- เราควรจะสร้างความมั่นคงทางการเงิน ด้วยวิธีไหนดีนะ?
- ทางเลือก
- ศึกษาเรื่องการเงิน จนมีอิสระภาพทางการเงิน
- ศึกษาในสิ่งที่ชอบ และทำเป็นอาชีพ จนมีความมั่นคงทางการเงิน
- โดยส่วนตัวคิดว่า ทุกอาชีพ มีโอกาสสร้างรายได้เท่าเทียมกัน เพียงแต่ต่างกันในกระบวนการ อิสรภาพทางการเงิน ความมั่งคั่ง อาจจะไม่จำเป็นต้องมาจากความรู้ด้านการเงินเสมอไป(ไม่อย่างนั้น ทุกคนบนโลก ก็จะต้องศึกษาด้านการเงินกันเพียงอย่างเดียว)
- ไม่มีอาชีพใดที่มั่นคงมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทุกอาชีพมีความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเสมอ อย่าหวังว่าจะทำอะไรอย่างหนึ่งไปได้ตลอดชีวิต
- อย่างเช่น ระบบการเงิน ก็ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบ มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆเสมอ ทั้งดีและไม่ดี ยังสามารถวิกฤติเศรษฐกิจและสามารถพังพินาศได้ ยังมีเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตามการพัฒนาของการสื่อสาร เทคโนโลยี นอกจากนี้ความรู้ในปัจจุบันบางอย่าง ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่ามันถูกต้องจริงหรือไม่ เป็นต้น
- แต่ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลมากกว่า จะเลือกเรียนอะไรถึงจะถูก เพราะ บางคนอาจมีสิ่งที่ชอบหลายอย่าง จะเรียนรู้หลากหลายก็ไม่แปลก และที่สำคัญ ไม่มีการเรียนรู้ใดที่สูญเปล่า มันจะสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้เสมอ แม้กระทั่งการเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ชอบ ต่อให้เลือกผิด มันก็ยังเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตได้
- ทางเลือก
- ลำดับการเลือกอาชีพ/การเรียน
- หลักๆก็คงจะเลือกเรียนสิ่งที่ชอบ/มีpassionก่อน เพราะ ความชอบทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว เต็มใจที่จะเรียนรู้ และอยากพัฒนาความรู้ต่อไปเรื่อยๆ
- ถ้าไม่มีโอกาส ก็เลือกเรียนในสิ่งที่เหมาะกับความสามารถหรือทักษะที่เราถนัด ส่วนใหญ่ไม่มีใครเรียนได้ทุกอย่าง มักจะมีสัดส่วนความถนัดแต่ละอย่างในตัวเองไม่เท่ากัน บางคนถนัดท่องจำ บางคนถนัดใช้ความคิด บางคนถนัดด้านศิลปะ
- บางทีสิ่งที่เรารู้สึกไม่ชอบ เราอาจจะถนัดมันก็ได้ เช่น บางคนรู้สึกว่าการคำนวณนั้นเครียด แต่กลับทำได้ดีกว่าวิชาท่องจำ ที่ดูเครียดน้อยกว่า(แต่ก็น่าเบื่อและอ่านไปหลับไป) เป็นต้น
- ถ้าหลีกเลี่ยงการเรียนสิ่งที่ไม่ชอบไม่ได้ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะ ไม่มีการเรียนอะไรที่สูญเปล่า(อย่างไรก็มีประโยชน์) เพียงแต่จะต้องใช้เวลาเรียนรู้มากกว่าคนอื่น ใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น โดยผลลัพธ์อาจไม่เป็นที่พึงพอใจ มีความบกพร่องเยอะ และอาจใช้ความรู้นั้นได้อย่างไม่เต็มที่
Brain logs
Ideas, Thoughts or anything that appears instantly from my mind
ระหว่างอยู่ในสถานที่ ที่เราเก่งที่สุด ทุกอย่างดูง่ายจนทำให้เรามั่นใจในการที่จะทำสิ่งต่างๆ(comfort zone) กับ อยู่ในสถานที่ ที่มีแต่คนเก่งกว่าเรา จนเราสูญเสียความมั่นใจ จนต้องหาความรู้เพิ่ม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ
ในขณะที่กำลังผลาญเวลาชีวิตไปเท่าๆกัน คิดว่าอยู่ในที่ไหน ดีกว่ากัน?
