โดยส่วนตัวมีปัญหาเรื่องการแบ่งเวลาอ่านหนังสือ คือ เวลาอยู่คนเดียวมักจะวอกแวก และ แสวงหาสิ่งบันเทิงเช่น การ์ตูน เกมส์ เรื่อยเปื่อย ทำไปเรื่อยๆ ไม่สามารถมีพลังใจ วินัย หรือ สมาธิจดจ่อกับหนังสือได้
แต่หลังจากได้ลอง ไล่เรียง ทำเป็นตารางเวลาของ ในชั่วโมง ของแต่ละวัน ในสัปดาห์ ออกมา(ที่สามารถเป็นไปได้จริง) ก็พบว่า เมื่อได้เห็นภาพรวมของเวลาที่มีทั้งหมดในแต่ละวัน ทำให้เห็นจำนวนเวลาว่างที่มากพอ สำหรับอ่านหนังสือ ซึ่งทำให้รู้สึกถึงความเป็นไปได้ ที่จะเกิดความก้าวหน้าในการอ่านหนังสือ (หากทำตามตาราง) และเมื่อเห็นความเป็นไปได้ ทำให้เกิดพลังใจที่จะเลิกฆ่าเวลาเรื่อยเปื่อย ทำสิ่งบันเทิงไร้สาระ มาทำตามวินัยได้
วิธีการคือ list กิจกรรมหลักๆที่เราต้องทำ เป็นรายชั่วโมง โดยอาจแยกเป็นวันทำงาน และ วันหยุด (แต่โดยส่วนตัวมีวันอดอาหาร ที่มีตารางเวลาอีกแบบด้วย) โดย list เฉพาะกิจกรรมหลัก ไม่เอากิจกรรมย่อยๆ พยายามทำให้เรียบง่าย(simple) สะอาดตา ไม่มีรายละเอียดรุงรัง เพื่อให้ทำตามได้ง่าย

List เป็นรายชั่วโมง เฉพาะ activity หลักๆ ไม่เอา activity ย่อยๆ
ข้อดี ของการไล่เรียงตารางเวลา ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนนิสัย เพื่มวินัย คือ
- positive reinforcement: เห็นความเป็นไปได้ หรือ เห็นศักยภาพ ของการทำตามตารางเวลา ว่าถ้าทำอดทน มีวินัย ทำตามตาราง จะทำให้มีเวลาสำหรับอ่านหนังสือในวันนั้นจริงๆ จะเป็นโอกาสที่เราจะสามารถพัฒนาชีวิตเราให้ดีขึ้นได้ จะทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำตามแผน เพราะ ไม่อยากปล่อยโอกาสตรงหน้าให้ลอยหลุดมือไป
- negative reinforcement: เกิดความละอายใจและเสียดายเวลาอ่านหนังสืออันแสนมีค่า อันเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองให้ดีขึ้น หากว่าเราจะเอาไปทิ้งเปล่าๆกับกิจกรรมให้ความบันเทิงที่ไม่ได้เกิดประโยชน์จริง ความละอายและเสียดายจะทำให้เราอยากเอาเวลามาอ่านหนังสือมากกว่า
- มีความยืดหยุ่น คือ หากเราอยากเอาเวลามาทำสิ่งไร้สาระบ้าง การที่เรารู้ว่าเราทำอะไรได้บ้างในแต่ละวัน เราก็จะสามารถประเมินและแบ่งเวลาอย่างเหมาะสมได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลหรือรู้สึกผิด ว่าจะกระทบกับสิ่งสำคัญที่ต้องทำมากนัก
นอกจากนี้หากเราเอามาผนวกเป็นการบันทึกกิจกรรมแต่ละวัน เราจะได้รู้ด้วยว่าการปฏิบัติจริงได้มากน้อยเพียงใด มีอะไรควรปรับปรุงบ้าง ทั้งปรับปรุงตัวเอง(ส่วนมาก), ปรับปรุงตารางเวลา(ส่วนน้อย ในกรณีที่ตารางเวลาเกินความเป็นจริงมากไป)

