- เราควรจะสร้างความมั่นคงทางการเงิน ด้วยวิธีไหนดีนะ?
- ทางเลือก
- ศึกษาเรื่องการเงิน จนมีอิสระภาพทางการเงิน
- ศึกษาในสิ่งที่ชอบ และทำเป็นอาชีพ จนมีความมั่นคงทางการเงิน
- โดยส่วนตัวคิดว่า ทุกอาชีพ มีโอกาสสร้างรายได้เท่าเทียมกัน เพียงแต่ต่างกันในกระบวนการ อิสรภาพทางการเงิน ความมั่งคั่ง อาจจะไม่จำเป็นต้องมาจากความรู้ด้านการเงินเสมอไป(ไม่อย่างนั้น ทุกคนบนโลก ก็จะต้องศึกษาด้านการเงินกันเพียงอย่างเดียว)
- ไม่มีอาชีพใดที่มั่นคงมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทุกอาชีพมีความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเสมอ อย่าหวังว่าจะทำอะไรอย่างหนึ่งไปได้ตลอดชีวิต
- อย่างเช่น ระบบการเงิน ก็ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบ มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆเสมอ ทั้งดีและไม่ดี ยังสามารถวิกฤติเศรษฐกิจและสามารถพังพินาศได้ ยังมีเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตามการพัฒนาของการสื่อสาร เทคโนโลยี นอกจากนี้ความรู้ในปัจจุบันบางอย่าง ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่ามันถูกต้องจริงหรือไม่ เป็นต้น
- แต่ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลมากกว่า จะเลือกเรียนอะไรถึงจะถูก เพราะ บางคนอาจมีสิ่งที่ชอบหลายอย่าง จะเรียนรู้หลากหลายก็ไม่แปลก และที่สำคัญ ไม่มีการเรียนรู้ใดที่สูญเปล่า มันจะสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้เสมอ แม้กระทั่งการเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ชอบ ต่อให้เลือกผิด มันก็ยังเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตได้
- ทางเลือก
- ลำดับการเลือกอาชีพ/การเรียน
- หลักๆก็คงจะเลือกเรียนสิ่งที่ชอบ/มีpassionก่อน เพราะ ความชอบทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว เต็มใจที่จะเรียนรู้ และอยากพัฒนาความรู้ต่อไปเรื่อยๆ
- ถ้าไม่มีโอกาส ก็เลือกเรียนในสิ่งที่เหมาะกับความสามารถหรือทักษะที่เราถนัด ส่วนใหญ่ไม่มีใครเรียนได้ทุกอย่าง มักจะมีสัดส่วนความถนัดแต่ละอย่างในตัวเองไม่เท่ากัน บางคนถนัดท่องจำ บางคนถนัดใช้ความคิด บางคนถนัดด้านศิลปะ
- บางทีสิ่งที่เรารู้สึกไม่ชอบ เราอาจจะถนัดมันก็ได้ เช่น บางคนรู้สึกว่าการคำนวณนั้นเครียด แต่กลับทำได้ดีกว่าวิชาท่องจำ ที่ดูเครียดน้อยกว่า(แต่ก็น่าเบื่อและอ่านไปหลับไป) เป็นต้น
- ถ้าหลีกเลี่ยงการเรียนสิ่งที่ไม่ชอบไม่ได้ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะ ไม่มีการเรียนอะไรที่สูญเปล่า(อย่างไรก็มีประโยชน์) เพียงแต่จะต้องใช้เวลาเรียนรู้มากกว่าคนอื่น ใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น โดยผลลัพธ์อาจไม่เป็นที่พึงพอใจ มีความบกพร่องเยอะ และอาจใช้ความรู้นั้นได้อย่างไม่เต็มที่
แผนการณ์ชีวิต
เหมือนความรู้ทุกศาสตร์ ดีหมด เรียนให้เข้าใจ มีคุณค่าทุกอย่าง (แต่สิ่งที่แย่ในไทย คือ ไม่สอนการนำไปใช้ เอาแต่สอนเพื่อไปทำข้อสอบ)
- อย่างเราเรียนมาทางด้านสุขภาพ (แม้จะไม่ชอบและสุดท้ายก็ลาออกมาทำตามความฝัน) ก็ได้หลักคิด การต่อยอดในการหาความรู้ในการดูแลสุขภาพ และเอาการดูแลสุขภาพ(Intermittent fasting การออกกำลังกาย ฯลฯ) มาเป็นหนึ่งในวิธีการพัฒนาตนเอง ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างก้าวกระโดด
- หรืออย่างความรู้ทางด้านเคมี ก็ทำให้เราอ่านองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เข้าใจ พอรู้ว่าเขาใส่อะไรมาบ้าง
- ความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ ก็ไม่เพียงแต่เอาไว้คุยกับคนต่างชาติ
- แต่เราสามารถใช้อ่าน เว็บบอร์ด(reddit) ดูว่าวัยรุ่นต่างประเทศเขาฮิตอะไรกันอยู่ มีปัญหาชีวิตเหมือนเราหรือไม่ มุมมองเกี่ยวกับการทำตามความฝันเหมือนเราหรือไม่(แม้อายุมากแล้วยังเรียนต่อตามความฝัน)
- รวมไปถึง เข้าถึงความรู้ได้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น เพราะ ปรมาจารย์ในด้านต่างๆ มักจะเขียนหนังสือโดยใช้ภาษาอังกฤษ การอ่านตำราของปรมาจารย์เหล่านี้ เหมือนกับเรากำลังได้รับการถ่ายทอดสุดยอดวิชาจากคนเก่งๆโดยตรง
- หรือ แม้แต่มีช่องทางการสั่งของราคาถูกจากต่างประเทศ เป็นต้น
- พอเราเห็นโลกกว้าง เราก็จะไม่ติดใน กรอบสังคมที่เราอยู่อาศัย หรือกรอบความคิดจากคนรอบข้าง แต่เราจะมีความคิดที่กว้างขวางขึ้นมาก
หลังจากที่คิดไปคิดมา ไม่แน่ใจอยู่นาน ก็พอจะตกผลึก และ สรุป แยกประเด็นออกมาได้ดังนี้
กลับบ้าน | อยู่หอ | |
ข้อดี |
|
|
ข้อเสีย |
ทางแก้
|
ทางแก้
|
เรื่องปัจจัยอื่นๆ เช่น มีคนที่บ้านบางคน ยึดติด ยังอยากอยู่ที่นี่ เพราะ เขารู้สึกว่า แม้เขาจะออกไปอยู่ข้างนอก ก็อาจไม่ได้ประโยชน์แบบเดียวกับเรา แต่โทษที่เขาได้รับ มันก็เป็นแบบที่เราคิดแน่นอน ซึ่งอย่างไรเขาก็เสียประโยชน์ คือ ความสุขในปัจจุบันขณะ ที่ถูกก่อกวนจากหมู่คนพาล ต่อให้เขาพยายามต่อสู้ ก็เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ชนะปัญหาหนึ่ง เดี๋ยวก็จะมีปัญหาอื่นมาให้อยู่ดี ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ไม่ได้ใช้อย่างสงบสุข
สรุปว่า ตอนนี้ พยายามคิดเท่าไหร่ ก็หาเหตุผลที่เหมาะสม ที่จะกลับมาอยู่บ้านไม่ได้เลย การอยู่หอใกล้มหาลัยเป็นทางเลือกที่ดีและสมบูรณ์แบบสุดๆ เพราะ ได้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมไปเต็มๆ, แม้ค่าห้องจะแพงเล็กน้อย แต่ก็ประหยัดค่าเดินทาง ประหยัดเวลา เอาเวลาที่มากขึ้น ไปทำงานอดิเรก, อ่านหนังสือ, หางานพิเศษได้อีก เรื่องเงินเก็บ มันก็เป็นเป็นเพียงเงินก้อนเล็กๆ ให้เพียงพอกับการใช้ทำประโยชน์ในระยะสั้น ในปัจจุบันที่สำคัญ คือ การเรียน และ การพัฒนาตนเอง แต่โดยส่วนตัวมองไม่เห็นประโยชน์สำคัญใดๆ ที่จะเกิดขึ้น จากการเก็บเงินก้อนเล็กๆ นี้ไว้เฉยๆ ในระยะยาวเลย
Tags
ปัญหาชีวิตในตอนนี้ (คำเตือน บันทึกไว้ใช้ทบทวนความเข้าใจของตนเอง ผู้ที่มาอ่านอาจจะงงได้ ไม่จำเป็นต้องอ่านเท่าไหร่ เป็นเพียงปัญหาส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะทำให้ผู้อ่านเสียสุขภาพจิตได้)
1. เราลาออกจากงานประจำเดิม ที่รายได้ดีพอควร มีเกียรติ มีความมั่นคง ในสายตาของคนอื่น แต่เป็นงานที่เราไม่ถนัด
สาเหตุ ที่ลาออกคือ เราไม่รู้สึกมั่นคงเลย เพราะ มันเป็นงานที่เราไม่ถนัด ซึ่งถ้าทำพลาดอาจเป็นปัญหาใหญ่ และด้วยความที่เรามีภาวะสมาธิไม่ปกติ(สมาธิสั้น) และ ลักษณะงานจะต้องใช้สมาธิทำอย่างต่อเนื่องเป็นหลัก ก็ยิ่งมีโอกาสก่อให้เกิดปัญหาได้อีกมากมายในอนาคต และส่งผลต่อหน้าที่การงานด้วยอย่างแน่นอน อย่างเบาสุดก็คงไล่ออก หรือ ทำงานอยู่ที่เดิมไปจนตาย ไปไหนคงไม่มีใครรับ ถ้ายิ่งไปลาออกตอนอายุมาก ก็คงทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ไปกันใหญ่ ลาออกตอนนี้ไปเรียนใหม่ และ ทำสิ่งที่เราถนัด อาศัยความชอบ และความสามารถเดิม คงยังช่วยส่งเรา ให้ก้าวหน้าไปได้ไกล แม้จะเริ่มต้นช้า
เพิ่มเติม ทำงานที่ไม่ถนัด เหมือนเอาปลามาฝึกปีนต้นไม้ เอานกมาหัดดำน้ำ ถ้าทำแบบนั้น มันคงรู้สึกว่าตัวมันเองไร้ความสามารถ แต่ถ้ามันได้ทำในสิ่งที่ถนัด มันก็ก้าวหน้าได้และ ประโยชน์จากสิ่งที่มันทำได้ มากกว่าไปบังคับให้มันทำในสิ่งที่ไม่ถนัดอีกมาก