ที่แรก สบายใจ รู้สึกมั่นใจ แต่ประมาทในการพัฒนาตนเอง
ที่หลัง ลำบากกายใจ ต้องคอยพัฒนาตนเอง เพื่อตระเตรียมรับมือความท้าทายอยู่เสมอ
สบายใจ มันดีจริงไหม?
ประหม่า กังวลใจ มันแย่จริงไหม?
อาจจต้องคอยถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า ทุกวันนี้ อยู่ในที่ ที่สบาย หรือ อยู่ในที่ ที่ลำบาก?
- พยายาม expose ตัวเองให้เจอกับ "ความไม่รู้" ให้ได้มากที่สุด
- พยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เราเป็นคนโง่ที่สุด อยู่เสมอ
- หนังสือก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างหนึ่ง ไม่ต้องไปแสวงหากลุ่มสังคมที่ไหนไกล แค่บังคับตัวเองให้อ่านหนังสือ สามารถทำให้เรารู้ว่ามีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกเยอะได้ดีมาก
- คนไม่ค่อยอ่านหนังสือ มักจะมั่นใจในตัวเองมากกว่าปกติ
- บังคับตัวเองให้ อ่านหนังสือ เพื่อให้ตัวเองรู้ว่ายังมีอะไรที่ไม่รู้อีกมาก ดีกว่า ค่อยๆอ่าน และรับรู้แต่เรื่องที่ตัวเองมั่นใจหรือรู้อยู่แล้ว
- มีเพื่อนเป็นหนังสือ อาจจะดีกว่ามีเพื่อนเป็นคน เพราะ คนมีอารมณ์ความรู้สึกมาก จุกจิกวุ่นวาย อาจจะทำให้เราลำบาก แทนที่จะได้พัฒนาตนเอง
แต่ทั้งนี้ก็จะมีความประหม่า กังวลใจ ความไม่มั่นใจตัวเองอีกแบบ ที่ไม่เป็นผลดี ซึ่งมักจะเกิดจาก สังคมที่ bully, toxic ชอบนินทา อิจฉาผู้อื่น พูดให้เสียกำลังใจ เป็นสังคมที่ไม่ทำให้เราสบายก็จริง แต่มันไม่ใช่ความไม่สบายที่จะผลักดันเราไปในทางที่ดี แต่กลับทำให้เราไม่อยากพัฒนาตนเอง ท้อแท้ สังคมนี้เป็นสังคมที่ต้องพยายามหนีออกมาให้ได้(อย่าไปคิดบวกว่าจะอยู่ในนี้ได้) ถ้ายังอยู่ในนั้นด้วยเหตุผลผูกมัดใดๆก็ตาม ชีวิตก็จะไม่มีทางเจริญ
Tags
การแก้แค้นที่ดีที่สุด คือ การที่เราไม่ต้องทำอะไรเพื่อแก้แค้นเลย แต่พยายามทำชีวิตตนเองให้ดีที่สุด เพราะ สุดท้าย ชีวิตของแต่ละคน ก็จะเป็นไปตามสิ่งที่ตนกระทำ อย่างมากก็เพียงแค่หลีกเลี่ยง หรือป้องกันตัวเอง จากสิ่งไม่ดีในระยะสั้นที่เขาก่อให้กับเรา
- ถ้าเขาทำไม่ดี สุดท้ายชีวิตเขาก็จะนำตัวเองไปสู่ความล้มเหลว
- ถ้าเราขยันอ่านหนังสือ หาความรู้ พยายามพัฒนาตนเอง ไม่ยอมแพ้ สุดท้ายเราก็จะประสบความสำเร็จ ในเส้นทางที่เราหวังไว้
- เจอมานักต่อนักแล้ว...
ถ้าเราพยายามทำชีวิตตัวเองให้ดีที่สุด ผลลัพธ์ในที่สุดอย่างไรก็จะดีแน่
Tags
ความฝัน มันจะเป็นการกำหนดกรอบความคิดของเราเองมากกว่า และบางทีอาจเป็นความเพ้อฝัน หากฝันแล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกมีแรงผลักดันใดๆ
คนที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีความฝันด้วยหรือไม่?
