ปัจจุบัน เริ่มมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่มีใครมายุ่งย่ามหรือมาหาเรื่องกับการอ่านหนังสือ(Textbook)ของเรา แบบเมื่อก่อน(สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานเก่า ที่ toxic, แบ่งพรรคพวก, ผู้คนขี้เกียจ กินเงินเดือนไปวันๆ, เขลา, หยาบคาย, คุกคาม, ล้อเลียน(bully), ไม่ให้เกียรติ, ไม่เคารพสิทธิส่วนบุคคล และ มีทัศนคติไม่เอื้อต่อการพัฒนาตนเอง) ทั้งนี้ปัญหาน่าจะเกิดจากระบบที่ไม่เหมาะสม ที่ให้อำนาจกับบุคคลที่เป็นหัวหน้ามากเกินไป จนสามารถที่จะ ปรับเปลี่ยนชีวิตคนๆหนึ่งได้ จนหากเราไม่ถูกจริตกับหัวหน้า ชีวิตก็อาจไม่ประสบกับความราบรื่น ไปอีกนาน
ชีวิตในปัจจุบัน ถือว่าเป็นอะไรที่ลงตัวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้(สำหรับเราในตอนนี้) เราสามารถอ่านหนังสือ Textbook และ พัฒนาตนเอง ได้ตลอดเวลา โดยไม่มีใครมาวิจารณ์เรา ที่ทำงานพูดคุยกันอย่างให้เกียรติ มีการเดินทางที่สะดวก มีอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ส่วนสำคัญคิดว่าเกิดจากระบบ ที่ไม่มีใครเป็นหัวหน้าใคร หรือ สามารถมีอำนาจในการสั่งการใครได้โดยตรง แต่เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานที่มาทำงานร่วมกันในแต่ละหน้าที่เท่านั้น ขอเพียงปฏิบัติต่อกันด้วยดี การทำงานก็จะราบรื่น อีกทั้ง เราอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างอิสระ เพราะ เราอยู่กับเอกชน ถ้าเราอยู่แล้วไม่สบายใจ เราก็ย้ายที่ทำงานได้เลย ทำให้ตัวบริษัทเองไม่อยากสร้างปัญหาให้เรา จะได้ win-win ทั้งสองฝ่าย
ในทางพุทธ ชีวิตในตอนนี้ อาจจะเรียกได้ว่า เป็นช่วงที่บุญให้ผล สิ่งสำคัญคือ ใช้โอกาสนี้พัฒนาตนเองต่อ หลังจากที่หยุดชะงักมานานนับ 5 ปี
แนวคิดในตอนนี้คือ เราต้องพัฒนาตนเอง อ่านหนังสือตลอดในเวลาที่ว่าง จะขี้เกียจ ติดสบาย เอาเวลาทิ้งเปล่าๆไปวันๆไม่ได้ เพราะ อนาคตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าจะต้องเจอปัญหาอะไรที่เราต้องใช้ความรู้มาแก้ไข เราจึงต้องอ่านหนังสือ สะสมความรู้อย่างไม่ประมาทในเวลาที่ชีวิตสงบสุข
พึงระลึกเสมอว่า หนทางแห่งความยากลำบากในอนาคตกำลังรอเราอยู่ หรือหากมันยังไม่มี เราจะไปแสวงหามันเอง อย่าได้ใช้ชีวิต ปล่อยตัวปล่อยใจไปโดยประมาท
อีกอย่างหนึ่งคือ อยากจะพิสูจน์ ว่าความพยายามของมนุษย์ มีขีดจำกัดเท่าไหร่ ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีขีดจำกัด สามารถพัฒนาไปได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยังมีความพยายามอยู่
แผนการในอนาคต เราอาจจะพยายาม ลงทุน จนได้สัก 10ล้าน แล้วเรียนต่อต่างประเทศ (US/CN) ไม่ว่าอย่างไรควรพัฒนาตนเองไปถึงจุดนั้นให้ได้ มันไม่ได้ยากเกินความพยายามของมนุษย์คนหนึ่ง
