เป็นบทความบันทึกรายวัน ที่ผู้เขียนทดไว้เฉยๆ ไม่จำเป็นต้องอ่าน เพราะ มักเป็นเรื่องซ้ำๆ ในแต่ละวัน ส่วนเรื่องสำคัญจะบันทึกเป็นบทความแยกอยู่แล้ว
8 พ.ค.
- วันนี้วันอดข้ามวัน IF12/12
- สรุปว่า วันนี้ไม่ได้อดข้ามวัน เพราะ แรงไม่พอ นั่งอ่านหนังสือ อยู่ๆก็จะหลับ แต่พอกินข้าว ก็กลับมาอ่านหนังสือได้
- มาอ่านหนังสือที่มหาลัย เริ่มอ่าน 9:30น
- เมื่อวานอ่านถึงหน้า 14 อ่านได้ 5 หน้า ในเวลา6ชม อ่านได้น้อยมากเลยนะ อาจจะเป็นเพราะ กินข้าวด้วยก็เสียไป 1ชม
- หลังจากที่เปลี่ยนมากินอาหารปกติ ไม่ได้กินธัญพืชเป็นหลัก ก็พบว่าไม่ได้มีแรงเท่าเดิม ไม่สามารถอดได้นานเท่าเดิม น่าจะเป็นเพราะ สารอาหาร มันไม่ dense เท่าธัญพืช
- หลายวันมาแล้วที่ไม่สามารถทำ alternate day fasting
- เริ่มเป็นปัญหาแล้ว เพราะ ความคิดไม่แล่นเหมือนเดิม
- ตั้งแต่ถูกแทรกแซง จนต้องเปลี่ยนอาหารกลับมากินเหมือนปกติ(งดธัญพืช) รูปแบบการอ่านหนังสือ/ทำงานก็ไม่เหมือนเดิม ความทนทานในการอ่านลดลง อ่อนแอปวกเปียก ไม่มีสมาธิมากขึ้นๆ
- ในเวลา 1 ปี ถ้ามีทุนพอ ก็สามารถทำลายชีวิตคนได้
- แกล้งทำเป็นหยิบยื่นเงินทุนให้ แต่มีการเพิ่มเงื่อนไข/ข้อจำกัดบางอย่างในชีวิต ทำให้คนๆนั้นไม่สามารถพัฒนาตนเองได้
- แทนที่จะได้มีอิสระในการพัฒนาตนเอง แต่ด้วยเงื่อนไขที่ถูกจำกัด กลับทำให้ไม่สามารถพัฒนาได้ และสุดท้ายอนาคตของคนๆนั้น ก็ถูกทำลาย
- แกล้งทำเป็นหยิบยื่นเงินทุนให้ แต่มีการเพิ่มเงื่อนไข/ข้อจำกัดบางอย่างในชีวิต ทำให้คนๆนั้นไม่สามารถพัฒนาตนเองได้
- พออาหารไม่สมบูรณ์ -> Fastingก็เป็นเรื่องยาก/ทำไม่ได้
- พอไม่ได้ Fasting -> ก็สมาธิไม่ดี
- พอสมาธิไม่ดี -> ก็อ่านหนังสือไม่ได้, พัฒนาตนเองไม่ได้
- พออ่านหนังสือไม่ได้ -> ก็ไม่มีอนาคต สิ่งที่คาดหวังไว้ ก็ไม่สำเร็จ ชีวิตก็ล้มเหลว
- วันนี้นั่งเอ๋อทั้งวัน ได้แต่จ้องหน้าจอ ตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้าไม่มีสักตัวที่เข้าหัว, ทักษะการพูดเริ่มแย่ลง, ความคิดไม่ไวหรือคล่องตัวเหมือนเดิม
- ไม่ได้ทำ Alternate day fasting ติดต่อกัน 4 วันแล้ว
- น่าจะต้องกลับไปกิน ธัญพืชแบบเดิมแล้ว
- เมื่อเช้าถูกแม่ยั่วโมโห พอสาแก่ใจเขา ก็จะบอกว่าจบละ ไปได้
- วิธีการของเขา คือ พยายามทำอย่างไรก็ได้ให้เรา เสียกำลังใจ ไขว้เขว สับสน
- แม้ว่าเราจะมีเหตุผลที่ดีเพียงไร และเขามีเหตุผลที่ไม่เข้าท่าแค่ไหน ขอแค่ทำให้เราเจ๊งได้เมื่อไหร่ คือความสำเร็จของแม่เรา
- ช่างเป็นแม่ ที่ปราถนาดีต่อลูกจริงๆ
- หากเราเป็นบุคคลที่มีศักยภาพ และทำประโยชน์ได้มาก แต่เขาพยายามกำจัดเรา มันก็เป็นเหมือนกำลังปิดกั้นประโยชน์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันจะบาปสักแค่ไหนกันนะ กับการทำความชั่วครั้งนี้
- ความรู้สึกของเราตอนนี้ คือ ถ้าเจอแบบนี้ทุกวันซ้ำๆ สุดท้ายก็แหลกสลาย
- สิ่งที่แม่เราทำตอนนี้ เหมือนเป็นยุทธศาสตร์กองโจร ทลายทัพหลวง
- คือ แม้เรารู้ว่าไม่สามารถสู้เราตรงๆได้ เพราะ เรามีเหตุผลที่ดีพร้อม เข้มแข็ง สมบูรณ์แบบ ทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ความฝัน แรงบันดาลใจ
- แม่เราเลยใช้วิธีการ พูดสิ่งไม่จริง วันละนิดวันละหน่อย ยั่วโมโหเรา แล้วหนี
- ทำเรื่อยๆทุกวัน จนกว่าเราจะระเบิด สติแตกไปเอง
- ทำไม่แม่ ไม่อยากเห็นเราได้ดี มีความสุข กลับต้องการให้เราชีวิตบัดซบ มีแต่ความสิ้นหวัง ??