- สมมติ คนที่ชอบเขียนโปรแกรม เพราะ มันสนุก สามารถสร้างสรรค์เครื่องมือใหม่ๆ ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น สะดวกขึ้น ก็เลยคิดเล่นๆ สร้างโปรแกรมหนึ่งขึ้นมาให้ผู้คนใช้ ค่อยๆทำ ค่อยๆสร้างมันไปเรื่อยๆ วันละนิดวันละหน่อย แต่ทำทุกวัน พอทำเสร็จ มันทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นจริงๆ และ เกิดโด่งดังประสบความสำเร็จขึ้นมา ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องอาศัยความฝันแต่อย่างใด แค่อาศัย ความชอบ, ทำอย่างต่อเนื่อง, คอยหาความรู้ และ ฝ่าฝันกับปัญหาติดขัด
สรุป ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ คือ ความชอบ ความรู้(ในเรื่องที่เราชอบ) ความอดทนพยายาม(ฝ่าฟันปัญหาหรืออุปสรรค) และ การทำมันอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง 4 อย่างนี้ สำคัญเท่าๆกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็จะไม่สำเร็จ จริงๆ ก็คือ อิทธิบาท 4 นี่แหละ ไม่เกี่ยวข้องกับความ(เพ้อ)ฝันแต่อย่างใด
Tags
เคยได้ยินบางคำพูดที่ว่า ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จ ต้องมีโอกาสดีๆ(opportunity)เข้ามาด้วย ซึ่งคำพูดนี้มองโอกาสในลักษณะของโชคชะตาที่ดี ซึ่งโดยส่วนตัวไม่เห็นด้วย สมมติ ต่อให้เราถูกหวยรางวัลที่ 1 สัก 100 ล้าน แต่ถ้าเราไม่มีความรู้ที่จะเอาเงินนั้นไปทำให้เกิดประโยชน์ ก็ใช้เงินได้แต่การปรนเปรอความสุขไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็หมด แล้วก็กลับไปเป็นคนไม่มีเงินเหมือนเดิม
โดยส่วนตัว คิดว่าโอกาสในชีวิต รายล้อมรอบตัวเราอยู่เสมอ ทุกที่ทุกเวลา เพียงแต่เราจะมองเห็นโอกาสได้ก็ต่อเมื่อ เรามีความรู้พอที่จะเห็นมัน ดังนั้นโอกาสจึงเป็นเรื่องของความรู้ ไม่ใช่เรื่องของโชค ตัวอย่างมีหลากหลาย เช่น
- สมมติ เราไปเที่ยว ถ้าเรามีความรู้เกี่ยวกับสถานที่นั้น รู้ประวัติ ความเป็นมา วัฒนธรรม ประเพณี ภาษา สภาพภูมิอากาศ ธรรมชาติ พืช และสัตว์ประจำถิ่น การไปเที่ยวของเรา จะเห็นรายละเอียดอะไรต่อมิอะไรมากมาย มากกว่าแค่การถ่ายรูปสวยๆ แล้วกลับบ้าน
- สมมติ ถ้าเรามีความสามารถด้าน programming แบบหาตัวจับยาก(เก่งมากๆ) ขนาดที่บริษัทระดับโลกก็ต้องการตัว แม้เราจะอยู่ไกลคนละซีกโลก บริษัทระดับโลกก็จะส่งคนมาติดต่อชักชวนเราเข้าทำงาน กลับกัน ถ้าเป็นพนักงานทำความสะอาดที่บริษัทระดับโลก อย่าง Microsoft, Google ต่อให้เราถูกรายล้อมด้วยวิศวกรระดับโลก แต่ถ้าเราไม่มีความรู้เราก็ฟังเขาไม่รู้เรื่อง และ ไม่ได้ประโยชน์จากการทำงานในกลุ่มคนเก่งเท่าไหร่
- สมมติ เรามี software ที่ล้ำค่าที่สุด ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีชีวิตคนบนโลกจำนวนมากได้ แต่เราไม่มีความรู้พอที่จะใช้ประโยชน์จากมัน ก็อาจจะมองมันเป็น โปรแกรมรกเครื่อง และลบมันทิ้งไป