การพัฒนาตนเองในตอนนี้ เรียงตามลำดับจากสิ่งพื้นฐานไปสู่ คือ
- ห้องพักอาศัย&โต๊ะอ่านหนังสือ
- เช่าหอพักอยู่ ความสวยงาม ระดับกลางๆ (ประมาณห้องพักแพทย์ รพ.รัฐ) แต่มีฟังก็ชั่นครบ เช่น แอร์, แสงไฟ, ตู้เย็น, อ่างล้างจานที่ระเบียงตากผ้า, ห้องน้ำในตัว
- มีเครื่องปรับอากาศ ปรับอากาศให้แห้งและเย็นสบาย ไม่อึดอัดได้ ในวันที่อากาศร้อนและชื้น
- ซื้อโต๊ะอ่านหนังสือ ของ ikea (sandsberg) ราคา 1,200 บาท แข็งแรงมาก
- เก้าอี้ไม้สัก มีพนักพิง เคลือบเงา หาใน shopee ราคา 500 บาท เป็นเก้าอี้ที่พื้นนั่งราบ ทำให้นั่งสบายกว่า เก้าอี้สมัยใหม่ ที่ชอบทำที่นั่งให้ลาดเอียงเล็กน้อย
- โคมไฟ led จีน(พวก xiaomi/huawei) คุณภาพดี ราคาประมาณ 1,500 บาท ให้แสงที่ไม่กระพริบ(non-flickering light) ไม่ทำให้สายตาล้า

- อาหาร
- Main course(มีในทุกวันที่กินอาหาร) จะเป็น
- ธัญพืช/ถั่วรวม 10 ชนิด อย่างละ 20 กรัม รวม 200 กรัม ให้พลังงาน 800kcal
- ไข่ไก่ 2-3 ฟอง และ อกไก่ หรือเนื้อสัตว์อื่นๆ
- ใส่ทั้งหมดรวมในหม้ออัดความดัน ตั้งเวลา 1 ชม จะได้ธัญพืชที่นิ่มมากๆ และ lectin จะถูกทำลายหมดแล้ว
- กินธัญพืช ช่วยให้ลำไส้ทำงานดี และ ที่สำคัญคือ อารมณ์คงที่ไม่แปรปรวน เพราะ แบคทีเรียในลำไส้ จะย่อยไฟเบอร์ เพื่อสร้าง Serotonin ให้กับเรา
- แรกๆ อาจจะมีแก๊สในลำไส้ได้ เพราะ กลุ่มแบคทีเรียที่จำเป็น ยังไม่มากพอ แต่พอกินธัญพืชไปสักพัก กลุ่มแบคทีเรียเหล่านี้จะโตมากขึ้น ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ไม่มีแก๊สอีก
- Main course(มีในทุกวันที่กินอาหาร) จะเป็น

- การออกกำลังกาย&การอดอาหาร
- สิ่งสำคัญคือ การทำให้ได้ BDNF ซึ่งเป็นสารกระตุ้นให้มีการแตกแขนงและเชื่อมโยงประสาทเพิ่มเติม ถ้ายิ่งมีมาก และ เกิดบ่อยๆหรือนานๆ สมองจะยิ่งพัฒนาขึ้นได้
- ออกกำลังแบบ HIIT(วิ่งจนหอบหนักๆ สลับเดินเบาๆ) เพียง 15 นาที และพักวันเว้นวัน(ได้ BDNF 4-5 เท่า ของการออกกำลังปกติ)
- Fasting หลังออกกำลังกาย เพื่อ prolong ผลของ BDNFให้เกิดยาวนานขึ้น โดยอาจอดข้ามวัน หากเป็นวันเสาร์/อาทิตย์(IF36/12) หรือ อดทั้งวัน แล้วค่อยมื้อเย็นกิน 1 มื้อ(IF 22/2)
- ทั้งสองอย่างต้องทำคู่กันจึงจะได้ผลในด้านการพัฒนาตนเอง
- ออกกำลังกายอย่างเดียว ไม่อดเลย ระยะเวลาการได้ BDNF ยังสั้นเกินไป ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาชีวิตให้เร็วขึ้น
- ส่วนการอดอาหารในมนุษย์ ให้เกิด BDNF ต้องใช้เวลานานถึง 48ชม เพราะ อัตรา Metabolismในคนช้ากว่าหนูทดลอง(ในหนูใช้เพียง 20 ชม) จึงต้องใช้การออกกำลังกาย มาเร่งการเผาผลาญให้เข้า ketosis เร็ว และ เข้มข้นพอ ที่จะกระตุ้นการหลั่ง BDNF ในสมอง
