- Alternate day fasting(กินอาหารวันเว้นวัน IF 36/12 - กินในช่วง 12 ชม แล้วอด 36 ชม) - การจะอดอาหารให้ได้ประโยชน์เข้มข้นจริงๆ คือ ต้องอดมากกว่า 18-24 ชม ขึ้นไป เพื่อให้เกิดการชะลอวัย (Autophagy) ซึ่งโดยส่วนตัวพบว่า การกินอาหารวันเว้นวัน เป็นรูปแบบชีวิตได้ทำได้ง่าย และได้ผลดีที่สุด วิธีหนึ่ง
- ประโยชน์หนึ่งของการอดอาหาร (Fasting) ในการพัฒนาตนเอง คือ ทำให้มี Neuroplasticity สูงขึ้น สมองสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะ การคิดคำนวณ การใช้เหตุผล การเคลื่อนไหว ภาษา ฯลฯ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ฝึกนิสัยใหม่ ก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วย มีการใช้ในการรักษาผู้ป่วยทางสมอง คนปกติก็น่าจะได้ประโยชน์ไม่น้อย
- พยายามอดข้ามวันให้ได้บ่อยๆ หรือ อดวันเว้นวันให้ได้ตลอด โดยส่วนตัวแต่ก่อนเคยลองกินวันละมื้อ(IF 22/2) แต่พัฒนาตนเองได้ไม่เร็วเท่าการกินอาหารแล้วอดวันเว้นวัน(IF 36/12)
- หากเรียงลำดับประสิทธิภาพในการทำงานและการพัฒนาตนเอง(เช่น Performance ในการอ่านหนังสือ การใช้ความคิดที่พัฒนาขึ้น)ของการอดรูปแบบต่างๆ จากมากไปน้อยมีดังนี้
- IF 42/6 (กิน 2 มื้อ แล้วอดข้ามอีกวัน)> IF 36/12(กิน 3 มื้อ แล้วอดข้ามอีกวัน) > IF 22/2 (กินวันละมื้อทุกวัน) > IF 16/8(กินในช่วง 8 ชม ทุกวัน)
- แต่ทั้งนี้จะเลือกอดวิธีไหน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของชีวิตแต่ละคน ที่น่าจะง่ายสุดคือ กินอาหารวันเว้นวัน(IF 36/12) ส่วนใครที่ชีวิตแทบไม่ได้ใช้แรงหรือขยับตัว ก็อาจลดชั่วโมงที่กินอาหารลงอีกเหลือ 6 ชม แล้วอดข้ามอีกวัน(IF 42/6)
- ถือศีล 8 เป็นรูปแบบชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ถ้าถือศีลทุกวันคงไม่ไหว สำหรับคนปกติที่มีกิเลส ก็ถืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในวันหยุด หรือถ้าจะให้ดีคือ ถือวันเว้นวัน เพื่อฝึกตนเองขึ้นไปอีก
- นอนน้อย 4 ชม ในพระไตรปิฎก(บทชาคริตานุโยค) บอกถึงการนอนในเวลา 4 ทุ่ม ถึง ตี2(มัชฌิมยาม) ซึ่งเป็นเวลานอนที่ดีที่สุด แต่จะทำได้ต้อง ถือศีล 8 กินก่อนเที่ยง เพื่อให้ร่างกายอยู่ในโหมด Fasting (ถ้ากินอาหารมื้อดึก จะตื่นยาก) และ ฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขณะนอนหลับ นอกจากนี้ต้องค่อยๆปรับตัว ช่วงแรกๆจะยังรู้สึกลำบากมาก
- ดื่มกาแฟ วันละ 1-2 แก้ว ช่วยให้สมาธิดีขึ้นมาก มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะกว่าชาเขียว 10 เท่า แต่ทั้งนี้ต้องเป็นกาแฟที่คั่วกลาง เต็มเมล็ด แล้วมาบดชงเอง(กาแฟที่ผ่านการบดมานาน และผ่านกรรมวิธีมาแล้ว ประโยชน์จะลดลงมาก)
- สวดมนต์ก่อนนอน (บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) เป็นการทำสมาธิที่ง่ายมากที่สุดรูปแบบหนึ่ง ทำให้สามารถผ่อนคลาย หลับสนิท ฟื้นตัวได้เร็ว
- ออกกำลังกาย แบบ HIIP - เป็นวิธีที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง โดยใช้เวลาและพลังงานน้อยกว่าออกกำลังกายปกติหลายเท่า แต่ได้ประโยชน์ใกล้เคียงกัน
- planking - ทดแทนการวิ่ง/เดิน เพื่อให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง
- วิดพื้น และ sit up - เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง มีแรงใช้ในยามฉุกเฉิน ตัดปัญหาคนไม่มีสมองมารังแก
- อ่านหนังสือทั้งวัน - ต่อให้สมองดีจากการ Fasting แต่ถ้าไม่มีการเติมความรู้ บรรจุเพิ่ม ให้สมองเอาไปใช้คิด มันก็คิดอะไรใหม่ๆไม่ได้ การอ่านจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาตนเอง
- ไม่แนะนำให้เรียนด้วยการดูคลิป VDO เพราะ มันคือการฟังสรุปจากคนอื่นที่ไปอ่านหนังสือมาอีกที ซึ่งถ้าเราไม่อ่านเอง เราไม่มีวันเชี่ยวชาญในสิ่งนั้นๆได้จริงๆ
- อ่านหนังสือใช้พลังงานน้อยมาก คือ 70kcal/ชม(นอน 40 kcal/ชม, เดิน 214kcal/ชม) ต่อให้อดอาหาร ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแรงอ่านหนังสือ
- ฝึกสติ - เป็นต้นทางของการพัฒนาตนเอง สามารถทำให้รู้ทันนิสัยที่ไม่ดีของตัวเอง หรือกระทั่งแก้ไขนิสัยหรือ ความเคยชินที่ไม่ดี และ พัฒนาฝึกฝนตนเอง ด้วยตนเองได้ สติในที่นี้ คือ สติปัฏฐาน 4 นะ
- มีที่นั่งอ่านหนังสือที่ดี ได้แก่ โต๊ะ เก้าอี้(ไม่ควรนั่งพื้น เพราะ หลังจะค่อม และเมื่อยคอ อากาศร้อน ยากต่อการลุกขึ้น และเปลี่ยนอิริยาบถ เคยลองแล้ว productivity ต่ำกว่า) และโคมไฟ(แสงควรอยู่ที่ 500 lux วัดจากแอพฯในมือถือได้)
- ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ว่าโต๊ะ-เก้าอี้ต้องพอดีตัวแค่ไหน เพียงแต่อย่างน้อยต้องเอื้อให้สามารถขยับตัว ลุก ยืน เดิน เปลี่ยนอริยาบถได้บ่อยๆ โดยสะดวก
- อยู่ในสถานที่เงียบสงัด - สำคัญมากต่อสมาธิ บางคนถึงขนาดต้องทำห้องให้เก็บเสียงเลยนะ บางทีเราคิดอะไรอยู่ แล้วมีเสียงมากระทบ ก็ทำให้สมาธิหลุด ต้องเสียเวลามาต่อใหม่เรื่อยๆ สำหรับการฟังเพลง อาจใช้ตอนต้องการกลบเสียงน่ารำคาญกว่าจากภายนอก แต่ถ้าเงียบสงัดได้จะดีที่สุด
- ฟังเพลง ขณะอ่านหนังสือ/ทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง(ไม่ช่วยให้ประสิทธิภาพดีขึ้นแต่อย่างใดนะ)
https://www.youtube.com/watch?v=lQpawPFyIis
- ฟังเพลง ขณะอ่านหนังสือ/ทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง(ไม่ช่วยให้ประสิทธิภาพดีขึ้นแต่อย่างใดนะ)
- เปิดไฟส่องโต๊ะ แม้จะอ่านจากหน้าจอ - เพื่อให้แสงจากหน้าจอและสิ่งแวดล้อมกลมกลืนกัน และ สายตาไม่ทำงานหนักในการปรับรูม่านตาไปมา อ่านหนังสือได้มีสมาธิดีกว่า
- หาโอกาสลอง ฟังวิทยุ BBC world news - แม้จะไม่ได้ใส่ใจฟัง แต่เราจะเกิดความคุ้นชิน และ เรียนรู้ทักษะการฟังสำเนียงภาษาอังกฤษ ได้โดยไม่รู้ตัว
- อ่านนิยายภาษาอังกฤษ - มีงานวิจัยว่า การอ่านนิยายมีประโยชน์เทียบเท่าการอ่านตำราวิชาการ แต่จะเป็นด้าน ทักษะทางภาษา และ ความเข้าใจผู้อื่น และ คลายเครียดได้เร็วกว่าการฟังเพลง - ถ้าอยากเล่นเกมส์ หรือ ดูหนัง การ์ตูน ฟังเพลง ลองอ่านนิยายดูก็ได้นะ เป็นวิธีผ่อนคลายที่ดีมาก แถมยังเกิด productivity สูงด้วย
- ที่อยู่อาศัย - จัดให้เป็นระเบียบ และ สะดวกต่อการทำความสะอาด(easy to clean)ได้บ่อยๆ เกิดสุขอนามัยที่ดี ส่งผลโดยตรงต่อ productivity เช่น
- หาวิธีที่ทำให้ทำความสะอาดพื้นห้องได้ง่ายขึ้น สะดวก ใช้เวลาน้อยลง และ ทำความสะอาดได้บ่อยขึ้น เช่น จัดเก็บของที่พื้น ใส่ชั้นวาง หรือมีโต๊ะเตี้ยรอง ไม่วางของที่พื้นโดยตรง เพื่อทำให้สามารถทำความสะอาดพื้นห้องซึ่งเป็นส่วนที่สกปรกง่ายที่สุด ได้บ่อย สะดวก และ ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ต้องคอยเลื่อนของไปมา ทำให้ง่ายและสะดวกรวดเร็วในการกวาดถู
- แก้ปัญหาสายตา - ปัญหาเรื่องการมองเห็น ส่งผลโดยตรงต่อ productivity ทั้งค่าสายตาและกล้ามเนื้อตา
- โดยส่วนตัวมีปัญหาเรื่องสายตาเอียง แม้จะไม่ได้มาก แต่ส่งผลโดยตรงต่อการมองใกล้และไกล การมองไม่ชัดทำให้ต้องแปลผลในสิ่งที่มองยากขึ้น ทำให้รับข้อมูลได้น้อยลง นอกจากปัญหาสายตาทั่วไปแล้ว ยังมีเรื่องของกล้ามเนื้อตาด้วยที่ไม่ควรมองข้าม - โดยส่วนตัว สั้นผสมเอียง รวมๆประมาณ 1.00-1.25 diopter การมองเห็นจะมีความชัดลดลงในระยะ 0.75-1 เมตร
Comments