- สมมติ เราเจอกับ คุณปู่ Warren Buffet, Bill gate ที่เดินทางมาเที่ยวพักผ่อนแถวบ้านเรา ถ้าเราไม่รู้จักเขาก็คงจะคิดว่า คนปู่คนนี้คงมาพักผ่อนหลังวัยเกษียณล่ะมั้ง แก่ป่านนี้แล้ว แล้วมองข้ามเขาไป ทั้งๆที่เขาเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก
- หรือแม้แต่บริษัท Coke ที่แต่ก่อน ก็มาจากความต้องการคิดค้น ยาแก้ไอของเภสัชกร นั้นแหละ ซึ่งผู้ก่อตั้งไม่มีความรู้ด้านการปรุงยา ก็คงจะไม่เห็นโอกาสตรงนี้หรอก
จะเห็นได้ว่า โอกาสเป็นเรื่องของความรู้ล้วนๆ การเพิ่มความรู้ จึงเป็นการเพิ่มโอกาส ทั้งนี้ในเรื่องของความน่าจะเป็น ก็มีเรื่องน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง
- สมมติ เราเล่น poker แล้วได้ไพ่ที่ดีมากๆ เราอาจจะเอาชนะโปกเกอร์มืออาชีพได้ ในตาแรก แต่ถ้าเล่นกันสัก 10 ตา โอกาสที่โปกเกอร์มือโปรจะเอาชนะเราได้ เรียกได้ว่าเท่ากับ 100% เลยทีเดียว
จากตัวอย่าง โปกเกอร์มือโปร ก็เป็นตัวแทน ของ คนที่มีความรู้ ซึ่งก็ยังมีโอกาสแพ้ได้(Good decision, bad outcome) แต่ถามว่าถ้า หาความรู้ต่อไปเรื่อยๆ พยายามต่อไปเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ โอกาสจะประสบความสำเร็จ ของเราในชีวิตจริง จะเรียกได้ว่าเท่ากับ 100% เลยทีเดียว
ดังนั้น โอกาสจึงเป็นเรื่องของความรู้ ไม่ใช่เรื่องของโชค
คำถามต่อไปคือ เราจะต้องหาความรู้ในเรื่องใด จึงจะเกิดโอกาสกับเรา?
- ก็ต้องเป็น การหาความรู้ในเรื่องที่เราชอบ หรือ รู้สึกสนุกไปกับมัน ถ้าเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบ มันจะไม่ทำให้เราเรียนรู้ได้ดี และไม่ดีพอที่จะสร้างโอกาสให้เรา
- จริงๆมี 4 ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ คือ ความชอบ ความรู้(ในเรื่องที่ชอบ) การทำอย่างต่อเนื่อง ความพยายามไม่ลดละ(แม้จะเจอความลำบากหรือปัญหา) ถ้าเรามีความรู้ และ ความชอบ ก็ได้ 2 ข้อแล้ว ก็เหลืออีก 2 ข้อ ถ้าทำครบ ก็จะสำเร็จ
Tags
โดยส่วนตัวพยายามฝึกภาษาอังกฤษมาหลายปี(6ปี) แต่ก็ไม่สามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจสักที แม้จะฝึกอ่านจนอ่านได้เร็วขึ้น อ่านเนื้อหาหลากหลายหมวดมากขึ้น แต่ความสามารถในด้านการฟัง พูด เขียน ก็ยังมีปัญหาพอสมควร(แม้จะพัฒนาขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถอยู่ในระดับที่พึ่งพาได้)
เจอหนังสือน่าสนใจ ชื่อว่า Becoming Fluent - How Cognitive Science Can Help Adults Learn a Foreign Language คิดว่าน่าจะลองอ่านดูว่าตัวเองพลาดไปตรงไหน เป็นหนังสือที่รวบรวม หลักฐานงานวิจัยต่างๆ เพื่อช่วยในการเรียนภาษาสำหรับผู้ใหญ่ ให้ถูกวิธีและง่ายมากขึ้น
อันนี้จะสรุปเนื้อหาเท่าที่ตัวเองสนใจ
- การเก่งภาษา(Mastery in language) ไม่ได้มีหนทางที่ง่ายดาย คนที่เก่งภาษา ที่ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ต้องสะสมการใช้งาน/การฝึกฝน มามากมาย
- หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นทางลัดให้เก่งภาษาได้เร็วขึ้น แต่รวบรวมวิธีที่ทำให้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ สนุกขึ้น
Myth(ความเชื่อผิดๆ)
- ผู้ใหญ่เรียนภาษาไม่ง่ายเท่าเด็ก - เด็กมีเพียง 2 อย่างที่เหนือกว่า คือ เรื่องสำเนียง และ ไม่มีความกังวลในการใช้ภาษา แต่ในเรื่องอื่น จริงๆมีหลักฐาน(evidence)มากมายว่า ผู้ใหญ่ เรียนภาษาได้ง่ายกว่าเด็ก
- ผู้ใหญ่ควรเรียนภาษาในแบบที่เด็กเรียน - จริงๆ สมองผู้ใหญ่ไม่เหมือนกับเด็ก ไม่จำเป็นต้องทิ้งความคิด ตรรกะ เหตุผล ในการทำความเข้าใจภาษา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในการเรียนของผู้ใหญ่ เพื่อไปเรียนด้วยการซึมซับไม่ใช้เหตุผลของเด็ก(แบบ Native user)
- เวลาเรียนภาษา ห้ามแปลกลับเป็นภาษาเดิม - เราสามารถใช้ความเข้าใจในภาษาเดิมของเรา มาช่วยในการเรียนภาษาใหม่ให้ง่ายขึ้นได้ ไม่จำเป็นต้องเรียนในภาษาใหม่อย่างเดียว เช่น บางคำศัพท์ในภาษาใหม่ มีคำในภาษาเดิมของเราที่สื่อความหมายได้ตรงกัน(transferable) ถ้าอ่านคำแปล ก็ช่วยให้เราทำความเข้าใจคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องลำบากแปลในความหมายของภาษาใหม่ เป็นต้น
ทั้งนี้อาจจะสื่อความหมายไม่ได้ตรงกันทุกคำ แต่มันก็จะช่วยให้เราเข้าใจง่ายขึ้นในหลายๆคำศัพท์
Tags
รวบรวมจากตำรา Financial Markets & Institutions เขียนโดย Frederic S. Mishkin and Stanley G. Eakins
- รายงานการวิเคราะห์ต่างๆของ FED
Tags
ตัดจาก 16 เม.ย.
- รู้สึกว่าเล่นเกมส์ไปเรื่อยๆ ชักน่าเบื่อแล้ว ระบบการเล่นซ้ำเดิม ทำภารกิจไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรใหม่ เวลาชีวิตก็ถูกผลาญไปโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับคืนมาเท่าไหร่ ไปหาความรู้ในโลกความเป็นจริง แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจเท่าในเกมส์(แต่อนาคตไม่แน่) แต่มีอะไรใหม่ๆที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ตลอด ไม่น่าเบื่อเลย
- ต่อให้เราเก่งในเกมส์ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นในชีวิตจริง มันก็สูญเปล่า
- การพัฒนาทักษะในเกมส์ ส่วนใหญ่มันก็เป็นทักษะซ้ำเดิม พอพัฒนาไปแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็จะถึงทางตัน ต่างจากการหาความรู้ ที่ขยายวงกว้าง หรือ ลงลึกไปได้เรื่อยๆ หรือ เอาไปต่อยอดสร้างสิ่งใหม่ได้ ตามที่เราต้องการอย่างไม่สิ้นสุด
- ถ้าเล่นเกมส์เก่ง แล้วเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ เรายินดีเล่นทั้งวันเลย แต่ในความเป็นจริงมันเอาไปใช้ได้น้อยมาก อย่างมากก็เป็นการฝึกทักษะเดิมซ้ำๆ ต่อให้เล่นเกมส์เก่งแค่ไหน ในชีวิตจริงก็ยังอยู่ที่เดิม