- สิ่งที่ควรทำเป็นหลัก คือ การอดข้ามวัน เพราะ โดยส่วนตัว หากขาดไปช่วงหนึ่ง cognitive function หลายๆอย่างจะถดถอยลง เพราะ หากแม้ไม่ได้ออกกำลังกายก็ยังได้ผลด้าน neuroprotective effect(Anti-inflammation, BDNF) ช่วยคงสภาพระบบประสาทที่เราฝึกฝนมาไว้ได้
ส่วนการออกกำลังกาย แม้จะทำประจำ แต่หากไม่ได้อดข้ามวันร่วมด้วย ก็ไม่ได้มีผลเท่าไหร่ จึงคิดว่าทำเป็นส่วนเสริมมากกว่า
- ภายหลังจากทำไปได้สัก 1 เดือน จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทที่ดีขึ้น อย่างสังเกตได้ เช่น ความหลงๆลืมๆลดลง, คิดอะไรเป็นระบบมากขึ้น ทำงานผิดพลาดน้อยลง, ควบคุมตัวเองให้ทำสิ่งที่สมควรทำได้ดีขึ้น เสพติดสิ่งบันเทิงลดลง, ทดสอบด้วยการเล่นเกมส์ Tetris ก็พัฒนาได้เร็วขึ้นกว่าตอนที่ไม่ได้อดข้ามวัน เป็นต้น ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการที่ BDNF กระตุ้นให้มีการเชื่อมโยงใยประสาทหนาแน่นขึ้น ในสมองหลายๆส่วน
- การทำงาน
- ทำงานได้อย่างมีสมาธิ ราบรื่น ไม่มีใครมาคอยแกล้ง เหน็บแนม ระหว่างการทำงาน เหมือนเมื่อก่อน
- อ่านหนังสือ(textbook) ทำให้ได้เทคนิคและความรู้ดีๆ อย่างมากมาย มาใช้ในการทำงาน
- การอ่านหนังสือ พัฒนาตนเองในความรู้ด้านต่างๆ
- ไม่มีสิ่งแวดล้อม หรือ คนที่พยายามมายุ่งย่าม, ก้าวก่าย, ขัดขวาง หรือ สร้างปัญหาให้กับ การอ่านหนังสือของเรา ทำให้เราอ่านได้อย่างที่ใจต้องการ และ เริ่มก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
- อุปกรณ์ที่ใช้ E-reader(E-ink) 13″ 300dpi, Tablet 12″จอ 2.8k 290dpi, MacBook Air 13.6″224dpi
- อุปกรณ์ที่ดีที่สุด คือ E-ink E-reader เพราะ เป็นหน้าจอกระดาษ ไม่ทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก เหมาะกับการอ่านทุกประเภท เพราะ ทำให้อ่านได้อย่างมีสมาธิ ราบรื่น และใช้ความคิดไปด้วยได้ดีที่สุด (ความรู้สึกเวลาอ่านบนจอกระดาษ เปรียบได้กับการนั่งบนรถหรู ที่ช่วงล่างนุ่มนวลสบาย แต่อาจไม่เหมาะการอ่านที่ต้องการความเร่งรีบ หรือ ต้องจัดการข้อมูลมากๆ ในคราวเดียว)
- รองลงมาคือ MacBook Air, Tablet เหมาะกับการอ่านแบบเร็วๆ(skimming) รวมถึง Textbook ที่มีรูปภาพเยอะๆ แต่โดยส่วนใหญ่ ไม่เหมาะกับการอ่านที่ต้องการสมาธิและความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากนัก(พอทำได้ แต่จะลำบากกว่าหน่อย เหมือนอยากขับรถสปอร์ตแรงๆ ที่มีช่วงล่างแข็งกระด้าง มาลุยถนนที่ขรุขระ ก็คงไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีนัก)
- ใช้อะไรเป็นหลัก: เริ่มอ่านใน Macbook Air ก่อน หากว่าต้องการสมาธิมากขึ้นในบางตำรา จะโหลดเข้าไปอ่านใน E-reader เพราะ หากอ่านใน E-reader ก่อนแต่แรก อาจติดอยู่กับบทแรกๆ ไม่ไปไหน
- สำหรับ MacBook Air
- ข้อสังเกต คือ ส่วนใหญ่จะเน้นใช้อุปกรณ์ ที่หน้าจอมีความละเอียดสูง ~ 300dpi(E-reader, tablet) ยกเว้น MacBook Air
