ปัญหาช่วงที่ผ่านมา คือ ลาออกจากงานประจำเดิม แม้จะได้เงินเดือนที่ดีมาก แต่เพราะ ทนกับที่ทำงาน Toxic ไม่ไหว และ รู้สึกถึงอนาคตที่ริบหรี่ เพราะ ไม่ได้ฝึกฝนอะไรเพิ่มเติมจากที่ทำงานเลย เลยคิดว่าออกมาหาหนทางเองจะเป็นอะไรที่ดีกว่า แต่หลังจากลาออก ก็มีสิ่งบททดสอบที่คิดไม่ถึงรออยู่เช่นกัน
ทุกวันนี้ ยังคงคิดว่าการลาออกเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะ ถ้าอยู่กับกลุ่มคนที่ Toxic สภาพจิตใจจะมีแต่แย่ลงกว่านี้ รวมถึงการที่ไม่ได้พัฒนาทักษะเท่าที่ควร ถูกจำกัดความสามารถ ซึ่งส่งผลเสียอย่างมากในช่วงที่กำลังจบใหม่ๆ ที่การพัฒนาทักษะเป็นสิ่งสำคัญกว่าค่าตอบแทน
แต่ที่ผิดพลาด คือ หลังจากที่ลาออก ตลอด 1 ปี ได้พยายามศึกษาเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งยังศึกษาไม่จบ(อ่านตำราครึ่งๆกลางๆ) ก็ร้อนวิชา รีบทำการทดลองด้วยเงินทุนที่เก็บสะสมมา ปรากฏว่า หมดตัว ซึ่งถ้าอดทนอ่านให้จบก่อน ในอีกไม่กี่สิบหน้าถัดมา ก็จะได้รู้ข้อควรระวัง และไม่ทำผิดพลาดแล้ว เป็นความผิดพลาดที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
ภายหลังหมดตัว ต้องขายของมีค่าที่มี(อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ) แลกเงินประทังชีวิตในระยะสั้น (ณ ขณะที่เขียนบทความนี้) สิ่งที่ได้เรียนรู้ คือ
เห็นคุณค่าของสิ่งเล็กน้อย ทุกขณะชีวิต
- ในเวลาที่ไม่มีเงิน จะเห็นคุณค่าของสิ่งเล็กน้อย ที่อยู่ตรงหน้าขึ้นอย่างมาก เช่น รู้สึกขอบคุณ มื้ออาหาร ที่อยู่ตรงหน้า เป็นต้น เป็นความรู้สึกที่หาได้ยากยิ่ง เป็นช่วงเวลาเล็กน้อยที่แสนมีความหมาย นอกจากนี้ได้เห็น ทั้งคนที่ช่วยเหลือเรา แม้จะเล็กๆน้อยๆ และ มีคนที่ไม่อยากคบเรา
- เรารู้สึกดี ที่มีคนช่วยเหลือเราอย่างจริงใจ และ รู้สึกไม่ดี หากไม่มีคนช่วยเหลือเรา ดังนั้น จงช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ หากเราสามารถทำได้
หลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี คนไม่ดี และ การรักษาความลับ
- อย่าทนอยู่กับคน Toxic เพราะ จะมีแต่ความเสียหายกับชีวิตเรา หรือ บางทีทำให้ชีวิตเราเบี่ยงเบนไปจากทางที่เหมาะสม ไม่มีประโยชน์เกิดขึ้นจากการเสียเวลามาอดทนแบบนี้เลย
- อย่าไว้ใจใครทั้งนั้น เพราะ แม้กระทั่ง ตัวเราเอง ก็ยังมีโลภ โกรธ หลง มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเสมอ คนอื่นก็เช่นกัน กระทั่งคนที่ประสบความสำเร็จ หรือ แม้แต่พ่อ-แม่ ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ยังมีความหลงผิดได้
- ความลับบางเรื่อง ควรเก็บไว้กับตัวเองจนตาย โดยไม่บอกใคร กระทั่ง พ่อแม่ คู่ครอง มิตร บุตร เพราะ ไม่มีใครเห็นความสำคัญการรักษาของความลับนั้นๆ ได้เท่าตัวเราเอง และ จะบอกความลับได้ก็ต่อเมื่อ ความลับนั้น ไม่มีผลเสียกับเราอีกต่อไปแล้ว
- ยึดมั่นในหนทางแห่งการพัฒนาตนเอง อย่าหลงไปกับหนทางของกิเลส อบายมุข ไม่ว่าปัจจัยภายนอกในชีวิตขณะนั้นจะเป็นอย่างไร ในช่วงชีวิตที่ไม่เป็นใจ จะเป็นการต่อสู้พัฒนาตนเอง เท่าที่ทำได้ เพื่อเฝ้ารอโอกาสของเรา
ใช้ชีวิตเรียบง่าย สมถะ
- ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่เป็นจุดสนใจ สะดวกและดีกว่า ชีวิตที่หรูหรา ใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม เป็นจุดสนใจของคนอื่น(แต่กรณีนี้ไม่นับการใช้สินค้ามีคุณภาพนะ อันนี้ทำได้ เพราะ ระยะยาวอย่างไรก็คุ้มกว่า)
- จงเป็นคนที่มีทัศนคติถ่อมตน อย่าให้อีโก้เติบโตในใจ เพราะ โลกนี้กว้างใหญ่ ความรู้มีมากมายประดุจดังมหาสมุทร ความรู้ของเราเป็นเพียงเหมือนแอ่งน้ำขังเล็กๆเท่านั้น มีคนเก่งกว่าเรามากมายเหลือเกิน และ เก่งแค่ไหนก็พลาดได้ การมีอีโก้สูง การอวดรู้ คือ การประกาศความโง่เขลาของตัวเอง