- ไม่เคยเห็นคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ จากการเล่นเกมส์ทั้งวันเลย เคยเห็นแต่อ่านหนังสือทั้งวัน แล้วประสบความสำเร็จ
- สาเหตุหนึ่งของการติดเกมส์
- ไม่รู้จะทำอะไร ไม่มีงานอดิเรก หรือ ไม่มีกิจกรรมที่ทำให้เกิด productivity ในชีวิตจริง เช่น ยังไม่รู้ว่าการอ่านหนังสือ มีคุณค่า มีประโยชน์ มากแค่ไหนต่อชีวิต(ไม่เคยลองอ่าน) ถ้าเทียบในเวลาชีวิตอันมีอยู่จำกัดในแต่ละคน หากใช้เวลาที่มีไปกับ การอ่านหนังสือ ได้ประโยชน์ต่อตนเอง มากกว่าการเล่นเกมส์ ซึ่งอาจไม่ได้ประโยชน์อะไรเพิ่มเติมในชีวิตเลย
- วิธีแก้การติดเกมส์
- ลองอ่านหนังสือ อะไรก็ได้ เริ่มจากหนังสือที่ อ่านง่าย ไปหายาก เช่น หนังสือแนวที่ชอบ นิยาย ไปจนถึง หนังสือความรู้ เป็นต้น หากได้รับประโยชน์จากการอ่าน จะเริ่มรู้สึกว่า เวลาที่เราเอาไปแลกกับการทำกิจกรรมต่างๆนั้นมีคุณค่า และ จะเลิกทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ได้เอง เช่น การเล่นเกมส์ไปวันๆ เป็นต้น
- การที่ยังติดเกมส์ ยังเล่นเกมส์อยู่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด มันเป็นเพียงการที่ยังเรียนรู้ชีวิตไม่มากพอ(ปัญญายังไม่มากพอ) ต้องแก้ที่ต้นเหตุคือ หากได้รับประโยชน์จากการอ่านหนังสือมากๆเข้า จะรู้สึกขี้เกียจเล่นเกมส์ไปได้เอง เพราะ รู้สึกเสียเวลาชีวิตไปอย่างไม่เกิดประโยชน์ ก็ต้องค่อยๆพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
Tags
ตัดมาจากวันที่ 14,16 เม.ย.
- สรุป การเทรด Crypto ขาดทุนไป 20$ ใน TF 1h => not work!
- แล้วลองคิดดู หากเทรดใน TF ใหญ่ เช่น TF day/week ก็ขาดทุนเท่าๆกัน ในระยะเวลาเท่ากัน แต่Time horizon มันเหมาะสมกว่า ยังมีโอกาสได้กำไรมากกว่านะ เพราะ ฉะนั้น เทรดใน TF ใหญ่ ดีกว่า
- ยอมเทรดใน TF ใหญ่ แล้วขาดทุนก้อนนึง ครั้งเดียว แต่มีโอกาสได้กำไร ยังดีกว่า เทรด TF เล็กๆ ขาดทุนเล็กๆไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้อะไรกลับมา
- ถ้าคำนวณ risk เหมาะสม แล้วเข้า position แล้ว ห้ามปิด จนกว่าจะโดน cut loss หรือ Take profit(คำนวณแล้วว่าหากขาดทุนส่วนนั้นไป ยังยอมรับได้ ไม่เป็นอะไร)
- หลังจากที่เปลี่ยนมาเทรด Crypto ใน TF ที่ใหญ่ขึ้น แบบเช่น 1d 1w และ ตอนนี้เริ่มพลิกกลับมากำไรตามแผนแล้ว จากตอนแรกขาดทุน(unrealized PNL) อยู่หลายวัน
- เทรดยากเพราะ กราฟดูกระชาก ในTF ใหญ่ ในTF เล็กก็จับจังหวะไม่ได้ เพราะ ฉะนั้น ก็เทรดในTF ใหญ่ดีกว่า
- นอกจากนี้ เนื่องจากเราเทรดใน TF ใหญ่ เป็นการถือ position ยาวๆ ซึ่งการถือ position นี้ ไม่ควรเปลี่ยนแผน เพราะ เราคำนวณ risk ที่เสียได้ อย่างเหมาะสมแล้ว อีกทั้งระหว่างถือ position ความสามารถในการวิเคราะห์ของเราจะลดลง และจะทำตามอารมณ์มากกว่า การทำตามอารมณ์ จะทำให้เสียแผนที่เคยคิดไว้ดีแล้ว
