โดยส่วนตัว เนื่องจากมีเวลาชีวิตจำกัด และมีหนังสืออีกมากมายที่อยากจะอ่านให้ได้ในชีวิตนี้ จึงต้องหาวิธีการอ่านให้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ด้านเทคนิค
วิธีหลักๆที่ได้ทดลองด้วยตนเอง แล้วรู้สึกว่าใช้ได้ผล มีสองอย่างหลักๆ คือ การอ่านโดยไม่ Highlight และ อ่านหลายๆรอบด้วยความเร็วปานกลาง ดีกว่าอ่านช้ารอบเดียว
- การอ่านโดยไม่ Highlight
- มีข้อดีคือ ทำให้สมองได้ โฟกัสกับการทำความเข้าใจ และ ประมวลเนื้อหา ได้อย่างเต็มที่(deep engagement) มากกว่าการที่สูญเสียพลังสมองไปกับการหาเพียงจุดไฮไลต์ และจำอะไรไม่ได้เลย
- จากที่ได้ลองสังเกตตัวเอง คือ แม้เราจะไฮไลต์ทุกอย่างที่เราคิดว่าสำคัญ แต่เราก็จำมันไม่ได้อยู่ดี และต้องมาอ่านซ้ำใหม่ แถมตอนอ่านซ้ำใหม่ ก็ไม่ได้รู้สึกว่า จุดที่ได้ไฮไลต์ไว้ จะทำให้จำได้ดีขึ้นแต่อย่างใด แต่จุดที่เราจะจำได้ กลับเกิดจากการที่เราอ่านซ้ำอีกหลายๆรอบ จนเกิดการคิดพิจารณา เชื่อมโยงเนื้อหา และ ตกผลึกเป็นความเข้าใจฝังในสมอง
- ลองสังเกตเพิ่มเติม ตอนที่เราไฮไลต์ ความสนใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาจริงๆ แต่สมองจะไปโฟกัสที่การหาตำแหน่งที่จะไฮไลต์ต่อๆไป ไม่ได้โฟกัสกับการทำความเข้าใจในเนื้อหาอย่างเต็มที่(ไม่เกิด deep engagement) กลายเป็นการอ่านที่ไม่มีประสิทธิภาพและสูญเวลาเปล่ารอบหนึ่ง
- การไฮไลต์อาจเป็นเพียงเครื่องมือ เอาไว้ให้สมองอู้งาน ขึ้เกียจประมวลผล
- กลับกัน ถ้าเราไม่ Highlight ในเวลาอ่าน จิตใต้สำนึกของเราจะรู้สึกว่า ไม่มีตัวช่วยผ่อนแรงแล้ว สมองก็จะโฟกัสกับการทำความเข้าใจเนื้อหาโดยตรง จะทำให้เราจดจำเนื้อหาได้ดีกว่า
- อันนี้คือที่ คุยกับ Gemini AI มา(แต่ AI ก็อาจมีการให้ข้อมูลผิดได้นะ)
- อ่านซ้ำหลายๆรอบด้วยความเร็วปานกลาง ดีกว่าอ่านช้าๆรอบเดียว
- เคยได้ยินบางคนแย้งว่า “การอ่านซ้ำ เป็นเพียงการรับข้อมูลซ้ำ(re-read) ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น “แต่โดยส่วนตัวกลับพบว่า การอ่านซ้ำ กลับทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะ เราเข้าใจโครงสร้างเนื้อหาทั้งหมดในบท มาก่อนแล้วจากการอ่านรอบแรก การกลับมาอ่านอีกรอบ จึงทำให้สมองสามารถย่อยและทำความเข้าใจเนื้อหาได้อย่างเต็มที่ เห็นรายละเอียดที่ตกหล่นไป เกิดการตกผลึกองค์ความรู้ รวมถึงเกิดการเชื่อมโยงกับองค์ความรู้เดิม เกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ และ การตั้งคำถามใหม่ๆ จากเนื้อหาเดิมที่มีอยู่
- อ่านรอบแรก ทำให้เข้าใจโครงสร้างเนื้อหา
- อ่านรอบสอง ทำให้เข้าใจรายละเอียดเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้ง เกิดการตกผลึกความเข้าใจเป็นส่วนๆย่อยๆ
- อ่านรอบสาม ทำให้เกิดการเชื่อมโยงความเข้าใจภายในบท ตกผลึกเป็นองค์ความรู้ รวมถึงจดจำเนื้อหาได้อย่างแม่นยำ สามารถเขียนไล่เนื้อหาออกมาจากความจำได้เลย
- อ่านรอบที่สี่ เกิดการตั้งคำถามใหม่ๆ จากความรู้ที่อ่าน รวมถึงเกิดการเชื่อมโยงกับความรู้เดิมใดๆที่เรามี หรือความรู้จากบทอื่นๆที่เคยอ่าน ตกผลึกเป็นองค์ความรู้ใหม่ๆ ไอเดียใหม่ๆ
- โดยส่วนตัวคิดว่า การอ่านหลายๆรอบ ดีกว่าการอ่านช้าเพียงรอบเดียว เพราะ มีเวลาให้สมองได้เตรียมการเชื่อมโยงทรัพยากรที่จำเป็น
- การอ่านหนังสือใหม่ๆแต่ละเล่ม หรือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ สมองต้องใช้เวลา 1 สัปดาห์ ในการปรับตัว เพื่อเตรียมทรัพยากร และ เชื่อมโยงข้อมูลที่จำเป็น ถึงจะเริ่มเรียนรู้ได้ไหลลื่นขึ้น ดังนั้นในช่วงสัปดาห์แรก ต้องอาศัยความอดทน พยายาม มากเป็นพิเศษ
- อ่านหลายรอบ ไม่ใช่แค่การ re-read แต่เป็นการอ่านเพื่อเพิ่มความเข้าใจ เก็บรายละเอียดที่ตกหล่น เชื่อมโยงความรู้จากการอ่านแต่ละรอบได้ง่ายขึ้น เกิดเป็นการ reconstruction จนเกิดการตกผลึก เป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น ไปจนถึงเกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ – > อ่านจบรอบเดียว = ไม่นับว่าได้อ่าน!!
- อ่านหนังสือรอบแรก ไม่ได้เรียกว่าเป็นการอ่าน เป็นเพียงการกระตุ้นให้สมอง เตรียมทรัพยากรที่จำเป็น สำหรับทำความเข้าใจและเชื่อมโยงความรู้ใหม่ๆเท่านั้น ให้ทำความเข้าใจเท่าที่จะทำได้ แบบไม่ฝืน และไม่จำเป็นต้องพยายามจดจำหรือเก็บรายละเอียดใดๆ เพราะ จะจำได้เองในการอ่านรอบที่สองและสาม โดยปกติการอ่านรอบแรกจะเสร็จใน 1 วัน ต่อหนังสือ 1บท หรือ 1 เล่ม(ตามแต่ความยาก)
- รอบที่สอง เปรียบได้กับการอ่านที่แท้จริง เมื่อสมองเตรียมทรัพยากรที่จำเป็นให้พร้อมในรอบแรกแล้ว ตรงไหนที่ไม่เข้าใจ ในรอบนี้ สมองจะเชื่อมโยงหาคำตอบให้เอง จะพบว่า เราจะเห็นรายละเอียดที่เรามองข้าม จากการอ่านรอบแรกไปมากมาย
- การอ่านในรอบที่ 3 จะเกิดความเข้าใจลึกซึ้งและจดจำได้นานและครบถ้วนจะเริ่ม โดยจะสามารถ เรียงลำดับโครงสร้างของเนื้อหาที่อ่านได้ในหัว โดยแทบจะบรรยายเขียนสรุปออกมาได้โดยไม่ต้องดูหนังสือ และ เข้าใจทุกรายละเอียดของเนื้อหาทั้งหมด เกิดการตกผลึกเป็นความจำระยะยาว
- การทำ short note หากจะทำ ให้ทำหลังจากอ่านรอบที่ 3 เสร็จแล้ว เพราะ เราจะรู้โครงสร้างเนื้อหาโดยภาพรวมทั้งหมด รู้ว่าส่วนใดสำคัญส่วนใดเป็นเพียงส่วนเสริมโดยจะเป็นเหมือนการอ่านรอบที่สามไปด้วยในตัว แต่ทั้งนี้การทำ shortnote จะใช้ทรัพยากรเวลาค่อนข้างมาก จะทำเฉพาะ กับความรู้ ที่เราคิดว่า มีความจำเป็นต้องใช้ซ้ำๆในชีวิต เช่น เกี่ยวข้องกับ การเรียน หรือการทำงาน
- ในรอบที่ 4 จะเกิดการเชื่อมโยง เกิดไอเดีย และความคิดใหม่ๆ ก่อเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ ไอเดีย เทคนิคใหม่ๆ ทฤษฎีใหม่ๆ
- ในการอ่านหนังสือทั่วไป แนะนำให้อ่าน2 รอบ, ส่วนหนังสือที่เราจำเป็นต้องอ่านเพื่อจดจำรายละเอียดทั้งหมด(เช่น การเรียน,การทำงาน) ให้อ่านถึงรอบที่ 3-4 หรือถ้ารู้สึกว่าอ่านแล้วยังนึกอะไรไม่ค่อยได้ หรือยังไม่ตกผลึก ก็อ่านซ้ำๆหลายรอบ
- อ่านซ้ำหลายรอบ เป็นเทคนิคที่จริงๆเรียกว่า Spaced repetition
- อันนี้คือที่ คุยกับ Gemini AI มานะ(แต่ AI ก็อาจมีการให้ข้อมูลผิดได้นะ)
- เคยได้ยินบางคนแย้งว่า “การอ่านซ้ำ เป็นเพียงการรับข้อมูลซ้ำ(re-read) ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น “แต่โดยส่วนตัวกลับพบว่า การอ่านซ้ำ กลับทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะ เราเข้าใจโครงสร้างเนื้อหาทั้งหมดในบท มาก่อนแล้วจากการอ่านรอบแรก การกลับมาอ่านอีกรอบ จึงทำให้สมองสามารถย่อยและทำความเข้าใจเนื้อหาได้อย่างเต็มที่ เห็นรายละเอียดที่ตกหล่นไป เกิดการตกผลึกองค์ความรู้ รวมถึงเกิดการเชื่อมโยงกับองค์ความรู้เดิม เกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ และ การตั้งคำถามใหม่ๆ จากเนื้อหาเดิมที่มีอยู่
- อ่านหลายๆอย่างสลับกันไปใน 1 วัน ดีกว่าอ่านอย่างเดียวทั้งวัน(แต่ไม่เกิน 3 อย่าง)
- ถ้าอ่านอย่างเดียว ทั้งวัน หรือ ทั้งสัปดาห์ จะเบื่อและล้าได้ง่าย และ จะเริ่มอ่านได้ช้าและมีประสิทธิภาพลดลง เพราะ สมองส่วนหนึ่งๆอาจถูกใช้งานมากกว่าส่วนอื่นจนล้า (การเบื่อและเริ่มไม่รับข้อมูลที่อ่าน อาจเป็นสัญญาณบอกอย่างหนึ่ง) การจัดตารางให้อ่านหลายๆอย่างไปด้วยกัน สลับกันไป จะเป็นการสลับการใช้งานสมองแต่ละส่วน จะช่วยให้การเรียนรู้โดยรวมมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเรียนรู้ได้ทั้งวัน
- แต่ข้อจำกัด คือ ห้ามอ่านมากกว่า 3 อย่างในเวลาเดียวกัน เพราะ สมองจะต้องใช้เวลาในการเตรียมการเชื่อมโยงที่เหมาะสม สำหรับทำความเข้าใจในเรื่องใหม่ๆ การอ่านหลายอย่างมากไปจะทำให้ไม่ปะติดปะต่อ ไม่ก้าวหน้าได้
- เทคนิค คือ list สิ่งที่จะอ่านตามลำดับ โดยแบ่งเป็น 3 หมวด คือ Major(for current work), Minor(for future life), Casual/Relax(for skills)
- Reading for current work(2 ชม.) คือ ส่ิงที่เราจะอ่าน เพื่อทำให้ การทำงาน หรือ การเรียน ในปัจจุบัน ประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เช่น อ่านตำราที่เกี่ยวกับการทำงาน เป็นต้น
- Reading for my own future life(2 ชม.) คือ ส่ิงที่เราจะอ่าน เพื่อเติมเต็ม ความฝันที่เราอยากจะเป็น ในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้า เช่น อ่านตำรา Financial, Programming, English grammar เป็นต้น
- Casual/Relax for skills (0.5 ชม.) คือ การอ่าน หรือ กิจกรรมเล็กๆน้อยๆ ที่จะเป็นการฝึกทักษะต่างๆเพิ่มเติม(ที่อยากมี) ไม่ได้จริงจัง โดยเป็นการพักผ่อนเบาสมองไปด้วย เช่น อ่านนิยายภาษาอังกฤษ, เล่นเกม Tetris, ฝึกเล่น Piano เป็นต้น
- หากอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ให้กลับไปอ่านเรื่องพื้นฐานก่อน(get back to basics) เช่น อยากเข้าใจภาษา ให้ลองกลับไปอ่านตำรา Grammar ก่อน, อยากเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆทางธรรมชาติที่พบเจอในชีวิต ให้ลองกลับไปอ่านฟิสิกส์ก่อน, อ่านข่าวการเงินไม่เข้าใจ ให้ลองกลับไปอ่านตำรา Financial market ก่อน เป็นต้น
ด้านกายภาพ
- บริหารกล้ามเนื้อตาก่อนอ่านหนังสือ ให้กล้ามเนื้อตาพร้อมสำหรับการอ่าน ช่วยให้อ่านได้ดีขึ้นมาก มีงานวิจัยศึกษา ความเปลี่ยนแปลงหลังการบริหารกล้ามเนื้อตาในนักกีฬาแบดมินตัน พบว่าทำให้การโฟกัสของระบบสายตา มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทันทีที่ทำเสร็จ
- ถ้าอธิบายตามความเข้าใจ อาจจะประมาณว่า ถ้าเรามีการวอร์มอัพร ะบบประสาทและกล้ามเนื้อ ก่อนการใช้งาน จะทำให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น เหมือน นักเปียโนมืออาชีพ ที่ต้องมีการวอร์มอัพนิ้วมือก่อนการแสดง
- แสงสว่างที่เหมาะสม โดยระดับความเข้มแสง ที่เหมาะสม คือ 500 – 1000 lux สามารถวัดโดยใช้ App ในมือถือ พวก lux meter ได้
- แสงต้องไม่มีการกระพริบซ่อนเร้น(Flickering light) สามารถตรวจสอบโดยใช้กล้องมือถือ เปิดไปที่โหมด pro แล้วค่อยๆเลื่อนปรับ shutter speed ให้ไวขึ้น(120ครั้งต่อวินาทีขึ้นไป) หากมีการกระพริบซ่อนอยู่ มักจะเห็นแถบสว่าง-มืดวิ่งสลับกัน ปรากฎบนหน้าจอ(มักพบในหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์, LED คุณภาพต่ำ หรือ จอภาพคุณภาพต่ำ)
- มีตัวชี้ขณะอ่าน
- แท้จริงแล้ว ขณะอ่านหนังสือ สายตาของคนเรา จะโฟกัสเป็นจุดๆไปเรื่อยๆบนข้อความ ไม่ได้กวาดตาแบบไหลลื่นต่อเนื่องไปตามตัวอักษร ทำให้บางทีก็โฟกัสข้ามคำสำคัญ หรือ โฟกัสกลับไปกลับมา ทำให้อ่านต้องวนกลับมาอ่านซ้ำๆหลายรอบกว่าจะเข้าใจความหมาย
- การมีตัวชี้ เช่น นิ้วมือ, ปากกา เป็นต้น ไล่ไปตามข้อความ จะช่วยเป็นตัวนำสายตา ทำให้อ่านได้อย่างไหลลื่นขึ้น เพราะ ทำให้การโฟกัสของตา มีประสิทธิภาพ ลดการโฟกัสที่ไม่จำเป็นลง อ่านได้เร็ว และ เข้าใจได้ดีขึ้น
- แท้จริงแล้ว การอ่านหนังสือนั้นง่ายมาก เพียงแค่ตาโฟกัสได้ที่ตัวหนังสือจริงๆ สมองก็แปลผลความหมายให้โดยอัตโนมัติ แต่ปัญหาคือ หลายๆครั้งที่เหมือนเรากำลังกวาดตาอ่านอยู่ แต่สายตาไม่ได้โฟกัสที่ข้อความจริงๆ เพราะ อาจจะกำลังใจลอยคิดเรื่องอื่นอยู่ ซึ่งเราต้องคอยสังเกตตนเองบ่อยๆ และมีสติตอนอ่าน คอยควบคุมให้สายตาโฟกัสที่ตัวหนังสือเสมอ
- กำหนดเวลาฝึกอ่านหนังสือทุกๆวัน วันละ 30 นาที มองการอ่านหนังสือ เหมือนการฝึกซ้อมกีฬาให้เริ่มฝึกจากทีละน้อยๆ เช่น อ่านวันละ 30 นาที อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ไม่วอกแวก แล้วค่อยๆเพิ่มเวลา สัปดาห์ละ 10 นาที ไปเรื่อยๆ เหมือนการฝึกกีฬาที่ต้องค่อยๆเพิ่มน้ำหนัก หรือ ระยะเวลาให้นานขึ้นทีละนิดๆ
Leave a Reply