- อย่าพยายามเอาคืน แต่ให้พยายามป้องกันตัวเองให้ได้มากที่สุด และทำสิ่งที่เราคิดว่าสมควรทำต่อไป เวลาจะเป็นตัวตัดสิน และทำให้เห็นความต่างชัดเจนขึ้นเอง(ไม่นานหรอก) ระหว่างคนมี่ใช้ชีวิตด้วยสติปัญญาอยู่กับความรู้ กับคนที่ใช้ชีวิตแบบงมงายจมอยู่กับความไม่รู้
- สิ่งที่แม่เราทำตอนนี้ เหมือนเป็นยุทธศาสตร์กองโจร ทลายทัพหลวง
- วิธีการแก้แค้นที่ดีที่สุด
- ถ้าเขายั่วยุให้เราโกรธ เราต้องไม่โกรธ ถ้าโกรธเราก็เป็นทุกข์ เป็นการทำร้ายตัวเองเปล่าๆ ซึ่งเป็นไปตามแผนของเขา
- แต่คนที่ทำร้ายเราต้องเจ็บปวด แบบที่เราเผชิญ - ซึ่งจริงๆ เขาต้องเผชิญกรรมที่เขาทำอยู่แล้ว เราไม่ต้องทำอะไรให้เป็นเวรเป็นกรรมของเราเองหรอก
- เรื่อง programming เราจะทำอย่างไรต่อ? ตอนนี้เหมือนไม่มีกำลังใจอะไรแล้ว
- ความฝันอันยิ่งใหญ่ ที่ไม่ได้รับการสานต่อ แม้เพียงน้อยนิด
- ว่าจะกลับมาอ่านตำราการเงินเดิมคือ financial market and institution เพราะ มีคนแนะนำใน reddit และเนื้อหารู้สึกใหม่กว่าอีกเล่มที่อ่านอยู่
- แผนการอ่านหนังสือ คิดว่าจะให้ความสำคัญกับทุกอย่างเท่าๆกัน ไม่อ่านแต่การเงินแล้ว ดังนี้
- อ่านข่าว reuter
- อ่านตำรา finance
- อ่าน programming
- อ่าน language
- อ่าน mathematics
7 พ.ค.
- วันนี้กินอาหาร เมื่อวาน อด 22 ชม. น้ำหนัก 47 กก.
- เนื่องจากน้ำหนักลดไปเยอะ ก็น่าจะต้องกลับมากินอาหารปกติสักพัก หยุดการอดไปก่อน
- วันนี้อ่านหนังสือที่มหาลัย เริ่มอ่านหนังสือ 14.00น หน้า 11
- อ่านด้วยเทคนิคเดิม คือ มองห่างๆ อย่างน้อย 80 ซม. เพื่อไม่ให้ reflex การมองไกล้ทำงาน และ ขยับมุมไม่ให้หน้าจอมีแสงสะท้อน
- รู้สึกว่าตั้งแต่ที่กลับมาที่บ้าน มีแต่เอาเวลาไปเถียงกับคนอื่น ไม่ได้มีเวลาพัฒนาตนเอง หรือ พัฒนาความคิดอะไรต่อเลย
- อยู่กับคนที่ศรัทธาในโลกกะลาอย่างแรงกล้า เริ่มรู้สึกว่าชีวิตมีแต่ความสิ้นหวัง ไม่มีความเป็นไปได้อะไรสักอย่าง แนวทางที่เขาเสนอให้กับเรา ถ้าเขาลองคิดด้วยเหตุผลง่ายๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์พยายามยัดเยียดให้เราทำแบบที่เขาพูดอยู่ดี
- มองเราเป็นแค่เครื่องมือ เลี้ยงไว้เพื่อ ใช้ทำประโยชน์ให้ชีวิตเขาดีขึ้น หากทำประโยชน์แบบที่เขาต้องการไม่ได้ เราก็ไร้ค่า โดยเขาไม่สนใจว่าเรามีความรู้มากแค่ไหน ทำประโยชน์อย่างอื่นให้กับสังคมได้หรือไม่ หากเขาขาดทุน และไม่ได้ทุนคืน เราก็ไม่มีค่าในการประเมินของเขา ช่างคิดสั้นจริงๆ คิดว่าเรากับเขาผูกกันด้วยพันธะของบุญคุณ เขาจะทำอะไรแย่ๆกับเราก็ได้ อย่างนั้นน่ะหรือ ซึ่งเราคิดว่ามันไม่ใช่หรอก บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป ทำแบบไหนก็ได้แบบนั้น
- ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพาลไร้ปัญญา ใช้ปัญญาไม่ได้แบบนี้ จุดสิ้นสุดจะเป็นอย่างไรกันนะ
- ส่วนเราจะทำเป็นคนหูหนวกไปแล้วกันนะ เขาด่าอะไรเรามาเราก็จะยิ้มให้ เหมือนคนปัญญาอ่อนไปเลย แล้วในทุกวันก็ออกจากบ้าน ไปมหาลัย ไม่อยู่ร่วมกัน
- จริงๆมีแผนชั่วอย่างหนึ่ง เคยอ่านเจอในพระไตรปิฎก คือ เราสามารถไปตีสนิทกับแม่ของศัตรู ได้ เพราะ คนแก่มักหลอกได้ง่ายด้วยคำหวาน ตามโลกไม่ทัน แล้วให้แม่ศัตรู ไปควบคุมศัตรูอีกทีหนึ่ง
- ตอนนี้ เราอาจจะกำลังถูกทำแบบนั้นอยู่
- เรื่องการเทรด ถ้ารอให้อ่านตำราการเงินจบ แล้วค่อยมาฝึกอ่านข่าวต่อ คงไม่ทันกินพอดี น่าจะอ่านข่าวไปด้วยเลย วันละ 1 ข่าว ถ้ามีโอกาสก็ฝึกเทรดด้วย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
6 พ.ค.