- (19 เม.ย.)Trade BTC ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว แล้วเข้าแล้วเทรดโดยใช้ TF ใหญ่ คือ TF 1d ค่อนข้าง work แฮะ
- จะต่างจาก Forex ตรงที่ Forex จะมีตำราที่สอนว่าปัจจัยที่ ส่งผลโดยตรงในระยะสั้นมีอะไรบ้าง เช่น money policy, commodity, interested rate จนเราสามารถจับจังหวะใน TF ระยะสั้นได้ แต่เราไม่สามารถจับปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงในระยะสั้น ของ BTC ได้ ทำให้ต้องเทรดในภาพรวมระยะยาวแทน
- ส่งผลมายังการควบคุมความเสี่ยง ที่อาจต้องมีจุด stop loss ไกลๆ เพราะไม่รู้ว่ากราฟระยะสั้น จะเป็นแบบไหน
- รวมถึงการเพิ่มไม้เทรดระยะสั้นก็ยาก เพราะ ส่งผลโดยตรงกับการคุมความเสี่ยง(ความเสี่ยงเพิ่ม ยิ่งใช้ stop loss กว้างๆด้วยอยู่ก่อน) และ ปัจจัยพื้นฐาน ที่ drive ราคาในระยะสั้น(เพื่อดีดราคาให้ห่างจาก stop loss)
แต่ทั้งนี้ จะเข้าเทรดต้องมีการวิเคราะห์ปัจจัยที่ drive ราคาในเชิง fundamental ก่อนนะ ว่ามันจะมีแนวโน้มขึ้นหรือลง แล้วค่อยเข้าเทรดในเชิง Technical ถ้าไม่มีข้อมูล ไม่มี clue จะไม่เทรด
Tags
ก่อนหน้านี้มีช่วงหนึ่ง ลองนั่งพื้น และใช้โต๊ะเตี้ยดู แต่กลับประสบปัญหา office syndrome อย่างหนัก คือ ปวดคอ ไหล่
ปัจจุบัน เปลี่ยนมาใช้โต๊ะ และเก้าอี้แล้ว เป็นโต๊ะ ikea SANDSBERG โครงสร้างแข็งแรงทนทานมาก เก้าอี้ ADDE นั่งแล้วไม่ร้อน ระบายอากาศดี ราคาไม่แพง งบประมาณราวๆ 1,700 บาท
หลังจากที่ใช้โต๊ะ-เก้าอี้ อ่านหนังสือ จำนวนหน้าที่อ่านได้ต่อวันก็เพิ่มขึ้นมาก จากแต่ก่อนนั่งพื้นกับโต๊ะเตี้ย อ่านได้อยู่ที่ 5-7 หน้า แต่พอเปลี่ยนมานั่งโต๊ะเก้าอี้ ก็อ่านได้ 10-15 หน้า ในหนังสือเล่มเดียวกัน
ทั้งนี้ โต๊ะ เก้าอี้ ก็ไม่ได้จัดว่าสมบูรณ์แบบตามหลักกายสรีระศาสตร์ขนาดนั้น โดยโต๊ะจะสูงหน่อย แทบจะเกือบถึงระดับหน้าอก ทำให้ดูเหมือนเวลาทำงาน จะพาดทั้งแขนบนโต๊ะ และ ส่วนเก้าอี้ความสูงพอดี ทำให้วางเท้ากับพื้นได้เต็มฝ่าเท้า โดยไม่ต้องเขย่ง แต่ไม่มีที่วางแขน ซึ่งโต๊ะที่สูงหน่อย ก็ดูเหมือนจะช่วยชดเชยตรงนี้ และนั่งได้ทั้งวันอยู่นะ(ไม่มีปวดคอ หรือ ไหล่ใดๆแล้ว) และ โต๊ะที่สูงหน่อย คิดว่าไม่เป็นปัญหาใดๆ แต่ก่อนเคยใช้โต๊ะพอดีๆ กลับปวดคอและบ่ามากกว่า
ข้อดีของการนั่งเก้าอี้ ที่ดีกว่าการนั่งพื้นทำงาน คือ นั่งเก้าอี้ จะสามารถปรับเปลี่ยนอิริยาบถได้ง่าย หลักการของการนั่งทำงานให้เหมาะสม คือ ไม่ใช่การนั่งได้ทั้งวัน แต่เป็นการสามารถเปลี่ยนอิริยาบถ ขยับตัวได้ง่าย ซึ่งการนั่งเก้าอี้จะสะดวกและยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนอิริยาบถมากกว่านั่งพื้น นอกจากนี้ แม้จะมีเก้าอี้ที่สบายที่สุด ให้นั่งได้ทั้งวัน ก็ไม่ได้ healthy เท่ากับการนั่งเก้าอี้ธรรมดาๆ แต่ขยับตัวได้คล่องแคล่ว บ่อยๆนะ