2. บุคคลที่เราอยากให้สนับสนุนการตัดสินใจของเรา กลับไม่เห็นด้วย ทั้งๆที่เขาไม่เคยเห็นตอนเราทำงานจริง
เราทำได้ หรือไม่ได้ เรารู้จักตัวเองดี ถ้าเราทำได้ เราก็คงไม่อยากลาออกให้เสียเวลาหรอก ก็คงจะทำงาน เก็บเงิน ใช้ชีวิต ฮ่าๆๆ แต่งานมันมีบางอย่างที่เราไม่ถนัดอย่างมาก เพราะ ลักษณะงานต้องอาศัยสมาธิอย่างต่อเนื่องกับงานที่ทำ แต่การมีสมาธิอย่างต่อเนื่อง สำหรับเราเป็นอะไรที่ยากมาก และดูเหมือนกับว่าเราจะมีความบกพร่องในส่วนนี้ คือเราเป็นสมาธิสั้น(เป็นรูปแบบความผิดปกติของสมองส่วนหน้า ทำให้ไม่สามารถควบคุมสมาธิ ให้อยู่กับสิ่งที่ไม่ได้ชอบนานๆได้ หากแสกนการทำงานของสมอง จะมีรูปแบบที่ต่างจากคนปกติ) โดยเราได้ พยายามทุ่มเท หาวิธีทำงานให้ดีขึ้นมาตลอด ทำงานอย่างสุดความสามารถ แต่ผลลัพธ์ คือ แม้บางอย่างจะดีขึ้นบ้าง แต่ความผิดพลาด จากสมาธิที่ไม่เหมือนคนปกติ ก็ยังเหมือนเดิม สรุปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย
แต่บุคคลนั้นไม่สนใจ เอาแต่บอกอย่างไม่สนใจเหตุผลตามความเป็นจริง ว่า "เราทำได้" ซึ่งไม่รู้ว่าเขาเอาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธเรา เขาไม่เคยเห็นเราทำงานจริง ทุกอย่างมาจากความคิดไปเองของเขาล้วนๆ อย่างไม่มีเหตุผลมารองรับ เขาพยายามแปะป้ายว่าเราทำได้ และยังพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อควบคุมและชักนำเรา ให้เป็นไปตามที่เขาอยากให้เป็น ยัดเยียดให้เราไปทำงานที่เราไม่ถนัด ซึ่งมันเป็นการกีดกันเราจากสิ่งที่เราถนัดและมั่นใจ และ ถีบเราลงไปในนรก ของสิ่งที่เราไม่ถนัดและไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย ซึ่งมันเป็นการทำลายอนาคตของเราชัดๆ
เราพยายามจะคุยกับเขาด้วยเหตุผลแบบ "ปกติที่สุด" แต่ทุกครั้ง กลับกลายเป็นว่า เขาไม่เคยที่จะยอมคุยอย่างตรงไปตรงมาเลย ย้ำอยู่แต่คำพูดเดิมๆ จากความเชื่ออย่างไร้เหตุผลของเขา หารู้ไม่ว่าความเชื่อมั่นของเขาในตัวเรา แบบผิดๆ มันได้ทำเราเกือบตายมาแล้ว ฮ่าๆๆ หรือเวลาคุยกันทางโทรศัพท์ พอเราเริ่มคุยเข้าประเด็น แล้วเขาเริ่มจะไม่มีเหตุผลมาอ้าง เขาก็จะตัดสายทิ้งไปดื้อๆ พอเราโมโห เขาก็อ้างเหตุผลที่เราโมโห และไม่คุยกับเราอีก ไม่รู้ว่าเขามีอะไรในใจ หรือ มีความจริงอะไร ที่เขากลัวและไม่อยากยอมรับมันรึเปล่า
นอกจากนี้ หากมันเป็นเพียงการคิดผิดไปเองของเรา แบบหลงผิดไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เราเชื่อว่าไม่นาน เราก็จะกลับไปทำงานที่เราอุตส่าห์เรียนมาอย่างยากลำบาก จนสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานมาได้ อยู่แล้ว ไม่น่าจะมีอะไรต้องกังวล อะไรที่เป็นของเรา มันก็จะคงอยู่กับเรา แม้จะผ่านไปนานแค่ไหน ส่วนอะไรที่ไม่เป็นของเรา ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ฝืนยื้อมันไว้ไม่ได้หรอก
หากเขากลัวว่า ถ้าเราลาออกมาแล้ว เราจะลืมความรู้ที่เรียนมา ซึ่งเราว่าไม่น่ากลัว ถ้ามันจะลืมได้ง่ายขนาดนั้น แสดงว่ามันไม่ใช่ของเรา ถ้าจะลืมก็ลืมไปเลย กลับกัน เราเองก็มีความรู้บางอย่าง ที่เราชอบและศึกษาด้วยตนเอง แม้จะผ่านมา 10 ปี แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่มันยังคงอยู่กับเราไม่ลืมเลือนไปไหน ไม่เคยได้ทบทวนความรู้ด้วยนะ แถมยังเอามาต่อยอดได้ในปัจจุบันอีก อันนี้คงจะสรุปด้วยตัวเองได้นะว่า นี่มันเป็นของเราจริงๆ ไม่ต้องให้คนอื่นมายืนยันหรอก!!
