Skip to main content

บันทึกส่วนตัว พ.ย. 66

Submitted by krishrong on

วันที่ 27 พ.ย.

  • หลังจากที่แก้ไขแว่นเดิม ให้มีค่าสายตาเหมาะสม ก็สามารถอ่านหนังสือได้ง่ายๆเลย แม้จะป่วยและร่างกายรู้สึกไม่ดี ก็ยังมีสมาธิในการอ่านได้อย่างง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
    • พยายามทดสอบหลายๆอย่าง แต่ก็ยังอ่านได้อยู่ดี อย่างนี้ก็ถึงเวลาอ่านอย่างเต็มที่แล้วล่ะ!!!
  • อ่านให้เข้าใจ กับอ่านเร็ว ไม่สามารถไปด้วยกันได้เสมอ ถ้าอ่านเร็ว จะต้องตัดรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่จำเป็นออก แต่ถ้าอ่านให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ก็ต้องอ่านทุกรายละเอียด 

วันที่ 26 พ.ย.

  • ยังไม่รู้สึกอยากอ่านหนังสือ เพิ่มความรู้ตลอดเวลา แต่เป็นการอ่านเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นมากกว่า เช่น การสอบ เป็นต้น ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเรียนรู้
    • ยังไม่ผนวกการเรียนรู้เข้าไปในชีวิตประจำวันจริงๆ เหมือน ช่วงเวลาอ่านหนังสือ ยังถือว่าเป็นอีกช่วงเวลาในชีวิต ที่แยกออกมา ที่เหมาะสมและควรจะเป็นคือ อ่านได้ทุกเวลา ทุกความต้องการ ทุกจังหวะชีวิต ไม่ต้องคอยมา set up สิ่งแวดล้อมก่อนอ่าน
    • ลองรวมโต๊ะคอม กับ โต๊ะอ่านหนังสือ เป็นที่เดียวกัน เพื่อให้สะดวกต่อการทำทุกอย่างในที่เดียว
  • ฟังภาษาอังกฤษจากลำโพงมือถือ ง่ายที่สุดแฮะ เคยพยายามหาลำโพงดีๆ แต่ด้วยความที่มีขั้นตอนยุ่งยาก เลยไม่ค่อยได้ฟัง แต่พอเปิดจากมือถือโดยตรงจะสะดวกและง่ายกว่ามาก และได้ฟังจริงๆมากกว่าจากลำโพงที่ซื้อมาเป็นพิเศษเสียอีก
    • อะไรที่เรียบง่าย ทำได้ง่าย ไม่ได้มีขั้นตอนซับซ้อน จะทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่า
    • กินข้าวไปด้วย ฟัง BBC sound ไปด้วย
  • เรื่องการอ่านหนังสือ การอ่านต้องเน้นความเข้าใจ ส่วนเรื่องความเร็ว ให้มันค่อยๆพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติดีกว่า ไม่จำเป็นต้องอ่านเร็วมาก(ถ้าอ่านเร็วแล้วทำให้ตกหล่นรายละเอียด ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็จำไม่ได้นานอยู่ดี)
    • แต่ประเด็นสำคัญ คือ ทำอย่างไรให้สามารถ มีสมาธิอ่านได้นานๆ
  • หลังจากที่ตัดแว่นใหม่มา โดยลดค่าสายตาลงเล็กน้อย(ก่อนหน้านี้มัน over correction) ก็อ่านหนังสือได้ดีขึ้น แบบไม่ล้าเร็วแล้ว

วันที่ 25 พ.ย.

