อันนี้เป็นแผนการพัฒนาทักษะทางภาษาส่วนตัว ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะสำเร็จหรือมีประสิทธิภาพที่สุดนะครับ
ถ้าอยากได้แนวทางจริงๆ แนะนำให้ลองศึกษาจากหนังสือที่เกี่ยวกับหลักการเรียนรู้ภาษาแบบมีงานวิจัยรับรอง ดังนี้
- Becoming Fluent: How Cognitive Science Can Help Adults Learn a Foreign Language
- Fluent Forever: How to Learn Any Language Fast and Never Forget It
- หนังสือจาก Open textbook สามารถเรียนภาษาต่างๆได้ฟรี เช่น อังกฤษ,จีน 1, จีน2
โดยส่วนตัวฝึกภาษาอังกฤษมา 4 ปี(จริงๆ 7 ปี แต่สูญเสียความจริงจัง/ความตั้งใจไป 3 ปี) สามารถอ่านได้พอคล่องแคล่ว เขียนได้พอประมาณ พอฟังออกได้ในสำเนียงที่ฟังชัด แต่ยังพูดไม่ได้(เพราะไม่ได้ฝึกเท่าไหร่) โดยมีหลักการส่วนตัวในการฝึกภาษาดังนี้
ทุกอย่างเริ่มจากการฝึกอ่าน (55%)
เริ่มฝึกจากการอ่านในสิ่งที่ชอบ หรือ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราถนัด หรือ มีความรู้อยู่ก่อน เช่น อ่าน Textbook ที่เกี่ยวกับการเรียน,การทำงาน, นิยาย เป็นต้น เพราะ เรามีความรู้อยู่ก่อนบ้างแล้ว ในภาษาไทย จะทำให้สามารถนำมาเทียบเคียงและเรียนรู้ศัพท์ใหม่ได้ง่าย สนุก และมีประโยชน์กับชีวิต/การทำงาน
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ พยายามเปิดหาคำศัพท์ทุกคำที่เราไม่รู้ หรือ ไม่แน่ใจ เพราะ หากเราจะนำไปใช้ในชีวิตจริงๆ เราควรจะรู้ศัพท์ทุกๆคำ เพราะ ชีวิตจริงไม่เหมือนทำข้อสอบที่จะพอเดาคำตอบแม้ไม่แน่ใจได้ ซึ่งการเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ทีละคำๆ ต้องทำตลอดชีวิต เพราะ เราไม่ใช่เจ้าของภาษา ที่จะเรียนรู้ได้จากสัญชาติญาณทั้งหมด
ทั้งนี้เวลาเปิดพจนานุกรม อาจมีสิ่งที่ดีกว่าการพยายามจำความหมายเฉยๆ คือ การดูตัวอย่างประโยคในการใช้คำนั้นๆ เพราะ การเห็นตัวอย่าง ทำให้เข้าใจความหมายได้ดีกว่า และอาจเป็นการกระตุ้นสมองส่วนที่ทำหน้าที่ด้านภาษาโดยตรง ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบสัญชาติญาณ(เหมือนเวลาเจ้าของภาษาเรียนรู้) ไม่ใช่เพียงการท่องจำเรียนรู้ ด้วยสมองส่วนตรรกะ prefrontal cortex
Grammar ก็สำคัญ เพราะ ภาษาอังกฤษ สามารถสื่อความได้ ผ่านรูปแบบประโยค, tense ซึ่งหากเราอ่านโดยมองข้ามโครงสร้างประโยคไป อาจเข้าใจความหมายผิดไปได้ อย่างน้อยๆ ควรศึกษาแกรมมาพื้นฐานให้พอรู้(หาหนังสืออ่าน) และขณะอ่านให้ฝึกมองโครงสร้างประโยคบ่อยๆในใจ(อย่างน้อยๆ หาประธาน กิริยา และ part of speech อื่นๆ) จะทำให้การพูดและเขียน ดีขึ้นด้วย
