ความสัมพันธ์กับผู้คนเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว
ความสัมพันธ์กับผู้คน อย่าเก็บมาใส่ใจ บางครั้งผู้คนก็ดีกับเรา บางครั้งผู้คนก็ไม่ดีกับเรา เพียงแต่เราทำดีที่สุดกับผู้อื่นเสมอ เท่าที่ขอบเขตของเราจะทำได้ก็พอ
แต่การที่เราทำดี อย่าหวังว่าผู้อื่นจะต้องมาดีตอบแทนเรา อย่าได้ใส่ใจ หรือให้ค่ากับความสัมพันธ์กับคนอื่นมากนัก อย่าแสวงหามิตรที่เที่ยงแท้จากปุถุชนผู้มีกิเลส มีเพียงพระอริยบุคคลเท่านั้นที่จะเป็นมิตรกับเราได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย(แต่เราสามารถฝึกตน ให้ทำดีแบบเสมอต้นเสมอปลายได้ – แต่ก็ยังยากเพราะเราก็ยังมีกิเลส) กระทั่งพ่อแม่ แม้จะรักเราแต่ก็ยังมีกิเลสและความหลงผิด และอาจใช้ความรักในทางที่ผิดได้
แต่ควรระวังไม่ให้ผู้อื่นมาเบียดเบียนเรา สิ่งที่เราควรทำคือ ทำให้ดีที่สุดในขอบเขตของเรา ไม่ล่วงล้ำขอบเขตผู้อื่น และ ไม่ให้ผู้อื่นมาล่วงล้ำขอบเขตของเรา
มิตรหรือศัตรูถาวรไม่มีจริง บางทีมิตรก็เปลี่ยนเป็นศัตรู หรือ ศัตรูก็เปลี่ยนมาเป็นมิตรได้ ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์ได้ แต่อย่ายึดติดใดๆกับมัน
ความลับที่สำคัญ ไม่ควรบอกใครทั้งนั้น กระทั่งคนใกล้ชิด
ไม่ควรบอกความลับ หรือเรื่องส่วนตัวของเรา กับใครทั้งนั้น จนกว่าความลับนั้นจะไม่มีผลใดๆกับเราอีกจึงสามารถเปิดเผยได้ แม้กระทั่งบุคคลใกล้ชิดที่เราไว้ใจ ก็ทำให้ความลับรั่วไหลได้ เพราะ ทุกคนก็มี “คนที่ตัวเองไว้ใจ” ที่จะอยากบอกความลับเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ คู่ครอง ญาติหรือเพื่อนที่สนิท ก็อาจเอาความลับของเราไปบอกต่อได้ กับ”คนที่พวกเขาไว้ใจ”(แต่ไม่ใช่คนที่เราไว้ใจ) ซึ่งความลับที่รั่วไหลนั้น จะถูกนำกลับมาทำร้ายเราในที่สุด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ช้าหรือเร็ว
หากเป็นความลับสำคัญ เก็บไว้กับตัวเองจนวันตาย ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
มิตรที่ต้องหลีกเลี่ยง
มิตรโง่กับมิตรชั่ว เป็นสองอย่างที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะ อะไรที่เราทำดี เขาก็ว่าไม่ดี อะไรที่เราทำไม่ดี ก็ว่าดี และ จะพยายามชักจูงให้เราดำเนินไปในทางเสื่อมจากความเจริญงอกงามในชีวิต รวมถึงนำความเดือดร้อนมาให้
นอกจากนี้ บุคคลบางจำพวก พยายามทำตัวเป็นอุปสรรคในการพัฒนาตนเองของเรา หรือ พยายามทำให้ชีวิตเราย่ำแย่ลง(miserable) คนเหล่านี้ แม้มีเวลาก็ไม่เอาไปพัฒนาตนเอง แต่เอามาทำลายประโยชน์ในชีวิตคนอื่น
บุคคลเหล่านี้ควรหลีกห่าง มองผ่านเหมือนเป็นอากาศ ไม่ต้องให้ความสำคัญ และไม่ต้องไปแคร์ เพราะ เขาไม่แม้แต่จะเคารพขอบเขตของเรา และเขาไม่แม้แต่จะคิดหรือแคร์ ว่าสิ่งที่ทำจะส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตเราบ้าง เมื่อคำนึงถึงกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม จะมีเหตุผลอะไร ที่เราต้องไปให้ความสำคัญถึงความมีตัวตนเขา และจะมีเหตุผลใด ที่เราจะมีสิทธิในการปกป้องตัวเองไม่ได้ จงหลีกห่าง และ ป้องกันอย่าให้เขาเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องในชีวิตเราได้