  • รู้สึกว่าเวลาในแต่ละวัน ผ่านไปเร็วเหมือนกันแฮะ ต้องพัฒนาสติให้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • รู้สึกว่าการนอนน้อย ทำให้สติเกิดได้ง่ายขึ้น รู้สึกเบาสบาย คิดอะไรได้คล่องตัวขึ้นนะ
  • ช่วงนี้ อ่านหนังสือขณะนั่งรถไม่ได้แล้ว หลับตลอด หรือไม่ก็เกิดความรู้สึกเมารถถ้าจะอ่านหนังสือ เหมือนเกิดจาก พอนอนน้อยแล้วก็ งดออกกำลังกายหนักๆ(วิ่ง) ความแข็งแรงโดยรวมของร่างกาย และความกระฉับกระเฉงก็เริ่มลดลง
    • อาจต้องออกกำลังกายเบาๆ เช่น พวกวิดพื้น, sit up เพิ่มเติม เพื่อให้หัวใจแข็งแรงขึ้นบ้าง
  • เหมือนอ่านหนังสือเหมือนอ่านไปเรื่อยๆ ไม่ได้จดจำอะไร อาจต้องใช้วิธี Active recall ด้วยการนึกสิ่งที่อ่านไป ในแต่ละหัวข้อ
  • มีคนรีวิว การนอน 4 ชม ต่อวัน https://www.youtube.com/watch?v=lbFzL-0pEeU
    • จะใช้เวลาปรับตัว 2 สัปดาห์
      • 2-5 วัน แรก จะเหนื่อย เบลอ คิดอะไรไม่ค่อยออก และง่วงมาก รวมถึงอาจมีปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันเลือดสูงขึ้น ฯลฯ
      • วันหลังๆจากนั้น จะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ
      • ช่วงปรับตัว อาจงดออกกำลังกายหนักๆไปก่อน ถ้าพ้นช่วงปรับตัวได้แล้ว อาจกลับมาวิ่งได้

วันที่ 24 พ.ย.

  • รู้สึกว่า ท่านั่งขัดสมาธิ ทำให้นั่งได้นานกว่า นั่งพิง เก้าอี้ ergonomic สุดท้ายก็ถอดพนักพิงออก และนั่งขัดสมาธิหลังตรงบนเก้าอี้แทน ก็รู้สึกสบายมากขึ้น
  • รู้สึกว่า ช่วงเวลาที่แบ่งไว้ศึกษาหาความรู้รอบตัวเพิ่มเติม ให้ศึกษาจากการอ่าน paper, research น่าจะดีกว่าไปฟังคนอื่นสรุปให้ทาง youtube เพราะ การศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง มันเป็นการฝึกทักษะหลายอย่างในนั้น ทั้งการตั้งคำถาม การหาข้อมูล การคิดวิเคราะห์ เป็นต้น ทักษะเหล่านี้มันจะเป็นประโยชน์กับชีวิตเราอย่างมากในอนาคต
  • ช่วงที่นั่งสมาธิ จะ Deep dive into the content ได้เร็วขึ้น เป็นความรู้สึกเหมือนดำดิ่งเข้าสู่เนื้อหาได้เร็วขึ้น และเข้มแข็ง ชัดเจน
  • พอไม่มีแว่น จะใช้ชีวิตได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ(สั้นไม่มากนะ แต่ลองไม่ใส่แว่น มันก็ไม่เห็นอยู่ดี)

วันที่ 23 พ.ย.

  • มีไอเดีย ต้องรีบบันทึกไว้ไม่งั้นลืมแน่นอน ล่าสุดก็ลืมไปแล้วว่าเมื่อเช้าคิดอะไรได้
  • เริ่มอ่าน programming บ้างละ เริ่มต้นกับ Algorithm สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเก่าๆ ที่คุ้นเคย
  • หลายๆเรื่องเรายังรู้น้อยมาก รู้ถูกบ้างแต่ไม่ทั้งหมด ซึ่งก็มีรู้ผิดบ้างเช่นกัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่พยายามจะหาความรู้เพิ่มเติมเลย
  • อยู่ๆก็เกิดไอเดียขึ้นมาว่า มหาลัยเก่า สามารถให้ศิษย์เก่า สมัครเป็นสมาชิกหอสมุดได้ เพียง 500 บาทต่อปี ซึ่งจะทำให้เราสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ขนาดใหญ่และคุณภาพดีจำนวนมากได้ (มี Textbooks ต่างประเทศ ดีๆมากมาย)

วันที่ 22 พ.ย.