3. ความมั่นคงที่แท้จริง ไม่ใช่ตำแหน่ง หรือ ฐานเงินเดือน แต่คือความสามารถของเรา
ถ้าเราไม่มีความสามารถจริง ทำงานไปก็อาจเกิดปัญหา หรือ แก้ปัญหาไม่ได้ และถูกไล่ออกได้อยู่ดี จะตำแหน่งสูง หรือเงินเดือนดีก็ไม่ได้ช่วยอะไร จะหาความมั่นคงได้จากไหน? แต่หากเป็นสิ่งที่เรามีความสามารถจริง ต่อให้เราไม่มีทรัพยากรอะไร เราก็สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ขึ้นมาจากไอเดียของเราเองเลยก็ยังได้ ไม่ต้องรอใครมาจ้างหรือให้โอกาสเรา
ความมั่นคงพื้นฐานในชีวิต คือ ความรู้ ความสามารถของเราที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เรารู้ได้ด้วยตัวเองว่าเราพัฒนาจริงหรือเปล่า
4. หากสามารถเลือกสิ่งแวดล้อมเองได้ ทำไมจะต้องไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีล่ะ?
สิ่งแวดล้อมมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของการพัฒนาตนเอง หากสามารถเลือกสิ่งแวดล้อมเองได้ ทำไมจะต้องไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีล่ะ? ถ้าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตเรา เช่น สอบเข้าเรียนต่อ เป็นต้น ก็ควรทุ่มเทกับมันให้ดีที่สุด
ถ้ามีเงินจะจ่าย ก็ควรจ่ายเพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองให้เก่งขึ้น การลงทุนในการพัฒนาตนเอง เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด และ ให้ผลตอบแทนที่แน่นอนที่สุด เพราะ เราจะเป็นผู้รับประกันความเสี่ยงของตัวเราเอง (เหมือนซื้อหุ้นเพื่อลงทุนในบริษัท ที่เราเป็นผู้ดำเนินการเอง บริษัทจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็อยู่ที่เราว่าพัฒนาตนเองได้แค่ไหน)
สิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ได้เน้นในแง่ความสะดวกสบายทางกายภาพ(แม้จะมีส่วนในการพิจารณา) แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดจาก "คน" มากกว่า เช่น คนพาลที่พยายามจะทำลายประโยชน์ของเรา, คนไม่มีสติปัญญา สร้างปัญหาไร้สาระ ให้เกิดกับตนเอง แล้วเราต้องไปช่วยแก้ไข จนเสียเวลาอันมีค่าในชีวิต ไปกับปัญหาไร้สาระจากคนอื่น(ปัญหานึง เสียเวลาไป 10 วัน เราก็นำไปใช้ ทำอะไรได้เป็น 10 อย่างแล้วนะ) เป็นต้น
แต่ในกรณีที่เลือกสิ่งแวดล้อมเองไม่ได้ เช่น ยังหาเงินเองไม่ได้ เป็นต้น ก็อาจจะหาวิธีหลีกเลี่ยงชั่วคราว เช่น ออกไปอ่านหนังสือที่อื่นที่เหมาะสมกว่านี้ เป็นต้น
อย่าไปคิดว่าจะต้องช่วยคนอื่น ปัญหาจากความไม่เข้าใจชีวิตของคน เกิดขึ้นอยู่เสมอๆในโลก เราต้องทุ่มเทกับการช่วยตัวเองให้ดีขึ้นก่อน แล้วจึงจะไปช่วยคนอื่นได้ และต่อให้เราไปช่วยเขาครั้งหนึ่ง หากเขายังไม่เข้าใจชีวิต และ ไม่เรียนรู้ ปัญหาก็จะเกิดกับชีวิตเขาอีกไม่จบสิ้นอยู่ดี จะมีอีกวิธีคือ เราต้องพัฒนาชีวิตตนเองก่อน จนมั่นคง จึงจะเป็นที่พึ่งพาให้กับคนอื่นไปได้ตลอด
5. ถ้ายังอยู่ในระหว่างพัฒนาตนเอง ยังไม่มีรายได้ประจำ อย่าไปลงทุนใดๆ ให้โฟกัสที่การพัฒนาตนเอง
ถ้าเอาเงินเก็บอันน้อยนิด ไปลงทุนตอนนี้แล้วดันเจ๊ง ความหวังในการพัฒนาตนเองก็จะล้มละลายไปด้วย
อดใจรอ จนกว่าเราจะมีอาชีพและสร้างรายได้เองได้แล้ว ค่อยแบ่งเงินบางส่วน เอาไปลงทุน
หรือถ้าจะลงทุน ก็ลงในจุดที่เสี่ยงน้อยที่สุดของกราฟ และ ลงทุนในจำนวนเงิน เท่าที่จะยังไม่มีผลกับชีวิต หากเกิดการขาดทุน
Tags
หลังจากที่คราวก่อน ได้มีปัญหาว่า จะเลือกกลับบ้าน หรือไม่กลับบ้านดี คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก หาทางแก้ไม่ได้ ล่าสุดก็มีทางแก้แล้ว คือ โน้มน้าวคนที่บ้านให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่เสียเลย เหตุผลคือ ถ้าเปรียบเทียบสิ่งแวดล้อม 2 แบบ ทั้งดีและไม่ดี ดังนี้
- สิ่งแวดล้อมเดิม ที่ มีแต่คนรอบข้าง คิดจะหาเรื่องกลั่นแกล้ง เอาเปรียบ หลอกลวง คอยพยายามขัดขวางความเจริญ และ การพัฒนาตนเองของเรา
- สิ่งแวดล้อมใหม่ สิ่งแวดล้อมสะดวกสบาย เหมาะกับการพัฒนาตนเอง ใกล้แหล่งความรู้ เช่น ห้องสมุด ศูนย์หนังสือขนาดใหญ่ วัดสำหรับปฏิบัติธรรม เป็นต้น เดินไปหาความรู้ได้ฟรีและทุกเวลา มากด้วยเหล่าปัญญาชน เพราะ อยู่ใกล้แหล่งสถานศึกษา มีที่ออกกำลังกาย ไม่ต้องคอยพะวงระวังว่า วันไหนจะพบปัญหาจากคนรอบข้าง
ถ้าต้องอยู่สิ่งแวดล้อมไม่ดี เป็นเวลา 3 ปี ชีวิตเรา ต่อให้เรารักษาตนเองให้ไม่ทะเลาะกับใครได้ ชีวิตเราก็อาจพัฒนาได้ช้า หรือ ไม่พัฒนาไป ซึ่งแม้จะดูเหมือนไม่ขาดทุน แต่จริงๆ เราเสียเวลาชีวิตไป 3 ปี
ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นเวลา 3 ปี ได้อยู่ในหมู่คนเก่งๆ เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ แก้ปัญหาด้วยเหตุและผล ในแต่ละวันสามารถเข้าไปหาความรู้ด้วยการอ่านหนังสือในห้องสมุด หรือ ศูนย์หนังสือ ได้ฟรีทั้งวัน ได้มีที่ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ชีวิตเราก็พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นตลอด 3 ปี ถ้าคำนวณแล้วก็คงดีกว่าทางเลือกเก่าหลายเท่านัก
Tags
(*****แนะนำให้ข้ามไปอ่าน สรุปที่ย่อหน้าสุดท้าย ของหน้านี้เลย!!!!*****)
ขอบันทึกวิเคราะห์ตัวเอง เกี่ยวกับการไม่กลับบ้าน แต่กลับเช่าหออยู่แทน โดยคร่าวๆคือ
- มีหลักความคิดที่ขัดแย้งกับที่บ้าน โดย ที่บ้านเข้าใจว่าเงิน คือความมั่นคง แต่เรามีความเห็นว่า ความรู้ ความสามารถที่เรามี รวมถึงความรู้ด้านการเงิน คือความมั่นคงที่แท้จริง เพราะ ถึงแม้มีเงิน แต่ไม่มีความรู้หรือรู้ไม่จริง เงินก็หมดอยู่ดี
- ด้วยหลักความคิดที่ขัดแย้งกัน ทำให้เกิดความพยายามในการครอบงำความคิดอีกฝ่าย และ ทำให้เราเองเสียเวลา เสียแรง เกิดความล่าช้าในการพัฒนาตนเองไปมาก เช่น
- เวลาที่เราพยายามพูด อธิบาย ให้คนอื่นฟัง ไม่กลับมีการรับฟัง ไม่มีการตอบกลับอย่างสมเหตุผล
- แต่กลับเอา แต่พยายามป้อนความคิดของตนเอง เอาประโยชน์มาหลอกล่อ เพื่อชักจูงเราอยู่เรื่อยๆ
- ตนเองก็ยังถูกกิเลสชักจูง เพียงแค่การการพัฒนาตนเองพื้นฐาน ยังทำไม่ได้ กลับจะมาชี้นำเรา
- ความคิดผิดๆ ในข้างต้นก็นำมาสู่ การตัดสินใจผิดๆ จนเกิดปัญหาทั้งหลายแหล่ แบบที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในชีวิต ก่อให้เกิดความเสียเวลาอันมีค่าในชีวิต เปลืองเรี่ยวแรง เปลืองสติปัญญา ไปเปล่าๆกับปัญหาไร้สาระ ทั้งๆที่เราคอยเตือนอยู่หลายครั้งก็ไม่สนใจฟัง ยังคงคิดว่าตัวเองถูกอยู่เสมอ เช่นว่า ซื้อบ้านไม่ดูคนรอบข้าง หวังจะมีกำไรมากๆในอนาคต แต่ตอนนี้สุขภาพจิตในปัจจุบันก็ย่ำแย่ไปแล้ว เพราะ รอบบ้านแวดล้อมไปด้วย คนที่นึกถึงแต่ประโยชน์ตนเองและคอยเอาเปรียบผู้อื่น ควรจะหาที่สิ่งแวดล้อมดี สังคมที่มีสติปัญญามากกว่านี้ แม้จะต้องจ่ายแพงกว่านิดหน่อยก็ตาม
- นอกจากนี้ เรายังต้องกลับมาช่วยเหลือ ปัญหาที่เราไม่ได้ก่อ เหล่านี้ ที่เกิดขึ้นด้วย แทนที่เราจะได้เอาเวลาและเรี่ยวแรงอันมีค่า ไปพัฒนาตนเอง ซึ่งจะเกิดประโยชน์มากกว่าแบบร้อยเท่า พันเท่า ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
- การลงทุนที่บางคน คิดว่าคุ้มค่า แต่คิดไม่รอบคอบ และ หารู้ไม่ว่า ขวางการพัฒนาชีวิตตนเองไปอีกหลายปี ต่อให้ในอนาคตได้กำไรจากการลงทุนดังกล่าว ก็อาจไม่เพียงพอกับที่เสียโอกาสชีวิตในปัจจุบันไปมากมาย
- ถ้าเพียงแค่การตัดสินใจผิดๆ ของคนอื่น กลับสามารถก่อให้เกิดความลำบากในชีวิตของเราได้ เราควรหลีกเลี่ยงออกจากจุดนั้น
- นอกจากนี้ เรายังต้องกลับมาช่วยเหลือ ปัญหาที่เราไม่ได้ก่อ เหล่านี้ ที่เกิดขึ้นด้วย แทนที่เราจะได้เอาเวลาและเรี่ยวแรงอันมีค่า ไปพัฒนาตนเอง ซึ่งจะเกิดประโยชน์มากกว่าแบบร้อยเท่า พันเท่า ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