อย่าได้ไปโกรธหรือหาวิธีแก้แค้นใดๆ เพราะ จะทำให้เรายิ่งเสียเวลาชีวิตมากขึ้นไปอีก คนเหล่านี้ไม่มีค่าพอให้เราเสียเวลาชีวิตเพิ่มอีก แค่ปล่อยวางและป้องกันอย่าให้สิ่งเหล่านี้เกิดกับชีวิตเราอีก เพื่อให้เราจะได้พัฒนาตนเองยิ่งขึ้นไปก็พอ เพราะอันที่จริง เราทุกคนต่างก็ยังต้องประสบทุกข์จากการหลงผิดตามกิเลสของตนเองอยู่เหมือนกัน ซึ่งมากน้อยต่างกันไปตามการฝึกฝนขัดเกลาตนเอง รวมถึงทุกข์จากความแปรปรวนของร่างกายและจิตใจ เราจึงเป็นเพียงเพื่อนร่วมทุกข์กัน ในสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น
กฏการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
เราเชื่อว่าทุกความสัมพันธ์ ไม่ควรใช้พลังศรัทธาหรือความเชื่อใจเป็นรากฐาน เพราะ หลายๆครั้ง เรามักจะคิดด้วยความลำเอียง อคติ กับคนๆหนึ่ง เช่น ว่าเขาพูดดีกับเรา เขาก็ไม่น่าจะหลอกใช้ประโยชน์จากเรา เป็นต้น ทั้งๆที่ความเป็นจริง เขาอาจจะไม่ได้แม้จะต้องการความช่วยเหลือจากเรา แต่เราดันไปเสนอความช่วยเหลือเอง
แต่สิ่งที่เหมาะสม คือ กฏการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม คือ ทุกฝ่ายควรจะได้ประโยชน์จากกันและกันอย่างเท่าเทียม ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องใช้พลังศรัทธาในความสัมพันธ์(จนเหนื่อย) ให้ลองพิจารณาดีๆ ในความสัมพันธ์ต่างๆ ว่า อย่างน้อยๆ เมื่อเราทำประโยชน์ให้เขาจนลุล่วงแล้ว อย่างน้อยๆ เราควรสามารถมีสิทธิ์ในการทำประโยชน์ตนได้ด้วย อย่าให้ผู้อื่นเข้ามาล่วงล้ำประโยชน์ของเรา
ในความสัมพันธ์ อย่าใช้ความรู้สึกเป็นหลัก เพราะ ความรู้สึก มักจะนำมาซึ่งความไม่สมดุล (ไม่ว่าเราจะยอมเสียเปรียบให้เขา หรือ เขายอมเสียเปรียบให้เรา ซึ่งจะนำมาสู่การแตกหักในระยะยาว) แต่หากเราใช้กฏการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมเสมอ จะนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่ได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยที่ไม่มี ใครได้เปรียบ หรือ เสียเปรียบใคร
ทำความสัมพันธ์ให้เป็นพลังบวก ทำให้เราสูญเสียพลังใจน้อยกว่าทำให้เป็นพลังด้านลบ
ต่อให้เราเจอมิตรที่ไม่ดี ดังที่กล่าวไปข้างต้น การทำความสัมพันธ์ให้เป็นไปในด้านบวก อย่างไรก็ดีกว่าการมีความสัมพันธ์ในเชิงลบต่อกัน เราเชื่อในศักยภาพการพัฒนา-ปรับปรุงตนเองของมนุษย์ทุกคน แต่หากทำไม่ได้จริงๆ ก็ปล่อยวางเป็นอุเบกขา หลีกห่าง และปล่อยไปตามกรรม เราทำเท่าที่ขอบเขตของเราจะทำได้ก็พอ
นอกจากนี้ความสัมพันธ์ที่ดี คือ การที่ทุกคนมีอิสระทางความคิด ไม่ถูกบงการ(manipulate)โดยใคร หรือไม่ใช่ต้องคอยคิดว่า คนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรา และสามารถใช้พลังสมองไปกับการสร้างสรรค์และการทำงานได้อย่างเต็มที่
มนุษย์เรา สามารถ ดำรงชีวิตอย่างมีความสุข และหาทางออกที่สร้างประโยชน์ร่วมกันได้เสมอ เพราะ สุดท้ายวัตถุที่แย่งชิงกันมาทั้งชีวิต ก็เอาไปไม่ได้