- รักการอยู่อย่างสงบสุข สันติ
ไม่ทะเลาะกับใคร เพราะไม่มีประโยชน์ และเสียเวลาชีวิตเปล่าๆ แต่จะคอยป้องกันตัว ไม่ให้ใครมาเอาเปรียบ หลอกลวง หรือ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเรา(เพราะ ทำให้เสียเวลาและโอกาสในชีวิตเช่นกัน)
การเคารพ สิทธิ ความเท่าเทียม
- ในแง่ชีวิต เราทุกๆคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครสูงส่ง หรือ ต่ำต้อยกว่าใคร สามารถพัฒนาตัวเองได้ไม่ต่างกัน
- ในแง่การทำงาน ทุกคนไม่ได้เท่าเทียมกัน ควรเคารพ ตามระดับความสามารถที่สั่งสมมา หรือที่แตกต่างกันไป ของตนเองและผู้อื่น เช่น อาจารย์ ศาสตราจารย์ คนที่ประสบความสำเร็จ แพทย์ วิศวกร ผู้ประกอบการ พนักงาน เป็นต้น
เป้าหมายในชีวิตที่แท้จริง คือ ความสงบ
- แท้จริง ความสงบสุข เป็นเป้าหมายที่ทุกคนแสวงหา ถ้าสงบและเป็นสุขแล้ว ก็คงไม่คิดจะแสวงหามากมายอีก จริงไหม? อย่างน้อยทุกวัน ให้ลองนั่งในโบสถ์วัดที่สงบ(ที่ปฏิบัติธรรมกันจริงๆแบบวัดป่า ไม่ใช่พุทธพาณิชย์) หรือ อยู่กับธรรมชาติ สัก 30 นาที เป็นความสงบง่ายๆ แต่ทำให้ความรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆอย่างมหัศจรรย์
- อย่าหลงแสวงหาความสุขจาก วัตถุ สิ่งของ เพราะ คุณค่าแท้จริงของมัน เป็นเพียงสิ่งอำนวยความสะดวกชั่วคราว มาแล้วก็ไป เสื่อมสลายตามกาลเวลา ซื้อมาไม่นานความความรู้สึกตื่นเต้นก็จางหาย กลายเป็นความธรรมดาไป ที่เหลือมีเพียง ประโยชน์ใช้สอยแท้จริงของมัน
การพัฒนาชีวิตที่แท้จริง
- มีศีล 5 จะทำให้ปมปัญหาต่างๆ ในชีวิตค่อยๆคลายออก ชีวิตจะกระจ่างชัดขึ้น ปัญหาทั้งหลาย รวมถึงความคิดที่สับสน ไม่กระจ่าง มาจากการผิดศีลนี่แหละ(ไม่ว่าข้อไหนก็ตาม)
- การเจริญสติปัฏฐาน 4(ฝึกสติรู้สึกตัว) เป็นประตูบานเดียว ที่จะเปิดสู่การเรียนรู้ภายใน สู่ความเข้าใจตนเอง พัฒนาตนเองได้อย่างแท้จริง ถึงในระดับความเข้าใจชีวิต ไม่ว่าจะ นิสัยที่ไม่ดี การเสพติดสิ่งต่างๆ(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สิ่งบันเทิง) การไม่มีสมาธิ ไปจนถึงยกระดับจิตใจ มีเพียงการฝึกสติเท่านั้น ที่สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเด็ดขาด
- ความรู้ด้านพัฒนาตนเองอื่นๆในโลก ยังเป็นเพียงการแก้ไขเชิงพฤติกรรม สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ หากมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากระทบ
- อ่านหนังสือตลอดเวลาที่ว่าง(ไม่ว่าภาษาไทย หรือ อังกฤษ) การอ่านหนังสือเป็นประตูเดียวที่จะเปิดออกสู่โลกกว้าง แนะนำ E-reader ขนาดหน้าจอ 6.8 หรือ 10.3 นิ้ว หรือ เพื่อให้สามารถพกพาไปอ่านได้ทุกที่ ทุกเวลา สูญเสียอะไรในชีวิตก็ได้ แต่ขอไว้อย่างเดียว ต้องได้อ่านหนังสือ
- ความรู้ด้านสุขภาพ ก็จำเป็น เหมือนเรามีรถยนต์ ก็ต้องรู้รายละเอียดภายใน วิธีการดูแลรักษา รู้ข้อจำกัด เพื่อจะใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หลักๆ ก็อย่างเช่น การกินอาหารที่ดีต่อลำไส้ การอดอาหารข้ามวัน(IF 36/12) การออกกำลังกายHIIT เป็นต้น
ประสบการณ์การความล้มเหลว หมดตัว เป็นบทเรียนที่มีคุณค่ามาก แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของ การได้พยายามอย่างเต็มที่ ด้วยนะ หากไม่ได้ทำอะไรเลย ขี้เกียจไปวันๆ จะเป็นบทเรียนจากความขี้เกียจแทน(ซึ่งก็ได้เรียนรู้เหมือนกัน แต่มันยังเป็นขั้นเริ่มต้นที่สุด)
นอกจากนี้โดยส่วนตัว คิดว่า สามารถทดลองเรียนรู้ความล้มเหลว ได้แบบไม่ต้องเจ๊งจริงๆ(แต่ได้ผลทางจิตวิทยาเหมือนกัน) คือ ลองเอาเงินไปเก็บไว้อีกบัญชี หรือ เอาไปลงทุน แล้วห้ามถอนทั้งเดือน ส่วนเงินที่เหลือในบัญชีหลักให้พอแค่ค่าปัจจัยพื้นฐานในเดือนนั้นๆ ฟุ่มเฟือยไม่ได้ แล้วลองอดทนใช้ชีวิตดู
Leave a Reply