- สรุปว่าเมื่อวานย้ายไปห้องส่วนตัวจากคนในบ้าน
- วันนี้จริงๆเป็นวันอด แต่เนื่องจากเมื่อวานใช้แรงย้ายของไปเยอะ เลยกินมื้อเช้า 1 มื้อ
- วันนี้มาอ่านหนังสือที่มหาลัย ใช้วิธีการอ่านแบบเดิมคือ พยายามมองไกลๆ อย่างน้อย80cm จากหน้าจอ เพื่อไม่ให้เกิดการเพ่ง และ ไม่กระตุ้นให้ reflex มองใกล้ทำงาน
- เริ่มอ่านหนังสือตอน 9.00น หน้า 81
- เหมือนหนังสือที่เราอ่านอยู่จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ (financial market and institution - mishkin) อธิบายไม่ละเอียด ไม่อธิบายพื้นฐานให้เข้าใจ ข้ามขั้น ทำให้งง(เริ่มงงตอน interest rate)
- จะเปลี่ยนกลับมาอ่านอีกเล่มคือ Financial System and the Economy: Principles of Money and Banking
- เหมือนตอนนี้สมาธิพื้นฐานของเราดีขึ้นระดับหนึ่ง มากพอที่จะอ่านหนังสือในที่ๆมีคนพลุกพล่าน ไม่ได้เงียบสงัดได้ โดยสิ่งรอบข้างไม่ได้มีผลกับเราเท่าไหร่
- อันนี้ยังไม่รวมสมาธิตอน peak นะ (วันไหนที่ Fasting มายาวๆ สมาธิจะดีมากขึ้นไปอีก)
- ปัญหาตอนนี้ที่เจอคือ มีสมาชิกในบ้านเหมือนคุณป้า ที่การศึกษาไม่สูง แต่คิดว่าตัวเองรอบรู้ทุกอย่าง(แต่ไม่เคยตรวจสอบว่าที่ตัวเองรู้นั้นถูกหรือไม่), ชอบเชื่อสิ่งที่อยู่ใน youtube, คิดว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นผิดทั้งหมด คิดว่าความรู้ที่เราศึกษาเหมือนอากาศ เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ถ้าไม่มีปริญญารับรอง ก็ไร้ประโยชน์ สมัครงานไม่ได้
- ที่แย่คือ ขยันแสดงความคิดของเขา เพื่อโน้มน้าวเราทุกครั้งที่พบหน้ากัน เจอกันทุกวัน วันละหลายเวลา ก็จะมีคำแนะผิดๆมามอบให้เราเสมอ ด้วยความปราถนาดี เหมือนเขาพยายามเอาน้ำหมักป้าเชง บังคับให้เราดื่มวันละ 3 เวลา จนกว่าเราจะเข้ามาอยู่ลัทธิเดียวกับเขา
- น่าแปลกตรงที่ เวลาเราพยายามจะอธิบายเหตุผล ที่ถูกต้องให้เขาฟัง เขากลับทำเมิน เหมือนเหม่อๆ ปิดการรับรู้ไปเฉยๆเลย(ทำได้ไง สอนบ้างสิ!) เขาเหมือนมีความลับในใจ แต่ไม่เคยพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขาให้เราฟัง ไม่รู้เป็นเพราะประมวลออกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรือเปล่านะ?
