ทักษะทางภาษาดีขึ้น กว่าเดิมมาก หากเทียบกับการพัฒนาตนเองในช่วงทีทำ Fasting แบบ Time restricted(23/1)
22 ม.ค.67
- อ่านหนังสือที่หอสมุดมหาลัย(ใช้สิทธิ์ของศิษย์เก่า) มีสมาธิดีขึ้นมาก ข้อดีคือ มีสิ่งแวดล้อมอำนวยความสะดวกครบครัน มีเครื่องปรับอากาศและฟอกอากาศ มีโต๊ะเก้าอี้ที่นั่งได้สบายทั้งวัน มีตู้น้ำดื่ม เหมาะกับการอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ ทำให้อ่านได้ทั้งวันอย่างเต็มประสิทธิภาพ(Full performance) จากปกติอ่านหนังสือได้วันละ 3 - 4 ชม ที่หอพัก ก็เพิ่มเป็น 8 ชมเต็มๆ ขณะที่นั่งหอสมุดมหาลัย
19 ม.ค. 67
- การลงทุนในความรู้และการพัฒนาตนเอง ให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอ เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และ แน่นอนที่สุด
การลงทุนรูปแบบอื่นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่การลงทุนในความรู้ ในการพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะพบเจอความไม่แน่นอนในชีวิตอย่างไร ก็ยังสามารถนำความรู้ ทักษะ กระบวนการคิด ไปใช้แก้ปัญหา สร้างประโยชน์ให้เกิดกับตนเองและผู้อื่น ได้ตลอดไม่จำกัด - แสวงหาและลงทุนใน ความรู้ก่อน หากมีความรู้ เงินก็หาได้ไม่ยาก
- เหมือนกับว่าการอดอาหารวันเว้นวัน แล้ว ในวันกิน กิน 4 มื้อ จะยังไม่เพียงพอกับการอ่านหนังสือเยอะๆนะ อาจจะต้อง 5-6 มื้อเลย(กินตลอดเวลาทั้งวัน) พอเฉลี่ยกับวันที่อดทั้งวัน ก็จะเทียบเท่า 3มื้อ ต่อวัน
17 ม.ค. 67
- วันนี้พอลองเดินจงกรม 30 นาที หลังตื่น ก็กลับมามีสมาธิอ่านหนังสือแล้ว ไม่น่าจะเกี่ยวกับอาหารเท่าไหร่ เพราะ อดมา 36 ชมและยังไม่ได้กินอาหาร แต่ปัจจัยที่ทำให้อ่านได้มีสมาธิคือ การเดินจงกรมเป็นการฝึกสมาธิ และ เป็นการขยับออกกำลังกายแบบเบาๆไปในตัว ทำให้อ่านหนังสือได้กระฉับกระเฉงและมีสมาธิดีขึ้น
- น่าจะต้องกลับมากิน 4 มื้อ/วัน แล้วค่อยอดอีกวัน ก็จะเฉลี่ยได้ 2 มื้อต่อวัน เพราะ หากต้องอ่านหนังสือเยอะ การพยายามลดจำนวนมื้อ จะทำให้พลังงานไม่พอกับการอ่านหนังสือ
16 ม.ค. 67
- มองนาฬิกาข้อมือบ่อยๆก็ดีนะ มันทำให้เรารู้ว่าเราใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง และ เห็นความสำคัญของเวลามากขึ้น
- ไม่ค่อยมีสมาธิอ่านหนังสือเลย
15 ม.ค. 67
- อีกสาเหตุที่ทำเลขได้น้อยลง คือ อดอาหารมากเกินไป จนไม่มีพลังงานสะสมเพียงพอ ก็เลยทำให้คิดอะไรไม่ออก
- หลังจากนี้ ในกรณีที่มี อดจนน้ำหนักตัวน้อยแล้ว หากรู้สึกว่าอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเมื่อไหร่ จะต้องหยุดการอด และกินอาหารเพิ่มทันที โดยไม่สนใจตารางการอด เมื่อได้พลังงานเพียงพอแล้ว จึงกลับไปอดได้ตามปกติ
- วันนี้ หลังจากอด 24 ชม ก็เริ่มคิดอะไรไม่ออกแล้ว เพราะ เมื่อวานกินแค่ 1 มื้อ จึงเลิกการอดไปก่อน และกินอาหาร ผลก็คือ กลับมาทำโจทย์เลขได้รัวๆ
- ช่วงไหนที่กินอาหารเพียงพอ ต่อให้อด 36 ชม ก็ยังทำโจทย์เลขได้รัวๆนะ
13 ม.ค. 67
- สาเหตุหนึ่ง ที่ช่วงนี้ทำเลขได้น้อยลง คือ ไม่ค่อยได้ดูลมหายใจ ถ้าช่วงไหนที่ดูลมหายใจบ่อยๆ จะเรียนรู้อะไรได้เร็ว แก้โจทย์เลขได้ดี และ มีไอเดียอะไรใหม่ๆเสมอๆ
- จะเริ่มทดลอง กินวันละมื้อ โดยเป็น มื้อเช้า สลับ เย็น ในวันพรุ่งนี้แล้ว
12 ม.ค. 67
- จะคุ้มไหมนะ ถ้าจะเสียเงินประมาณ 7หมื่น เพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ช่วยให้พัฒนาตนเองได้ง่ายขึ้น และ สร้างผลงานอื่นๆ เพิ่มเติมได้? (ทำงานหาเงิน ทำประโยชน์)
- คุ้ม แต่ประเมินความเสี่ยงด้วย ว่าเงินเราเหลือเท่าไหร่ พร้อมไหมกับการเสียเงิน ถ้ายังไม่พร้อมก็ชะลอไปก่อน หรือ ใช้อุปกรณ์อื่นทดแทนไปก่อน
- ถ้าในแต่ละวัน ขยับตัวบ่อยๆ จะเจริญสติง่ายขึ้น เพราะ ทำให้รู้สึกร่างกายได้ง่ายขึ้น
- ช่วงนี้สังเกตตัวเองว่า ไม่ค่อยมีสติมารู้ลมหายใจเท่าไหร่เลย หลงๆมากขึ้นๆนะ
- สาเหตุที่แช่ถั่วในน้ำเกลือแล้วนิ่ม https://www.seriouseats.com/baking-soda-brine-for-beans-5217841
-
คิดว่าจะปรับเปลี่ยนวิธีของ Alternate day fasting เล็กน้อย
โดยเปลี่ยนเป็น กินวันละมื้อ เช้า สลับ เย็น คือวันนึงกินเช้า อีกวันกินเย็น สลับกันไป วิธีนี้ก็จะยังคงได้เวลาอด 36ชม แบบวันเว้นวันเหมือนเดิม แต่ได้กินวันละมื้อทุกวัน
จะเหมาะกับคนที่ไม่มีเวลากิน และ อาจปรับตัวง่ายกว่า เพราะ วันไหนกินไม่พอ ก็ไปกินเพิ่มอีกวันได้ ไม่ต้องรอกินวันเว้นวัน
กินมื้อละ 1-2ชม เน้นโปรตีน ไขมันดี ผักผลไม้ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
11 ม.ค. 67
- หลังจากเลิกใช้ทุกอย่างที่เป็น ดิจิตอล ทั้งคอมฯ และ smartphone ตอนนี้ ก็กลับมาโฟกัสมีสมาธิกับหนังสือได้แล้ว
- น่าจะต้องเลิกใช้ยาวๆไปหลายเดือนเลย
- เจอความโหดของโจทย์เลข รู้เลยว่า เรายังต้องเผื่อเวลาเตรียมตัวอีกมาก
- เรื่องของ Alternate day fasting
- ในวันกิน จะวุ่นวายกับการกินมาก ทำให้ไม่ได้อ่านหนังสือ หรือเปล่านะ? (แต่จริงๆรู้แล้วว่าสาเหตุหลักคือ อุปกรณ์ดิจิตอล) แต่จะต้องลองสังเกตตัวเองตรงนี้ดู
- อยากลอง ถือศีล 8 ไปด้วย คือ วันกิน ก็จะกินก่อนเที่ยง จะได้ประโยชน์ในเรื่องเวลาอดที่มากขึ้น และลดความวุ่นวายกับการเตรียมอาหาร(เอาแต่คิดว่า มื้อต่อไปจะกินอะไรดีนะ) แต่ไม่รู้ว่าแรงจะพอไหมนะ ต้องลองสังเกตตัวเองดูอีก
- จริงๆ ตอนกินอาหาร จะไม่มีสมาธิพอที่จะอ่านหนังสือ หรือ ทำอะไรที่จริงจัง ที่ต้องการความถูกต้องสูง เช่น อ่านตำราเรียน เป็นต้น เราอาจไม่สามารถทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ดี
- แต่อาจยังสามารถเปลี่ยนมาอ่านหนังสือทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการสมาธิและการโฟกัสที่สูงมากได้ เช่น ตำราสอนเทรด, นิยายภาษาอังกฤษ เป็นต้น
- แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ อาจเปลี่ยนมาฝึกฟังวิทยุภาษาอังกฤษ bbc แทนก็ได้ หรือไม่ก็เปลี่ยนมาฝึกสติ รู้สึกตัวขณะกิน อยู่กับปัจจุบันไป
- อยากสร้างคอมพิวเตอร์แบบนี้
- คอมพิวเตอร์ที่เป็นเพียงอุปกรณ์หนึ่ง เป็นเพียงส่วนหนึ่งในชีวิตคน เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้คนสามารถหาความรู้ได้มากขึ้น ไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับเข้าสู่โลกในอีกโลกหนึ่ง ที่ทำให้คนหลงเพลิดเพลิน กับสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ จนเสียเวลาชีวิต เสียความเป็นตัวเอง ลืมความฝัน ละทิ้งงานอดิเรก ทิ้งสิ่งที่ตัวเองชอบทำ และ ขาดความเข้าใจตัวเองไปมากมาย
คอมพิวเตอร์ที่มีหน้าจอแบบ e ink ใช้งานได้เฉพาะในการหาความรู้ เป็นเพียงอุปกรณ์หนึ่งในชีวิตสำหรับหาความรู้โดยเฉพาะ ที่สามารถวางลงได้ แล้วไปทำกิจกรรมอื่นในชีวิตต่อ ไม่ใช่อุปกรณ์ที่เป็นทั้งชีวิต คือทั้งชีวิตหลงเพลิดเพลินอยู่แต่ในอุปกรณ์นั้น
คอมพิวเตอร์ควรเป็นเพียงอุปกรณ์หนึ่งๆ สำหรับหาความรู้ หรือ ทำงานเฉพาะอย่างเท่านั้น และสามารถวางลงได้ ไม่ต่างจากการวางหนังสือ วางเครื่องมือหนึ่งๆลง แล้วไปทำอย่างอื่นในชีวิตต่อ
- คอมพิวเตอร์ที่เป็นเพียงอุปกรณ์หนึ่ง เป็นเพียงส่วนหนึ่งในชีวิตคน เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้คนสามารถหาความรู้ได้มากขึ้น ไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับเข้าสู่โลกในอีกโลกหนึ่ง ที่ทำให้คนหลงเพลิดเพลิน กับสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ จนเสียเวลาชีวิต เสียความเป็นตัวเอง ลืมความฝัน ละทิ้งงานอดิเรก ทิ้งสิ่งที่ตัวเองชอบทำ และ ขาดความเข้าใจตัวเองไปมากมาย
10 ม.ค. 67
- เหมือน เวลาทำเลข 1-2 ชม ก็จะเริ่มล้าแล้ว แต่พอไปอ่านหนังสืออื่นๆ เช่น ตำราเทรด(ภาษาอังกฤษ) มันจะยังอ่านได้แบบสบายๆนะ แสดงว่า อาจจะใช้สมองคนละส่วน? รวมถึง ถ้าฝึกคิดเลขบ่อยๆ ยืดเวลาออกไปให้มากขึ้นๆ ก็จะทำเลขได้นานขึ้นได้ มันเหมือนฝึกออกกำลังกาย เช่น วิ่ง ครั้งแรก อาจจะได้แค่ 1 กม. พอฝึกเรื่อยๆ หลายๆเดือน ต่อมาก็วิ่งได้ 10 กม.
- สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ การที่เราล้าเร็ว เวลาใช้ความคิด หมายความว่าที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้ฝึกคิด มากเท่าที่ควรนะ ซึ่งจริงๆมันจะสำคัญสำหรับการเป็นโปรแกรมเมอร์มาก
- เมื่อวานเป็นวันอด ไม่ค่อยมีแรงทำโจทย์เลข ต้องอ่านหนังสือทั่วไปอื่นๆเอา อาจเป็นเพราะเมื่อวานซืนกินอาหารไม่พอ แต่หลังจากวันนี้กลับมากินอาหาร ก็กลับมามีสมาธิทำเลขต่อได้แล้ว แสดงว่าการกินอาหารให้เพียงพอก็สำคัญ
- ปัญหาในปัจจุบัน
- ปัญหาในตอนนี้คือ เวลาที่เสียไปเปล่ากับสาเหตุต่างๆมากมาย แทนที่จะได้อ่านหนังสือเตรียมสอบ ที่จะมีขึ้นในอีกเพียง 2 เดือนข้างหน้า มีดังนี้...
- ออกมาอยู่หอ ทำให้มีเรื่อง ความไม่เรียบร้อยเรื่องที่อยู่อาศัย ที่ต้องจัดการเรื่อยๆ จัดการมามากประมาณนึงแล้ว มันยังสองจิตสองใจว่าจะจัดการให้มันดีขึ้นไหม โดยถ้าจัดการแล้วไม่อยู่หอต่อ ก็อาจจะไม่คุ้มกับที่ลงทุนปรับปรุงไป แต่ถ้าไม่ปรับปรุงก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พึ่งพาที่บ้านอีก ก็จะปรับปรุงและอยู่ไปสักพักใหญ่ๆแล้วกัน เพราะ จากประสบการณ์ก่อนหน้าที่เรากลับไปอยู่ที่บ้านพักนึง ทีแรกเราเข้าใจว่าเราจะช่วยเหลืออะไรที่บ้านได้ เช่นว่า อย่างน้อยก็มีความรู้ไปแนะนำคนที่บ้าน แต่กลับกลายเป็นว่า มีคนที่บ้านมองเราว่าเป็นสาเหตุของปัญหาแทน เพราะ เรียนจบแล้วก็ไม่ทำงานแบบที่อุตส่าห์ส่งเสียให้เรียน เราจึงคิดว่าจะไม่กลับไปที่บ้านจะดีกับชีวิตมากกว่า จนกว่าเรามีความมั่นคงหรือประสบความสำเร็จเพียงพอ ที่จะไม่ถูกคนที่บ้านตำหนิด้วยทัศนคติในแง่ลบ
- การปรับปรุงหอ ทำให้เสียเวลาอ่านหนังสือแบบไม่ควรมากๆเลย กว่า 2 สัปดาห์แล้ว ที่เสียไปกับความวุ่นวายมากมายกับที่อยู่ใหม่ที่ต้องจัดการให้มีระเบียบ และมีประสิทธิภาพ
- จะทิ้งไว้ก่อน แบบว่าค่อยๆแก้ไปเท่าที่ได้ แล้วระหว่างนี้ก็ไปหาที่อ่านหนังสือข้างนอกก่อนดีไหมนะ?
- การเงิน
- ค่าใช้จ่าย จุกจิก(ที่รวมกัน จนมากพอควร) เนื่องจากต้องมีการปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ให้อยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็ต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง แต่จริงๆก็เตรียมไว้พออยู่แหละ เพียงแต่เผลอเอาเงินส่วนนั้นเข้าไปลงทุนอยู่ ไม่รู้จะได้กำไรหรือขาดทุน(แต่ตอนนี้กำไรอยู่นิดนึง)
- รายได้ ยังไม่มี ว่าจะลองเทรด Forex แต่ก็ขาดทุนประมาณหนึ่ง เนื่องจากไม่เข้าใจอะไรเลย ตอนนี้เลยหาตำราของตปท. ลองอ่านดูก่อน(ผู้เขียน เขียนได้ตรงกับปัญหาที่เราเจอเลย)
- แต่เอาจริงๆ ด้วยจำนวนเงินเก็บที่เรามีอยู่ ก็นับว่าเพียงพอที่จะอยู่ได้แม้จะไม่มีรายได้พักหนึ่ง ในช่วงเตรียมสอบอาจไม่ต้องกังวลเรื่องการหาเงิน เพราะ จะเสียสมาธิและเวลาไปกับการศึกษาเรื่องอื่นเพิ่มอีก
- อดแบบ Alternate day fasting(อดอาหารวันเว้นวัน)
- ในวันที่กินอาหาร
- เหมือนจะไม่มีสมาธิเท่าไหร่แฮะ ดูวุ่นวายเรื่องอาหารมากพอสมควร หรือ เราจะไปกินอาหารข้างนอกแทนดีนะ ยังไม่ต้องวุ่นวายกับการเตรียมอาหาร เก็บกวาดล้างจาน ในตอนนี้?
- คำนวณค่าอาหาร เทียบกัน? โภชนาการครบถ้วนหรือไม่ หากกินอาหารข้างนอก?
- ถ้าหาวิธีทำอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่เสียเวลาชีวิต จะได้ไหม?
- ล้างจาน จริงๆก็ไม่น่าจะนาน ถ้าทำอย่างมีประสิทธิภาพ แค่15นาทีก็เสร็จ
- ถ้ากินอาหารข้างนอกจะประหยัดเวลาขึ้นได้มากไหม?
- ล้างจาน จริงๆก็ไม่น่าจะนาน ถ้าทำอย่างมีประสิทธิภาพ แค่15นาทีก็เสร็จ
- มีงานบ้านที่ต้องทำ แต่ยังไม่มีประสิทธิภาพพอ ทำให้เสียเวลาแทบทั้งวัน และเกิดความไม่สะดวกพอสมควร
- เหมือนจะไม่มีสมาธิเท่าไหร่แฮะ ดูวุ่นวายเรื่องอาหารมากพอสมควร หรือ เราจะไปกินอาหารข้างนอกแทนดีนะ ยังไม่ต้องวุ่นวายกับการเตรียมอาหาร เก็บกวาดล้างจาน ในตอนนี้?
- ในวันที่กินอาหาร
- แต่มาลองคิดดูจริงๆ ปัญหาของเราน่าจะเป็นเรื่องสมาธินั่นแหละ ไม่น่าจะใช่ปัญหาเรื่อง การปรับปรุงหอ, การอดอาหาร(Fasting), งานบ้าน การทำอาหาร ที่ทำให้เสียเวลาแต่อย่างใด เพราะ ต่อให้หนังสืออยู่ตรงหน้า เราก็เปิด Social media, เปิดกราฟเทรด Forex ดูไปเรื่อยๆอยู่ดี โดยมีข้ออ้าง เช่นว่า ดู youtube หาความรู้ที่เป็นประโยชน์, ดูกราฟ หัดเทรด(ที่สุดท้ายก็ขาดทุนอยู่ดี) เป็นต้น
- มันจะมีช่องโหว่หนึ่งที่เรามองข้ามมันไป คือ คอมพิวเตอร์ มันเหมือนเป็นหน้าต่างสู่อีกโลกหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่พยายามดึงดูดความสนใจของเรา ทำให้เราเกิดการเสพติด dopamin ในรูปแบบที่ไม่เหมาะสมตามธรรมชาติ(นั่งเฉยอยู่หน้าจอทั้งวัน และ ท่องเทียวเพลิดเพลินกับสิ่งดึงดูดความสนใจไปเรื่อยๆ)
วิธีแก้น่าจะเป็นการ เลิกใช้คอมพิวเตอร์สักพักนึง แล้วดูว่าสมาธิจะดีขึ้นแค่ไหน (ทำร่วมกับ Alternate day fasting น่าจะดีขึ้นได้เร็วอยู่นะ
- หลังจากที่ลองปิดคอมไป พอไม่มีสิ่งบันเทิงให้เสพ มันก็กลับมาอ่านหนังสือต่อโดยอัตโนมัติเลยนะ!!
- พอลองเปิดคอมใหม่ ก็กลับมาเข้า Social media เรื่อยเปื่อยอีกแล้ว ก็ไม่ได้ดูสิ่งบันเทิงอะไรนะ
- แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะไม่ดีนะ ถ้าเป็น Google news จะอ่านได้เรื่อยๆ แบบไม่เสพติดนะ หรือจะเป็นเพราะ Algorithm ของ social media ต่างหากที่เป็นต้นตอของปัญหา ที่พยายามให้เราติดอยู่ใน platform เหล่านั้นต่อไปเรื่อยๆ
- ปัญหาในตอนนี้คือ เวลาที่เสียไปเปล่ากับสาเหตุต่างๆมากมาย แทนที่จะได้อ่านหนังสือเตรียมสอบ ที่จะมีขึ้นในอีกเพียง 2 เดือนข้างหน้า มีดังนี้...
9 ม.ค. 67
- บางทีถ้าซื้อของ ให้ซื้อแบบมีคุณภาพไปเลย ในระยะยาวจะคุ้มค่ามากกว่า คือ ของไม่มีคุณภาพ มักจะมีอายุการใช้งานสั้น ไม่นานก็ต้องเปลี่ยน เมื่อเสียก่อนเวลาอันควร สุดท้ายก็ต้องซื้อใหม่ และจ่ายเงินเพิ่ม โดยรวมมักจะเสียเท่ากับราคาของที่มีคุณภาพเลย แต่ในระหว่างการใช้งาน เรากลับได้ใช้ของด้อยคุณภาพตลอดอายุการใช้งาน แทนที่จะได้ของมีคุณภาพ โดยที่เสียเงินเท่ากัน นอกจากนี้ ของที่มีคุณภาพ มักจะมีรายละเอียดการผลิต ที่มีความใส่ใจ พิถีพิถันกว่า วัสดุดีกว่า คงทนกว่า อายุการใช้งานมากกว่าหลายเท่า ปลอดภัยกว่า อาจรวมไปถึงรูปลักษณ์ที่ดีกว่า จึงคุ้มค่ากว่ามาก ตลอดอายุการใช้งาน
- เช่น ซื้อของด้อยคุณภาพ ราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่ง ใช้งาน 2ปี พัง ต้องซื้อใหม่ โดยในระหว่างใช้งาน ก็ใช้ประโยชน์ได้อย่างจำกัด เพราะ มีคุณสมบัติที่ไม่ดี, เทียบกับ ของมีคุณภาพ ใช้งาน 5 ปี ยังดีอยู่ และยังใช้ได้ต่ออีก และในระหว่างใช้งาน ก็ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ คุ้มกับราคาที่จ่ายไป
- นอกจากนี้ การซื้อของดีชิ้นเดียว ยังดีกว่า ซื้อของถูกหลากหลายอย่าง
7 ม.ค. 67
- วันนี้พยายามก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ด้วยการอ่านเลขให้ได้ทั้งวัน!! เช้ายันดึก ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากปรับเวลากินอาหาร ให้มีเวลากินแบบสบายขึ้นด้วย(จาก 12ชม เป็น13-14ชม แล้วที่เหลืออดอีก33ชม) แม้จะหิวแต่ก็ยังมีแรงอ่านได้นะ เพราะ ยังมีพลังงานสะสมมากขึ้น จากการเพิ่มเวลาการกิน
- แต่จริงๆ ถ้ายิ่งลดช่วงเวลากินให้สั้นลง ก็ยิ่งพัฒนาได้ไวนะ แต่ถ้าเราไม่มีเวลากินมากพอ ก็ไม่มีพลังงานสำหรับให้สมองเอาไปฝึกเช่นกัน สิ่งเหล่านี้จึงต้องปรับให้สมดุลสำหรับแต่ละคน
- Alternate day fasting ช่วยให้ สมาธิ ดีขึ้นมาก และพัฒนาได้เร็วกว่า การอดแบบ Time restricted fasting แม้จะมีชั่วโมงการอดเท่ากัน เพราะ มีการเกิด ketosis ที่เข้มข้นกว่า จากการอดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งร่างกายจะคงสภาพอยู่ในโหมด ketosis โดยไม่ต้องไปเริ่มกระบวนการใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาไปกว่า 10 ชม หลังจากอาหารมื้อสุดท้าย
4 ม.ค. 67
- ช่วงนี้ต้องพยายามลดการเทรดลง เพื่อให้มีสมาธิกับการอ่านหนังสือมากขึ้น, ปรับกลยุทธ์การเทรด forex ให้สั้นลงเหลือ ถือ order ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ไม่อย่างนั้นกราฟกลับตัวผันผวนหนักอาจขาดทุนแทน
- อยู่หอ ทำอาหารกินเอง ประหยัดเงิน ได้ 3 เท่า จาก 180 -> 60 บาท/ วัน แต่เสียเวลาเพิ่ม วันละ 3 ชม.(แทนที่จะได้อ่านหนังสือ) เนื่องจากเป็นช่วงกำลังจะสอบ เวลาก็สำคัญ
- เนื่องจากตอนนี้หอใหม่ ไม่สะดวกทำอาหาร และต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ จะเสียเวลามาก หากทำอาหารกินเอง จึงลองคำนวณค่าใช้จ่ายประหยัดสุดที่ทำได้ คือ กินข้าว 60x3 = 180, ผลไม้ 40, น้ำ 20 รวม = 240 บาท/วัน => 7200 บาท / เดือน
- หากทำ IF ด้วยการกินวันเว้นวัน ฯลฯ ก็จะตกเฉลี่ยวันละ 2มื้อ จะอยู่ที่วันละ 120 บาท = > รวมค่าอื่นๆ = 5400 บาท/เดือน
- แต่หากทำอาหารกินเอง เป็นเมนูพวก ธัญพืชหลายชนิดต้มรวมกัน+ใส่ไข่ 3ฟอง เพื่อเพิ่มโปรตีน(กรดอะมิโนจำเป็น) การเตรียมอาหารใช้เวลาน้อย (เพียงแค่ล้าง และตั้งหม้อต้ม) และ ประหยัดเงินได้มาก แล้วยังได้ประโยชน์ครบถ้วน =>> ทางเลือกนี้น่าจะดีที่สุดนะ!!!