- ด้วยหลักความคิดที่ขัดแย้งกัน ทำให้เกิดความพยายามในการครอบงำความคิดอีกฝ่าย และ ทำให้เราเองเสียเวลา เสียแรง เกิดความล่าช้าในการพัฒนาตนเองไปมาก เช่น
- เราไม่อยากให้ การที่เราพยายามพัฒนาตนเองมานั้น สูญเปล่า เพราะ เราได้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ทุกย่างก้าว จากการพัฒนาตนเองที่ทำมาเรื่อยๆ แสดงว่ามันมีประโยชน์จริงๆ แต่ถ้าต้องอยู่กับคนที่ไม่เห็นความสำคัญของการพัฒนาตนเอง เราก็กลัวว่าจะได้รับผลกระทบ จนแบบแผนชีวิต ที่เราพยายามสร้าง ให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างสูงสุด จะเสียไปไม่มากก็น้อย แต่อย่างน้อยชีวิตน่าจะลำบากขึ้น
- วิธีแก้หนึ่ง คือ ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เห็นความสำคัญและรู้จักพัฒนาตนเอง หรือ อย่างน้อยรักษา ดูแลตัวเองไม่ให้เสื่อมถอย
- แต่หากเราพยายามทำทุกวิถีทางแล้ว ก็ไม่มีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ก็ถอยออกมาเถอะ
- นอกจากนี้หากบางคนบอกจะเปลี่ยนแปลง ก็ไม่ควรไว้ใจคำพูดหรือการกระทำในระยะสั้นๆของใครทั้งนั้น จะดูคนต้องดูยาวๆ การเปลี่ยนในระยะสั้นๆ ก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่จะอยู่ร่วมกันได้อยู่ดี เพราะคนเรากว่าจะพัฒนาเป็นคนใหม่จริงๆ ต้องผ่านอะไรอีกมากมาย
- ถ้าเราไปช่วยคนอื่น ทั้งๆที่ตัวเราเองก็ยังเอาตัวไม่รอด เราอาจจะถูกเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงแทน เรื่องประโยชน์ในอนาคตก็คงไม่สามารถหวังอะไรได้ อีกทั้งคนที่เราไปช่วย ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองมีปัญหาอะไร แถมยังไม่รับความช่วยเหลือเราอีก แล้วถ้าเราเองถูกเขาดึงไปในทางแย่ลง สุดท้ายเขา ก็จะด่าเราแทน ฉิบหายกันหมด มองกลับกัน ถ้าการเก็บตัวของเราเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี แล้วกลับมาทำประโยชน์ให้อีกยาวนาน หากมันสำเร็จเขาก็คงจะชมด้วยซ้ำ(ถ้าด่าเราคงแปลก) อีกทั้ง เราไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะทำร้ายเขาแม้แต่น้อย
- เหมือนเราจะช่วยสัตว์ป่า ถ้าเราบุ่มบ่ามเข้าไปแบบไม่คิด มันคงไม่เข้าใจว่าเราจะช่วยและอาจทำร้ายเรา แต่ถ้าเราเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์ แผนการณ์ ก่อนไปช่วย ก็จะสำเร็จได้ง่ายขึ้น โดยไม่มีใครบาดเจ็บ
- หรือเวลาเห็น คนกำลังจมน้ำอยู่อย่างทรมาน ถ้าเราบุ่มบ่ามกระโดดลงไป ไม่สำรวจความพร้อม เราอาจดึงจมน้ำไปด้วยก็ได้ อย่างไรก็ต้องวางแผนเตรียมตัวก่อน ไม่งั้นคงถูกดึงจมน้ำไปด้วยกัน
- แต่จริงๆ กรณีของเรา ไม่ได้มีใครที่เราต้องช่วยจริงๆด้วยซ้ำ มีเพียงบางคนที่บ้านที่ยึดติดในความคิดหรือการตัดสินใจผิดๆของตนเอง ทั้งๆที่ทุกวันนี้ ตัวเขาเองสามารถเลือกชีวิตที่ดีได้ด้วยตนเองแล้ว แต่กลับเลือกจมปรักอยู่กับสิ่งแวดล้อมแย่ๆ ยึดติดกับทรัพย์สินเพื่อหวังกำไรในอนาคต โดยมองไม่ออกว่า ชีวิตตอนนี้ของเขาเอง กำลังขาดทุนในทุกๆด้าน ทั้งสุขภาพจิต สุขภาพกาย ประสบการณ์ดีๆที่ควรจะได้รับในชีวิต เป็นต้น โดยกำไรในอนาคตที่เขาหวังไว้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะคุ้มค่ากับเวลาในชีวิตที่เสียไปไหม และก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชาตินี้ จะได้ทันเห็นกำไร ดังที่ตนเองหวังไว้ไหม เรื่องการใช้กำไรก็คงไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งลูกหลานก็ไม่ได้ด้อยความสามารถ ถึงขนาดหาเลี้ยงชีพเองไม่ได้ และต้องรอรับมรดกจากบรรพบุรุษเพื่อเลี้ยงชีวิต
- สิ่งที่ควรทำ คือ ไม่จำเป็นต้องกลับไปอาศัยเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาจะยิ่งเข้าใจ ว่าตนเองตัดสินใจถูกมากขึ้นไปอีก แต่ควรบอกเขาว่าให้แสวงหาประโยชน์ในชีวิตกับเวลาที่เหลืออยู่เถอะ อย่าเอาเวลามาเฝ้าทรัพย์สิน และทำให้ตนเองลำบากเลย ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุข เป็นกำไรชีวิตจะดีกว่า
- แผนต่อไปคือ อย่างน้อยเราต้องมีที่อยู่ ที่เรามีอำนาจสูงสุดในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับตัวเราเอง และหลีกหนีจากคนที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง อย่างน้อยๆ ขอให้ในขณะนั้นมีที่ ซึ่งเป็นขอบเขตของเราจริงๆอยู่ ซึ่งจะทำโดยการเช่าหอถูกๆ ในกทม.อยู่ ไม่อยู่บ้าน โดยอาจกลับบ้าน ไม่เกินวันเว้นวัน (ไปดูแลคนที่บ้านได้ แต่ไม่อยู่ร่วมกัน 24 ชั่วโมง ให้เกิดความขัดแย้ง เสียเวลาของเราเอง)
- ในเรื่องความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปกับหอพัก โดยส่วนตัวมองว่าคุ้ม ถ้าหากทำให้ เราพัฒนาตนเองได้ดีขึ้นนะ ถ้าอนาคตเราเก่งขึ้นแล้วจริงๆ เงินเพียงเท่านี้ไม่นานก็หาคืนมาได้ แถมยังหามาได้มากกว่านี้หลายเท่า สักสิบ ร้อย พันเท่า เป็นต้น
- เทคนิคการเช่าหอพักให้ประหยัด และดี
- ค่าหอถูก ไม่ได้ ถูกเสมอไป ต้องคำนวณปัจจัยในการเดินทางด้วย เช่น
- ค่าหอ 2,300 บาท ค่าเดินทาง อย่างน้อย BTS ประมาณ 1,200 บาท (60 บาท/วัน) รวม 3,600 บาท ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก และ แค่เดินทางก็แทบหมดเวลาชีวิตแล้ว
- ค่าหอ 3,500 บาท แต่อยู่ใกล้มหาลัย/ที่ทำงาน แทบจะเดินได้เลย อาจไม่ต้องจ่ายค่าเดินทาง(หรือ ไม่ก็ซื้อจักรยานมือสองเพิ่มอีกคันนึง ขี่ชิวๆ), ดูแลดี, ยังแถม WiFi ฟรี, อยู่ใกล้ศูนย์การค้า ฯลฯ ชีวิตไม่ต้องลำบาก มีเวลาไปพัฒนาตนเอง หรือหางานพิเศษทำได้อีก
- ถ้าหอพักอยู่ไกลมาก จากมหาลัย/ที่ทำงาน จนเดินทางลำบาก อาจปิดโอกาสการพัฒนาตนเองหรือทำงานพิเศษ เพราะ ใช้เวลาในแต่ละวันกับการเดินทางไปหมด
- งบประมาณที่ต้องเตรียมอย่างอื่น ก็เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำ เดือนละ 1,000 บาท, ค่าอาหาร ประหยัดสุดๆเดือนละ 1,000บาท(เคยเขียนบทความวิธีประหยัดอยู่นะ) ค่า WiFi แล้วแต่หอพักว่าให้ฟรีไหม
- งบประมาณโดยรวมทั้งหมด อยู่ที่เดือนละ 6,500 บาท 4 ปี ก็ประมาณ 312,000 บาท
- ค่าหอถูก ไม่ได้ ถูกเสมอไป ต้องคำนวณปัจจัยในการเดินทางด้วย เช่น
ปล. เรื่องการไม่กลับบ้าน เราไม่ได้โกรธอะไรกับที่บ้านนะ เพียงแต่เราไม่ไว้ใจใคร ไม่ต้องการถูกรุกล้ำ พื้นที่ความคิด การตัดสินใจ และ กลัวการถูกคนอื่นครอบงำชีวิต แต่เวลามีปัญหาอะไรก็กลับไปดูแลกันได้ และไปเยี่ยมกันเป็นปกติ วิธีนี้น่าจะลงตัวที่สุด
แก้ไข**
ตอนนี้เปลี่ยนใจจะกลับบ้านแล้ว? เหตุผลคือ
- ตอบแทนบุญคุณ ผู้มีพระคุณ ด้วยการปรณนิบัติ ไม่ทอดทิ้ง
- หากเราไม่กลับไป ที่บ้านอาจแย่ลง เพราะ เขาก็ไม่เคยเห็นคนที่ฝึกฝนตนเอง ก็ไม่รู้ว่าคนที่พัฒนาขึ้นเป็นอย่างไร
- เราจะไม่แย่ลงในด้านการพัฒนาตนเอง ด้วยการมีข้อกำหนดในการใช้ชีวิตของเราเอง ไม่ให้คนอื่นมายุ่ง(แค่กลับบ้านเพื่อมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ให้เห็นหน้ากันและคุยกันง่ายๆ แต่อย่างอื่นที่เป็นเรื่องส่วนตัวทั้งหมด ห้ามยุ่ง ทำเสมือนว่าไม่มีตัวตน จะมีตัวตนเฉพาะตอนคุยกันเท่านั้น) ตัวอย่างข้อกำหนด ก็เช่น
- ช่วงเวลาการทำ Intermittent fasting เวลากินอาหาร เวลาอดอาหาร ปริมาณอาหาร จำนวนมื้ออาหาร
- การออกกำลังกายตอนเย็น
- ทำอาหารกินเอง ซื้อผลไม้เอง จะขอแบ่งกินก็ได้
- ซักผ้าเอง
- ฯลฯ
- เผื่อทางหนีไว้ด้วย เก็บเงินไว้เวลาฉุกเฉิน ถ้าเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเราเอง คือ การกลับบ้านทำให้ตัวเราถดถอยลง มีคนพยายามควบคุมชีวิตเรา เราก็พร้อมจากไปในทันที ข้าวของก็เอาไปเท่าที่จำเป็นต้องใช้ และแบกไปได้
หรือยังไงดีนะ?
- จริงๆ ก็ยังมีอีกเหตุผลที่เราไม่ควรกลับบ้าน คือ เราโตแล้ว ไม่ควรต้องพึ่งพาที่บ้านอีก ยังไงเราก็ต้องพึ่งพาตนเอง จนกว่าจะประสบความสำเร็จ มีชีวิตที่มั่นคง เราจะไม่พึ่งพาที่บ้านเป็นอันขาด ถ้าต้องพึ่งพาคนอื่น เราก็ต้องอยู่ใต้อำนาจการควบคุมของเขา ซึ่งมันไม่ดีกับเราเท่าไหร่
- แต่เรื่องการช่วยเหลือที่บ้านเวลามีปัญหา สามารถทำได้ เพราะ เป็นการตอบแทนบุญคุณ
สรุปว่า กลับบ้านนะ
- ถึงแม้พ่อแม่เราจะยังมีกิเลส(ทุกๆคนก็น่าจะยังมีกิเลสนะ แม้แต่ตัวเราเอง) ยังเข้าใจอะไรต่ออะไรผิดได้ แต่ก็เป็นคนที่บริสุทธิ์ใจต่อเราเสมอ ยังไงเราก็ต้องช่วยเหลือ ไม่ทอดทิ้ง หากทั้งชีวิตเราไม่เหลือใคร ก็จะมีคนที่ปรารถนาดีกับเราก็คือพ่อกับแม่ของเรานี่แหละ แต่ก่อนตอนที่เรายังเลี้ยงดูตัวเองไม่ได้ พ่อแม่ลำบากแค่ไหน ก็ยังพยายามเลี้ยงดูเราอย่างดีที่สุด เท่าที่เขาจะพยายามทำได้ แม้เราจะเป็นปัจจัยให้เขาต้องมีชีวิตที่ลำบากมากขึ้นก็ตาม ทั้งด้านทางกายภาพ และ ทางจิตใจ (อย่างสำหรับเรา มีเพียงแม่ ที่เลี้ยงดูเรามาโดยลำพังด้วยนะ!!!) พอเราโตขึ้นแค่กลับมาเลี้ยงดู ดูแล พวกเขา ยังสามารถทำได้หรือไม่?! ก็ยิ่งต้องเลี้ยงดูพวกท่านนะสิ!!
- ทั้งนี้อะไรที่ ไม่ถูกในความคิดเรา หรือ จากการที่เราเรียนรู้จากการศึกษาที่สูง(มั้ง) เราก็จะไม่ทำ อะไรที่ถูก จึงจะทำ ก็เท่านั้น เป็นเพียงเรื่องความไม่เข้าใจกันเล็กน้อยเอง
Tags
หลังจากที่ได้ใช้เวลาหลายเดือน เรียนรู้เรื่อง Self Development ซึ่งมุ่งเน้นมาที่การเรียนรู้และพัฒนาตนเอง จนได้หลักประมาณนึงแล้ว ทั้งการกินอาหารแบบ Intermittent Fasting, สูตรอาหาร ที่เหมาะสมกับตนเอง, วิธีการเก็บเงิน-การวางแผนการเงิน, การออกกำลังกาย แบบ HIIP, การถือศีล 8 เพื่อทำ Dopamine Fasting, การเปลี่ยนแปลงนิสัย-ความเคยชินในปัจจุบัน เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต, การเลือกคบคน-ไม่คบคน, การนั่งสมาธิ และสุดท้ายคือ การเจริญสติเพื่อยกระดับจิตใจ จนตอนนี้ค่อนข้างอยู่ตัว รู้สึกว่าความรู้ที่มีอยู่เท่านี้ ก็เพียงพอที่จะพัฒนาตนเองไปได้เรื่อยๆแล้ว ก็คงพักการหาข้อมูลงานวิจัยด้านสุขภาพ-การแพทย์ต่างๆไปก่อน เหลือเพียงทำตามสูตรสำเร็จ ที่ตนเองได้บันทึกไว้ ไปเรื่อยๆ
ต่อจากนี้ ก็จะเอาตนเองที่ถูกพัฒนาขึ้น มาใช้ประโยชน์ต่อใน การเรียนรู้สิ่งที่อยู่ภายนอก มากขึ้น หรือที่เรียกว่า Productivity ทั้งการเขียนโปรแกรม, การเรียนภาษา หรือ การศึกษาศาสตร์อื่นๆ รวมถึงการหาเงิน ต่อไป
แต่ก็ยังคงมีประเด็นเรื่องการพัฒนาตนเองเหลืออยู่บ้างแหละ ไม่ได้หายไปทั้งหมดหรอก