- การพัฒนาของเรามันชัดเจน เราเปลี่ยนแปลงไปมากจากเมื่อก่อน รู้สึกพูดเร็วขึ้น คิดเร็วขึ้น แก้ปัญหาเก่งขึ้น วางแผนได้ดีขึ้น ทำอะไรเป็นระบบขึ้น รอบคอบขึ้น สมาธิดีขึ้น แต่ทำไมเขาทำเมิน เหมือนไม่เห็นอะไรเลย ถ้าเขาเป็นมิตรที่ดีต่อกันจริง ทำไมไม่ยินดี และ ทำให้ประโยชน์เจริญงอกงามไปด้วยกัน แต่กลับหลับหูหลับตาขัดขวาง การพัฒนาตนเองของเรา แบบไม่สนสี่สนแปด ไม่คิดบ้างหรอว่าทำแบบนี้สุดท้ายตัวเขาก็ฉิบหายด้วย? เพราะ เขาก็ต้องพึ่งพาเราหลายๆอย่าง
- เราจะทำอย่างไรดี? อยู่แบบนี้เขาไม่มีวันซึมซับประโยชน์ใดๆจากเราหรอก แต่เราจะป้องกันไม่ให้เขาทำร้ายเรา ด้วยการเผยแพร่ความคิดผิดๆได้อย่างไร?
- วันนี้สรุปว่า สมาธิก็ไม่ได้ดีมาก เพราะ กินมื้อเช้าไป ทำให้วันนี้ทั้งวัน อาจจะไม่เกิด ketosis แล้วก็วันนี้ทั้งวัน เหมือนมึนๆ มีอาการตั้งแต่เมารถตอนเช้า
- เมื่อเช้ากินเนื้อสัตว์ เหมือนอาหารตาแห้งจะกลับมาอีกแล้วนะ เหมือนหยีตาแล้วอ่านได้ดีขึ้น
- สัดส่วนปัจจัยที่ส่งต่อประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือ
สมาธิ จาก Ketosis 70%สายตา 30% แบ่งได้เป็นมองไกลๆ ไม่ให้เกิดการเพ่ง(20%)ตาแห้ง (10%)
- กลับมาอ่านหนังสือได้ตอน 14:30-20.00น(5:30ชม อ่านได้ 8 หน้า) จากการที่
- ปรับมุมนั่ง ไม่ให้เกิดแสงสะท้อนที่หน้าจอ
- นั่งมองหน้าจอห่างๆ 80 ซม. เพื่อให้เกิดการเพ่งน้อยที่สุด
- อ่านหนังสือถึงหน้า 11
5 พ.ค.
- วันนี้ตื่น 6 โมง เมื่อวานวันอดข้ามวัน วันนี้กินอาหาร(IF36/12)
- วันนี้อยู่บ้านไม่ได้ไปมหาลัย
- เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 80(4 หน้า)
- วันนี้เจอปัญหาเข้าแล้ว เจอคนพาลที่เป็นสมาชิกครอบครัวคนหนึ่ง พยายามล้อเลียนเรา ขณะที่เรากำลังอ่านหนังสือ ทำให้เราจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่สามารถอ่านหนังสือได้อย่างมีสมาธิ
- เป็นวิธีการล้อเลียนแบบเดียวกับที่เราเคยเจอมาตั้งแต่สมัยอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัย
- เขาจะใช้วิธีการ ทั้งไม้อ่อน คือ เข้ามาตีสนิท(แต่คิดไม่ซื่อ) สลับกับไม้แข็ง คือ เข้ามาหาเรื่องตรงๆ ทำลายทรัพย์สิน และทำร้ายร่างกาย ใช้สลับกันไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการทุบแล้วนวดๆๆ จนเราไม่ไหวและยอมแพ้ไปเอง
- อยู่ด้วยแล้วจิตใจไม่สงบ ตั้งแต่ที่เขารังแกเราสมัยก่อน ชีวิตเขาเองก็ไม่ได้มีอะไรดี
- เขาเป็นคนที่ เราไม่อยากอยู่ด้วยมานานมากแล้ว อยากหลีกเลี่ยงไปห่างๆเท่าที่จะห่างได้
4 พ.ค.