นอกจากนี้ การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ก็ช่วยได้มาก เช่น ตั้งค่า Interface ในโทรศัพท์มือถือ ให้เป็นภาษาอังกฤษ, อ่านข่าวภาษาอังกฤษ เป็นต้น
หากเริ่มอ่านในเรื่องหนึ่งๆ จนเริ่มคล่องและรู้ศัพท์มากขึ้นแล้ว ให้ลองค่อยๆ ขยายไปอ่านหมวดหนังสืออื่นๆ เพื่อขยายคลังคำศัพท์ให้กว้างขึ้น
การฟัง (15%)
พอฝึกอ่านจนรู้ศัพท์มากๆ เราจะเริ่มสามารถฟังออกมากขึ้น ให้เริ่มฝึกฟังจากสิ่งที่เราถนัด หรือ มีความรู้อยู่ก่อนดังเช่นเคย เพราะจะสามารถเทียบเคียงและเรียนรู้ศัพท์ได้เร็ว เช่น ดู youtube รายการที่ชอบ เช่น ทำอาหาร, เทคโนโลยี, กีฬา หรือ กระทั่งเรื่องที่เรียน/ทำงานอยู่ เป็นต้น
แนะนำให้เริ่มฝึกฟัง จากการฟังสิ่งที่ชอบ เพราะ ความอยากรู้เนื้อหา จะทำให้เราตั้งใจฟัง มี engagement มากกว่า กลับกันหาก เปิดวิทยุBBC ฟังข่าวภาษาอังกฤษ คลอ ทั้งวัน โดยที่เราไม่ได้สนใจเงี่ยหูฟัง ก็อาจจะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
การใช้หูฟัง(earbud/headphone) จะดีกว่าลำโพง เพราะ เสียงจะอยู่ใกล้หูกว่า ทำให้สามารถฟังการออกเสียงได้ชัดเจนกว่า พัฒนาทักษะการฟังได้ดีกว่า
ควรฟังสองรอบ หรือมากกว่า (เปิด Subtitle ไปด้วยได้) โดยการได้รับข้อมูลซ้ำ อาจทำให้สมองซึมซับได้ดีกว่า เพราะ สมองอาจเข้าใจว่าข้อมูลที่เจอซ้ำ มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต และต้องรีบจดจำ
- ในการดูซ้ำรอบที่สอง จะรู้สึกว่าน่าเบื่ออย่างมาก เพราะ ความสนุกจากการดูหนังหายไป แต่ให้ระลึกว่ากำลังเรียน ไม่ได้ทำเพื่อความสนุก อาจแบ่งการดูซ้ำเป็นช่วง ทุก 15 นาที จะช่วยให้ยังสามารถโฟกัสกับการฝึกได้ดีกว่า
ที่สำคัญอีกอย่างคือ ให้พูดเลียนแบบตามไปด้วย(imitation) จะทำให้เราได้ฝึกพูดไปในตัว และ สามารถซึมซับสำนวนการพูดต่างๆได้อีกด้วย
ยิ่งเรารู้ศัพท์เยอะ จะยิ่งทำให้ฟังได้ดีขึ้น การอ่านเยอะๆ จึงสำคัญ
การเขียน (15%)
สิ่งที่ทำคือ เขียน Diary เป็นภาษาอังกฤษ ทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง แต่พยายามฝึกใช้เรื่อยๆ แบบไม่ต้องกังวลกับแกรมม่ามากนัก(แล้วค่อยมาตรวจภายหลัง)