- แต่การใช้ MacBook Air ความละเอียด 224dpi อ่านหนังสือ ก็ทำได้อย่างราบรื่น สบายตา เพราะ เท่าที่สังเกต คือ รูปแบบการ Render font ของ MacOS จะทำให้ลายเส้นตัวอักษร ลงตรงกับตำแหน่ง pixel เสมอ ทำให้ได้ตัวอักษรที่คมชัด อ่านง่าย สบายตา ไม่จำเป็นต้องใช้ถึงระดับ 4k ในรุ่น Pro
- นอกจากนี้ หน้าจอ 13.6 นิ้ว ก็ยังเปิดสองแอพข้างๆกันได้สบายๆ(side by side) ทำให้อ่านไปด้วย ทำสรุปไปด้วย ไม่มีปัญหา ในการใช้งานทั่วไป ไม่จำเป็นต้องไปถึงขนาดหน้าจอ 15-16″
- ตัวอย่างการใช้อุปกรณ์ ในการเข้าถึงความรู้
- MacBook Air




- การเจริญสติ
- นั่งสมาธิ วันละอย่างน้อย 15-30 นาที เช้า,เย็น
- ความสงบสงัดจากกิเลส คือ ความสุขที่แท้จริง ที่คนแสวงหาทรัพย์สมบัติกันไม่สิ้นสุด เท่าไหร่ก็ไม่พอ เป็นเพราะ ยังไม่รู้จักสุขที่แท้จริงอันนี้
- สมาธิช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น โฟกัสกับงานได้ดีขึ้น ทำงานที่มีความกดดันสูงได้ดี และผิดพลาดน้อยลง
- นั่งสมาธิให้ นั่งขัดสมาธิเพชร คือ ขาทั้งสองขัดกันโดยนำขึ้นมาวางบนตักของขาอีกข้าง อาจจะเมื่อยมากๆในตอนฝึกใหม่ๆ แต่จะเป็นท่าที่ทำให้นั่งได้อย่างมั่นคง และดูร่างกายหายใจได้ดีมากๆ
- นั่งหลังตรง เป็นพื้นฐานของการทำสมาธิทุกแบบ ให้นั่งยึดตัวเล็กน้อย ให้หลังตรง ทั้งหลังส่วนล่างและ หลังส่วนบน ตรงในที่นี้คือตรงเหมือนเสาเข็ม ไม่โค้งเป็นตัว S โดยหากแอ่นท้องมาข้างหน้ามากไป กระบังลมจะหายใจลำบาก อึดอัด หรือหากนั่งหลังงองุ้ม ก็จะหายใจลำบาก ทรงสติได้ยาก ขี้เกียจ ง่วงเคลิ้มได้ง่าย
- การนั่งสมาธิที่ถูกต้อง ต้องมีสติรู้สิ่งที่เกิดในกายและใจตลอดสาย ไม่บังคับลมจนอึดอัด, ไม่เพ่งที่ลมหายใจจนซึมกะทือ, ไม่หลงไปคิดนานจนไม่รู้สึกตัว
- แบ่งนั่งเช้า,เย็น เพราะ บางทีนั่งตอนเช้าได้ไม่ดี ตอนเย็นจะกลับนั่งได้ดีแทน (หรือกลับกัน)
- ให้มองการทำสมาธิเหมือนเป็นการออกกำลังกาย ซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนา(อาจจะ 3-6 เดือน) เราไม่สามารถยกน้ำหนักมากๆ หรือ วิ่ง10กม. ได้ตั้งแต่การฝึกครั้งแรก เพราะ ต้องให้ร่างกายค่อยๆสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อ การทำสมาธิก็เช่นกัน ต้องให้สมองส่วนที่ทำหน้าที่ด้าน การจดจ่อ ค่อยๆสร้างใยประสาทที่หนาแน่นขึ้นๆ จึงจะค่อยๆทำสมาธิได้ลึกและนานขึ้นๆ จึงไม่ต้องหวังการเข้าสมาธิลึกๆ ตั้งแต่การฝึกนั่งใหม่ๆ แต่วางใจว่า เป็นการฝึกเรียนรู้ตัวเองไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ เมื่อเวลาผ่านไป จะมีสมาธิดีขึ้นได้เอง
- เดินจงกรม วันละอย่างน้อย 15 นาที จะช่วยให้การเจริญสติในชีวิตประจำวันดีขึ้น รู้อารมณ์ได้บ่อยและเร็วขึ้น
- นั่งสมาธิ วันละอย่างน้อย 15-30 นาที เช้า,เย็น
เพิ่มเติม : ตาราง routine ในปัจจุบัน

Leave a Reply