- วันนี้ตื่น6 โมง เมื่อวานกินอาหาร 3000kcal ในช่วง 16 ชม วันนี้อด 32 ชม
- ตื่นมาหน้าโทรมมาก น่าจะเกิดจากการกินในช่วง 16 ชม ที่มากเกินไป
- เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 77(8 หน้า)
- วันนี้อ่านหนังสือไม่ค่อยได้เลย ได้แต่จ้องหน้าจอ เป็นอะไรไม่รู้
- เมื่อวาน เปลี่ยนมากินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไม่แน่ใจว่าส่งผลให้ภูมิแพ้กำเริบ(ตาแห้ง ปากแห้ง - sjrogen syndrome)หรือเปล่า
- หรือเป็นเพราะ ช่วงเวลาการกิน(เมื่อวาน)ยาวนานเกินไป ส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรม และวันนี้สมาธิไม่ดี
- น่าจะเป็นปัญหาเรื่องสมาธิมากกว่า เพราะ ในวันที่สมาธิดี แม้ตาจะแห้ง ก็ยังหรี่ตาอ่านหนังสือต่อได้ แต่วันนี้อ่านไม่ได้เลย
- วันนี้รู้สึกว่ามีอาการสมาธิสั้นกลับมาด้วย ทำอะไรจับจด คิดอะไรไม่ต่อเนื่อง
- เมื่อวานกินมื้อสุดท้ายตอน 20.00น จะมีสมาธิและเข้าภาวะ ketosis จริงๆ ก็หลังจาก Fasting ผ่านไป 18 ชม ก็คือ 14.00 น ของวันนี้
- น่าจะเป็น Gut leakage จริงๆแหละ เพราะ เมื่อวานมีไข้ วันนี้เจ็บคอ(strep throat?)ด้วย น่าจะมีเชื้อแบคทีเรียจากลำไส้ หลุดเข้ามาในร่างกายผ่านผนังลำไส้ที่รั่ว จากสาร lectin จากการต้มธัญพืชไม่นานพอ
- เรื่องเกินความคาดหมาย เกิดขึ้นกับเราได้เสมอ วันนี้ไปหอสมุดมหาลัย เพียงแค่ขยับเก้าอี้ นิ้วก็โดนเหล็กบาด ลึก ทะลุเล็บ จนต้องไปทำแผลที่รพ.จุฬา และดึงเล็บส่วนที่โดนตัดออก เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรามีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ(มรณานุสติ) แม้เราจะระวังตัวแค่ไหน หรือคิดวางแผนล่วงหน้าดีแค่ไหน แต่เรื่องเกินความคาดหมาย เกิดกับเราได้เสมอ พยายามทำความดี ละเว้นความชั่วเข้าไว้
- ฟังเพลงขณะอ่านหนังสือ/ทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง https://www.youtube.com/watch?v=lQpawPFyIis
- ไม่รู้ทำไมเราถึงชอบทำหน้าผากย่นตอนที่เพ่งสายตา สิ่งหนึ่งที่เราพบคือ ถ้าอ่านหนังสือหรือดูหน้าจอใกล้ๆจะเป็น วิธีแก้คืออ่านหนังสือหรือดูหน้าจอไกลๆ จะช่วยลดการเพ่งลงได้
- ปัญหาขณะมองใกล้ น่าจะเกี่ยวกับปัญหากล้ามเนื้อตาที่เป็นอยู่นี่แหละ
- เพิ่งรู้ว่ากล้ามเนื้อเปลือกตา ก็เลี้ยงผ่าน CN 3 เหมือนกัน คือถ้าระบบกล้ามเนื้อตาในการมองใกล้ผิดปกติ ก็มีโอกาสผิดปกติไปทุกส่วนที่ได้รับการควบคุมจาก CN 3
- ต้องมองไกล เพื่อไม่ให้ มีการเพ่ง หรือ reflex การมองใกล้ทำงาน(convergence) ซึ่งในคนปกติมองใกล้ได้ไม่เป็นไร(normal convergence) แต่ของเราจะมากกว่าปกติ(too much convergence) นำมาสู่ความรู้สึกของการเพ่งตึง และผิดปกติตั้งแต่ อ่านหนังสือไม่ได้ ไปจนถึงกล้ามเนื้อเปลือกตา, หน้าผากย่น
- โดยส่วนตัวที่ทดลองแล้ว สามารถอ่านหนังสือได้เรื่อยๆโดยที่หน้าผากไม่ย่น คือ ระยะ 75 ซม.
- เรื่องการหยีตาขณะอ่านหนังสือ ไม่น่าจะเป็นทางแก้ที่ถูก
- สิ่งแวดล้อม มีผลกับความคิดและการเรียนรู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขนาดพระ ที่ฝึกนั่งสมาธิ ยังต้องไปอยู่ในที่อันสงัดเลย นับประสาอะไร กับคนธรรมดาอย่างเราที่สิ่งแวดล้อมจะไม่มีผล
- ถ้าอยู่ท่ามกลางคนพูดคุยกัน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องได้ยินเสียง และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดนึกไปตามคำพูดที่ได้ยิน
- ถ้าอยู่ท่ามกลางคนพาล เขลา เบาปัญญา ก็จะได้เห็น ได้ยิน ได้รับรู้แต่เรื่องเบาปัญญา มุมมองของเราก็จะตกต่ำ เบาปัญญาตามไปด้วย
- ถ้าอยู่ท่ามกลางคนเก่ง ก็จะได้เห็น ได้ยิน ได้รับรู้แต่เรื่องชวนให้เกิดปัญญา ได้เห็นการหาความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ การถกเถียง(อย่างสร้างสรรค์) มุมมองของเราก็จะเป็นไปในทางที่อยากจะพัฒนาตนเอง
- คงต้องเป็นพระอรหันต์ จิตไม่ข้องเกี่ยวกับอะไรแล้ว สิ่งแวดล้อมจึงจะไม่มีผล
- ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่คนพาล เบาปัญญา คือ อ่านหนังสือเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลา การอ่านหนังสือจะเป็นเหมือนการหลบเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง ที่จะได้เจอกับแนวคิดดีๆ ความรู้ดีๆ ซึ่งเปรียบได้กับสิ่งแวดล้อมที่ดีเต็มไปด้วยแนวคิดของคนเก่งๆ
3 พ.ค.