แรกๆการฝึกอาจจะค่อนข้างฝืนและเป็นไปได้ช้า เพราะ เราไม่เคยทำมาก่อน แต่พอฝึกมากๆ ทุกวัน เราจะเขียนได้มากขึ้น และ คล่องขึ้น
อย่ากลัวที่จะเขียนผิด เพราะ คนที่เก่งภาษา ก็ต้องเคยใช้ผิดๆมาแล้วทั้งนั้น (แม้กระทั้งเจ้าของภาษาเองในวัยเด็ก)
โดยส่วนตัวจะเขียนบันทึกลงในเว็บ blog หรือ MS word โดยใช้แอพ Grammarly ในการช่วยตรวจแกรมม่า
แต่ทั้งนี้ การเขียนด้วยมือ จะดีกว่าการพิมพ์ เพราะ จะมีข้อจำกัดในการกลับมาแก้ไขได้ยาก ส่งผลให้สมองต้องคิดประมวลผลรูปประโยคให้ครบก่อน จึงค่อยเขียนออกมาทั้งประโยค ซึ่งจะช่วยเรื่องการพูดด้วย เพราะ รูปแบบวิธีการคิดจะคล้ายกัน หรือ ถ้าจะพิมพ์ ต้องฝึกด้วยการคิดให้ครบถ้วนก่อน ค่อยพิมพ์ ไม่ใช่พิมพ์ไปแก้ไป
หากฝึกเขียนไปมากๆ อาจช่วยให้การพูด ดีขึ้นด้วย
การพูด (15%)
การพูดมักเกี่ยวข้องกับความไหลลื่น(Fluency) เพราะ การสนทนา จะต้องมีความรวดเร็ว ตอบสนองได้ทันท่วงที ซึ่งจะเป็นทักษะที่เน้น ความเคยชิน จากการใช้บ่อยๆ(subconscious skill)
การฝึกที่เหมาะสมจริงๆ คือ การฝึกกับคู่สนทนาที่เป็นเจ้าของภาษา จะกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ด้านการพูดได้เร็วที่สุด
แต่ดีรองลงมา และก็ยังได้ผลดีมากๆ คือ การฝึกด้วยการเลียนแบบ(imitation) จากการดูหนัง/ฟังเพลง แล้วพูด/ร้องตาม ไปเรื่อยๆ จะทำให้เกิดการซึมซับ สำเนียง สำนวนการพูด จนเป็นความเคยชินได้ โดยให้ฟังซ้ำสองรอบ หรือมากกว่า เพื่อหลอกสมองว่าเป็นข้อมูลที่เจอบ่อย ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อการฝึกฟัง
ทิ้งท้าย
โดยส่วนตัวได้อ่านหนังสือ Becoming Fluent (เล่มแรกใน list ข้างบน) พูดถึงว่า การที่คนๆหนึ่งจะฝึกจนเชี่ยวชาญในภาษาหนึ่งๆ ไม่สามารถฝึกกันในเวลาสั้นๆได้ ต้องฝึกฝนกันจริงๆมากมาย และ สะสมไปเรื่อยๆ ซึ่งจำไว้ว่า Practice makes perfect. อยากอ่านเก่ง ก็ต้องฝึกอ่านเยอะๆ ฟังเก่ง ก็ต้องฝึกฟังเยอะๆ เขียน, พูดเก่ง ก็ต้องฝึกเยอะๆ ไม่มีทางลัด
การฝึกในคอร์สเรียนของ open textbook ก็น่าสนใจ โดยส่วนตัวได้ลองเรียนดูบ้างแล้ว เป็นหนึ่งในการเรียนภาษาที่ถูกหลักการอย่างมาก
โดยส่วนตัว ขอย้ำว่าก็ยังไม่เก่งภาษา ยังพูดไม่ได้, รวมถึงยังไม่เก่ง Grammar, เขียนก็ยังไม่คล่อง และ ก็ขณะอ่านก็ยังต้องเปิดหาความหมายในคำศัพท์ใหม่เรื่อยๆ แต่โดยส่วนตัวคิดว่า ภาษาอาจเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ และ ฝึกฝนกันไปตลอดชีวิตก็ได้
Leave a Reply