Skip to main content

ม.ค. 67

Submitted by krishrong on

31 ม.ค.​ 67

  • วันนี้วันอด อ่านหนังสือได้ต่อเนื่องมาก อีกปัจจัยหนึ่งคือ เมื่อวานไม่ได้กินเยอะเกินไป แต่จะแบ่งแต่ละมื้อแบบพอดีๆ มื้ออาหารที่กินคือ 
    • ข้าวโอ๊ต1 ชาม , ข้าวราดแกง 3จาน, ขนมปัง กับนม และขนม เทียบเท่า 2 จาน
  • ช่วงนี้เริ่มเกิดสติ วันละ 1-2 ครั้งแล้ว โดยมากจะเป็นการนึกได้ว่าลืมลมหายใจไปนานทั้งวัน
  • พระไตรปิฎก เป็นตำรามหัศจรรย์ เพียงแค่อ่าน ชีวิตจะค่อยๆดีขึ้น
  • ถ้าอยากทำอะไรให้สำเร็จ ให้ทำตัวรู้ไม่เยอะ แต่รู้เท่าที่กำลังจะทำ เช่น ใช้คอม แต่เปิดอย่างอื่นหรือโหลดเกมไม่เป็น เปิดเป็นแต่หนังสือที่กำลังศึกษา
  • พอกลับมาที่หอพัก จะไม่ค่อยมีแรงอ่านหนังสือแล้ว อาจเป็นเพราะ สิ่งแวดล้อมไม่ค่อยทำให้เกิดสมาธิเท่าไหร่ สิ่งที่เราจะทำ น่าจะเป็นอะไรที่เราชอบ เช่น การอ่านตำรา programming เป็นต้น

30 ม.ค. 67

  • เคยติดในหลักความคิดบางอย่าง เช่น การปราถนาพุทธภูมิ เป็นต้น ทำให้เนิ่นช้าในการฝึกพัฒนาเจริญสติ(ไม่ยอมปฏิบัติ ปล่อยเวลาล่วงเลย ด้วยข้ออ้างว่าต้องสั่งสมบารมีต่างๆก่อน แต่จริงๆคือขาดสติ ไม่เจริญสติ) แล้วก็ได้ลองใช้โยนิโสมนสิการ(คิดพิจารณาโดยแยบคายด้วยเหตุผล) จากการอ่านพระไตรปิฎกมาว่า ผู้ที่มีบุญบารมีสั่งสมมามาก อย่างเช่นโพธิสัตว์​ เวลาตั้งจิตอธิษฐานใดๆ จะสัมฤทธิ์ผล โดยส่วนตัวเลยลองตั้งจิตอธิษฐานบางอย่างดู ปรากฏว่า ไม่สัมฤทธิ์ผล แสดงว่า การปราถนาพุทธภูมิของเรา ไม่ใช่ความปราถนาที่แท้จริงอันแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน และอาจยังเป็นความคิดด้วยกิเลส ที่ก่อให้เกิดความเนิ่นช้าในการเจริญสติ(ติดอยู่กับความปราถนานี้มาหลายสิบปี)
    • ถามว่าการตั้งความปราถนานี้มีแต่ข้อเสียหรือไม่?
      • ก็ไม่เชิงนะ เพราะ ช่วงที่เราคิดว่าจะตั้งใจ เพียรพยายามบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้คน มันจะเกิดพลังขึ้นมาในจิตใจจริงๆ โดยเป็นพลังที่มีลักษณะพิเศษ คือ พลังใจนี้สามารถเกิดขึ้นเองได้เรื่อยๆ แบบไม่มีวันหมด ไม่เหมือนกับแรงบันดาลใจทั่วๆไปที่ต้องคอยกระตุ้นตัวเองเรื่อยๆ ทำให้สามารถทำต่อได้เรื่อยๆ อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
        • ก็ได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราคิดและทำอะไรเพื่อผู้อื่นจากใจจริง ไม่ใช่การทำเพื่อตัวเอง จะเกิดพลังใจพิเศษบางอย่างขึ้นกับเรา ทำให้เราสามารถทำบางสิ่งที่มหัศจรรย์ให้กับโลกได้
    • ได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่ง คือ การอ่านพระไตรปิฎก เป็นอะไรที่ดีมากๆ ทุกคำ มีความหมายลึกซึ้ง มีประโยชน์กับชีวิตมากมาย ควรอ่านทุกคน ไม่จำกัดอายุ การศึกษา เพศ
    • ข้อคิดอีกอย่างหนึ่ง คือ พยายามดำรงชีวิตด้วยการคิดพิจารณาโดยแยบคาย ด้วยการคิดพิจารณาด้วยเหตุผล อย่าใช้ศรัทธาอย่างเดียว และที่สำคัญคือ อย่างมงาย
  • ต่อจากนี้ ก็ต้องไปปฏิบัติ ฝึกเจริญสติต่อแล้วล่ะ
  • อันนี้ได้แนวคิดดีมากเลย https://www.youtube.com/watch?v=tyULhH7mR2g

29 ม.ค. 67

  • เมื่อคืนกินมื้อดึกเยอะเกินไป(กินธัญพืชแต่กะปริมาณผิด) เลยทำให้นอนดึก และตื่นมาอ่อนเพลีย และง่วง ส่งผลต่อสมาธิในการอ่าน
  • เพิ่งรู้ว่า การกินธัญพืชบ่อยๆ อาจทำให้เกิด aflatoxin toxicity ได้
  • ถ้าฟังเพลงขณะทำโจทย์เลขไปด้วย จะทำให้ทำโจทย์ได้อย่างต่อเนื่องยาวนานโดยไม่ล้า ช่วยลดความเครียดและช่วยให้สมองได้พักไปในตัว
  • ช่วงเดินไปมหาลัย-กลับหอพัก 30 นาที เป็นการออกกำลังกายแบบ HIIT ไปด้วยในตัวเลยนะ เพราะ ตอนข้ามถนน จะต้องมีการกระโดด มีการวิ่งบ้าง เป็นช่วงสั้นๆ สลับเดิน มันดีต่อสุขภาพและสมองมากๆ
    • ช่วงเดินกลับบ้านก็จะฝึกฟังภาษาอังกฤษไปด้วย โดยเปิด youtube ในเรื่องที่สนใจ คือ เทคโนโลยี หรือ สุขภาพ
  • วันนี้ทำเลขได้ 46 หน้า
  • ช่วงนี้รู้สึกความคิดมีพลัง สามารถทำอะไรต่อมิอะไร อยากจะคิด หรือ อยากจะอ่านอะไรได้หมด ไม่อ่อนเพลียเหมือนเก่า น่าจะเกิดจากการเดินวันละ 1-2 ชม. นี่แหละ ทำให้สุขภาพดี
  • กลับหอพักมาก็ยังอยากจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ เช่น ทำโจทย์เลขต่อ หรือ ฝึกเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม หรือ อ่านตำรา หาความรู้ที่สนใจ เช่น ตำราเทรด,​ อัพเดตความรู้เรื่องสุขภาพ เพื่อนำมาพัฒนาตนเอง