- เมื่อวานวันอด 44ชม เมื่อคืน นอนหลับไม่สนิท หลับยาก เหมือนมีไข้ เจ็บตามตัว น่าจะเป็นผลจากการ Fasting โดยที่กินอาหาร calories ไม่พอ ทำให้เกิดการสลายกล้ามเนื้อแทน
- วันนี้วันกินอาหาร จะเพิ่มเวลาเป็น 12 ชม แล้วอด 36 ชม(IF 36/12) และกินให้ได้พลังงานประมาณ 3360 kcal เพื่อให้เพียงพอสำหรับ 2 วัน
- แต่จริงๆอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับกินอาหารไม่พอ อาจเกิดจาก gut leakage จากการที่ต้มธัญพืชไม่นานพอ(มีอาการท้องอืด มีลมในท้องเยอะมาก ปวดท้อง เจ็บกล้ามเนื้อตามตัว)
- อีกเหตุผลหนึ่งคือ การ Fasting ไม่น่าจะทำให้เกิดการอักเสบและเจ็บกล้ามเนื้อแต่อย่างใด
- เมื่อวานอ่านหนังสือถึงหน้า 71(8หน้า)
- คิดว่าจะอ่านโดยไม่เปลี่ยนวิชาไปมา? เพื่อให้จริงจังกับอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าอ่านหลายอย่าง(แม้เคยลองแล้วก็โอเค) อาจจะไม่สำเร็จสักอย่าง เบื่อ และเลิกไปก่อน
- วันนี้กินเนื้อสัตว์เหมือนตาจะแห้งๆ เลยแฮะ ต้องดูว่ามีผื่นขึ้นหน้าไหมด้วย
- วันนี้ต้องหยีตาอ่านหนังสืออีกแล้ว
2 พ.ค.
- วันนี้วันอดข้ามวัน 44 ชม.
- รู้สึกควบคุมตัวเอง มีวินัยดีขึ้น หน่อยนะ สามารถควบคุมตัวเองให้อ่านหนังสือได้ แม้จะรู้สึกอ่อนเพลียจากการอด(ใช้ผลของ neuroplasticity ใน hack สมองให้เรียนรู้นิสัยใหม่ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ใช้ความคิดได้ดีขึ้น)
- วันนี้ยังคงอ่านหนังสือจากหน้าจออยู่ เพราะ สะดวก โดยลองอ่านหนังสือจากหน้าจอใหญ่
- อ่านจากหน้าจอ สำหรับการอ่านไม่ได้จริงจัง เน้นความเร็ว หยาบๆ ไม่เน้นเก็บรายละเอียด
- เมื่อวานอ่าน Financial market and institution ถึงหน้า 63(2 หน้า)
- วันนี้วันอด(ผ่านมา24 ชมแล้ว) อ่านหนังสือได้ดีขึ้น
- หรือที่เมื่อวานอ่านหนังสือได้ไม่ดี อาจเป็นเพราะ กินมากเกินไปในคราวเดียว ทำให้สมาธิไม่ดี ไม่ได้เกี่ยวกับสายตา หรือ ความแตกต่างระหว่างการอ่านจากหน้าจอ หรือ อ่านจากหนังสือจริง สักเท่าไหร่?
- หลังอด บ่าย 3 เหมือนเริ่มไม่มีแรง เหมือนพลังงานที่คำนวณไว้แค่ 2400 kcal จะไม่พอ
- ถ้าอ่านหนังสือคิดง่ายๆ ชม.ละ 70 kcal x 24 ชม = 1680 kcal ต่อวัน
- รวมสองวัน = 3360 kcal
- น่าจะต้องเพิ่มช่วงเวลากิน จาก IF44/4 เป็น IF12/36 เหมือนเดิม
- https://www.youtube.com/watch?v=zmsjIQFfL2g ฟังคุณ CK ได้ประโยชน์เยอะมาก
- ถ้าเราไม่ละความพยายาม เราก็จะเก่งแบบเขาได้
- เหมือนพิมพ์สัมผัสได้คล่องขึ้นเลยแฮะ พยายามฝึกวางมือที่ตำแหน่งมาตรฐานขณะพิมพ์ไปเรื่อยๆ
- ถ้าเทียบกันระหว่าง ศึกษาด้านคอม กับด้านการเงิน และมีเวลาในชีวิตจำกัด จะเลือกศึกษาอะไรที่จะไม่เสียใจภายหัลง?
- ศึกษาด้านคอม
- แต่สาเหตุที่ศึกษาเรื่องการเงิน เพราะ เรียนแล้วมันยังครึ่งๆกลางๆ ความรู้พื้นฐานยังไม่เพียงพอ ที่จะเอาไปใช้วิเคราะห์เศรษฐกิจ จึงคิดว่าจะเรียนต่ออีก 1 เดือน ให้สำเร็จวิชาเอาไปใช้ได้ จากนั้นก็ศึกษาด้านคอมต่อยาวๆ
- ตำรา finance แม้เรียนแล้วจะรู้สึกหน้าเบื่อ แต่พอลองไปอ่านข่าวเศรษฐกิจ ก็เริ่มสะดุดใจกับอะไรหลายๆอย่างในข่าว ที่แต่ก่อนอ่านแค่ผ่านๆ ไม่เคยสนใจ แสดงว่า แม้จะน่าเบื่อ แต่อ่านแล้วก็ได้ผลนะ
1 พ.ค.
- เมื่อวานอดข้ามวันมา 36 ชม วันนี้กินอาหารปกติ(IF 44/4)
- คำนวณ calories อาหารอยู่ที่ 2400 kcal(ชั่งน้ำหนักแห้งของธัญพืชที่กิน 4kcal/1gram)
- กินตอน 6โมง ถึง 10.00น เริ่มย่อยเสร็จและมีสมาธิอ่านหนังสือ ตอน 16.00น
- เหมือนวิธีการรุก ก็เป็นหนึ่งในวิธีการตั้งรับที่ดีวิธีหนึ่ง
- อยู่กับคนที่ชอบ manipulate คนอื่น เราก็ตั้งรับด้วยการ manipulate เขากลับคืน อาจจะแรงไปหน่อย แต่ก็ได้ผลอยู่นะ
- พอดีกลับมาพักที่บ้าน แล้วอยู่กับคนที่พยายามด่าและเหน็บแนมเราตลอดเวลา เพื่อจะควบคุมบงการ ให้เราทำตามที่เขาบอก เราก็เอาสิ่งไม่ดีที่เขาทำ ตั้งเป็นฉายาที่น่าอับอาย แล้วเรียกแทนชื่อเขาไปเลย ถ้าเขาด่าเราได้ตลอดเวลา เราก็เรียกเขาด้วยฉายาน่าอายได้ตลอดเวลาเช่นกัน
- ต้องขอบคุณ neuroplasticity ที่สูงขึ้นจากการอดข้ามวัน(Alternate day fasting) ทำให้เราคิดไอเดียป้องกันตัวแบบนี้ได้(แต่ก่อนได้แต่ถูกคนอื่นควบคุม บงการชีวิต โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย)
- หลังจากที่อดข้ามวันมาเรื่อยๆ สมาธิก็ดีขึ้น ทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น ไม่จับจดซ้ำไปซ้ำ ไอเดียดีๆออกมากขึ้น
- อยู่กับคนที่ชอบ manipulate คนอื่น เราก็ตั้งรับด้วยการ manipulate เขากลับคืน อาจจะแรงไปหน่อย แต่ก็ได้ผลอยู่นะ
- ทุกวันนี้ เราอ่านหนังสือ พยายามหาความรู้=เพื่อตัวเอง, รักษาวินัยในชีวิต=เพื่อตัวเอง, อดอาหารข้ามวัน=เพื่อตัวเอง, ออกกำลังกาย=เพื่อตัวเอง, พักผ่อน=เพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำให้ใครชม หรือ ภาคภูมิใจ หรือทำเพราะกลัวการด่าว่าจากใครบางคน และไม่ใช่ทำเพื่อให้ใครเอาตัวเรา ไปเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการโม้ให้คนอื่นฟัง เราทำทุกอย่างเพราะเรารักตัวเอง เราเคยเลือกเส้นทางชีวิตผิด เพราะ เชื่อฟังคำของคนอื่น เราจะไม่ทำผิดต่อตัวเองแบบนั้นอีก
- การรู้จักพักผ่อน คลายความเครียด ก็เป็นส่วนหนึ่งของ productivity ทั้งนี้ต้องทำให้สมดุล ถ้าพักผ่อนมากไปก็เหลวไหลแล้วสินะ
- ข้อดีของการลงทุนในความรู้อย่างหนึ่ง คือ มันไม่มีวันสูญเปล่า ถึงแม้เราจะไม่ได้ใช้ความรู้นั้นโดยตรงก็ตาม อย่างไรมันก็เป็นประโยชน์กับชีวิตไม่ทางตรงก็ทางอ้อม(เป็นการลงทุนที่ไม่มีวันขาดทุน ใช้เงินน้อย และ คุ้มค่าที่สุด)
- สรุปวันนี้มาอ่านหนังสือที่มหาลัย เพราะ ประหยัด มีแอร์ มีน้ำดื่มฟรี อากาศดี สมาธิดีกว่า ซึ่งถ้าอยู่บ้านแม้จะเปิดพัดลม ค่าไฟก็ยังแพงกว่า
- เมื่อวานอ่านหนังสือ Financial market and institution ถึงหน้า61 (4 หน้า)
- เราจะแบ่งตารางการเรียนรู้ของเราเป็นอย่างไรดีนะ
- เอาวิชาที่ชอบและเราทำได้ดีไว้ตอนเช้า เพราะ เราสามารถเข้าใจง่าย สนุกแต่ไม่ติดพัน เช่น programming เป็นต้น
- เอาวิชาที่เราไม่ได้ชอบเท่าไหร่ ไว้ตอนบ่าย เพราะ อ่านแล้วมักจะไม่เข้าใจ ติดพัน และ อาจยืดยาวเกินเวลา เช่น Financial เป็นต้น
- วิชาแทรก ตอนเย็น เป็นความรู้เสริมที่ควรมีในชีวิต เช่น อ่านวิธีการเรียนภาษา เป็นต้น
- องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมที่ให้ความรู้สึกสดชื่น