- keep calm and stay humble จงเป็นคนธรรมดา ที่ทำอะไรซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง
3 ม.ค. 67
- วิธีการทำให้ตัวเองอ่านหนังสือได้ตลอดเวลา อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและไม่เบื่อ คือการทำให้ตัวเองเกิด ความหลงไหลในความรู้
- ถ้าอยากจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ได้ต่อเนื่องนานๆ จงเป็น คนธรรมดา ที่มีความปรารถนาเรียบง่าย จงอย่าปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือ ผลประโยชน์ใดๆจากการกระทำต่างๆของตน เพราะ การปรารถนาที่ประกอบด้วยความโลภ จะชักนำให้เราออกจากเส้นทางของความต่อเนื่อง และแสวงหาทางลัด อันไม่เป็นประโยชน์ที่ยั่งยืน การกระทำใดๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง เรียบง่าย สุดท้ายมักให้ผลลัพธ์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ มั่นคง อย่างน้อยๆก็ต่อตนเองเป็นอันดับแรก
- ความลำบากในชีวิต ทำให้เราได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เห็นมุมมองชีวิตที่หลากหลายมากขึ้น อยากจะช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น อย่าลืมเวลาที่เราลำบาก ว่าเราเคยลำบากมาแบบไหน ถ้าเรามีโอกาสช่วยผู้อื่นที่กำลังลำบากอยู่ ก็อย่าลืมที่จะช่วยเหลือ
- ความลำบากในชีวิต ไม่ใช่บททดสอบ แต่เป็นการขัดเกลา เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเอง จนไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ หากเราตั้งเป้าหมายไว้ไกล แต่เราขัดเกลาหรือพัฒนาตนเองไม่มากพอ มันก็ไม่สมควรกับเป้าหมายของเรา ก็คงไม่แปลกที่เราจะไปไม่ถึงเป้าหมาย
- อยากจะสร้าง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ที่ช่วยให้คนเข้าถึงความรู้ได้มากขึ้น ไม่ทำให้คนหลงและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์กับโลกsocial media, เกมส์ หรือ ทำอะไรเรื่อยเปื่อยเสียเวลา ขาดสติ ไปกับโลกอินเทอร์เน็ต
- ช่วงนี้ลืมเจริญสติด้วยการรู้สึกลมหายใจไปเลย ต้องฝึกต่อด้วยแล้ว
- อ่านหนังสือเตรียมสอบ!!! อย่าไปสนใจอย่างอื่นในช่วงนี้ พยายามประหยัดเวลาเพื่อเอามาอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุด
2 ม.ค. 67
- เหมือน การอดวันเว้นวัน อาจจะทำให้ได้พลังงานไม่พอ ต่อให้พยายามกินเท่าไหร่ น้ำหนักก็ลดลง อาจเป็นเพราะช่วงนี้เพิ่งย้ายหอด้วย ทำให้ต้องใช้แรงทางกายเยอะหน่อย แต่ถ้าเป็นแบบนี้ อาจจะลดการอดข้ามวันลงเหลือแค่ 3 วัน ต่อสัปดาห์ เช่น อดวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ เป็นต้น วันที่เหลือก็กิน 3 มื้อปกติ
- เจอบทความว่า มีการตัดต่อพันธุกรรมของพืช โดยเฉพาะถั่วลิสงให้สามารถยังยั้ง Aflatoxin ด้วยตัวเองได้ https://www.icrisat.org/groundnut-immunity-to-aflatoxin/
- ธัญพืชที่พบ aflatoxin มาก จะเป็นธัญพืชที่เกิดตามพื้นดิน (ground-nut) โดยเฉพาะ ถั่วลิสง
1 ม.ค.67
- วันไหนๆ โดยส่วนตัวเราคิดว่าก็เหมือนกัน เพียงแต่ปีใหม่ หลายๆคนนิยมใช้เป็นวันสรุปผลของตัวเองในปีที่แล้ว แต่เราขี้เกียจ เดี๋ยวค่อยสรุปเป็นพักๆแล้วกัน
- ออกมาอยู่หอพักแล้ว แม้ว่าจะลำบากขึ้นหลายๆอย่าง แต่เราคิดว่าแบบนี้แหละดีแล้ว ไม่ควรต้องไปเป็นภาระคนอื่น โตแล้วต้องรู้จักรับผิดชอบชีวิตตนเอง ถ้าประสบความสำเร็จจึงค่อยกลับไปได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ถ้ากลับไปตอนนี้ก็มีแต่คนไม่เข้าใจเรา และจะทำให้เกิดความเครียด รบกวนการทำงานและรบกวนการดำเนินชีวิตตามเป้าหมายที่วางไว้อีก
- อยู่แบบนี้ใจสงบกว่าโดนเหน็บแนมทุกวัน จนแทบจะเป็นโรคประสาท คงเป็นเพราะ IF มาตลอด เลยยังคงทำให้สุขภาพจิตยังดีอยู่ได้
- การทำ Alternate day fasting ช่วยพัฒนาเราไปได้เยอะมากเลยนะ ความคิด การวางแผนล่วงหน้า ก็เริ่มดีขึ้นละ
** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags"
ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ
Add new comment