28 ม.ค. 67

  • วันนี้ตะลุยโจทย์ไปประมาณ​ 70-80 ข้อ ภายใน 4 ชม
  • ควรทำให้ได้ วันละ 200 ข้อ ถึงจะอ่านได้ครบทุกเนื้อหานะ
  • การฝึกทำโจทย์เลข เหมือนเป็นการเตรียมความพร้อม เพื่อต่อไปยังการฝึกโจทย์ programming เลยแฮะ
    • หลักการคือ ยิ่งฝึกทำโจทย์เยอะ ก็จะยิ่งเห็นวิธีการแก้ปัญหาหลากหลายรูปแบบมากขึ้นๆ หากจะเรียน programming จริงๆ ก็อย่าลืมนะ เพราะ มันสำคัญมาก
    • ฝึกทำโจทย์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
  • เหมือนการกินทุก 3 ชั่วโมง มันจะย่อยไม่ทันแฮะ แล้วเหมือนจะรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ สมาธิไม่ค่อยจดจ่ออยู่กับตำรามากนัก(สมาธิไม่ลึก ไม่แนบแน่น) เหมือนลนๆง่าย ควรเว้นมื้อละ 4 ชม 5 มื้อ แบบเดิม จะดีกว่าไหมนะ?
  • บางที เราคิดว่าวันนี้ทำได้เท่านี้ พยายามได้เท่านี้ ก็ดีพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง ชีวิตมันก็ไม่ได้รอเรานะ โอกาสมันจะหลุดมือเราไปเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนกัน บางทีสำหรับเรา เราอาจคิดว่ามันพอแล้ว แต่มันอาจจะยังไม่พอในความเป็นจริงก็ได้นะ

27 ม.ค. 67

  • เปลี่ยนมาเดินไปมหาลัยแล้ว ขี่จักรยานออกไปหน้าซอย แล้วเดินต่อประมาณ 40-50 นาที
    • เดินทำให้สมาธิดีขึ้นมากเลยนะ สามารถคิดโจทย์เลยในใจได้เลย
    • เดินไปกลับ รวมประมาณ 10 km
  • การฝึกแก้โจทย์เลข ก็เป็นการฝึกโจทย์ algorithm รูปแบบหนึ่ง
  • ฝึกฟังภาษาอังกฤษ ให้เริ่มฟังจาก เรื่องที่เรามีความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว หรือ เรื่องที่เราสนใจ จะทำให้ต่อติดได้ง่ายกว่าการฟังเรื่องทั่วไป ที่เราไม่ได้สนใจ เพราะ ถ้าเป็นเรื่องทั่วไป เรามักไม่เกิดความสนใจและทำให้ฟังเรื่อยเปื่อย ไม่เกิดประโยชน์
  • หลังจากที่ปรับเปลี่ยนวิธีการกิน เป็น 5มื้อ ในวันที่กินอาหาร โดยเว้นมื้อละ 4 ชั่วโมง แต่ละมื้อก็กินแบบพอดีๆปกติ ไม่ต้องเพิ่มอะไรพิเศษเท่าไหร่ แล้วอีกวันก็อด ตอนนี้ก็มีแรงอ่านหนังสือทั้งวันอยู่นะ
    • แต่ก็จะมีหมดแรง สมองตื้อๆบ้าง ตอน2ทุ่มของอีกวัน น่าจะเพิ่มเป็น 6 มื้อ ก็จะพอดี
      • โดยหากกิน 6 มื้อ ใน1วัน จะมีเวลากิน 6-22.00น ประมาณ 16 ชม ถ้านับง่ายๆ คือ กินเว้นมื้อละ 3 ชม คือ 6, 9, 12, 15, 18, 21.00น ก็จะได้ 6 มื้อพอดี วิธีนี้น่าจะโอเคแหละ

26 ม.ค. 67

  • วันนี้มาอ่านหนังสือที่หอสมุดของมหาลัย อ่านได้ดีมาก โดยปัจจัยแวดล้อม มีดังนี้
    • อากาศถ่ายเท อุณหภูมิเหมาะสม ไม่ร้อนไม่หนาว
    • แสงมาจากหลอดไฟหลายดวง ส่งจากที่ไกลๆ(ได้แสงขนาน เป็นธรรมชาติ)
    • ที่นั่งสบาย นั่งได้นาน ไม่เกิดความปวดเมื่อยให้เสียสมาธิ
    • มีน้ำดื่มฟรี ทำให้ไม่ขาดน้ำ
  • อีกปัจจัยที่มาที่สาธารณะแล้วอ่านหนังสือได้ดีคือ จะทำตัวสบายๆแบบอยู่คนเดียวไม่ได้?
    • อาจต้องลองไปอยู่ในที่ไม่ค่อยมีคน แล้วดูว่า เราจะยังอ่านได้ดีไหม