สัดส่วนกิจกรรมที่ทำเพื่อการพัฒนาตนเอง
จากตาราง นอกเหนือจากการทำงานและกิจกรรมทั่วไปในชีวิต เวลาที่เหลือ จะเป็นเวลาของการพัฒนาตนเอง ซึ่งในเวลาเหล่านั้น จะแบ่งเป็น 3 หมวดหลัก ดังนี้
- Routine for life(2 ชม.) เป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องทำ เพื่อชีวิตในอนาคต เป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อเติมเต็ม ความชอบ หรือ ความฝันที่เราอยากจะเป็น ในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้า เช่น เขียนโปรแกรม, อ่านตำรา Financial เป็นต้น
- Routine for work(2 ชม.) เป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องทำ เพื่อชีวิตในปัจจุบัน และ มักมีลักษณะของความจำเป็นเร่งด่วน เป็นกิจกรรมที่ทำ เพื่อพัฒนาการทำงาน หรือ การเรียนในปัจจุบัน ของเราให้ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี เช่น อ่านตำราหรือหนังสือเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับการทำงาน/การเรียน เป็นต้น
- Casual / relax for skill(0.5 ชม.) เป็นกิจกรรมย่อยๆ เล็กๆ ที่ผ่อนคลายระหว่างวัน เน้นการฝึกทักษะอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อ่านนิยายภาษาอังกฤษ, อ่าน English grammar, เล่นเกม Tetris, ฝึกเล่น Piano, และ อาจรวมถึงกิจกรรมหาความรู้อื่นๆ เช่น อ่านงานวิจัยที่สนใจ เป็นต้น
โดยจะเขียนเป็น สิ่งที่อยากพัฒนา ตามลำดับ ออกมาไว้สำหรับแต่ละหมวด แต่จะทำเฉพาะรายการแรกของแต่ละหมวดจนจบ จึงจะเปลี่ยนไปรายการถัดไปของหมวดนั้นๆ หมายความว่า ในช่วงเวลาหนึ่งๆ จะทำพร้อมกันได้สูงสุด3อย่าง(ลำดับแรกของแต่ละหมวด) ไม่มากเกินไปกว่านี้ เพราะ จะไม่ต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ สำหรับกิจกรรมในหมวด casual อาจสลับวนกันไปภายในหมวดได้ เพราะ เป็นการฝึกทักษะเล็กน้อย ไม่ได้ต้องการความต่อเนื่องมากนัก
โดยปกติถ้าไม่มีอะไรเร่งด่วน แนะนำให้ทำ Routine for life ก่อน Routine for work เสมอ เพราะ เป็นสิ่งที่เราชอบ ซึ่งขณะที่ทำสิ่งที่ชอบ จะช่วยให้เรามีความกระตือรือร้น มีสมาธิ จากนั้นค่อยนำความกระตือรือร้นไปอ่าน For work ต่อ จะได้ผลดีกว่า เพราะ หากเราทำสิ่งที่ไม่ชอบก่อน เราจะมีสมาธิกับมันได้ยาก วอกแวก ซึ่งทำให้ฝึกหรืออ่านได้ไม่เต็มที่ และ ไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงอาจเกิดความรู้สึกผิดต่อตนเอง ที่ฝึกหรืออ่านได้ไม่ดี จนพยายามต่อเวลาเพิ่ม และ เบียดบังเวลาส่วนอื่น จนตารางเวลาเสียไปอีก และวนกับความไม่มีประสิทธิภาพแบบไม่รู้จบ
เพิ่มเติม
- อาจมีตารางเวลา สำหรับการจัดระเบียบชีวิตตนเอง เช่น ทำความสะอาดและจัดระเบียบที่อยู่อาศัย ทุก 2 สัปดาห์, ล้างห้องน้ำทุกต้นเดือน เป็นต้น เพราะ ที่อยู่อาศัยก็มีผลต่อ productivity เช่นกัน คงไม่สะดวกเท่าไหร่ หากต้องอ่านหนังสือหรือทำงาน ท่ามกลางห้องที่ไม่เคยเก็บกวาด ข้าวของไม่เคยถูกจัดระเบียบ
ตัวอย่าง การแบ่งหมวดกิจกรรมพัฒนาตนเอง ออกเป็น 3 กลุ่ม

ปัจจัยที่สำคัญในการเปลี่ยนหรือขัดเกลานิสัย
- การฝึกเปลี่ยนนิสัย ต้องมีแรงจูงใจเชิงบวก(positive reinforcement) หรือ แรงผลักดันเชิงลบ(negative reinforcement) จะมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ทั้งสองอย่างได้ยิ่งดี
- อ่านหนังสือหรือทำงานในห้องสมุด โดยส่วนตัวอ่านได้ดีกว่า อ่านคนเดียวในห้อง
- มี positive reinforcement คือ การมีสมาธิกับการอ่านทำให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนขยัน
- มี negative reinforcement คือ หากไปทำสิ่งไร้สาระ เช่น เล่นเกมส์ หรือ ดูการ์ตูน อาจถูกคนอื่นตำหนิว่ารบกวนสมาธิ หรือ ถูกมองว่าเป็นคนไม่เอาไหนได้ ก็จะทำให้เราไม่อยากทำสิ่งไร้สาระในขณะอยู่ในห้องสมุด
- ตัวอย่างอื่นๆ(คลิปตัวอย่างการเปลี่ยนนิสัย โดยใช้แรงผลักดันเชิงลบ)
- อ่านหนังสือหรือทำงานในห้องสมุด โดยส่วนตัวอ่านได้ดีกว่า อ่านคนเดียวในห้อง
- ความหวังเป็นอีกแรงจูงใจที่สำคัญ มีการทดลองเกี่ยวกับความหวัง และ ความสิ้นหวัง คือ หากว่าเราเห็นความเป็นไปได้ มีความหวัง(ไม่ว่าจะเป็นความจริง หรือ เข้าใจผิดก็ตาม) เราจะมีแรงใจในการทำมันต่อไปเพิ่มขึ้นอีกมาก การทดลองคือ ให้หนูว่ายน้ำอยู่ในเหยือกน้ำที่ปีนขึ้นเองไม่ได้ หนูที่สิ้นหวัง จะยอมแพ้และจมน้ำภายใน 15 นาที แต่กลับกันหนูอีกส่วน จะถูกช่วยเหลือ1ครั้ง ตอนใกล้หมดแรง(เพื่อให้รู้สึกว่า ยังมีความหวัง หากว่ายไปเรื่อยๆ) แล้วปล่อยกลับลงไปว่ายน้ำใหม่ จะว่ายต่อได้ถึง 60-80 ชม โดยไม่พัก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความหวัง และ พลังใจ มีผลต่อความพยายามอย่างมาก
Leave a Reply