บันทึกของบี

บันทึกการเดินทาง บนเส้นทางเดินแห่งชีวิต – ของคนธรรมดาคนหนึ่ง

แนวทางการฝึกภาษาอังกฤษ

อันนี้เป็นแผนการพัฒนาทักษะทางภาษาส่วนตัว ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะสำเร็จหรือมีประสิทธิภาพที่สุดนะครับ

ถ้าอยากได้แนวทางจริงๆ แนะนำให้ลองศึกษาจากหนังสือที่เกี่ยวกับหลักการเรียนรู้ภาษาแบบมีงานวิจัยรับรอง ดังนี้

  • Becoming Fluent: How Cognitive Science Can Help Adults Learn a Foreign Language
  • Fluent Forever: How to Learn Any Language Fast and Never Forget It
  • หนังสือจาก Open textbook สามารถเรียนภาษาต่างๆได้ฟรี เช่น อังกฤษ,​จีน 1, จีน2

โดยส่วนตัวฝึกภาษาอังกฤษมา 4 ปี(จริงๆ 7 ปี แต่สูญเสียความจริงจัง/ความตั้งใจไป 3 ปี) สามารถอ่านได้พอคล่องแคล่ว เขียนได้พอประมาณ พอฟังออกได้ในสำเนียงที่ฟังชัด​ แต่ยังพูดไม่ได้(เพราะไม่ได้ฝึกเท่าไหร่) โดยมีหลักการส่วนตัวในการฝึกภาษาดังนี้(ทำไปตามลำดับ)

  1. เริ่มเรียนหลักภาษา(Grammar)ก่อน เป็นสิ่งแรกที่เราต้องทำอยู่แล้ว ในการที่จะเข้าใจภาษานั้นๆ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ในเด็กอาจค่อยๆสะสมเรียนรู้ ตามอายุและประสบการณ์ โดยมีผู้ใหญ่คอยอธิบาย ส่วนผู้ใหญ่ก็ต้องเรียน ไม่ว่าจะภาษาไหน อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส เยอรมัน เป็นต้น เพราะ เราไม่ใช่อัจฉริยะ IQ 200 เราจึงไม่สามารถที่จะอาศัยเพียงการสังเกตรูปประโยคจนเข้าใจหลักภาษาอย่างครอบคลุมด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเรียนได้ นอกจากนี้ หลักภาษาก็สามารถมีผลต่อความหมายได้ด้วย จึงมีความสำคัญกับการเรียนรู้ภาษาได้
    • เราไม่สามารถเดินดุ่มๆ เข้าไปเรียนรู้ภาษาได้ โดยที่ไม่รู้จักอะไรสักอย่าง ตัวอย่างลองดูภาษาที่เราไม่คุ้นเคย ที่ไม่มีการสอนในหลักสูตรปกติ เช่น ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน เป็นต้น จะพบว่า ก่อนจะเรียนรู้ เราก็ต้องอ่านตำราที่จะอธิบายก่อนว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งก็คือ Grammar นั่นเอง ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน
  2. ฝึกอ่าน พอได้พื้นฐานหลักภาษาแล้วก็มาฝึกอ่าน ฝึกสังเกตการใช้งาน ตามหลักภาษาที่เรียนมา
  3. ฝึกพูด จะแนะนำให้ ‘อ่านออกเสียง’ ตามบทพูดในนิยาย(หรืออ่านออกเสียงในหนังสือทั่วไปก็ไม่แย่) ทำบ่อยๆจะได้สำนวนการพูดเป็น muscle memory สามารถโต้ตอบได้ทันที เพราะ มีรูปแบบประโยคในหัวอยู่แล้ว ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องสำเนียง ฝึกอ่านออกเสียงไปก่อนให้เยอะๆเลย เพราะ ถ้าได้ใช้งานจริงๆ ก็จะค่อยๆปรับได้เอง อีกทั้งในการสื่อสารจริง เป็นที่เข้าใจกันได้อยู่แล้วว่า ถ้าเป็นชาวต่างชาติที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา ก็จะมีสำเนียงต่างออกไปอยู่แล้ว หรือ กระทั่งเจ้าของภาษาก็มีหลายสำเนียง บางสำเนียงเองก็ยังฟังกันเองไม่รู้เรื่อง(เช่น British vs American)
    • การดูหนัง แล้วฝึกพูดตาม(imitation/shadowing) อาจไม่ได้จัดว่า สำคัญ หรือจำเป็นนัก อย่างน้อยๆก็ในช่วงแรก เพราะ เรื่องของสำนวนการพูดแบบ muscle memory การอ่านนิยายออกเสียงก็ช่วยได้อยู่แล้ว แต่อาจช่วยในตอนหลังๆ ที่ต้องการฝึกสำเนียงมากกว่า
  4. ฝึกเขียน เขียนบันทึกไดอารี่ เขียนบทความ อะไรก็ได้
  5. ฝึกฟัง ถ้าอ่านจนมีศัพท์ในหัวเยอะ หลากหลาย จะเริ่มฟังออกได้มากขึ้นๆเอง โดยส่วนตัว คิดว่าฟังเพลง ไม่ช่วยเท่าไหร่ เพราะ ขนาดภาษาตัวเอง บางทียังฟังเนื้อร้องไม่ออกเลย ให้ฟังรายการใน YouTube อะไรก็ตามที่เราสนใจเยอะๆ