25 ม.ค. 67

  • ปัญหาเรื่องการบริหารเวลา
    • ไม่ใช่ว่าดูนาฬิกาบ่อยๆ แล้วจะทำให้เราใช้เวลาได้มีประโยชน์มากขึ้น คุ้มค่ามากขึ้น หรือ ช่วยให้เราทำอะไรได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด เพราะ หลายๆอย่าง มีช่วงเวลาของมันที่ต้องใช้ ไม่สามารถเร่งตามใจอยากของเราได้ เช่น การอ่านหนังสือทำความเข้าใจตำรา เป็นต้น
    • สิ่งสำคัญคือ เราเอาเวลาไปทำอะไรมากกว่า ซึ่งวิธีที่จะแก้ไขปัญหาของ การเอาเวลาไปทำสิ่งไร้สาระ คือ การมีสติรู้ตัว
  • เหมือนการอดวันเว้นวัน จะทำให้ได้พลังงานไม่เพียงพอแก่การอ่านหนังสือ !!! สังเกตได้จากการที่นอนตื่นสาย รู้สึกไม่อยากทำอะไร
    • ปัญหาในตอนนี้คือ จะทำอย่างไรให้ได้มีพลังงานเพียงพอ คือ มีจำนวนมื้อที่กินใน 1 สัปดาห์ให้ได้มากที่สุด โดยที่ยังคงได้ประโยชน์การอดมากที่สุด คือ มีจำนวนวันที่สามารถอดแบบต่อเนื่อง (มากกว่า 24 ชม.ขึ้นไป) มากที่สุด และ อาจรวมถึงความคุ้มค่า ทั้งเงิน และเวลาที่เสียไปกับเรื่องอาหาร(แต่อาจเอาไว้พิจารณาเป็นอันดับท้ายๆ)
      • จำนวนมื้อที่ต้องการ เพื่อให้เพียงพอกับการอ่านหนังสือ คือ เฉลี่ย 3 มื้อต่อวัน * 7 วัน = 21 มื้อ ต่อสัปดาห์
      • กินอาหาร 1 มื้อใช้เวลาย่อย 4 ชม. ใน 1 วัน
        • วิธี 1 กิน 16 ชม 5 มื้อ วันเว้นวัน
          • มีช่วงเวลากินที่มากที่สุดที่เป็นไปได้ คือ 6-22.00น ประมาณ 16ชม ก็ได้ประมาณ 5 มื้อ(6,10,14,18,22.00น) = กินตั้งแต่ตื่นยันก่อนนอน
            • ช่วงเวลาการกินยาวนานเกินไป(เกิน12 ชม) จะส่งผลต่อสุขภาพไหมนะ? ควรให้มากสุดไม่เกิน 12 ชม หรือเปล่า?
          • หากอีกวัน อด ก็จะได้เวลาอดอยู่ที่ 32 ชม
          • แต่เอาจริงๆ เมื่อเฉลี่ยจำนวนมื้อ ก็จะได้เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 มื้อ ต่อวัน จะพอไหมนะ?
          • ลองวิธีนี้ก่อนแล้วกัน วิธีอื่นๆ อาจจะได้ไม่ครบทุกปัจจัยเท่าวิธีนี้แล้วล่ะ
  • เรื่องการอ่านเลข ที่พบอีกอย่างคือ ถึงแม้บางทีจะไม่เข้าใจ 100% แต่ถ้าลองทำโจทย์ไปก่อน จะค่อยๆเข้าใจมากขึ้นได้เอง เราอาจไม่สามารถเข้าใจทุกประเด็นได้ตั้งแต่เริ่มต้นเสียทีเดียว การทำโจทย์เท่านั้นที่จะทำให้เราเก่งขึ้น
  • แต่ก่อน ใช้ Mac OS ได้ไม่คล่อง แต่ตอนนี้ใช้คล่องอย่างรวดเร็ว คีย์ลีดที่เคยรู้สึกไม่สะดวก ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาในการใช้งาน เกิดจาก Neuroplasticity ที่ดีกว่า จากการ Fasting แบบ Alternate day fasting หรือเปล่านะ(ดีกว่า Time restricted fasting ปกติ)

24 ม.ค. 67

  • มีอยู่แนวคิดหนึ่ง คือ เราจะแสวงหาความสำเร็จอย่างยิ่งไปเพื่ออะไร หรือ จะสร้างนวัตกรรมเพื่อโลกไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายทุกสิ่งจะถูกลืมเลือนเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดกาล แม้สิ่งเหล่านี้จะจัดว่าเป็นบุญ แต่ก็ยังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ไม่พ้นทุกข์จริงๆอยู่ดี
  • ในยุคที่เราได้พบเจอกับคำสอนของพุทธศาสนา เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่มีไม่มาก ที่เราจะสามารถเรียนรู้ตนเองจนเข้าใจความจริงของ กาย-ใจ จนพ้นทุกข์ เราจึงควรให้ความสำคัญกับการศึกษาเรียนรู้กายใจ มากกว่าการทำประโยชน์ภายนอกอื่นๆ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำประโยชน์ภายนอกอะไร เพียงแต่ควรจะเต็มที่กับการแสวงหาปัญญาภายใน คือ การเรียนรู้ตนเอง ให้ได้มากที่สุดก่อน เพราะ ยุคสมัยที่จะมีคำสอนเพื่อความพ้นทุกข์แบบนี้หาได้ยากยิ่ง ส่วนการทำประโยชน์ภายนอก ก็ให้เพียงพอแค่ การสงเคราะห์ตนเองและผู้อื่นให้อยู่สบายแต่พอสมควร เอาไว้ชาติอื่นๆที่ไม่มีพุทธศาสนาค่อยทำแบบเต็มที่ก็ได้ โดยเอาเวลามาพัฒนาสติ เรียนรู้กาย-ใจ ให้ได้มากที่สุด
  • ตัดสินใจซื้อ Macbook pro 16 นิ้ว m1 max จาก https://www.houkandbank.com/ ในราคา 72000 บาท ถือว่าคุ้มมากนะ
    • จอ 16 นิ้ว, GPU 30 core, Ram 32GB, SSD 1TB !!! สเปคขนาดนี้ แรงกว่า Macbok air m2 มาก ในราคาเท่ากัน!!!
    • เป็นอุปกรณ์ที่ Hardware ดีมาก สามารถรองรับกับงานได้ทุกอย่าง(capable) ทั้งงาน Programming, photo, video, music
    • รวมถึงการศึกษา เช่น ฝึกฟังภาษาอังกฤษ(ลำโพงดีมาก ฟัง accent ชัด), อ่าน textbook(หน้าจอดี)
    • หน้าจอใหญ่ screen real estate เยอะ ทำงานได้ดี productivity สูงกว่าหน้าจอเล็ก แต่น้ำหนักก็เบาพอที่จะถือมือเดียวได้!
    • มี port thunderbolt 4 ให้ 3 ports!
    • ใช้พลังงานน้อย Battery อยู่ได้นาน ไม่ต้องอยู่ใกล้สายชาร์จตลอดเวลา
    • สามารถรัน virtual machine ได้ เพราะ ram เยอะ cpu แรง เหมือนมีคอมหลายเครื่องในเครื่องเดียว ใช้ศึกษา Linux ก็ได้
    • ราคานี้ เทียบเท่ากับ มอเตอร์ไซค์ 1 คัน อย่างเช่น ถ้าจะทำงานเป็น grab/delivery ก็ต้องลงทุนซื้อมอเตอร์ไซค์​ จะทำงานเขียนโค้ด ก็ต้องลงทุนซื้อLaptop ที่มีคุณภาพดี ไม่ต่างกัน
    • ประกัน apple care+ คงไม่ซื้อ เพราะ ร้านเขาซ่อมได้ทุกอย่าง เน้นใส่เคส ติดฟิล์มหน้าจอ\
  • ถ้าหาวิธีการทุกอย่างแล้ว สมาธิก็ยังไม่ดี ยังไม่สามารถจอจ่อกับการทำงาน/อ่านหนังสือได้นาน ก็ใช้วิธีการ brute force ไปเลย คือ ใช้ความจงใจ ความตั้งใจ ฝืนบังคับตัวเองให้ทำ แบบตรงๆไปเลย เพราะ บางทีอาจเกิดจาก ความอ่อนแอปวกเปียก ของกำลังใจเฉยๆ ไม่ต้องหาวิธีพิเศษใดๆ เพียงแต่ต้องใช้ความเข้มแข็งของจิตใจเท่านั้น
    • สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ สติ ความรู้ตัว ที่จะทำให้เรารู้ตัวเองว่า ตอนนี้เราเผลอไปทำอย่างอื่นที่ไม่เหมาะสมแล้ว แล้วก็รีบกลับมาทำงาน/อ่านหนังสือต่อ
  • ต่อให้เรามีวัตถุมากมาย ในการช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆในชีวิต(ซึ่งเป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องไม่ดี) ตั้งแต่การเดินทาง ไปจนถึงการเพิ่มโอกาสเข้าถึงความรู้  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆที่เราต้องพัฒนา คือ ตัวเราเอง ซึ่งวัตถุภายนอกอาจช่วยไม่ได้ หรือช่วยได้เพียงเล็กน้อยในบางส่วน การพัฒนาตนเอง มักจะเกิดจากการฝึกฝนด้วยตนเอง จนเป็นนิสัย เช่น การมีความรู้ ต้องเกิดจากการลงมือศึกษา(ต่อให้มีวัตถุพร้อม คือ นั่งนอนบนกองหนังสือ หรือ มีอุปกรณ์เข้าถึงความรู้มากมาย แต่ไม่ลงมือศึกษาด้วยตนเอง ก็ไม่เกิดประโยชน์), ความมีวินัย, ความเพียรพยายาม, ความอดทน เป็นต้น
    • การพัฒนาชีวิตจริงๆ จึงไม่ใช่การมุ่งที่วัตถุ แต่เป็นการพัฒนาที่ตนเอง (แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธวัตถุนะ แต่เอาวัตถุมาอำนวยความสะดวกในการพัฒนาตนเองอีกที เช่น อุปกรณ์ที่ทำให้เข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้น)
  • ปัญหาหลักในตอนนี้คือ ยังไม่สามารถอ่านหนังสือได้ต่อเนื่อง แบบคงที่ จะต้องทำอย่างไรดีนะ?
    • วันที่อ่านได้ดี
      • จะเป็นวันที่ Fasting(วันอดอาหาร), อ่านหนังสือที่หอสมุดมหา'ลัย มีแอร์เย็นๆ มีน้ำดื่มฟรี
    • วันที่อ่านได้ไม่ดี
      • จะเป็นวัน Feeding(วันที่กินอาหาร), อ่านหนังสือที่หอพัก อากาศร้อน
      • ช่วงไหน กินอาหารน้อยเกินไป ใช้แรงมากเกินไป ก็จะตื้อๆ คิดอะไรไม่ออก
  • Alternate day fasting(IF 36/12)
    • หลังจากที่ลองทำมาพักใหญ่ๆ รู้สึกว่าสติปัญญามีการพัฒนาดีขึ้น คิดอะไรคล่องแคล่ว ทักษะทางภาษาดีขึ้น กว่าเดิมมาก หากเทียบกับการพัฒนาตนเองในช่วงทีทำ Fasting แบบ Time restricted(23/1)