  • ถ้าจะเริ่มทำโปรเจค Programming ต้องเริ่มตอนนี้แล้ว เพราะ มันคือชีวิตของเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทำไมต้องไปรอเรียนจบก่อน เสียดายเวลาแย่(แต่ก็ยังจะเรียนอยู่นะ เพราะ เรียนรู้เองอาจได้ความรู้ไม่ครบ)
    • ตอนนี้ก็เริ่มศึกษาทุกอย่างได้เลย และหากมีไอเดียอะไรก็ลองทำอย่างเต็มที่ ถ้ารอเรียนจบก็คงไม่มีไอเดียแล้วแหละ
  • ต้องหาวิธีนอน 4 ชม ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องสละอะไรก็ตาม
    • กินวันละมื้อ IF 23/1 พลังงานประมาณ 1,200-1,600kcal เน้นธัญพืช-คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีนจากไข่ ผลไม้หลากสี พยายามงดแป้งแปรรูปทุกชนิด
    • วิ่งออกกำลังกาย แบบ High intensity(HIIT- วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้) วันเว้นวัน ครั้งละ 1 กม.
    • วันที่ไม่วิ่ง ก็จะเดินไปมา ทุกชั่วโมงแทน ครั้งละ 5 นาที
  • สมดุลของเวลา 3 ส่วนคร่าวๆ ปรับเปลี่ยนบางอย่างให้มาก-น้อยได้ตามความเหมาะสมในบางช่วงเวลา(แต่ก็ไม่แนะนำให้ปรับเปลี่ยนสมดุล) และต้องมีครบ 3 อย่างในทุกวัน
    • 6ชม. ศึกษา Programming
    • 6ชม อ่านหนังสือเตรียมสอบ
    • 6ชม ศึกษาและหาความรู้รอบตัวเพิ่มเติม เขียนบล๊อก วิเคราะห์ตนเอง
  • เรื่องการย้ายกลับบ้าน
    • จริงๆ ไม่อยากรับรู้เรื่องราวของที่บ้านเท่าไหร่ เพราะ มักจะมีปัญหาไร้สาระของคนที่ไม่เข้าใจชีวิต ไม่เคยเห็นโลกในภาพกว้าง รู้จักแต่สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ซึ่งเราไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองของเขาได้ เพราะ เราไม่มีความสำเร็จอะไรให้เขาเห็น เราจึงไม่ควรกลับบ้านในตอนนี้ ควรไปแสวงหาความสำเร็จด้วยความพยายามของเราก่อน ส่วนที่บ้าน ในระหว่างนี้หากมีปัญหาเราขอไม่มีส่วนรับรู้ เพราะ มันมักเป็นปัญหาจุกจิกไร้สาระ ที่ทำให้เราเสียเวลาชีวิต และ เปลืองแรงสติปัญญาโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งๆที่ถ้าเขาจะแก้ ก็ง่ายๆ ด้วยตัวเขาเอง คือ ออกจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีนั้นเสีย
      • แต่จริงๆ ถ้าเรากลับบ้าน เราอาจช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้บ้าง จากความรู้ที่เรามี แต่ก็ไม่ได้มีกำลังพอที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาให้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดได้หรอก นอกเสียจาก เราต้องพัฒนาชีวิตตนเองจนสำเร็จก่อน แล้วจึงกลับมาช่วยเหลือเขา
      • แต่เนื่องจากเขาไม่ได้ต้องการรับความช่วยเหลือเรา อีกทั้งยังต้องการควบคุมชีวิตเราแทน ด้วยเหตุผลเท่าที่วิสัยทัศน์ของเขามี มันกลับเป็นการทำลายเรา เพราะ มุมมองชีวิตของเขากว้างขวางไม่เท่าเรา เราจึงควรหลีกเลี่ยงก่อนดีกว่า
    • เราควรแสวงหาที่อยู่ของเราเองก่อน(เช่าหอ) เพื่อพัฒนาตัวเราอย่างเต็มที่ หากเขาอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือ มีปัญหาชีวิตเมื่อไร ต้องยอมเข้ามาในสิ่งแวดล้อมของเราก่อน เราจึงจะช่วยเหลือ
Notes

** บทความนี้อยู่ใน หมวดหมู่ บันทึกประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นเนื้อหาที่ ยังอยู่ในระหว่างการทดลองส่วนตัว ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ จึงขอแนะนำให้ผู้อ่านติดตาม จากเนื้อหาที่มีความเป็นปัจจุบันที่สุด โดยการคลิกที่ ลิงค์ "Tags" ที่เกี่ยวข้องด้านล่าง เพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ที่มีการอัพเดตล่าสุด ได้เลยครับ

Add new comment

The content of this field is kept private and will not be shown publicly.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Lines and paragraphs break automatically.
  • Web page addresses and email addresses turn into links automatically.