ทุกอย่างเริ่มจากการฝึกอ่าน (70%)

เริ่มฝึกจากการอ่านในสิ่งที่ชอบ หรือ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราถนัด หรือ มีความรู้อยู่ก่อน เช่น อ่าน Textbook ที่เกี่ยวกับการเรียน,​การทำงาน, นิยาย เป็นต้น เพราะ เรามีความรู้อยู่ก่อนบ้างแล้ว ในภาษาไทย จะทำให้สามารถนำมาเทียบเคียงและเรียนรู้ศัพท์ใหม่ได้ง่าย สนุก และมีประโยชน์กับชีวิต/การทำงาน

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ พยายามเปิดหาคำศัพท์ทุกคำที่เราไม่รู้ หรือ ไม่แน่ใจ เพราะ หากเราจะนำไปใช้ในชีวิตจริงๆ เราควรจะรู้ศัพท์ทุกๆคำ เพราะ ชีวิตจริงไม่เหมือนทำข้อสอบที่จะพอเดาคำตอบแม้ไม่แน่ใจได้ ซึ่งการเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ทีละคำๆ ต้องทำตลอดชีวิต เพราะ เราไม่ใช่เจ้าของภาษา ที่จะเรียนรู้ได้จากสัญชาติญาณทั้งหมด

ทั้งนี้เวลาเปิดพจนานุกรม อาจมีสิ่งที่ดีกว่าการพยายามจำความหมายเฉยๆ คือ การดูตัวอย่างประโยคในการใช้คำนั้นๆ เพราะ การเห็นตัวอย่าง ทำให้เข้าใจความหมายได้ดีกว่า และอาจเป็นการกระตุ้นสมองส่วนที่ทำหน้าที่ด้านภาษาโดยตรง ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบสัญชาติญาณ(เหมือนเวลาเจ้าของภาษาเรียนรู้) ไม่ใช่เพียงการท่องจำเรียนรู้ ด้วยสมองส่วนตรรกะ prefrontal cortex

Grammar ก็สำคัญ เพราะ ภาษาอังกฤษ​ สามารถสื่อความได้ ผ่านรูปแบบประโยค, tense ซึ่งหากเราอ่านโดยมองข้ามโครงสร้างประโยคไป อาจเข้าใจความหมายผิดไปได้ อย่างน้อยๆ ควรศึกษาแกรมมาพื้นฐานให้พอรู้(หาหนังสืออ่าน) และขณะอ่านให้ฝึกมองโครงสร้างประโยคบ่อยๆในใจ(อย่างน้อยๆ หาประธาน กิริยา และ part of speech อื่นๆ) จะทำให้การพูดและเขียน ดีขึ้นด้วย

นอกจากนี้ การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ก็ช่วยได้มาก เช่น ตั้งค่า Interface ในโทรศัพท์มือถือ ให้เป็นภาษาอังกฤษ, อ่านข่าวภาษาอังกฤษ เป็นต้น