22 ม.ค.67

  • อ่านหนังสือที่หอสมุดมหาลัย(ใช้สิทธิ์ของศิษย์เก่า) มีสมาธิดีขึ้นมาก ข้อดีคือ มีสิ่งแวดล้อมอำนวยความสะดวกครบครัน มีเครื่องปรับอากาศและฟอกอากาศ มีโต๊ะเก้าอี้ที่นั่งได้สบายทั้งวัน มีตู้น้ำดื่ม เหมาะกับการอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ ทำให้อ่านได้ทั้งวันอย่างเต็มประสิทธิภาพ(Full performance) จากปกติอ่านหนังสือได้วันละ 3 - 4 ชม ที่หอพัก ก็เพิ่มเป็น 8 ชมเต็มๆ ขณะที่นั่งหอสมุดมหาลัย

19 ม.ค. 67

  • การลงทุนในความรู้และการพัฒนาตนเอง ให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอ เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และ แน่นอนที่สุด 
    การลงทุนรูปแบบอื่นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่การลงทุนในความรู้ ในการพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะพบเจอความไม่แน่นอนในชีวิตอย่างไร ก็ยังสามารถนำความรู้ ทักษะ กระบวนการคิด ไปใช้แก้ปัญหา สร้างประโยชน์ให้เกิดกับตนเองและผู้อื่น ได้ตลอดไม่จำกัด
  • แสวงหาและลงทุนใน ความรู้ก่อน หากมีความรู้ เงินก็หาได้ไม่ยาก
  • เหมือนกับว่าการอดอาหารวันเว้นวัน แล้ว ในวันกิน กิน 4 มื้อ จะยังไม่เพียงพอกับการอ่านหนังสือเยอะๆนะ อาจจะต้อง 5-6 มื้อเลย(กินตลอดเวลาทั้งวัน) พอเฉลี่ยกับวันที่อดทั้งวัน ก็จะเทียบเท่า 3มื้อ ต่อวัน

17 ม.ค. 67

  • วันนี้พอลองเดินจงกรม 30 นาที หลังตื่น ก็กลับมามีสมาธิอ่านหนังสือแล้ว ไม่น่าจะเกี่ยวกับอาหารเท่าไหร่ เพราะ อดมา 36 ชมและยังไม่ได้กินอาหาร แต่ปัจจัยที่ทำให้อ่านได้มีสมาธิคือ การเดินจงกรมเป็นการฝึกสมาธิ และ เป็นการขยับออกกำลังกายแบบเบาๆไปในตัว ทำให้อ่านหนังสือได้กระฉับกระเฉงและมีสมาธิดีขึ้น
  • น่าจะต้องกลับมากิน 4 มื้อ/วัน แล้วค่อยอดอีกวัน ก็จะเฉลี่ยได้ 2 มื้อต่อวัน เพราะ หากต้องอ่านหนังสือเยอะ การพยายามลดจำนวนมื้อ จะทำให้พลังงานไม่พอกับการอ่านหนังสือ

16 ม.ค. 67

  • มองนาฬิกาข้อมือบ่อยๆก็ดีนะ มันทำให้เรารู้ว่าเราใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง และ เห็นความสำคัญของเวลามากขึ้น
  • ไม่ค่อยมีสมาธิอ่านหนังสือเลย

15 ม.ค. 67

  • อีกสาเหตุที่ทำเลขได้น้อยลง คือ อดอาหารมากเกินไป จนไม่มีพลังงานสะสมเพียงพอ ก็เลยทำให้คิดอะไรไม่ออก
    • หลังจากนี้ ในกรณีที่มี อดจนน้ำหนักตัวน้อยแล้ว หากรู้สึกว่าอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเมื่อไหร่ จะต้องหยุดการอด และกินอาหารเพิ่มทันที โดยไม่สนใจตารางการอด เมื่อได้พลังงานเพียงพอแล้ว จึงกลับไปอดได้ตามปกติ
    • วันนี้ หลังจากอด 24 ชม ก็เริ่มคิดอะไรไม่ออกแล้ว เพราะ เมื่อวานกินแค่ 1 มื้อ จึงเลิกการอดไปก่อน และกินอาหาร ผลก็คือ กลับมาทำโจทย์เลขได้รัวๆ
      • ช่วงไหนที่กินอาหารเพียงพอ ต่อให้อด 36 ชม ก็ยังทำโจทย์เลขได้รัวๆนะ

13 ม.ค. 67

  • สาเหตุหนึ่ง ที่ช่วงนี้ทำเลขได้น้อยลง คือ ไม่ค่อยได้ดูลมหายใจ ถ้าช่วงไหนที่ดูลมหายใจบ่อยๆ จะเรียนรู้อะไรได้เร็ว แก้โจทย์เลขได้ดี และ มีไอเดียอะไรใหม่ๆเสมอๆ
  • จะเริ่มทดลอง กินวันละมื้อ โดยเป็น มื้อเช้า สลับ เย็น ในวันพรุ่งนี้แล้ว

12 ม.ค. 67

  • จะคุ้มไหมนะ ถ้าจะเสียเงินประมาณ 7หมื่น เพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ช่วยให้พัฒนาตนเองได้ง่ายขึ้น และ สร้างผลงานอื่นๆ เพิ่มเติมได้? (ทำงานหาเงิน ทำประโยชน์)
    • คุ้ม แต่ประเมินความเสี่ยงด้วย ว่าเงินเราเหลือเท่าไหร่ พร้อมไหมกับการเสียเงิน ถ้ายังไม่พร้อมก็ชะลอไปก่อน หรือ ใช้อุปกรณ์อื่นทดแทนไปก่อน
  • ถ้าในแต่ละวัน ขยับตัวบ่อยๆ จะเจริญสติง่ายขึ้น เพราะ ทำให้รู้สึกร่างกายได้ง่ายขึ้น
  • ช่วงนี้สังเกตตัวเองว่า ไม่ค่อยมีสติมารู้ลมหายใจเท่าไหร่เลย หลงๆมากขึ้นๆนะ
  • สาเหตุที่แช่ถั่วในน้ำเกลือแล้วนิ่ม https://www.seriouseats.com/baking-soda-brine-for-beans-5217841
  • คิดว่าจะปรับเปลี่ยนวิธีของ Alternate day fasting เล็กน้อย

    โดยเปลี่ยนเป็น กินวันละมื้อ เช้า สลับ เย็น คือวันนึงกินเช้า อีกวันกินเย็น สลับกันไป วิธีนี้ก็จะยังคงได้เวลาอด 36ชม แบบวันเว้นวันเหมือนเดิม แต่ได้กินวันละมื้อทุกวัน

    จะเหมาะกับคนที่ไม่มีเวลากิน และ อาจปรับตัวง่ายกว่า เพราะ วันไหนกินไม่พอ ก็ไปกินเพิ่มอีกวันได้ ไม่ต้องรอกินวันเว้นวัน

    กินมื้อละ 1-2ชม เน้นโปรตีน ไขมันดี ผักผลไม้ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

11 ม.ค. 67

  • หลังจากเลิกใช้ทุกอย่างที่เป็น ดิจิตอล ทั้งคอมฯ และ smartphone ตอนนี้ ก็กลับมาโฟกัสมีสมาธิกับหนังสือได้แล้ว
    • น่าจะต้องเลิกใช้ยาวๆไปหลายเดือนเลย
  • เจอความโหดของโจทย์เลข รู้เลยว่า เรายังต้องเผื่อเวลาเตรียมตัวอีกมาก
  • เรื่องของ Alternate day fasting
    •  ในวันกิน จะวุ่นวายกับการกินมาก ทำให้ไม่ได้อ่านหนังสือ หรือเปล่านะ? (แต่จริงๆรู้แล้วว่าสาเหตุหลักคือ อุปกรณ์ดิจิตอล) แต่จะต้องลองสังเกตตัวเองตรงนี้ดู
    • อยากลอง ถือศีล 8 ไปด้วย คือ วันกิน ก็จะกินก่อนเที่ยง จะได้ประโยชน์ในเรื่องเวลาอดที่มากขึ้น และลดความวุ่นวายกับการเตรียมอาหาร(เอาแต่คิดว่า มื้อต่อไปจะกินอะไรดีนะ) แต่ไม่รู้ว่าแรงจะพอไหมนะ ต้องลองสังเกตตัวเองดูอีก
      • จริงๆ ตอนกินอาหาร จะไม่มีสมาธิพอที่จะอ่านหนังสือ หรือ ทำอะไรที่จริงจัง ที่ต้องการความถูกต้องสูง เช่น อ่านตำราเรียน เป็นต้น เราอาจไม่สามารถทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ดี
      • แต่อาจยังสามารถเปลี่ยนมาอ่านหนังสือทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการสมาธิและการโฟกัสที่สูงมากได้ เช่น ตำราสอนเทรด, นิยายภาษาอังกฤษ เป็นต้น
      • แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ อาจเปลี่ยนมาฝึกฟังวิทยุภาษาอังกฤษ bbc แทนก็ได้ หรือไม่ก็เปลี่ยนมาฝึกสติ รู้สึกตัวขณะกิน อยู่กับปัจจุบันไป
  • อยากสร้างคอมพิวเตอร์แบบนี้
    • คอมพิวเตอร์ที่เป็นเพียงอุปกรณ์หนึ่ง เป็นเพียงส่วนหนึ่งในชีวิตคน เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้คนสามารถหาความรู้ได้มากขึ้น ไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับเข้าสู่โลกในอีกโลกหนึ่ง ที่ทำให้คนหลงเพลิดเพลิน กับสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ จนเสียเวลาชีวิต เสียความเป็นตัวเอง ลืมความฝัน ละทิ้งงานอดิเรก ทิ้งสิ่งที่ตัวเองชอบทำ และ ขาดความเข้าใจตัวเองไปมากมาย

      คอมพิวเตอร์ที่มีหน้าจอแบบ e ink ใช้งานได้เฉพาะในการหาความรู้ เป็นเพียงอุปกรณ์หนึ่งในชีวิตสำหรับหาความรู้โดยเฉพาะ ที่สามารถวางลงได้ แล้วไปทำกิจกรรมอื่นในชีวิตต่อ ไม่ใช่อุปกรณ์ที่เป็นทั้งชีวิต คือทั้งชีวิตหลงเพลิดเพลินอยู่แต่ในอุปกรณ์นั้น

      คอมพิวเตอร์ควรเป็นเพียงอุปกรณ์หนึ่งๆ สำหรับหาความรู้ หรือ ทำงานเฉพาะอย่างเท่านั้น และสามารถวางลงได้ ไม่ต่างจากการวางหนังสือ  วางเครื่องมือหนึ่งๆลง แล้วไปทำอย่างอื่นในชีวิตต่อ

10 ม.ค. 67

  • เหมือน เวลาทำเลข 1-2 ชม ก็จะเริ่มล้าแล้ว แต่พอไปอ่านหนังสืออื่นๆ เช่น ตำราเทรด(ภาษาอังกฤษ) มันจะยังอ่านได้แบบสบายๆนะ แสดงว่า อาจจะใช้สมองคนละส่วน? รวมถึง ถ้าฝึกคิดเลขบ่อยๆ ยืดเวลาออกไปให้มากขึ้นๆ ก็จะทำเลขได้นานขึ้นได้ มันเหมือนฝึกออกกำลังกาย เช่น วิ่ง ครั้งแรก อาจจะได้แค่ 1 กม. พอฝึกเรื่อยๆ หลายๆเดือน ต่อมาก็วิ่งได้ 10 กม.
    • สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ การที่เราล้าเร็ว เวลาใช้ความคิด หมายความว่าที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้ฝึกคิด มากเท่าที่ควรนะ ซึ่งจริงๆมันจะสำคัญสำหรับการเป็นโปรแกรมเมอร์มาก
  • เมื่อวานเป็นวันอด ไม่ค่อยมีแรงทำโจทย์เลข ต้องอ่านหนังสือทั่วไปอื่นๆเอา อาจเป็นเพราะเมื่อวานซืนกินอาหารไม่พอ แต่หลังจากวันนี้กลับมากินอาหาร ก็กลับมามีสมาธิทำเลขต่อได้แล้ว แสดงว่าการกินอาหารให้เพียงพอก็สำคัญ
  • ปัญหาในปัจจุบัน
    • ปัญหาในตอนนี้คือ เวลาที่เสียไปเปล่ากับสาเหตุต่างๆมากมาย แทนที่จะได้อ่านหนังสือเตรียมสอบ ที่จะมีขึ้นในอีกเพียง 2 เดือนข้างหน้า มีดังนี้...
      • ออกมาอยู่หอ ทำให้มีเรื่อง ความไม่เรียบร้อยเรื่องที่อยู่อาศัย ที่ต้องจัดการเรื่อยๆ จัดการมามากประมาณนึงแล้ว มันยังสองจิตสองใจว่าจะจัดการให้มันดีขึ้นไหม โดยถ้าจัดการแล้วไม่อยู่หอต่อ ก็อาจจะไม่คุ้มกับที่ลงทุนปรับปรุงไป แต่ถ้าไม่ปรับปรุงก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พึ่งพาที่บ้านอีก ก็จะปรับปรุงและอยู่ไปสักพักใหญ่ๆแล้วกัน เพราะ จากประสบการณ์ก่อนหน้าที่เรากลับไปอยู่ที่บ้านพักนึง ทีแรกเราเข้าใจว่าเราจะช่วยเหลืออะไรที่บ้านได้ เช่นว่า อย่างน้อยก็มีความรู้ไปแนะนำคนที่บ้าน แต่กลับกลายเป็นว่า มีคนที่บ้านมองเราว่าเป็นสาเหตุของปัญหาแทน เพราะ เรียนจบแล้วก็ไม่ทำงานแบบที่อุตส่าห์ส่งเสียให้เรียน เราจึงคิดว่าจะไม่กลับไปที่บ้านจะดีกับชีวิตมากกว่า จนกว่าเรามีความมั่นคงหรือประสบความสำเร็จเพียงพอ ที่จะไม่ถูกคนที่บ้านตำหนิด้วยทัศนคติในแง่ลบ
      • การปรับปรุงหอ ทำให้เสียเวลาอ่านหนังสือแบบไม่ควรมากๆเลย กว่า 2 สัปดาห์แล้ว ที่เสียไปกับความวุ่นวายมากมายกับที่อยู่ใหม่ที่ต้องจัดการให้มีระเบียบ และมีประสิทธิภาพ
        • จะทิ้งไว้ก่อน แบบว่าค่อยๆแก้ไปเท่าที่ได้ แล้วระหว่างนี้ก็ไปหาที่อ่านหนังสือข้างนอกก่อนดีไหมนะ?
      • การเงิน
        • ค่าใช้จ่าย จุกจิก(ที่รวมกัน จนมากพอควร) เนื่องจากต้องมีการปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ให้อยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็ต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง แต่จริงๆก็เตรียมไว้พออยู่แหละ เพียงแต่เผลอเอาเงินส่วนนั้นเข้าไปลงทุนอยู่ ไม่รู้จะได้กำไรหรือขาดทุน(แต่ตอนนี้กำไรอยู่นิดนึง)
        • รายได้ ยังไม่มี ว่าจะลองเทรด Forex แต่ก็ขาดทุนประมาณหนึ่ง เนื่องจากไม่เข้าใจอะไรเลย ตอนนี้เลยหาตำราของตปท. ลองอ่านดูก่อน(ผู้เขียน เขียนได้ตรงกับปัญหาที่เราเจอเลย)
          • แต่เอาจริงๆ ด้วยจำนวนเงินเก็บที่เรามีอยู่ ก็นับว่าเพียงพอที่จะอยู่ได้แม้จะไม่มีรายได้พักหนึ่ง ในช่วงเตรียมสอบอาจไม่ต้องกังวลเรื่องการหาเงิน เพราะ จะเสียสมาธิและเวลาไปกับการศึกษาเรื่องอื่นเพิ่มอีก
      • อดแบบ Alternate day fasting(อดอาหารวันเว้นวัน)
        • ในวันที่กินอาหาร
          • เหมือนจะไม่มีสมาธิเท่าไหร่แฮะ ูวุ่นวายเรื่องอาหารมากพอสมควร หรือ เราจะไปกินอาหารข้างนอกแทนดีนะ ยังไม่ต้องวุ่นวายกับการเตรียมอาหาร เก็บกวาดล้างจาน ในตอนนี้?
            • คำนวณค่าอาหาร เทียบกัน? โภชนาการครบถ้วนหรือไม่ หากกินอาหารข้างนอก?
            • ถ้าหาวิธีทำอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่เสียเวลาชีวิต จะได้ไหม?
              • ล้างจาน จริงๆก็ไม่น่าจะนาน ถ้าทำอย่างมีประสิทธิภาพ แค่15นาทีก็เสร็จ
                • ถ้ากินอาหารข้างนอกจะประหยัดเวลาขึ้นได้มากไหม?
          • มีงานบ้านที่ต้องทำ แต่ยังไม่มีประสิทธิภาพพอ ทำให้เสียเวลาแทบทั้งวัน และเกิดความไม่สะดวกพอสมควร
      • แต่มาลองคิดดูจริงๆ ปัญหาของเราน่าจะเป็นเรื่องสมาธินั่นแหละ ไม่น่าจะใช่ปัญหาเรื่อง การปรับปรุงหอ, การอดอาหาร(Fasting), งานบ้าน การทำอาหาร ที่ทำให้เสียเวลาแต่อย่างใด เพราะ ต่อให้หนังสืออยู่ตรงหน้า เราก็เปิด Social media, เปิดกราฟเทรด Forex ดูไปเรื่อยๆอยู่ดี โดยมีข้ออ้าง เช่นว่า ดู youtube หาความรู้ที่เป็นประโยชน์, ดูกราฟ หัดเทรด(ที่สุดท้ายก็ขาดทุนอยู่ดี) เป็นต้น
        • มันจะมีช่องโหว่หนึ่งที่เรามองข้ามมันไป คือ คอมพิวเตอร์ มันเหมือนเป็นหน้าต่างสู่อีกโลกหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่พยายามดึงดูดความสนใจของเรา ทำให้เราเกิดการเสพติด dopamin ในรูปแบบที่ไม่เหมาะสมตามธรรมชาติ(นั่งเฉยอยู่หน้าจอทั้งวัน และ ท่องเทียวเพลิดเพลินกับสิ่งดึงดูดความสนใจไปเรื่อยๆ)
    • วิธีแก้น่าจะเป็นการ เลิกใช้คอมพิวเตอร์สักพักนึง แล้วดูว่าสมาธิจะดีขึ้นแค่ไหน (ทำร่วมกับ Alternate day fasting น่าจะดีขึ้นได้เร็วอยู่นะ
      • หลังจากที่ลองปิดคอมไป พอไม่มีสิ่งบันเทิงให้เสพ มันก็กลับมาอ่านหนังสือต่อโดยอัตโนมัติเลยนะ!!
      • พอลองเปิดคอมใหม่ ก็กลับมาเข้า Social media เรื่อยเปื่อยอีกแล้ว ก็ไม่ได้ดูสิ่งบันเทิงอะไรนะ
      • แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะไม่ดีนะ ถ้าเป็น Google news จะอ่านได้เรื่อยๆ แบบไม่เสพติดนะ หรือจะเป็นเพราะ Algorithm ของ social media ต่างหากที่เป็นต้นตอของปัญหา ที่พยายามให้เราติดอยู่ใน platform เหล่านั้นต่อไปเรื่อยๆ

9 ม.ค. 67

  • บางทีถ้าซื้อของ ให้ซื้อแบบมีคุณภาพไปเลย ในระยะยาวจะคุ้มค่ามากกว่า คือ ของไม่มีคุณภาพ มักจะมีอายุการใช้งานสั้น ไม่นานก็ต้องเปลี่ยน เมื่อเสียก่อนเวลาอันควร สุดท้ายก็ต้องซื้อใหม่ และจ่ายเงินเพิ่ม โดยรวมมักจะเสียเท่ากับราคาของที่มีคุณภาพเลย แต่ในระหว่างการใช้งาน เรากลับได้ใช้ของด้อยคุณภาพตลอดอายุการใช้งาน แทนที่จะได้ของมีคุณภาพ โดยที่เสียเงินเท่ากัน นอกจากนี้ ของที่มีคุณภาพ มักจะมีรายละเอียดการผลิต ที่มีความใส่ใจ พิถีพิถันกว่า วัสดุดีกว่า คงทนกว่า อายุการใช้งานมากกว่าหลายเท่า ปลอดภัยกว่า อาจรวมไปถึงรูปลักษณ์ที่ดีกว่า จึงคุ้มค่ากว่ามาก ตลอดอายุการใช้งาน
    • เช่น ซื้อของด้อยคุณภาพ ราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่ง ใช้งาน 2ปี พัง ต้องซื้อใหม่ โดยในระหว่างใช้งาน ก็ใช้ประโยชน์ได้อย่างจำกัด เพราะ มีคุณสมบัติที่ไม่ดี, เทียบกับ ของมีคุณภาพ ใช้งาน 5 ปี ยังดีอยู่ และยังใช้ได้ต่ออีก และในระหว่างใช้งาน ก็ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ คุ้มกับราคาที่จ่ายไป
    • นอกจากนี้ การซื้อของดีชิ้นเดียว ยังดีกว่า ซื้อของถูกหลากหลายอย่าง

7 ม.ค. 67

  • วันนี้พยายามก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ด้วยการอ่านเลขให้ได้ทั้งวัน!! เช้ายันดึก ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากปรับเวลากินอาหาร ให้มีเวลากินแบบสบายขึ้นด้วย(จาก 12ชม เป็น13-14ชม แล้วที่เหลืออดอีก33ชม) แม้จะหิวแต่ก็ยังมีแรงอ่านได้นะ เพราะ ยังมีพลังงานสะสมมากขึ้น จากการเพิ่มเวลาการกิน
    • แต่จริงๆ ถ้ายิ่งลดช่วงเวลากินให้สั้นลง ก็ยิ่งพัฒนาได้ไวนะ แต่ถ้าเราไม่มีเวลากินมากพอ ก็ไม่มีพลังงานสำหรับให้สมองเอาไปฝึกเช่นกัน สิ่งเหล่านี้จึงต้องปรับให้สมดุลสำหรับแต่ละคน
    • Alternate day fasting ช่วยให้ สมาธิ ดีขึ้นมาก และพัฒนาได้เร็วกว่า การอดแบบ Time restricted fasting แม้จะมีชั่วโมงการอดเท่ากัน เพราะ มีการเกิด ketosis ที่เข้มข้นกว่า จากการอดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งร่างกายจะคงสภาพอยู่ในโหมด ketosis โดยไม่ต้องไปเริ่มกระบวนการใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาไปกว่า 10 ชม หลังจากอาหารมื้อสุดท้าย