- อุณหภูมิเหมาะสม เย็น
- อากาศถ่ายเท ไม่อับ ไม่มีฝุ่น
- มีน้ำดื่มเย็น สะอาด
- รู้สึกว่าตำรา Financial market and institution อ่านแล้วอธิบายไม่ค่อยเข้าใจแฮะ หรือจะลองเปลี่ยนเล่มดีไหมนะ
- เหมือน intro ไม่จบสักที แต่ก็เหมือนจะบอกเนื้อหาทั้งหมดใน intro แล้ว เลยงง ว่าตรงไหนคือควรทำความเข้าใจไปเลย ตรงไหนค่อยไปทำความเข้าใจจริงๆในบทเฉพาะของมันก็ได้
- แถมคำถามท้ายบท intro ก็เหมือนจะให้วิเคราะห์เศรษฐกิจจริงจังเสียแล้ว เลยงงว่านั้นแค่เนื้อหา intro เราต้องเข้าใจขนาดนั้นเลยเชียวหรือ แล้วถ้าแต่ intro เรายังไม่เข้าใจ เราจะอ่านบทต่อไปเข้าใจไหมเนี่ย
- ตำรา Javascript The Definitive guide อธิบายดีกว่า Eloquent Javascript
- อ่าน programming แล้วสติเกิดแฮะ ไม่ง่วงเหมือนอ่านตำรา financial อารมณ์มันแรงพอที่จะทำให้ สติเห็นความต่างของ ขณะที่โฟกัสเนื้อหาที่อ่าน กับ การแอบหลงไปคิดเรื่องอื่น พอรู้ทันการหลงไปคิด ก็กลับมาอ่านต่ออย่างมีสมาธิได้
- หลังจากนี้จะให้ความสำคัญกับ programming : financial : English language คือ 1:1:0.5 = 6 ชม: 6ชม : 3 ชม
- เหมือนการอ่านจาก หน้าจอ จะทำให้สายตาไม่ได้ซึมซับ รายละเอียดด้าน grammar ได้ดีเท่าไหร่นะ อ่านจากหน้าจอมา 3 เดือน เหมือน ความสามารถด้านภาษาและไวยากรณ์ถดถอยลง ทั้งๆที่อ่านตำราภาษาอังกฤษทุกวัน?
- กลับกัน ช่วงที่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษจาก e-reader หรือ หนังสือจริง กลับทำให้ความสามารถด้านภาษาดีขึ้น
- สาเหตุน่าจะเป็น เพราะ เวลาอ่านจากหน้าจอ สายตาจะมีภาระมากกว่าปกติ ลำพังแค่โฟกัสที่คำ ให้เข้าใจความหมายก็เต็มกลืนแล้ว เรื่องโครงสร้างไวยากรณ์ในประโยค จึงเป็นเรื่องยากที่จะได้เรียนรู้
- แต่เริ่มแรก ถ้าจะอ่านจาก e-reader หรือ หนังสือจริง อาจต้องให้สายตาได้ฝึกปรับตัวก่อนนะ จึงจะอ่านได้ดี เพราะ ก่อนหน้านี้ เราอ่านจนสายตาเรา เคยชินกับการอ่านผ่านหน้าจอไปแล้ว
- รูปแบบการ focus ของสายตาจะต่างกันนะ หน้ากระดาษหนังสือจริง หรือ e-reader จะมีจุดโฟกัสโดยตรงจากแสงธรรมชาติที่สะท้อนเข้าตา แต่ถ้าเป็นหน้าจอ จะเป็น liquid crystal ซึ่งไม่ได้มีโฟกัสที่ชัดๆโดยตรง และมีแสงออกมาสู่ตาเรา(emissive screen) ไม่ใช่แสงจากการสะท้อนตามธรรมชาติ(reflective screen)
- แต่สำหรับเรา อาจมีอีกปัญหาที่ต้อง concern ด้วย คือ ปัญหากล้ามเนื้อตาทำงานผิดปกติ(มากเกินไป too much convergence) ขณะมองใกล้ ทำให้เวลาอ่านหนังสือหรือใช้สายตาทำงานที่ต้องมองใกล้ๆ จะมีปัญหา ประกอบกับหนังสือส่วนใหญ่จะตัวอักษรค่อนข้างเล็ก และ e-reader ที่ใช้อยู่ ไม่สามารถปรับตัวอักษรได้มากนัก ถ้าต้องมองใกล้ก็จะแย่กว่า การใช้งานหน้าจออ่านหนังสือ ที่สามารถขยายขนาดแล้วมองจากไกลๆได้
- แปลกดี เหมือนเวลาอ่านจากหน้าจอใช้สายตา กับอ่านจากหนังสือจริง ใช้สายตาคนละระบบกัน
- พอฝึกอ่านจากหนังสือจริง จะกลับไปอ่านจากหน้าจอไม่ค่อยได้
- ส่วนถ้าอ่านจากหน้าจอจนชิน ก็จะกลับไปอ่านหนังสือจริงไม่ได้ทันที ต้องฝึก(training)ระบบสายตาใหม่
- วันนี้พิมพ์สัมผัสได้เร็วขึ้นนิดหน่อยนะ หลังจากอดข้ามวันเมื่อวานมา