หากเริ่มอ่านในเรื่องหนึ่งๆ จนเริ่มคล่องและรู้ศัพท์มากขึ้นแล้ว ให้ลองค่อยๆ ขยายไปอ่านหมวดหนังสืออื่นๆ เพื่อขยายคลังคำศัพท์ให้กว้างขึ้น

การเขียน (15%)

สิ่งที่ทำคือ เขียน Diary เป็นภาษาอังกฤษ ทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง แต่พยายามฝึกใช้เรื่อยๆ แบบไม่ต้องกังวลกับแกรมม่ามากนัก(แล้วค่อยมาตรวจภายหลัง)

แรกๆการฝึกอาจจะค่อนข้างฝืนและเป็นไปได้ช้า เพราะ เราไม่เคยทำมาก่อน แต่พอฝึกมากๆ ทุกวัน เราจะเขียนได้มากขึ้น และ คล่องขึ้น

อย่ากลัวที่จะเขียนผิด เพราะ คนที่เก่งภาษา ก็ต้องเคยใช้ผิดๆมาแล้วทั้งนั้น (แม้กระทั้งเจ้าของภาษาเองในวัยเด็ก)

โดยส่วนตัวจะเขียนบันทึกลงในเว็บ blog หรือ MS word โดยใช้แอพ Grammarly ในการช่วยตรวจแกรมม่า

แต่ทั้งนี้ การเขียนด้วยมือ จะดีกว่าการพิมพ์ เพราะ จะมีข้อจำกัดในการกลับมาแก้ไขได้ยาก ส่งผลให้สมองต้องคิดประมวลผลรูปประโยคให้ครบก่อน จึงค่อยเขียนออกมาทั้งประโยค ซึ่งจะช่วยเรื่องการพูดด้วย เพราะ รูปแบบวิธีการคิดจะคล้ายกัน หรือ ถ้าจะพิมพ์ ต้องฝึกด้วยการคิดให้ครบถ้วนก่อน ค่อยพิมพ์ ไม่ใช่พิมพ์ไปแก้ไป

หากฝึกเขียนไปมากๆ อาจช่วยให้การพูด ดีขึ้นด้วย

การฟัง (7.5%)

จะไม่มีทางฝึกฟังได้จริง หากเราไม่ปิด Subtitle

พอฝึกอ่านจนรู้ศัพท์มากๆ เราจะเริ่มสามารถฟังออกมากขึ้น ให้เริ่มฝึกฟังจากสิ่งที่เราถนัด สิ่งที่ชอบ หรือ มีความรู้อยู่ก่อน ดังเช่นกับการอ่าน เพราะจะสามารถเทียบเคียงและเรียนรู้ศัพท์ได้เร็ว เช่น ดู youtube รายการที่ชอบ เช่น ทำอาหาร, เทคโนโลยี, กีฬา หรือ กระทั่งเรื่องที่เรียน/ทำงานอยู่ เป็นต้น

ที่แนะนำคือ รายการที่ให้ความรู้(ที่เราชอบ, ถนัด หรือ มีความรู้อยู่ก่อน) เพราะ หากจะฟังซ้ำสองรอบ ก็ไม่รู้สึกเบื่อหรือเสียเวลา เพราะ ได้ฝึกภาษาและได้ความรู้ไปด้วย หากเป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิง เช่น การ์ตูน หรือ หนัง ก็ทำได้ การฟังซ้ำอาจรู้สึกเบื่อได้อย่างมาก เพราะความสนุกลดลงไปมาก

การใช้หูฟัง(earbud/headphone) จะดีกว่าลำโพง เพราะ เสียงเข้าสู่แก้วหูโดยตรง ทำให้สามารถฟังการออกเสียงได้ชัดเจนกว่า พัฒนาทักษะการฟังได้ดีกว่า