มนุษย์ทุกคน แท้จริงแล้วสามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและสร้างประโยชน์ร่วมกันได้เสมอ ไม่มีความจำเป็นใดๆเลย ที่จะต้องสร้างความทุกข์หรือก่อโทษให้แก่กัน เพราะ สุดท้ายเมื่อตายเราก็เอาวัตถุใดๆไปด้วยไม่ได้ สิ่งที่เราอุตส่าห์แสวงหามาทั้งหมด ก็ไร้ความหมาย เป็นเพียงฉากละครหนึ่งที่จบลง สิ่งที่จะอยู่กับเราไปจนวาระสุดท้าย ก็คือ ความรู้สึก ทั้งสุขสงบ หรือ กระวนกระวายใจ เมื่อเราระลึกถึงสิ่งที่เราทำมาตลอดทั้งชีวิต
- เราต่างก็เป็นเพียงละอองเล็กๆในจักรวาล เป็นเพียงเศษเสี้ยวแห่งยุคสมัย
- กระทั่งร่างกายและจิตใจ ก็ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง สุดท้ายเมื่อตายเราก็ต้องคืนวัตถุทุกอย่างไป เอาอะไรไปไม่ได้
- ร่างกาย ก็เป็นเพียงการประกอบขึ้นของอะตอมแร่ธาตุต่างๆในโลก คาร์บอนในเยื่อหุ้มเซลล์ในร่างกายเราวันนี้ ก็อาจไม่ใช่อันเดียวกับเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว มีการสร้างใหม่ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
- จิตใจ ความรู้สึก การคิด การรับรู้ ความจำ ก็ควบคุมบังคับไม่ได้ บังคับให้คิดเร็วขึ้นหรือช้าลงก็ไม่ได้ บังคับให้จำหรือให้ลืมก็ไม่ได้ ถ้าสมองส่วนใดเสีย หรือ เจอสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ(เหล้า บุหรี่ สารเสพติด สื่อลามก ไม่ออกกำลังกาย ฯลฯ) ความสามารถทางการคิดในส่วนนั้นๆของเราก็หายไปหรือเสื่อมถอยลง มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยการดูแลฝึกฝน ไม่เป็นไปตามใจเราสั่ง
- ร่างกายและจิตใจจึงเหมือนหุ่นยนต์ ที่เรายืมมาใช้ มีหมดอายุ ใช้แล้วทิ้ง แต่ในระหว่างที่มีชีวิต สามารถดูแล สร้างเหตุ ฝึกฝน พัฒนา ให้มันดีขึ้นได้ ทั้งทางกาย ศักยภาพในการใช้ความคิด และจิตใจ
ทุกคนล้วนชอบความสุข ไม่ชอบความทุกข์ เราจึงไม่ควรเอาร่างกายจิตใจที่เรามี มาสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น เราสามารถหาหนทางที่มีความสุขร่วมกันทุกฝ่ายได้เสมอ จะมีก็เพียงแต่ความต้องการที่เกินพอดีกว่าเหตุที่เคยได้สร้างไว้ก็เท่านั้น ที่จะทำให้เราเป็นทุกข์
มิตรที่ควรรักษาไว้
หากว่าเจอผู้คนที่เข้าใจเรา มีคุณธรรมในจิตใจ มีปัญญา วุฒิภาวะ หรือมีอัธยาศัยใจคอเสมอกันกับเรา เป็นกัลยาณมิตรคอยแนะนำประโยชน์ต่อกัน ให้รักษามิตรภาพนั้นๆไว้ แม้ว่าทุกสิ่งล้วนชั่วคราว แต่มิตรภาพที่ดี คือ สิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง ที่ช่วงชีวิตคนเราจะมีได้ โดยไม่ต้องใช้ชื่อเสียงเงินทองหรือวัตถุนอกกาย
การไม่เบียดเบียน(ศีล) สำคัญกว่าการให้(ทาน)
สิ่งที่จะกำหนดว่าคนๆหนึ่งเป็นคนดีหรือชั่ว คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น(ศีล 5) คนชั่วยังสามารถให้ทานได้กับพรรคพวกของตน แต่จะไม่เบียดเบียนก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ การให้ยังอาจแฝงด้วยวัตถุประสงค์ร้ายได้ แต่การไม่เบียดเบียนจะเป็นการหยุดยั้งความชั่วร้ายต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง
Leave a Reply