4 ม.ค. 67

  • ช่วงนี้ต้องพยายามลดการเทรดลง เพื่อให้มีสมาธิกับการอ่านหนังสือมากขึ้น, ปรับกลยุทธ์การเทรด forex ให้สั้นลงเหลือ ถือ order ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ไม่อย่างนั้นกราฟกลับตัวผันผวนหนักอาจขาดทุนแทน
  • อยู่หอ ทำอาหารกินเอง ประหยัดเงิน ได้ 3 เท่า จาก 180 -> 60 บาท/ วัน แต่เสียเวลาเพิ่ม วันละ 3 ชม.(แทนที่จะได้อ่านหนังสือ) เนื่องจากเป็นช่วงกำลังจะสอบ เวลาก็สำคัญ
  • เนื่องจากตอนนี้หอใหม่ ไม่สะดวกทำอาหาร และต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ จะเสียเวลามาก หากทำอาหารกินเอง จึงลองคำนวณค่าใช้จ่ายประหยัดสุดที่ทำได้ คือ กินข้าว 60x3 = 180, ผลไม้ 40, น้ำ 20 รวม = 240 บาท/วัน => 7200 บาท / เดือน
    • หากทำ IF ด้วยการกินวันเว้นวัน ฯลฯ ก็จะตกเฉลี่ยวันละ 2มื้อ จะอยู่ที่วันละ 120 บาท = > รวมค่าอื่นๆ = 5400 บาท/เดือน
    • แต่หากทำอาหารกินเอง เป็นเมนูพวก ธัญพืชหลายชนิดต้มรวมกัน+ใส่ไข่ 3ฟอง เพื่อเพิ่มโปรตีน(กรดอะมิโนจำเป็น) การเตรียมอาหารใช้เวลาน้อย (เพียงแค่ล้าง และตั้งหม้อต้ม) และ ประหยัดเงินได้มาก แล้วยังได้ประโยชน์ครบถ้วน =>> ทางเลือกนี้น่าจะดีที่สุดนะ!!!
  • keep calm and stay humble จงเป็นคนธรรมดา ที่ทำอะไรซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง

3 ม.ค. 67

  • วิธีการทำให้ตัวเองอ่านหนังสือได้ตลอดเวลา อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและไม่เบื่อ คือการทำให้ตัวเองเกิด ความหลงไหลในความรู้
  • ถ้าอยากจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ได้ต่อเนื่องนานๆ จงเป็น คนธรรมดา ที่มีความปรารถนาเรียบง่าย จงอย่าปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือ ผลประโยชน์ใดๆจากการกระทำต่างๆของตน เพราะ การปรารถนาที่ประกอบด้วยความโลภ จะชักนำให้เราออกจากเส้นทางของความต่อเนื่อง และแสวงหาทางลัด อันไม่เป็นประโยชน์ที่ยั่งยืน การกระทำใดๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง เรียบง่าย สุดท้ายมักให้ผลลัพธ์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ มั่นคง อย่างน้อยๆก็ต่อตนเองเป็นอันดับแรก
  • ความลำบากในชีวิต ทำให้เราได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เห็นมุมมองชีวิตที่หลากหลายมากขึ้น อยากจะช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น อย่าลืมเวลาที่เราลำบาก ว่าเราเคยลำบากมาแบบไหน ถ้าเรามีโอกาสช่วยผู้อื่นที่กำลังลำบากอยู่ ก็อย่าลืมที่จะช่วยเหลือ
  • ความลำบากในชีวิต ไม่ใช่บททดสอบ แต่เป็นการขัดเกลา เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเอง จนไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ หากเราตั้งเป้าหมายไว้ไกล แต่เราขัดเกลาหรือพัฒนาตนเองไม่มากพอ มันก็ไม่สมควรกับเป้าหมายของเรา ก็คงไม่แปลกที่เราจะไปไม่ถึงเป้าหมาย
  • อยากจะสร้าง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ที่ช่วยให้คนเข้าถึงความรู้ได้มากขึ้น ไม่ทำให้คนหลงและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์กับโลกsocial media, เกมส์ หรือ ทำอะไรเรื่อยเปื่อยเสียเวลา ขาดสติ ไปกับโลกอินเทอร์เน็ต
  • ช่วงนี้ลืมเจริญสติด้วยการรู้สึกลมหายใจไปเลย ต้องฝึกต่อด้วยแล้ว
  • อ่านหนังสือเตรียมสอบ!!! อย่าไปสนใจอย่างอื่นในช่วงนี้ พยายามประหยัดเวลาเพื่อเอามาอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุด

2 ม.ค. 67

  • เหมือน การอดวันเว้นวัน อาจจะทำให้ได้พลังงานไม่พอ ต่อให้พยายามกินเท่าไหร่ น้ำหนักก็ลดลง อาจเป็นเพราะช่วงนี้เพิ่งย้ายหอด้วย ทำให้ต้องใช้แรงทางกายเยอะหน่อย แต่ถ้าเป็นแบบนี้ อาจจะลดการอดข้ามวันลงเหลือแค่ 3 วัน ต่อสัปดาห์ เช่น อดวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ เป็นต้น วันที่เหลือก็กิน 3 มื้อปกติ
  • เจอบทความว่า มีการตัดต่อพันธุกรรมของพืช โดยเฉพาะถั่วลิสงให้สามารถยังยั้ง Aflatoxin ด้วยตัวเองได้ https://www.icrisat.org/groundnut-immunity-to-aflatoxin/ 
    • ธัญพืชที่พบ aflatoxin มาก จะเป็นธัญพืชที่เกิดตามพื้นดิน (ground-nut) โดยเฉพาะ ถั่วลิสง

1 ม.ค.67

  • วันไหนๆ โดยส่วนตัวเราคิดว่าก็เหมือนกัน เพียงแต่ปีใหม่ หลายๆคนนิยมใช้เป็นวันสรุปผลของตัวเองในปีที่แล้ว แต่เราขี้เกียจ เดี๋ยวค่อยสรุปเป็นพักๆแล้วกัน
  • ออกมาอยู่หอพักแล้ว แม้ว่าจะลำบากขึ้นหลายๆอย่าง แต่เราคิดว่าแบบนี้แหละดีแล้ว ไม่ควรต้องไปเป็นภาระคนอื่น โตแล้วต้องรู้จักรับผิดชอบชีวิตตนเอง ถ้าประสบความสำเร็จจึงค่อยกลับไปได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ถ้ากลับไปตอนนี้ก็มีแต่คนไม่เข้าใจเรา และจะทำให้เกิดความเครียด รบกวนการทำงานและรบกวนการดำเนินชีวิตตามเป้าหมายที่วางไว้อีก
    • อยู่แบบนี้ใจสงบกว่าโดนเหน็บแนมทุกวัน จนแทบจะเป็นโรคประสาท คงเป็นเพราะ IF มาตลอด เลยยังคงทำให้สุขภาพจิตยังดีอยู่ได้
  • การทำ Alternate day fasting ช่วยพัฒนาเราไปได้เยอะมากเลยนะ ความคิด การวางแผนล่วงหน้า ก็เริ่มดีขึ้นละ
Notes

** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags" ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.