การฝึกที่แท้จริงจะเริ่มเมื่อ ปิด Subtitle เท่านั้น

  • การปิด Subtitile จะทำให้เราโฟกัสไปที่การฟังและพูดจริงๆ จนเกิดการเลียนแบบและจดจำโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการเรียนรู้โดยสัญชาติญาณ กลับกัน หากยังเปิด Subtitle จะทำให้เราโฟกัสไปที่การอ่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และกลายเป็นการฝึกอ่านแทน ดังนั้น การจะพัฒนาทักษะการฟังและพูดอย่างแท้จริง จึงมีเพียงหนทางเดียวคือ ต้อง ปิด subtitle เท่านั้น
  • อาจฟังสองรอบ เพราะ การได้รับข้อมูลซ้ำ จะทำให้จดจำได้ดีขึ้น(จดจำการใช้ภาษา : สำนวน การออกเสียง ฯลฯ) โดยรอบแรกฟังโดยปิด subtitile และ รอบที่สอง อาจเปิด Subtitle หากต้องการเก็บรายละเอียดเนื้อหา
  • ที่สำคัญอีกอย่างคือ ให้พูดเลียนแบบตามไปด้วย(imitation) จะทำให้เราได้ฝึกพูดไปในตัว และ สามารถซึมซับสำนวนการพูดต่างๆได้อีกด้วย
  • การอ่านปากคนพูดไปด้วย ช่วยให้ฝึกฟังง่ายขึ้น และยังช่วยให้ออกเสียงได้ดีขึ้นด้วย

ยิ่งเรารู้ศัพท์เยอะ จะยิ่งทำให้ฟังได้ดีขึ้น การอ่านเยอะๆ จึงยังคงมีสำคัญ

การพูด(7.5%)

จะไม่มีทางฝึกพูดได้จริง หากเราไม่พูดออกเสียง จากปากของเรา

การพูดมักเกี่ยวข้องกับความไหลลื่น(Fluency) เพราะ การสนทนา จะต้องมีความรวดเร็ว ตอบสนองได้ทันท่วงที มันไม่ได้มาจากการประมวลผล Grammar มากมายแล้วค่อยพูด แต่สิ่งเหล่านี้มาจาก ความเคยชิน จากการใช้บ่อยๆ และเกิดเป็น subconscious skill(มีการศึกษาว่า ถ้ากดการทำงานของสมองส่วน prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับตรรกะ จะทำให้พูดไหลลื่นขึ้นมาก)

การฝึกที่เหมาะสมจริงๆ คือ การฝึกกับคู่สนทนาที่เป็นเจ้าของภาษา จะกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ด้านการพูดได้เร็วที่สุด

แต่ดีรองลงมา และก็ยังได้ผลดีมากๆ คือ การฝึกด้วยการเลียนแบบ(imitation) ด้วยการ ดูรายการที่ให้ความรู้ หรือหนัง/เพลง แล้วฝึกพูดตาม ไปเรื่อยๆ(เลียนแบบ) จะทำให้เกิดการซึมซับ สำเนียง สำนวนการพูด(เรียนรู้โดยสัญชาติญาณ)จนเป็นความเคยชินได้

ทิ้งท้าย

โดยส่วนตัวได้อ่านหนังสือ Becoming Fluent (เล่มแรกใน list ข้างบน) พูดถึงว่า การที่คนๆหนึ่งจะฝึกจนเชี่ยวชาญในภาษาหนึ่งๆ ไม่สามารถฝึกกันในเวลาสั้นๆได้ ต้องฝึกฝนกันจริงๆมากมาย และ สะสมไปเรื่อยๆ ซึ่งจำไว้ว่า Practice makes perfect. อยากอ่านเก่ง ก็ต้องฝึกอ่านเยอะๆ ฟังเก่ง ก็ต้องฝึกฟังเยอะๆ เขียน, พูดเก่ง ก็ต้องฝึกเยอะๆ ไม่มีทางลัด

การฝึกในคอร์สเรียนของ open textbook ก็น่าสนใจ โดยส่วนตัวได้ลองเรียนดูบ้างแล้ว เป็นหนึ่งในการเรียนภาษาที่ถูกหลักการอย่างมาก

โดยส่วนตัว ขอย้ำว่าก็ยังไม่เก่งภาษา ยังพูดไม่ได้, รวมถึงยังไม่เก่ง Grammar, เขียนก็ยังไม่คล่อง และ ก็ขณะอ่านก็ยังต้องเปิดหาความหมายในคำศัพท์ใหม่เรื่อยๆ แต่โดยส่วนตัวคิดว่า ภาษาอาจเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ และ ฝึกฝนกันไปตลอดชีวิตก็ได้

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *